ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #8 : มรณะใต้ต้นมักกะลี

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 66


         ตอนที่ 8 มรณะใต้ต้นมักกะลี




         "นักศึกษา นักศึกษา”
         "ฟ้า ฟ้า"
         เจ้าของชื่อผงกหัวขึ้นมาด้วยความตกใจ สะดุ้งพรวดหันไปรอบตัว
         นักศึกษาเกือบร้อยคนที่นั่งอยู่ในห้องเรียนรวมหันมามองเขาเป็นตาเดียว
         เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
         "นักศึกษายังทำข้อสอบไม่เสร็จนะ อีก 10 นาทีจะหมดเวลาสอบ รีบทำให้เสร็จ" อาจารย์ผู้คุมสอบพูดเสียงดัง ก้มมองฟ้าอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะเดินออกไป 
         "เธอนี่จริง ๆ เลยนะ มีด้วยเหรอหลับตอนที่ยังทำข้อสอบไม่เสร็จ รีบทำเร็ว ๆ เข้า" เพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างกันตีแขนเขาเบา ๆ ชายหนุ่มหันไปมอง
         "ต่าย เธออยู่นี่ได้ยังไง" เขาถามออกไปเสียงดัง จนนักศึกษาที่นั่งทำข้อสอบกันอยู่เงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง
         "อะไรนะ… แล้วก็พูดเบา ๆ หน่อยสิ จะตะโกนทำไม" สินีกระซิบ อีกฝ่ายรีบลดเสียงลง
         "ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ล่ะ" ชายหนุ่มถามอีกรอบ
         "อะไร" หญิงสาวทำหน้างุนงง
         "เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่สิ เราสองคนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" 
         สินีขมวดคิ้ว มองชายหนุ่มเหมือนเห็นตัวประหลาด
         "เธอจะเล่นมุกอะไรของเธอฟ้า ไม่ขำด้วยหรอกนะ ที่เผลอหลับไปตะกี้ความจำเสื่อมรึไง" เธอบ่น
         ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะก้มลงมองข้อสอบตรงหน้า แต่สติไม่ได้อยู่กับกระดาษข้อสอบนั้นเลย
         เหมือนช่วงความทรงจำบางช่วงของเขาเลือนหายไป เหมือนข้อมูลที่บันทึกแต่ถูกลบออกไปจนว่างเปล่า จะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
         "ไม่ทำล่ะ เธอยังทำไม่ถึงครึ่งเลยนะ" สินีชะโงกมาดูข้อสอบเขา
         "ไม่ล่ะ"
         "เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
         "เราสบายดี
         "แน่ใจน..."
         "หมดเวลาสอบ ทุกคนวางปากกา หยิบข้อสอบไปไว้ที่หน้าห้องด้วย" อาจารย์ผู้คุมสอบพูดเสียงดัง นักศึกษาแต่ละคนเริ่มลุกขึ้นหยิบข้อสอบตัวเอง 
          นภดลบรีบลุกขึ้นคว้าข้อสอบเดินไปทันที 
         "รอด้วยสิ" เพื่อนสาวร้องพลางวิ่งตามมา
         บริเวณหน้าห้องสอบชุลมุนไปด้วยนักศึกษาที่พยายามเบียดเสียดกันส่งข้อสอบ นภดลแทรกตัวทิ้งสินีไว้เบื้องหลัง ก่อนจะวางข้อสอบลงบนโต๊ะพร้อม ๆ กับนักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่ง
         "มันเป็นภาพลวงตา ตื่นเถิด มิตรสหายของเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ตื่นจากอำนาจพิณเถิด" นักศึกษาหญิงคนนั้นพูดขึ้น
         ชายหนุ่มหันขวับไปมอง
         "อะไรนะครับ"
         "คะ?" นักศึกษาหญิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
         "เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ" เขาถาม
         "เอ๊ะ เปล่านี่คะ ยังไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ" เธอตอบมา
          นภดลจ้องหน้าผู้หญิงคนนั้นสักพักจนเธอมองกลับมาด้วยความแปลกใจ
         "เอ่อ ขอโทษนะครับ สงสัยผมคงหูฝาดไปเองครับ" เขาก้มหัวขออภัย เธอคนนั้นยิ้มและพยักหน้าให้ก่อนจะเดินเกาหัวแกรก ๆ ออกไปอย่างงุนงง
         "ฟ้า เธอเป็นปลาไหลรึไง ไวมาก ไม่รอเราบ้างเลย" สินีบ่นหลังจากที่ส่งข้อสอบเสร็จ
         "ตะกี้เราได้ยินเสียง เสียงใครสักคนพูดกับเรา" เขาบอก หันมองไปรอบตัว
         "ใครพูดอะไรเหรอ"
         "เขาบอกให้เราตื่นและเราเองก็คุ้นกับเสียงนี้มากเหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง" ชายหนุ่มกุมขมับ
         "ดูเธอจะบ๊อง ๆ นะฟ้าวันนี้ ผีหลอกวิญญาณหลอนรึไง จำอะไรไม่ได้บ้างล่ะ ได้ยินเสียงบ้า ๆ มั่งล่ะ รีบไปเถอะ พ่อเธอรอนานแล้ว" 
         "พ่อเรา หมายถึงอะไร" ชายหนุ่มชะงัก
         "โอ๊ยฟ้าพอที เราไม่เล่นแล้วนะ"
         "แต่… แต่พ่อเราไม่อยู่แล้วนี่"
         เพื่อนหญิงหันมามอง สายตาดูฉุนจัด
        "ถ้าจะแกล้งอำอะไร ก็แกล้งไปเถอะ แต่การมาบอกว่าพ่อตัวเองไม่อยู่แล้วนี่มันแรงไปไหมฟ้า พ่อเธอเองนะ”
         "แต่ว่าพ่อเราจากไปแล้วจริง ๆ นี่นา" นภดลพูดเบา ๆ
         ใช่ พ่อของเขาตายไปตอนเขายังไม่เกิดด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งให้เขาอยู่กับมารดาเพียงสองคน สายตาของเพื่อนแปรเปลี่ยนจากความโกรธเป็นวิตกกังวลทันที 
         "ฟ้า เธอสบายดีไหม" เธอถามด้วยความเป็นห่วง
          นภดลไม่ตอบ
          "พ่อเธอยังมีชีวิตอยู่ปกติดีนะ ทำไมจู่ๆ เธอถึงคิดอย่างนั้นล่ะ" อีกฝ่ายสงสัย
          "เรา เราไม่รู้ เรางงไปหมดแล้ว"
          "เธอเครียดอะไรรึเปล่าช่วงนี้ ไปหาพ่อเธอข้างล่างก่อนไหม" หญิงสาวบอกเบา ๆ
          แล้วความทรงจำที่เขาจำได้ว่าพ่อเสียชีวิตไปแล้วล่ะ มันคืออะไรกัน ความรู้สึกเหมือนมันซ้อนทับสับสนกันอย่างแปลกประหลาด
         ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องสอบ สินีลอบมองหน้าเพื่อนด้วยความกังวลอยู่ตลอดเวลา ส่วนชายหนุ่มก็ได้แต่เดินทำหน้าครุ่นคิด
          "ฟ้า!”
          เจ้าของชื่อชะงักหันไปมองตามเสียงเรียก
          สินีอีกคนยืนอยู่ตรงหน้าเขา เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยเศษฝุ่นเศษกิ่งไม้และใบไม้ ตามแขนตามขามีรอยแผลเล็ก ๆ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง  ใบหน้าฉายแววตื่นตระหนกสุดขีด
          "ต่าย…" ชายหนุ่มเรียกออกไป ก่อนจะหันมามองเพื่อนข้าง ๆ เขา
         เพื่อนที่ยืนข้างเขาก็คือสินีคนเดิมนั่นเอง ต่างกันที่หน้าตาเนื้อตัวสะอาดสะอ้านอยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยปกติ
         มีสินี 2 คนอย่างนั้นหรือ!
         "ฟ้า ตื่นเร็วเข้า คนข้าง ๆ เธอนั่นไม่ใช่ฉัน ตื่นสิ เธอกำลังตกอยู่ในมนตร์ของพิณคนธรรพ์" สินีคนที่มาใหม่ร้อง
         "ฟ้านั่นใครน่ะ เธอรู้จักเขาด้วยหรือ" สินีที่ยืนข้าง ๆ เขาถาม
         ชายหนุ่มมองเพื่อนหญิงสองคนสลับกันไปมา นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
         "ฟ้า นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง อย่าปล่อยใจไปกับคำล่อลวงของมันนะฟ้า ตั้งสติแล้วตื่นเร็วเข้า แม้มันจะโหดร้ายแต่พ่อของเธอตายไปแล้ว" สินีที่หน้าตาขะมุกขะมอมตะโกน
         "ฟ้า นี่มันคนบ้าชัด ๆ แจ้ง รปภ. ให้เอาตัวไปเถอะ อย่าไปคุยกับมัน พ่อเธอน่ะยังอยู่ นิสัยเสียมาแช่งบุพการีคนอื่น" สินีที่ยืนข้างตัวนภดลเถียงออกมา
         "ฟ้าฉันขอร้อง เราทั้งคู่กำลังตกอยู่ในอันตราย เธอต้องตื่นมาช่วยฉัน"
         "ออกไปนะ ยัยบ้า พวกเราไม่รู้จักเธอ"
         "ลักษณ์นารา..." จู่ๆ นภดลก็กระซิบออกมา
         "เธอว่าอะไรนะ" สินีคนข้าง ๆ ถามเสียงแข็ง
         "เสียงที่ได้ยินตอนส่งข้อสอบ ที่บอกให้ตื่น เราจำได้แล้ว นั่นคือเสียงของลักษณ์นารา" เขาร้องออกมา ความทรงจำที่ถูกต้องค่อย ๆ กลับคืน
         สินีคนที่โผล่มาทีหลังคลี่ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย
         สินีที่ยืนข้าง ๆ มีสีหน้ากราดเกรี้ยวขึ้นมาทันที
         "ลักษณ์นาราบ้าบออะไรกัน ไม่มีลักษณ์นาราอะไรทั้งนั้น" เธอร้อง
         ชายหนุ่มหันหน้ามามองตัวปลอมที่กำลังโกรธเกรี้ยวก่อนจะจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้
         "เธอไม่ใช่ต่าย" ชายหนุ่มพูดก่อนจะผลักเธอออกไปโดยแรง
         นภดลคาดว่าจะเห็นเธอล้มลงไปกองกับพื้นเพราะแรงผลักของเขา แต่ทว่าคาดผิด ร่างของเธอกระเด็นออกไปแต่ไม่ได้เสียหลักล้มลง เธอหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติ ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธ มืออีกข้างมีมีดคัตเตอร์ที่ถูกเปิดใบมีดยาววาววับ 
         เธอพุ่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว เงื้อมีดในมือ ทำท่าจะจ้วงแทงชายหนุ่ม
         สินีตัวจริงวิ่งพุ่งเข้ามา กระชากตัวเพื่อนให้พ้นทางมีด ชายหนุ่มเองก็ไวพอใช้หมุนตัวหลบด้วยความรวดเร็ว สินีตัวปลอมจึงจ้วงแทงลงไปในอากาศแทน
         สินีตัวจริงฉวยโอกาสตอนอีกฝ่ายเสียหลัก รวบรวมพละกำลังทั้งหมดผลักตัวปลอมให้ตกลงไประหว่างช่องว่างตรงกลางของบันได
         "กรี๊ด!"
         สินีร่างปลอมถูกผลักจนหลุดออกจากราวบันได เธอกรีดร้องดังลั่นก่อนจะลอยละลิ่วลงไปกระทบพื้นเบื้องล่าง เสียงร่างกายของเธอกระทบกับพื้นปูนข้างล่างดังสนั่น
         ทันใด รอบตัวนภดลก็ไหวยวบเหมือนผิวน้ำที่ถูกก้อนหินโยนใส่ กระเพื่อมรุนแรงก่อนจะค่อย ๆ เลือนหาย สภาพป่าหิมพานต์และแสงแดดสีขาวกลับมาชัดอีกครั้งพร้อมความทรงจำทุกอย่างโดยสมบูรณ์
         คนธรรพ์ดนตรีไม่ได้เป็นคนธรรพ์ดนตรีรูปงามอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าที่เคยหล่อเหลา บัดนี้แปรเปลี่ยนไปเหมือนรากษส  มีแต่ความเคียดแค้นเป็นกำลัง มือสั่นระริกทั้งสองข้างกำลังจับพิณของตนที่หักครึ่งท่อน พิณนั้นสิ้นฤทธิ์เสียแล้ว มันไม่มีอำนาจเหนือผู้ใดอีกต่อไป
         "นังชั่ว เจ้า… ทำลายพิณของข้า เจ้าทำลงไปได้อย่างไร” คนธรรพ์ตาลุกวาววับ กรีดเสียงร้อง
         "แกนั่นแหละที่ปองร้ายเราก่อน แกเล่นพิณเพื่อสะกดเราก่อนจะฆ่าเรา แกต่างหากที่คิดร้ายต่อเรา" สินีกรีดร้องเสียงดังกลับไปไม่แพ้กัน
         "ก็เพราะเจ้าหนุ่มคนนั้นมันจะมาแย่งมักกะลีผลของข้า ข้าไม่มีวันยอม ข้ารอผลนั้นให้สุกมานาน แวะมาดูทุกวัน เจ้าหนุ่มคนนั้นจะมาชุบมือเปิบไปได้อย่างไร" คนธรรพ์ตะโกนก้องชี้หน้านภดล
         "เราเคยบอกคุณแล้วว่าเราไม่สนใจมักกะลีผลอะไรนี่เลย" เขาเถียง
         "จะให้ข้าเชื่อหรือ เชื่อมนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าหลอกลวงอย่างนั้นหรือ อย่ามาโกหกข้า" คนธรรพ์ผู้ถูกโทสะครอบงำพูดเสียงกร้าว
         "งั้นเราก็ไม่ผิด เพราะคุณเองก็บอกเองว่าไม่ได้สนใจ คุณก็โกหกเหมือนกัน แถมคิดฆ่าเราก่อนด้วย" ชายหนุ่มโต้
         "หุบปาก ไอ้มนุษย์ผยอง เจ้าทำลายพิณข้า พวกเจ้าต้องชดใช้" คนธรรพ์คว้าดาบเล่มยาวขึ้นมา ควงใบดาบจนเกิดประกายวาววับ
         มนุษย์หนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยความตื่นตกใจ
         คนธรรพ์มันยังมีอาวุธ!
         แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของทั้งสองยังเหนือกว่าความตื่นกลัว ทั้งคู่วิ่งพุ่งหลบลงไปที่โคนต้นมักกะลีผล บริเวณนั้นเต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่และพุ่มไม้หนามที่บดบัง 
         คนธรรพ์ดนตรีเดินถือดาบเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ นภดลกับสินีแม้จะซ่อนอยู่แต่ก็แอบมองผ่านช่องหินที่สามารถเห็นเหตุการณ์ด้านนอกได้ชัดเจนพอสมควร
         คนธรรพ์ค่อย ๆ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะจับด้ามดาบเตรียมจะขว้างมายังจุดที่ทั้งคู่หลบอยู่
         นภดลเบิกตาด้วยความตกใจสุดขีด เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถหลบพ้นคมดาบนั้นได้เป็นแน่
         ทันใดก็ปรากฏเหมือนมีเส้นสีทองสุกปลั่งตวัดฟาดออกมาจากราวป่าด้านใดด้านหนึ่ง มันรัดตรึงดาบของคนธรรพ์เอาไว้ ก่อนจะถูกดึงกระชากหลุดออกจากมือคนธรรพ์ไปอย่างแรง 
         คนธรรพ์สะบัดมือเร่าพลางหันไปมองในราวป่าอย่างแปลกใจ
        "อะไรกัน…" คนธรรพ์พูดเบา ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
        "วิทยาธร! ”
         บุรุษผิวสีส้มทั้งตัว เครื่องอาภรณ์เป็นหนังเสือและหนังหมีสลับกัน ยืนปรากฏกายอยู่กลางลาน แม้จะอยู่ในชุดของเหมือนพวกชีไพรแต่ลักษณะท่าทางไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นแบบนั้นสักนิด เพราะหน้าตาเขาราวกับเป็นหนุ่มอายุยี่สิบปีไม่มีผิด
         "คิดจะมาเก็บมักกะลีผลลูกสุกคนเดียวอย่างนั้นรึ คนธรรพ์" วิทยาธรกายสีส้มพูดเสียงนุ่ม 
         "ไม่ใช่กิจของเจ้า" คนธรรพ์ตอบเสียงห้วน
         "ตรงกันข้าม นั่นคือกิจของข้า แต่ดูเหมือนเจ้าจะผิดสัจจะที่ให้ไว้ ว่าถ้ามักกะลีผลลูกยอดนั้นสุกเมื่อใด เราจะมาต่อสู้ชิงชัยนางกันที่นี่ แต่เจ้ากลับทำตัวขี้ขลาด ดอดมาเอานางไปเงียบ ๆ อย่างนั้นหรือ" วิทยาธรยิ้มเยาะ
         "เอ๊ะ นั่นพิณของเจ้าใช่รึไม่ ของรักของเจ้าทำไมหักพังไปเช่นนั้นเล่า" วิทยาธรชี้ไปยังพิณที่หักครึ่งบนพื้น
         "ไม่ใช่กิจของเจ้า" คนธรรพ์ร้องอีกครั้ง
         "ผิดแล้ว มันคือกิจของข้าอยู่ดีนั่นแหละ เพราะเมื่อพิณเจ้าพินาศไปแล้ว ข้าก็จะเอาชนะเจ้าได้ง่ายขึ้น" วิทยาธรเยาะเย้ย
         "เช่นนั้นก็มาสู้กัน ผู้ใดชนะได้นางไป" คนธรรพ์กล่าว คว้าดาบที่ตกบนพื้นขึ้นมากำแน่นไว้ในมือ
         วิทยาธรสะบัดเส้นสายสีทองในมือ ฟาดผ่านอากาศดังขวับ ๆ เกิดแสงสีทองกระจายออกมาทุกครั้งที่เขาสะบัด เมื่อนภดลเพ่งมองดูดี ๆ ก็รู้ว่ามันคือแส้ 
         "ย่อมได้" วิทยาธรยิ้มมุมปาก ก้มหัวให้อย่างเย้ยหยัน
         คนธรรพ์เงื้อดาบและฟาดผ่านอากาศลงไปที่วิทยาธร วิทยาธรไม่ได้หลบเลยสักนิด แค่ใช้แส้สีทองฟัดฟาดสะบัดใส่ดาบของคนธรรพ์จนทำให้ดาบหักเหทิศทางไปที่อื่น
         คนธรรพ์มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัดเพราะรู้ดีว่าแส้ของวิทยาธรนั้นทรงพลังมากนัก แถมตัววิทยาธรเองก็มีพลังในเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าตนอยู่แล้วด้วย
         วิทยาธรเริ่มเป็นฝ่ายรุกคนธรรพ์บ้างแล้ว เขาใช้แส้ฟาดไปบนร่างของคนธรรพ์หลายหน แต่คนธรรพ์หาได้ยอมแพ้ไม่ แม้จะเหลืออาวุธเพียงอย่างเดียวแต่ก็ยังทรงพลังพอจะต่อกรกับแส้สีทองนั้นได้
         ทุกครั้งที่ดาบของคนธรรพ์ปะทะเข้ากับแส้ของวิทยาธรก็จะเกิดประกายไฟที่พุ่งออกมาจากการที่อาวุธทั้งสองห้ำหั่นกันอย่างรุนแรง ป่ารอบด้านหลายจุดมอดไหม้เป็นแปลงจากลูกหลงของการต่อสู้ แม้แต่ต้นมักกะลีผลเองก็โดนไปด้วย บางผลที่ยังไม่สุกแต่ถูกลูกหลงไหม้จนไม่เหลือชิ้นดี 
          มีหนหนึ่งลูกไฟจากการปะทะพุ่งเข้ามาโดนจุดที่สองหนุ่มสาวซ่อนตัวอยู่จนพุ่มไม้แถบนั้นลุกไหม้ ทั้งสองต้องขยับหนี 
         "ต่ายเป็นอะไรไหม" นภดลถามเสียงหลง
         "ไม่ ๆ เราไม่เป็นอะไร" เพื่อนบอก ค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นมาจากช่องหินอย่างอ่อนเปลี้ย "เขาต่อสู้กันทำไม" 
         "คงจะแย่งมักกะลีผลกัน" ชายหนุ่มกล่าว ล้มตัวลงพิงต้นไม้ ตอนนี้เสียงการต่อสู้เงียบไปแล้ว
         ทั้งคู่นิ่งเงียบและเงี่ยหูฟัง แต่ไม่ได้ยินอะไรเลย "พวกนั้นไปแล้วหรือ" สินีกระซิบถาม
         "ไม่รู้สิ" ชายหนุ่มกระซิบตอบ
         เพื่อนหญิงหลับตาลง เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ ทำเอาสติสตังไม่คงที่ แต่แล้วจู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ่อ… ฟ้าโอเคไหม เราหมายถึงภาพนิมิตรที่คนธรรพ์สะกดเราทั้งคู่" 
         ชายหนุ่มนิ่ง ไม่ตอบอะไร
         "เธอคิดถึงพ่อใช่ไหม"
         "เรา... เรานึกว่าพ่อเรายังไม่ตายจริง ๆ" เขาพูดเสียงสั่นพลางก้มลงเอามือปิดหน้า
         "โธ่ฟ้า" หญิงสาวเข้ามากุมมือปลอบ
         "พิณนั่นน่ากลัวนัก ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันคืออะไร มันสะกดให้เรามองเห็นภาพลวงตาที่เราอยากจะเห็นมากที่สุดในชีวิต ฉันเห็นภาพตัวเองว่าได้รับทุนไปต่อ ป. โทที่ต่างประเทศ ส่วนเธอคงจะได้เจอพ่อเธอ แต่เธอก็ไม่ได้เห็นเขาใช่ไหม" สินีถาม
        "ไม่ เราไม่เห็น" เขาตอบ
        "อย่าเห็นเลยฟ้า มันจะทำให้เธอจิตฟุ้งซ่านมากขึ้น"
        "ลักษณ์นารามาเตือนเธอรึเปล่า" ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นถาม
        "ท่านมาเตือนในกระจกน่ะ"
        "เปรี้ยง!" เสียงปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นอีกครั้งจนทั้งสองสะดุ้ง คนธรรพ์เหมือนจะพลาดท่าให้กับวิทยาธรเสียแล้ว ร่างถูกพันธนาการไว้ด้วยแส้สีทอง ผูกมัดไม่ให้หนีไปไหนได้
         คนธรรพ์หลับตาลงชั่วครู่ราวกับจะท่องมนตร์ ทันใดแส้นั้นก็คลายออก วิทยาธรถึงกับตะโกนร้องออกมาอย่างเดือดดาล
         ลูกไฟจากการปะทะกันกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง สองหนุ่มสาวที่ซ่อนตัวอยู่ถึงกับต้องหมอบแนบลงกับพื้น
         "ฟ้า! ดูนั่น" เพื่อนหญิงกรีดร้องชี้มือไปที่มักกะลีผลที่สุกแล้วบนยอดไม้เหนือศีรษะ
         หญิงสาวผู้เกิดจากต้นไม้กำลังร้องโอดโอยออกมาด้วยความร้อน เนื่องจากลูกไฟที่ปะทะกันหลายลูกกระเด็นไปติดกิ่งไม้ด้านบนใกล้กับเธอ ร่างของเธอบิดไปบิดมา พยายามขยับให้หนีห่างจากไฟที่ลุกโหมรุนแรง
         "นั่นเธอ... เธอมีความรู้สึกด้วยเหรอ" สินีร้องถาม
         ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่กลับทำในสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดในยามนี้… เขาวิ่งออกไปข้างนอก 
         "ฟ้านั่นเธอจะทำอะไรน่ะ กลับมานะ" หญิงสาวร้องดังลั่น แต่อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง
         ลูกไฟจากการปะทะอีกครั้งจากเบื้องล่าง หักเหกระจายขึ้นมาบนต้นมักกะลีผล สะเก็ดไฟชิ้นหนึ่งปลิวมาสัมผัสกับขั้วของมักกะลีผลสุกบนยอดลูกนั้นพอดี
         ขั้วของมันหลุดออกทันทีที่สัมผัสกับสะเก็ดไฟ ร่างของมักกะลีผลผู้น่าสงสารก็ไร้ที่ยึดเหนี่ยว ค่อย ๆ ร่วงหลุดจากต้นตกลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง ใบหน้าของเธอส่อแววหวาดกลัวมาก ปากของเธออ้ากว้างราวกับจะกรีดร้อง แต่คงไม่มีใครได้ยิน เพราะการต่อสู้เบื้องล่างกำลังเป็นไปอย่างดุเดือดจนกลบเสียงของทุกสรรพสิ่ง
         สินีมองตามด้วยความหวาดเสียว แต่แล้วเธอก็เห็นเพื่อนชายที่วิ่งออกไปยืนอยู่ริมโคนต้น เป็นผลให้ร่างของมักกะลีผลที่ร่วงลงมาค่อย ๆ ตกลงสู่อ้อมแขนของชายหนุ่มที่รอรับไว้อย่างพอดิบพอดี ร่างของเขาหงายหลังกระแทกพื้น
         "เธอทำอะไรน่ะ" สินีที่เพิ่งวิ่งออกมาร้องถาม
         "เธอเหมือนจะตกลงมา เราก็เลย..." เพื่อนชายตอบเสียงหอบ 
         "เธอจะบ้าหรือ ตกมาตั้งสูง เดี๋ยวก็ตายกันทั้งคู่หรอก" 
         "ตัวเธอไม่หนักเลยนะ เหมือนเธอจะไม่มีน้ำหนักแบบมนุษย์" 
         เสียงระเบิดจากมนตร์ปะทะมนตร์กลางสังเวียนต่อสู้ดังขึ้นอีกระลอกจนสินีสะดุ้ง
         "ฟ้าเราควรฉวยโอกาสหนีนะ" หญิงสาวพูดพลางหันไปมองการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างหวาดหวั่น
         ทันใดร่างของมักกะลีผลในอ้อมแขนชายหนุ่มก็ดิ้นชักกระตุกอย่างรุนแรง เธอลืมตาขึ้นมองเขา มือทั้งสองขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ ปากเธอเหมือนจะพูดอะไรออกมา จมูกดูกระเสือกกระสนที่จะหายใจ
         สินีหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ นภดลตกใจไม่แพ้กันแต่ก็รู้ว่าเธอไม่ได้ทำร้ายแต่เหมือนจะขอความช่วยเหลือ
         มักกะลีผลพยายามพูดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มพยายามจับใจความแต่ไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรเลย
         เสียงหัวเราะอย่างมีชัยของวิทยาธรดังลั่น สองหนุ่มสาวหันไปมอง ภาพที่เห็นทำเอาเลือดในกายของทั้งคู่แทบจับเป็นก้อนแข็ง
         คนธรรพ์เหมือนจะพลาดท่าเสียที ล้มกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น วิทยาธรยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะตวัดแส้ในมือฟาดขวับไปรัดคอของคนธรรพ์ถึงสามตลบ
         วิทยาธรแสยะยิ้ม แล้วตวัดแส้เป็นครั้งสุดท้าย
         ศีรษะของคนธรรพ์ขาดกระเด็นออกจากร่างทันที ร่างที่ไร้หัวของคนธรรพ์ดิ้นพรวดพราดลงกับพื้นป่า เลือดสีแดงฉานกระฉูดขึ้นกลางอากาศก่อนจะเทลงสู่พื้นละเลงเละไปรอบบริเวณ ส่งกลิ้งคาวคละคลุ้งไปในอากาศ ส่วนศีรษะที่ถูกตวัดขาดนั้นกลิ้งกระเด็นขลุก ๆ มาทางสินีที่ยืนตัวแข็งอยู่
         ดวงตาของคนธรรพ์เหลือกค้างเบิกโพลงจับจ้องมองมาที่เธอ ในขณะที่หญิงสาวเองก็เผลอมองอย่างละสายตาไม่ได้เช่นกัน
        "กรี๊ด!" สินีกรีดร้องลั่นลานใต้ต้นมักกะลีผล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×