ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #9 : หนี้ชีวิตนารีผล

    • อัปเดตล่าสุด 14 ม.ค. 67


    ตอนที่ 10 หนี้ชีวิตนารีผล

     


         นภดลตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจสุดขีด ภาพที่คนธรรพ์หัวขาดออกจากลำตัวทำเอาประสาททุกส่วนในตัวเขาหยุดชะงัก สู้กันถึงตายเลยหรือ... เขาคิดในใจด้วยความตระหนก

         ด้านเพื่อนหญิงนั้นดูราวกับจะเสียสติไปแล้ว เธอจ้องมองศีรษะคนธรรพ์ที่ปราศจากชีวิตพร้อมกับกรีดร้องเสียงดังอย่างคนขวัญเสียออกมาลั่นป่า เสียงกรีดร้องของเพื่อนนี่เองที่ทำให้นภดลหลุดออกจากภาวะช็อก มักกะลีผลที่ดิ้นพรวด ๆ อยู่บนตักของเขาค่อย ๆ หยุดดิ้นลงอย่างช้า ๆ จนในที่สุดก็แน่นิ่ง มือที่จับยึดคอเสื้อของชายหนุ่มอยู่หลุดผล็อยร่วงลง ดวงตาที่เคยเบิกโตเต็มที่บัดนี้ปิดสนิท แต่ทว่าลมหายใจยังคงเข้าออกสม่ำเสมอ เขาค่อย ๆ อุ้มร่างนางผู้เกิดจากต้นไม้ไว้ที่พื้นหญ้าข้างตัว ก่อนจะลุกขึ้นไปจับต้นแขนเพื่อนสาวเรียกสติ

         "ต่าย" เขาเรียกเสียงหนัก ๆ

         อีกฝ่ายดูราวกับจะไม่รับรู้ต่อเสียงเรียกใด ๆ ทั้งสิ้น ตาของเธอเหลือกลานด้วยความหวาดกลัว สินีเหมือนกับจะละภาพสยองเมื่อครู่นี้ไม่ได้ เพราะไม่ว่าชายหนุ่มจะเรียกอย่างไร สายตาของเธอก็ไม่ได้มองมาที่เขาเลย เพื่อนหญิงกำลังตกอยู่ในภาวะช็อกรุนแรง!

         นภดลจับใบหน้าของเพื่อนให้หมุนกลับมามองหน้าเขา ชายหนุ่มจ้องตาเธอแล้วพูดว่า

         "ต่ายใจเย็น ตั้งสติ"

         เมื่อตาต่อตาประสาน หญิงสาวก็เหมือนจะกลับคืนสติสัมปชัญญะตามเดิม

         "ฟ้า เขา... เขาถูก" หล่อนพูดเสียงสั่น หน้าซีดเผือด

         "ใช่ แล้วเราก็กำลังตกอยู่ในอันตราย กลับไปซ่อนที่เดิมก่อนเร็ว"

         "นี่ถึง... ถึงขนาดต้องฆ่ากันเลยหรือ" คราวนี้สินีพูดตะกุกตะกักยังไม่ทันจบ นภดลก็ตะเบ็งเสียงลั่น

         "เขาตายไปแล้วต่าย เราช่วยอะไรเขาไม่ได้ แล้วเราก็จะตายกันทั้งคู่ถ้ายังไม่รีบหนีเอาตัวรอดตอนนี้"

         อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพื่อนชายตะเบ็งเสียงใส่ เธอกะพริบตา สูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยก่อนจะรีบหมุนตัวกลับไปที่ซ่อนเดิมใต้ต้นมักกะลีผล ชายหนุ่มมองตามเพื่อนที่เดินเข้าไปแล้วเหลียวมองอีกด้านหนึ่งของโคนต้นมักกะลีผลพลางสอดส่ายสายตาผ่านพุ่มไม้ เขาเห็นวิทยาธรหนุ่มกายสีส้มกำลังใช้เท้าเขี่ยศพคนธรรพ์ไร้หัวไปมาด้วยความชิงชัง ริมฝีปากคดโค้งด้วยความรังเกียจ

         วิทยาธรจะรู้ไหมว่ามีเขากับเพื่อนสองคนอยู่อีกด้านหนึ่งของโคนต้นมักกะลีผล มันเห็นพวกเขารึเปล่า เมื่อครู่มันได้ยินเสียงเพื่อนหญิงเขากรีดร้องหรือไม่ นภดลคิดในใจด้วยความหวั่นเกรง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจก้มตัวลงต่ำอาศัยพุ่มไม้ใบบังซ่อนเร้นร่างกาย ก่อนจะค่อย ๆ คลานสูงออกจากโคนต้นมักกะลีผลช้าๆ

         "ฟ้า นั่นเธอจะไปไหน" สินีร้องถาม

         ชายหนุ่มไม่ตอบแต่พยักพเยิดไปที่มักกะลีผลร่างงามที่นอนอยู่ท่ามกลางพื้นหญ้า

         "นี่เธอเสียสติรึไง!" หญิงสาวตวาดเบาๆ "กลับมาเดี๋ยวนี้นะ บอกให้ฉันซ่อน แล้วดูตัวเองทำสิ ฟ้า หยุดนะ!" เธอร้องเสียงหลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินไปถึงผืนหญ้าและค่อยๆ ก้มลงช้อนตัวหญิงผู้เกิดจากต้นไม้ขึ้นมาช้าๆ ชายหนุ่มทำทุกอย่างได้รวดเร็วพอสมควร เขาอุ้มร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาดในป่าหิมพานต์ขึ้นมาแล้วเผ่นแน่บกลับมาที่ซ่อนบริเวณโคนต้นด้วยความว่องไว ก่อนจะประคองวางร่างของมักกะลีผลลงบนพื้นหิน 

         สินีตีแขนเพื่อนชายอย่างแรง

         "โอ๊ย อะไรต่าย ตีเราทำไม" เขาร้อง

         "สักวันเราทั้งคู่จะตายเพราะไอ้เรื่องบ้าๆ ที่เธอทำนั่นแหละ" หญิงสาวพูดใส่หน้าด้วยแรงอารมณ์

         "เรื่องบ้าๆ ยังไงต่าย เราปล่อยเขาทิ้งไว้ไม่ได้หรอกนะ" เพื่อนชายบอกก่อนจะหันไปมองร่างมักกะลีผลด้วยความสงสาร

         "ทำไมจะไม่ได้ ก็เขาตายไปแล้วนี่ ฉันเห็นเขาดิ้นขลุกขลัก ๆ ก่อนจะหยุดไป" หญิงสาวโต้ตอบ ทำตาถลึง

         "เขายังไม่ตาย เขายังหายใจอยู่" นภดลบอกเรียบ ๆ มองทรวงอกที่มีใบไม้ทับปกปิดไว้

         "อะไรนะ หายใจเหรอ" คู่สนทนาร้องด้วยความตกใจ ก้มลงมองร่างมักกะลีผลแล้วเอานิ้วตัวเองไปจ่อที่จมูกอีกฝ่าย สักพักหญิงสาวก็เบิกตากว้างด้วยความฉงน

         "นี่มันไม่ใช่... เธอหายใจได้ยังไงกัน เธอไม่ใช่... เธอไม่ใช่มนุษย์ เธอไม่ควรจะมีชีวิตตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ" สินีพูดติด ๆ ขัด ๆ พลางสำรวจทั่วร่างมักกะลีผลด้วยความตะลึงพรึงเพริด

         "ถ้าไม่มีชีวิตแล้วเธอจะขยิบตากับส่งสัญญาณให้เราได้เหรอ แล้วอีกอย่างที่พวกคนธรรพ์กับวิทยาธรมาแย่งกันก็เพราะเธอมีชีวิต แต่แน่ล่ะเธอไม่ได้มีชีวิตอย่างมนุษย์" นภดลบอกเพื่อน

         เสียงแกรกกรากดังขึ้นมาจากทิศที่วิทยาธรอยู่ ทั้งสองคนหยุดพูดทันทีพลางมองหน้ากันด้วยความหวาดหวั่น ผ่านช่วงเวลาอกสั่นขวัญแขวนไปได้สักพักทุกอย่างก็เงียบลง นภดลก็ค่อยๆ โผล่แค่ส่วนหัวออกไปนอกแท่นหินเพื่อกวาดตามองไปรอบบริเวณ

         "ระวังนะฟ้า" เพื่อนสาวเตือนเสียงกระซิบ

         ชายหนุ่มมองรอบตัวอย่างถี่ถ้วนสองสามรอบ ก่อนจะลุกขึ้นเดินย่องอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อแน่ใจว่าวิทยาธรไม่อยู่แล้วก็เดินอ้อมโคนต้นมาอีกฟากหนึ่งในบริเวณที่เกิดการต่อสู้

         ลานบริเวณนั้นว่างเปล่า ศพของคนธรรพ์ไร้ศีรษะยังคงนอนกลิ้งอย่างน่าสังเวชที่เดิม เลือดเจิ่งนองแดงฉาน นภดลเบือนหน้าหนีจากภาพน่ากลัวนั้นก่อนจะสำรวจไปรอบลานอย่างถ้วนถี่ นอกจากศพและพิณคนธรรพ์ที่หักครึ่งก็ไม่มีใครหรืออะไรในลานนั้นอีก เหลือไว้เพียงร่องรอยการต่อสู้ บางจุดกลายเป็นตอตะโก บนต้นมักกะลีผลก็ได้รับความเสียหายไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน ส่วนวิทยาธรกายสีส้มนั้นหายไปแล้ว

         "ฟ้า" เขาสะดุ้งโหยง รีบหันขวับมามอง สินีนั่นเอง

         "เขาไม่อยู่แล้ว" ชายหนุ่มบอกเพื่อนที่เดินทำหน้าตาตื่นเข้ามา

         "งั้นเราจะไปกันได้รึยัง" เธอถามทันที แต่แล้วหญิงสาวก็หยุดชะงักทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่อว่า

         "เรารู้ว่าตอนนี้เราไม่รู้ว่าควรไปที่ไหนถึงจะเจอแป๋วกับเอก การตามหาก็ต้องเป็นแบบสุ่มเพราะเราไม่รู้อะไรเลย ถ้าแต่เรายิ่งเดินดุ่มแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ต่อไป เราอาจจะไปเจออะไรที่อันตรายกว่านี้อีกก็ได้ ฉันว่าเรามาลองวางแผนกันอีกทีดีไหม หรือไม่ก็ให้ลักษณ์นาราท่านทรงช่วย"

         "ให้ลักษณ์นาราช่วยหรือ" นภดลหันมาทวนคำเสียงสูง

         "ใช่น่ะสิ ตอนเราตกอยู่ในมนตร์ของพิณคนธรรพ์ ท่านยังมาช่วยเราทั้งคู่เลย" เพื่อนสาวเอ่ย หน้าตาดูมีความหวัง "อีกอย่างท่านก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรามาอยู่กันที่นี่ด้วย"

         "ถ้าท่านจะมาช่วยเราจริง ท่านมานานแล้วแหละ"

         "ท่านอาจจะกำลังทดสอบเราเหมือนเคยก็ได้นะ เธอเคยบอกฉันเองนี่นาตอนเข้ามาว่าลักษณ์นารากำลังสอนเรา" สินีแจงเหตุผล

         "ตอนนี้เราไม่รู้อะไรหรอก แค่คิดว่าต้องให้เราเฉียดใกล้ความตายมากๆ ก่อนใช่ไหม ท่านถึงจะยอมแสดงตัวช่วย" ชายหนุ่มพูดเสียงเบาหวิว 

         "เอ๊ะ นี่เธอกำลังแอบน้อยใจท่านอยู่เหรอ" สินีถามพลางก้มมองหน้าเพื่อน

         ทันใดนั้นเอง! เส้นสีทองสุกใสฟาดดังเฟี้ยวผ่านอากาศมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ชั่วเสี้ยววินาทีดับจิตนั้นเอง นภดลเห็นมันก่อนจากทางหางตา เขารีบผลักเพื่อนสาวที่ยืนไม่รู้อิโหน่อิเหน่จนล้มคว่ำคะมำหงายลงไปทั้งคู่ก่อนที่มันจะหวดมาถึง

         แส้เพชรฆาตสีทองที่ดูสวยงามชวนมองแต่พิษสงร้ายกาจสะบัดขวับไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ชายหนุ่มรู้สึกร้อนฉ่าบริเวณศีรษะเมื่อก้มหลบ ถ้าเขาช้าไปอีกแม้เพียงเสี้ยววินาที แส้เส้นนี้คงได้ลิ้มรสเลือดเขาเหมือนที่ได้ลิ้มรสเลือดของคนธรรพ์มาก่อนแล้วเป็นแน่

         วิทยาธรหนุ่มในเครื่องห่มหนังสัตว์ยืนยิ้มเยาะเย้ยอยู่กลางลาน ในมือถือแส้อาวุธประจำกายสะบัดไปมา "ข้าสงสัยนักเมื่อคนธรรพ์มันตายไปแล้ว ใครหน้าไหนอีกที่มันกล้าดอดมาขโมยมักกะลีผลของข้าไป" วิทยาธรกายสีประหลาดพูดเย้ยหยัน

         ทั้งสองที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมองวิทยาธรด้วยความตกตะลึง ชาบหนุ่มคิดผิดถนัดที่นึกว่ามันไปแล้ว พวกเขาค่อย ๆ คลานถอยหลังช้า ๆ ทีละนิด

         "นางอยู่ที่ไหน เจ้าเอานางไปไว้ไหน" วิทยาธรถามเสียงดัง

         นภดลเอื้อมมือไปกุมรอบข้อมือของเพื่อนช้า ๆ เป็นสัญญาณหมายถึงว่าให้เตรียมวิ่ง

         เมื่อสบโอกาสเหมาะเขาก็ลุกขึ้นคว้ามือเพื่อนวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว แต่ทว่าก้าวออกไปไม่ถึงห้าก้าว กิ่งไม้ขนาดใหญ่ได้หักครืนพุ่งลงมาจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่ ทั้งสองชะงักถอยหลัง เศษฝุ่นใบไม้กิ่งไม้ปลิวว่อน นภดถูกกิ่งไม้เล็ก ๆ บาดแขนเป็นรอยแผลทางยาวหลายแห่ง 

         "ไอ้หน้าโง่! นี่เจ้าคิดจะหนีข้ารึ วิ่งหนีแส้ของวิทยาธรน่ะหรือ สมควรแล้วที่เป็นเพียงแค่มนุษย์" วิทยาธรร้องเสียงดัง มันนั่นเองที่ใช้แส้ตัดกิ่งไม้ให้หักมาขวางทางทั้งสอง บุรุษกายสีส้มฟาดแส้ออกไปอีกครั้ง ปลายแส้ม้วนตวัดรัดรอบขาของนภดลอย่างเหนียวแน่น ชายหนุ่มยังไม่ทันมีโอกาสได้ช่วยตัวเองแม้สักนิด ร่างของเขาก็ถูกกระชากโดยแรง ลอยโค้งขึ้นกลางอากาศก่อนจะถูกฉุดลงมานอนที่พื้นแทบเท้าวิทยาธร

         "ฟ้า!" สินีร้องเสียงดังลั่น ถลันเข้าไปช่วยแต่ร่างของเพื่อนถูกดึงออกไปก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว 

         ชายหนุ่มจุกจนแทบพูดไม่ออกเพราะถูกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นไปทั้งร่าง แขนขามีรอยถลอกจนเลือดซิบ

         วิทยาธรที่ยืนค้ำร่างนภดลซึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่อย่างเจ็บปวด สะบัดแส้ออกจากขาชายหนุ่มก่อนจะเอามารัดตวัดรอบคอ เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณนั้นขึ้นมาทันที

       "บอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ว่ามักกะลีผลของข้าอยู่ที่ไหน หาไม่แล้วข้าจะสังหารเพื่อนเจ้าเสีย" วิทยาธรตะโกนบอกสินี

         นภดลตาพร่ามัวเพราะแส้ที่รัดรอบคอเริ่มแน่นตึงขึ้นเรื่อย ๆ น้ำตาเอ่อคลอเบ้าจากการถูกรัดที่คออย่างหนัก

         "จะไม่บอกใช่รึไม่" วิทยาธรตวาดลั่นด้วยความโกรธ

         หญิงสาวยังคงยืนเงียบ

         นภดลสงสัยจึงพยายามเงยหน้าขึ้นเพ่งมองเพื่อน

         เธอยืนตัวสั่นหน้าซีดเผือดอยู่เบื้องหน้า แต่ตาของหญิงสาวไม่ได้มองมาที่วิทยาธรหรือที่เพื่อนชายเลย สายตาเธอมองไปที่ข้าง ๆ ตัววิทยาธร ใบหน้าฉายแววหวาดกลัวสุดขีด ปากอ้าค้าง 

         "เจ้าเป็นอะไร... ข้าถามเจ้าอยู่ไม่ได้ยินหรือ" วิทยาธรร้องเสียงดัง

         สินีไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำพูดวิทยาธรเลยแม้แต่นิด สายตาเธอยังจับจ้องที่จุดเดิม ริมฝีปากสั่นระริก ขาทั้งสองข้างก้าวถอยหลังช้า ๆ

         นภดลเอะใจจึงค่อย ๆ เหลียวไปมองจุดเดียวกับที่เพื่อนมองอยู่

         ภาพที่เห็นทำให้เขาถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งกาย...

         ศพของคนธรรพ์ไร้หัวค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งช้า ๆ เลือดสีแดงสดไหลพรั่งพรูออกมาจากคอที่ถูกตัดอย่างน่าสยดสยอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ

         วิทยาธรร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เผลอปล่อยแส้ที่รัดคอเหยื่อออกทำให้นภดลล้มลงกับพื้น เขาหายใจหอบสำลักระอักกระไออยู่ชั่วขณะก่อนจะรีบคลายแส้ที่รัดอยู่ให้พ้นไปจากลำคอและฉวยโอกาสวิ่งผละออกมายืนข้างเพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว

         วิทยาธรมองร่างสยองไร้หัวที่กำลังยันตัวลุกขึ้นจากพื้นด้วยความหวาดกลัว เขาถอยกรูดอย่างขวัญเสีย แส้ในมือดูราวกับจะไร้ประโยชน์ในยามนี้... ในยามที่เผชิญหน้ากับสิ่งผิดประหลาด

         "นี่มันอะไรกัน เจ้าตายไปแล้วนี่" วิทยาธรพูดเสียงแหบแห้ง บนใบหน้าของเขาบัดนี้ไม่มีรอยยิ้มเย้ยหยันใด ๆ อีกแล้ว ความสนใจที่มีต่อมนุษย์สองคนแต่แรกนั้นหายไปหมดสิ้น

         แม้แต่นภดลและสินีเองก็ดูจะตกใจจนพูดไม่ออก ความกลัวที่ก่อตัวเพิ่มพูนราวกับจะบันดาลให้ร่างกายปฏิเสธการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง

         "หยุดนะ ไอ้คนธรรพ์ เป็น... เป็นไปไม่ได้ ข้าตัดหัวเจ้าขาดไปแล้วชัดๆ เจ้าตายไปแล้ว" วิทยาธรตะโกนใส่ร่างที่ไร้หัวอย่างคนสติเสีย

         คนธรรพ์ไม่มีหัวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เลือดจากบาดแผลที่คอทะลักออกมาเป็นลิ่ม ๆ ตกแผละ ๆ ลงบนพื้นดิน

         ร่างสยองยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะก้าวขาเดินตรงไปยังวิทยาธรด้วยความรวดเร็ว!

         "อะ... อะไรกัน หยุด

    นะ หยุดเดี๋ยวนี้" วิทยาธรกรีดร้อง ยกแส้ในมือขึ้นฟาดร่างวิกลวิการที่มุ่งเข้ามาอย่างแรง

         คนธรรพ์ที่เหลือแต่ลำตัวถูกแส้ฟาดเซไปเซมาเล็กน้อย แต่ทว่าไม่ได้ทำให้ระคายผิวเลยสักนิดเดียว ศพไร้หัวค่อย ๆ ตั้งหลัก แล้วเดินพุ่งตรงมาอีกครั้ง

         วิทยาธรตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว สีสันต่าง ๆ ไม่ปรากฏเหลืออยู่บนใบหน้าอีกต่อไป ยิ่งเขาฟาดแส้ในมือไปมากเท่าใด ความหวาดกลัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเพราะอาวุธของเขาไม่สามารถทำอะไรร่างสยองนั้นได้เลย

         ก่อนที่ร่างของคนธรรพ์ไร้ศีรษะจะเอื้อมมือมาถึงตัว วิทยาธรก็ร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจก่อนที่จะตัดสินใจหนี เขาหันหลังผละวูบหายเข้าไปในราวป่าดุจเงาของปิศาจ ความรกครึ้มเขียวของสภาพป่าทึบทำให้มองไม่เห็นว่าวิทยาธรหนีไปทางใด

         คนธรรพ์คอขาดหยุดชะงักอยู่กับที่ 

         นภดลภาวนาในใจขออย่าให้สิ่งที่เขากลัวเกิดขึ้นจริง ก่อนจะรวบรวมสติแตะข้อศอกสินีเบา ๆ เป็นความหมายให้ค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยหลังออกมาช้า ๆ 

         หญิงสาวตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าพยายามถอยหลังพร้อมเพื่อนชายแต่เท้าของเธอไม่ขยับตามใจสั่ง ความกลัวกำลังมีอิทธิพลเหนือเธอ

         ฉับพลัน ศพไม่มีหัวที่ยืนหันรีหันขวางก็หันวูบมายังจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่ ก่อนจะก้าวสวบ ๆ เข้ามา

         "กรี๊ด!" สินีหวีดร้องออกมา เธอไม่สามารถข่มความกลัวเอาไว้ได้อีกต่อไป นภดลเองก็แทบจะทำอะไรไม่ถูก สมองหยุดสั่งการไปเฉย ๆ

         ทันใด ร่างของคนธรรพ์หัวขาดก็หยุดแน่นิ่งอยู่กับที่ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอนโทรล ก่อนจะค่อย ๆ ล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นหญ้าดังพลั่ก

         นภดลขมวดคิ้วมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความแปลกใจ เพื่อนหญิงเองก็หันมามองหน้าเขาราวกับจะถามว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

         "โธ่ ข้าว่าข้าควบคุมมันได้ดีแล้วนะ ขอโทษท่านทั้งสองด้วย ข้าพลาดไปเล็กน้อย โปรดอย่าถือสา ข้าเพียงแต่จะไล่เจ้าวิทยาธรชั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาทำให้ท่านทั้งสองตื่นตกใจ" เสียงนุ่มเนิบช้าดังขึ้นอย่างอ่อนโยนจากเบื้องหลังทั้งคู่

         สองหนุ่มสาวรีบเหลียวไปมองใต้ต้นมักกะลีผลอย่างอกสั่นขวัญแขวน

         ร่างของสตรีนางหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดใต้ต้นไม้ เธอนั่นเอง! มักกะลีผลคนนั้นที่นภดลช่วยไว้ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางก้มหัวให้เล็กน้อย

         "นามเราคือนารีผล ได้โปรดรับการคารวะจากเราด้วย"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×