ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : พิณคนธรรพ์
ตอนที่ 7 พิณคนธรรพ์
หญิงสาวคว้าแขนชายหนุ่มไว้ด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบเข้ามายืนเคียงข้าง
"ต้นอะไรนะ" เธอถามเสียงกระซิบ
"มักกะลีผลน่ะ" นภดลพูดอีกรอบ "จากสภาพ ดูไม่น่ามีอันตรายอะไรนะ"
"มักกะลีผลคืออะไร ต้นอะไรกัน" สินีถามเสียงสั่นเครือ ดวงตาจับจ้องไปยังต้นไม้เบื้องหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
"อยากรู้ก็เข้าไปดูใกล้ ๆ" เพื่อนชายชวน เขาเริ่มมั่นใจว่าสิ่งตรงหน้าไม่ได้มีอันตรายอะไร คิดได้ดังนั้นก็ก้าวขาทำท่าจะเดินไป
"อย่านะ ฟ้า อย่าเข้าไป"
"ต่ายไม่ต้องกลัว เข้ามาดูชัดๆ เถอะ"
"ต้นไม้อะไรออกลูกเป็นคน รีบไปให้ห่าง ๆ ต้นไม้นี้เถอะ"
"ไม่ใช่คนจริง ๆ หรอก"
"ฉันไม่ไว้ใจอยู่ดี" หญิงสาวปฏิเสธเด็ดขาด
ชายหนุ่มไม่สนใจ เดินลิ่วทิ้งอีกฝ่ายให้ยืนอยู่ตามลำพัง ส่วนตัวเองเดินเข้ามาที่กลางลานใต้โคนไม้ใหญ่ซึ่งมีผลรูปร่างสัณฐานคล้ายมนุษย์เพศหญิง
สินีจำใจต้องเดินตามมา เธอพยายามเดินเลี่ยงบริเวณโคนต้นไม้ประหลาดตลอดเวลา ไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมองบนต้น
นภดลกำลังพินิจพิจารณาต้นไม้ที่เคยเจอแต่ในคำบอกเล่า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอของจริงกับตาตนเอง ตอนนี้เขาไม่ได้หวาดกลัวต่อสิ่งตรงหน้าอีกแล้ว กลับมีความตื่นเต้นเสียอีกที่ได้พบกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
ต้นไม้นั้นยืนต้นใหญ่อยู่ท่ามกลางลานกว้าง ใบสีเขียวสดเรียวยาวงอนเหมือนนิ้วมือของนางรำ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปรอบลาน ลำต้นคดเคี้ยวเลี้ยวลดราวกับพญางูใหญ่ แต่ทว่าผลของมันไม่ใช่ผลไม้ทั่วไป ลักษณะของดอกสีเขียวที่บานเต็มที่กลับมีร่างของสตรีไร้อาภรณ์ห่อหุ้มกาย โดยมีศีรษะติดกับขั้วของดอกไม้ นอกนั้นไม่ว่าจะใบหน้า แขน ขา ลำตัว มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์เพศหญิงในวัยแรกรุ่นไม่มีผิดเพี้ยน ผมยาวที่ติดอยู่กับขั้วเป็นสีดำขลับ ดวงตาเปิดตลอดเวลาแต่เหม่อลอยไร้วี่แววแห่งชีวิต บนต้นนั้นส่วนมากมีแต่ผลสีเขียวที่ยังอ่อน มีลักษณะเหมือนผู้หญิงนั่งงอเข่าอยู่ บางผลที่สีเขียวหายไปเริ่มมีสีขาวแซมก็จะค่อย ๆ เหยียดขาออก เมื่อโตสุกเต็มที่จึงเหยียดตัวเหมือนคนยืนตัวตรง ซึ่งทุกผลมีลักษณะกำลังงอเข่าอยู่แทบทุกผล มีแต่เพียงผลเดียวใกล้ยอดที่กำลังสุกเต็มที่ ขาเหยียดตรง ร่างกายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
ชายหนุ่มมองด้วยความทึ่งและอัศจรรย์ใจ นึกเสียดายที่ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปมาด้วย เขาจะได้ถ่ายรูปความน่าพิศวงนี้ให้คนได้รับรู้ ว่ามันมีจริง ๆ ไม่ใช่แค่ในตำนาน แต่ต่อให้เขามีกล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บไว้ได้จริง ๆ เมื่อถึงเวลาเอารูปไปให้คนอื่นดู เขาเดาว่ารูปถ่ายจะต้องไม่ติดภาพสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้แน่ เพราะอาถรรพ์ที่นี่ย่อมไม่ประสงค์ที่จะให้ความลับเผยออกไป
ตอนนี้แม้แต่สินีเองก็เหมือนจะเลิกหวาดกลัวแล้ว เธอเดินวนรอบโคนต้น เงยหน้าจด ๆ จ้อง ๆ ด้วยความพรั่นพรึง
"ฟ้ารู้จักต้นมักกะลีผลอะไรนี่ด้วยหรือ" หล่อนถาม
"เคยอ่านในหนังสือ วรรณคดี ชาดกอะไรแบบนี้" เขาบอก
"ฉันเคยอ่านเจอแต่นารีผล”
"อย่างเดียวกันนั่นแหละ"
"จริงเหรอนี่" หล่อนเอามือปิดปาก แหงนหน้ามองต้นไม้ออกลูกเป็นคนอีกครั้ง
"ไม่ใช่คนจริง ๆ หรอกใช่ไหม" เพื่อนสาวถามเสียงโหวง ๆ ชี้มือไปที่มักกะลีผลบนยอดสูงซึ่งสุกเต็มที่ที่สุดและยืนตรงเหมือนมนุษย์ทุกประการ
"ไม่ใช่คนหรอก แค่ผลไม้น่ะ" ชายหนุ่มตอบ
"แต่เหมือนคนจริง ๆ เลยนะ ฉันรู้สึกเหมือนเธอกะพริบตาด้วย แต่ฉันคงหลอนไปเอ... ว้าย!" เธออุทานเสียงหลง ผงะถอยหลังไปสามสี่ก้าว ดวงตาชะงักค้างไปที่มักกะลีผลลูกยอด
"อะไรต่าย" เพื่อนชายหันไปถามเสียงดัง
"ธ... เธอ เธอกะพริบตา" สินีพูดติด ๆ ขัด ๆ ยกแขนสั่นเทาชี้ไปที่มักกะลีผลที่สุกเต็มที่ผลนั้น
"พูดอะไรเป็นเล่น" เพื่อนชายพูดอย่างหงุดหงิด หันไปมองมักกะลีผลลูกยอดที่เพื่อนชี้
หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
มักกะลีผลลูกนั้นขยิบตาข้างขวาให้เขา!
ชายหนุ่มยืนนิ่ง ตาเบิกโพลง จ้องไปที่มักกะลีผลลูกนั้นด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
สาวผู้เกิดจากต้นไม้ไม่ได้ขยิบตาอะไรอีก นภดลขยี้ตาตัวเองแล้วเงยหน้ามองอีกหน
คราวนี้เธอขยับยกมือซ้ายขึ้นมา ยกขึ้นมาจนถึงใบหน้า สักครู่เจ้าหล่อนก็ชูนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากสดสวย
"จุ๊ๆ"
"เฮ้ย" ชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความตกใจ ถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนเพื่อนหญิงนั้นไม่ต้องพูดถึง เธอวิ่งแจ้นไปยืนที่ริมลานเรียบร้อยแล้ว
"ไหนเธอบอกว่ามันไม่มีชีวิตไง" สินีเล่นงานชายหนุ่มทันที
"เราไม่รู้ เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีชีวิตและ... และพูดได้" อีกฝ่ายเอ่ยเสียงสั่น
สินีคว้าข้อมือเพื่อนชาย
"ไปเถอะฟ้า ไปจากตรงนี้ ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี---จริง ๆ นะ" เธอพูดเสริมท้ายเมื่อเห็นเพื่อนหันมามองหน้า
เสียงอะไรบางอย่างข้างหลังดังขึ้น ทั้งคู่หันขวับมามองเข้าไปในดงไม้ทึบที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน
"นั่นเสียงอะไรกัน" สินีร้องเสียงดัง
"ชู่ว เบา ๆ สิ" เพื่อนชายปราม เพ่งตามองเข้าไปในดงไม้แต่ไม่พบอะไร
"มีตัวอะไรไหม" สินีถามเสียงเบาลง
"ไม่มีอะไร" นภดลตอบ
"ฉันได้ยินเหมือนเสียงคนเดิน"
"ได้ยินเหมือนกัน
"ผีรึเปล่า"
"ที่นี่ไม่มีผีหรอกต่าย"
"แล้วมันคืออะไรเล่า"
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่ค่อย ๆ ก้มตัวลอดกิ่งไม้เข้าไป
"ฟ้า จะไปไหน" เพื่อนหญิงท้วง
เขายังคงเงียบ ก้มหน้าก้มตาหาอะไรบางอย่าง
"ต่าย เมื่อกี๊ตรงนี้มีคนเดินอยู่" ชายหนุ่มบอก ชี้ไปที่รอยของกิ่งไม้แห้งที่แตกหักบนพื้น
สินีสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง
"โอเคฟ้า งั้นเราจะไปจากตรงนี้กันได้หรือยัง" เพื่อนหญิงพูดราวกับรอยปริศนานั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอปรารถนาจะเผชิญหน้าในที่แห่งนี้
"นั่นรอยของข้าเอง"
เสียงห้าว ๆ ของผู้ชายดังขึ้นกลางลานต้นมักกะลีผล ทั้งสองคนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันหลังมามอง
ราวกับเห็นจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์อุโบสถ วัดวาอารามออกมาโลดแล่นฉะนั้น... บุรุษรูปงามผิวขาวละเอียดร่างกายกำยำล่ำสันผิดมนุษย์ นุ่งภูษาโจงกระเบนลายไทยสีแดงสด ไม่ใส่เสื้อ เผยให้เห็นหน้าอกหน้าท้องสมส่วน สร้อยสังวาลทองคำประดับอยู่รอบคอมีอัญมณีสีส้มฝังอยู่กึ่งกลาง ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลามากแต่หล่อเหลาอย่างหยิ่งผยองและเย็นชา
"เจ้าเป็นใครกัน"
บุรุษรูปงามถามเสียงห้าว
ทั้งคู่ไม่ตอบ ได้แต่จ้องนิ่งไปที่บุรุษผู้มาใหม่ไม่วางตา แม้ลักษณะของเขาจะบ่งบอกว่าไม่ได้มาร้ายอะไร แต่สัญชาตญาณการไม่ไว้ใจสิ่งแปลกปลอมก็ยังมีอยู่
"พวกเจ้ามาจากไหน อุตรกุรุทวีป หรือ"
"อุตรกุรุทวีปคืออะไร" นภดลตัดสินใจส่งเสียงถามออกไป
"เจ้าไม่รู้จักอุตรกุรุทวีปอย่างนั้นรึ" บุรุษรูปงามถามอีก
"ไม่ค่ะ แล้วคุณเป็นใครกัน" สินีถามออกไปบ้าง ในช่วงเวลาที่คับขัน เธอก็ยังมีสติพอใช้
"เราคือคนธรรพ์ดนตรี ผู้ขับกล่อมป่าและเหล่าเทวดานางฟ้า" บุรุษผู้นั้นตอบ
"คนธรรพ์ดนตรีหรือครับ" ชายหนุ่มทวนถามอีกหน
"พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน ถึงไม่รู้จักคนธรรพ์ดนตรี" คนธรรพ์สงสัย
"พวกเราเป็นคนทั่วไปนี่แหละครับ มาจากเอ่อ... ที่อื่น" ชายหนุ่มตอบช้าๆ
คนธรรพ์หรี่ตาขมวดคิ้ว
"หรือมาจากชมพูทวีปกระมัง" คนธรรพ์คล้ายพูดกับตัวเอง "แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่อย่างนั้นรึ"
"เราพลัดหลงกับเพื่อน กำลังจะตามหาพวกเขากลับไป" เขาตอบ
คนธรรพ์จ้องคนทั้งสองอยู่ชั่วครู่
"ฮ่าๆ" ในที่สุดคนธรรพ์ดนตรีก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นจนทั้งสองตกใจ "พลัดหลงกับเพื่อนงั้นหรือ ในนี้ ในป่าหิมพานต์นี่น่ะหรือ จงสิ้นหวังเถิดมนุษย์ เพื่อนของเจ้าป่านนี้คงไม่รอดแล้ว" คนธรรพ์กล่าว
"คุณหมายถึงอะไร" ชายหนุ่มถามเสียงดัง
"เจ้าไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งร้ายในป่านี้ได้หรอกมนุษย์ มันน่ากลัวเกินกว่าที่เจ้าจะรับได้ เช่นนั้นความหวังของเพื่อนเจ้าที่จะรอดก็ไม่มี" คนธรรพ์พูด จ้องมองชายหนุ่มอย่างค้นหาอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อว่า "แต่ข้ารู้ ว่าเจ้าไม่ได้จะมาช่วยเพื่อนเจ้าอะไรทั้งนั้น อย่าได้โป้ปดข้า เพราะข้ารู้เท่าทันเจ้า"
"คุณพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ" นภดลงุนงง
คนธรรพ์ดนตรียิ้มเย็น ก่อนจะหันหลังชี้มือไปที่มักกะลีผลลูกยอดที่โตเต็มที่ลูกนั้น
"นั่นต่างหากคือสิ่งที่เจ้าปรารถนาใช่ไหม ข้ารู้ มันจะบังเอิญเกินไปกับการที่เจ้าเดินสะเปะสะปะมาเจอต้นไม้นี่เข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตั้งใจจะเดินตามหามันแต่แรก"
ชายหนุ่มเข้าใจความหมายของคนธรรพ์รูปงามทันที
"ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้สนใจอะไรกับมักกะลีผลนั่นสักนิด ผมกับเพื่อนเดินมาพบต้นไม้นี้โดยบังเอิญจริง ๆ ครับ" เขารีบพูด
คนธรรพ์หนุ่มมองบุรุษจากโลกมนุษย์อย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่
"แล้วคุณล่ะ ที่มาที่นี่ก็เพราะมาหาต้นมักกะลีผลเหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ" หญิงสาวถามโต้ออกไปบ้าง เธอรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของคนธรรพ์ดนตรีเมื่อครู่สักเท่าไร
คนธรรพ์ยิ้มเย็นตามแบบฉบับ หันไปตอบว่า
"ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าหน้าที่เราคือขับกล่อมป่า เรามิเคยได้สนใจไยดีกับสิ่งที่ท้าวสักกะเทวราช เนรมิตขึ้นแม้สักนิด"
"ฉะนั้นมาเถิด อาคันตุกะผู้หลงไพร จงนั่งลงและสดับรับฟังดนตรีอันไพเราะจากข้าเถิด พวกเจ้าจะเข้ามาในป่าหิมพานต์โดยไม่ได้สดับบทเพลงของคนธรรพ์ดนตรีมันก็กระไรอยู่" คนธรรพ์กล่าวเสียงนุ่ม
คนธรรพ์ร่างสง่าเดินเข้าไปกลางลานต้นมักกะลีผล ทุกท่วงท่าการเดินเหินของคนธรรพ์ผู้นี้ช่างงดงามน่าดูชม เป็นอากัปกิริยาที่มนุษย์ไม่มีทางทำได้
คนธรรพ์เลือกหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเป็นที่นั่ง แล้วหันมามองคนทั้งสอง
"มาเถิด อาคันตุกะจากแดนไกล มานั่งเถิด" คนธรรพ์ดนตรีผายมือเชื้อเชิญ
สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน เมื่อสินีเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งอยู่ก็แอบหยิกแขนเพื่อนเบา ๆ นภดลสะดุ้งเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องไปต่อ ไม่รบกวนคุณดีกว่าครับ" เขาปฏิเสธ
"อะไรกัน นี่เจ้ายังโกรธข้าเรื่องมักกะลีผลที่เข้าใจพวกเจ้าผิดอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเรื่องนั้น ข้าขออภัยด้วย อย่าให้เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นมาทำลายความสุนทรีย์ต่อจากนี้เลย" คนธรรพ์รูปหล่อพูดพลางก้มหัวให้
"ต่าย เราใช้เขาได้นะ" ชายหนุ่มแอบกระซิบเบา ๆ กับเพื่อนหญิง
"หมายความว่ายังไง เธอคิดจะทำอะไรอีก" เพื่อนสาวหันหน้ามาถาม
นภดลไม่ตอบ แต่หันไปถามคนธรรพ์ดนตรีเสียงดัง
"ถ้าผมฟังคุณบรรเลงบทเพลงจนจบ คุณจะช่วยพวกผมตามหาเพื่อนผมได้ไหมครับ" ชายหนุ่มเสนอข้อแลกเปลี่ยน การที่จะให้คนธรรพ์ดนตรีผู้ช่ำชองในป่านี้ตามหาเพื่อนของเขาที่พลัดหลงไป จะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมาก
"แน่นอน สหาย เราจะช่วยเจ้าตามหาเพื่อนของเจ้า แต่ข้าไม่สามารถรับรองได้หรอกนะว่าเพื่อนเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่" คนธรรพ์กล่าว
"ได้ครับ ผมตกลง" เขาพยักหน้าแล้วพาสินีเดินเข้าไปกลางลาน อีกฝ่ายขัดขืนนิดนึง แต่ก็ถูกจูงมือเข้ามาจนได้
คนธรรพ์ยิ้มให้ ผายมืออีกครั้งเป็นความหมายให้นั่ง ทั้งสองค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้าหินก้อนใหญ่ที่คนธรรพ์เอกเขนกอยู่
คนธรรพ์ดนตรีพนมมือหลับตาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะชูมือขึ้นไปในอากาศ ทำท่าจะคว้าอะไรออกมา
ทันใด คนธรรพ์ก็ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากอากาศ สองหนุ่มสาวผงะด้วยความตกใจ สิ่งที่คนธรรพ์หยิบออกมาจากความว่างเปล่าคือเครื่องดนตรีแบบดีดชนิดหนึ่ง ด้านหนึ่งเหมือนเป็นน้ำเต้าประกบอยู่เป็นทรงกลมและโปร่ง ไม้ที่ยื่นต่อมาจากส่วนคล้ายน้ำเต้านั้นยาวแคบมีสายยาวคล้ายเส้นเอ็นขึงอยู่สามเส้นจนสุดปลายไม้ ส่วนปลายสุดของไม้นั้นแกะสลักเป็นรูปหัวของพญานาคอย่างวิจิตรบรรจง ที่ดวงตาของพญานาคฝังอัญมณีสีแดงเล็ก ๆ ไว้ ถ้าจ้องดูนาน ๆ คล้ายว่าดวงตาพญานาคจะขยับเขยื้อนได้
"นั่นคือเครื่องดนตรีของคุณหรือ เรียกว่าอะไรครับ" ชายหนุ่มถาม
"พิณคนธรรพ์" คนธรรพ์ดนตรีตอบ
สองสหายมองพิณนั้นอย่างสนใจใคร่รู้ ราวกับมีมนตร์ดึงดูดอะไรสักอย่างจากพิณนั่น โดยเฉพาะปลายไม้ที่เป็นหัวพญานาค
"จงทำใจให้สบาย และเดินทางไปสู่ความรื่นรมย์ของพิณคนธรรพ์เถิด"
มืออีกข้างของคนธรรพ์หยิบสิ่งที่คล้ายกับเศษของเขามหิงสาชิ้นเล็ก ๆ ออกมา ยกพิณขึ้นและเริ่มต้นดีด
ทันทีที่เศษชิ้นเขาควายสัมผัสกับพิณ มืออีกข้างของคนธรรพ์ก็ไล่นิ้วอย่างคล่องแคล่ว เสียงพิณที่ดังออกมาเหมือนจะขับไล่ความทุกข์ความกังวลของทั้งสองให้หายวับไป ความสดชื่น ความโปร่งโล่งสุขกายสบายใจเข้ามาแทนที่ เสียงบรรเลงไพเราะและจับใจทั้งคู่ยิ่งนัก ยิ่งฟังไปก็ยิ่งรู้สึกชอบ ชวนจินตนาการถึงสิ่งสวยงามต่าง ๆ แทบจะลืมไปว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางป่าลึกลับ
สายลมที่พัดเอื่อย ๆ มาตลอดเวลาดูเหมือนจะยิ่งพาอารมณ์ของทั้งคู่ให้คล้อยตามไปกับเพลงพิณ ความสบายจากการได้ยินบทเพลงไม่เคยมีผลต่อร่างกายได้ถึงขนาดนี้มาก่อน
"ต่าย ต่าย" เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
"ต่าย ต่ายลูก ตื่นได้แล้ว" เสียงเรียกดังขึ้นอีก
สินีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง เห็นใบหน้ามารดาของตัวเองกำลังมองมา
หญิงสาวลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงทันที หันมองหน้าแม่ของตัวเองก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้อง
มันคือห้องนอนที่บ้านของเธอเอง!
หลังจากที่กำลังเรียบเรียงความคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็หันมามองหน้าแม่ตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดเข้ากอดมารดาของตัวเองด้วยความดีอกดีใจทันที
"แม่! แม่จริง ๆ ด้วย ต่าย... ต่ายกลับมาแล้ว ต่ายคิดถึงแม่มาก ต่ายกลัวแม่คิดว่าต่ายตายไปแล้วซะอีก" เธอร่ำร้อง กอดอีกฝ่ายแน่น
"อะไรกันต่าย พูดเรื่องอะไรเนี่ย" สตรีวัยกลางคนเอ่ยงงๆ พยายามจับตัวบุตรสาวไว้
"ก็ที่ต่ายหายไปยังไงล่ะแม่ แล้วแม่ตามหาต่ายได้ยังไง" เธอถามมารดา น้ำตานองหน้าด้วยความคิดถึง
"ต่ายไม่ได้หายไปไหนสักหน่อยนี่ลูก พูดเรื่องอะไรกัน" ผู้เป็นแม่ถามด้วยความงุนงง
เธอชะงัก หันมามองหน้าแม่ ก็เห็นใบหน้าของมารดาฉายแววงุนงงจริง ๆ
"ต่ายไปเชียงใหม่ แล้วหายไปแม่ไม่รู้เหรอ" เธอถาม
มารดาของต่ายยิ่งทำหน้าสงสัยมากขึ้น
"เชียงใหม่อะไรกัน ลูกไม่ได้ไปเชียงใหม่สักหน่อย ลูกเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย" อีกฝ่ายเอามือมาอังหน้าผากลูกสาว
"ต่ายไม่ได้ไปไหนเลยหรือ ต่ายอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ" สินีถามมารดาอีก
"ใช่น่ะสิ แม่ว่าเราน่ะฝันอะไรเป็นตุเป็นตะเข้าแล้วล่ะ”
"ฝันหรือ" เธอพูดเสียงกระซิบ หญิงสาวพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่ยิ่งนึกมันก็ยิ่งเลือนหาย จนในที่สุดเธอก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง
"คิดมากแล้วเก็บไปฝันน่ะสิ เร็วรีบลุกขึ้นได้แล้ว ลืมหรือไงว่าวันนี้ไปรับทุนน่ะ" ผู้เป็นมารดาบอก
"ทุน? ทุนอะไรหรือคะแม่" สินีถาม
"เอ้า ลูกคนนี้ นอนดิ้นจนหัวกระแทกผนังหรือเปล่าเนี่ยเรา ถึงลืมว่าวันนี้ต้องไปรับทุนเรียนต่อต่างประเทศ"
"ต่าย... ต่ายได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศเหรอแม่"
"ใช่น่ะสิ ไม่ต้องมาทำไขสือไม่รู้หรอก เร็ว ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว"
สินีลุกขึ้นยืนอย่างงุนงง เดินไปส่องกระจกก็เห็นตัวเองอยู่ในชุดนอนลายสีชมพู ผมเผ้ายุ่งเหยิงหลังตื่นนอน แม่เธอเดินออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวหันไปมองเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางบนโต๊ะ เธอหยิบมันขึ้นมาดู
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษาต่อต่างประเทศในระดับปริญญาโทตลอดหลักสูตร
…มีชื่อเธออยู่จริง ๆ
ความดีใจไหลหลั่งท่วมท้นหัวใจของสินีทันที ความฝันที่จะได้ทุนเรียนต่อ ป. โทในต่างประเทศเป็นสิ่งที่เธอตั้งเป้าหมายไว้สูงสุดมานานแล้ว ไม่นึกว่าวันนี้จะทำได้สำเร็จจริง ๆ
เธออ่านทวนไปมาอยู่หลายรอบจนแน่ใจว่าไม่ผิดแน่ น้ำตาแห่งความดีใจแทบจะไหลออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง เธอกลั้นความรู้สึกที่จะอยากจะกระโดดโลดเต้นเอาไว้อย่างเต็มที่
แต่มันมีบางอย่างที่แปลก ๆ
ทุนการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทงั้นหรือ แต่เธอยังไม่จบปีสองเลยนี่นา ป. โทอะไรกัน
พลันสายตาก็หันไปเห็นกรอบรูปเล็ก ๆ ที่วางไว้บนโต๊ะของตัวเอง
มันเป็นรูปเธอเองในชุดครุยวันรับปริญญา ยืนถือดอกไม้กับเพื่อน ๆ และพ่อแม่
"เราเรียนจบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" สินีพูดออกมาเบา ๆ นั่งลงเอามือกุมศีรษะ พยายามนึกอะไรบางอย่างให้ออก แต่ก็นึกไม่ออก
"อ้าว ลูกยังไม่อาบน้ำแต่งตัวอีกหรือไง ชักช้าเดี๋ยวไม่ทันเอานะ" แม่ของเธอเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง
หญิงสาวสลัดความรู้สึกงุนงงสงสัยออกไป ใจของเธอตอนนั้นมีแต่ความปลื้มปีติกับความสำเร็จที่เธอเพิ่งได้รับ ความสงสัยเคลือบแคลงต่าง ๆ จึงค่อย ๆ หายไปจากใจ
สินีลุกขึ้นยืนหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องชะงัก หันไปมองที่โต๊ะข้างประตู
พิณคันหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
"นี่พิณแม่หรือคะ" เธอถามมารดา
"อ้อ ใช่จ้ะ ซื้อมาเล่นเวลาว่าง ๆ น่ะ" มารดาตอบ
"แม่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ต่ายไม่เคยเห็น"
"ซื้อมาตั้งนานแล้ว อะไรกัน ทำไมเพิ่งมาถาม แม่ก็เล่นอยู่ทุกวัน"
สินีมองพิณคันนั้นด้วยความงุนงง เธอไม่เคยเห็นแม่เล่นพิณคันนี้มาก่อน แต่สาบานได้ว่าเคยเห็นพิณคันนี้ที่ไหนสักแห่ง น้ำเต้าที่ประกบเป็นเต้าพิณ เส้นเอ็น คอพิณ รวมถึงปลายพิณที่เป็นรูปพญานาคดวงตาฝังอัญมณีสีแดง เธอเคยเห็นมันมาก่อนแน่ ๆ
"ใส่ชุดนี้ไปนะลูก" แม่ของสินีพูดพลางแขวนชุดที่รีดเสร็จใหม่ ๆ ไว้หน้าตู้เสื้อผ้า
"ขอบคุณค่ะแม่" บุตรสาวพูดเสียงใส
"ลองทาบกับตัวหน้ากระจกดูก่อนสิ" มารดาแนะ
หญิงสาวละสายตาจากพิณแล้วเดินไปหยิบชุดสีครีมที่แม่เธอรีดไว้ให้เรียบร้อยแล้วมาลองกับตัวเองหน้ากระจก
หญิงสาวในชุดไทยโบราณตาสีแดงฉานราวกับไฟยืนชี้หน้าเธอออกมาจากในกระจก!
"กรี๊ด!" สินีกรีดร้องออกมาดังลั่น ถอยหลังออกมาด้วยความตกใจจนตัวล้มลงไปบนที่นอน
"ต่าย เป็นอะไรไป" ผู้เป็นแม่วิ่งเข้ามาประคองด้วยความตระหนก "มีอะไรลูก เกิดอะไรขึ้น กรี๊ดทำไม"
"น่ะ... ในกระจก ใครในกระจก" เธอพูดเสียงขาด ๆ หาย ๆ แม่ของหล่อนชะโงกหน้าไปมองในกระจก
"ไม่มีอะไรสักหน่อย ลูกไม่สบายรึเปล่า นี่ ลูกไม่ต้องไปก็ได้นะวันนี้ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดี" มารดาพูดด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูไหวค่ะ" สินีพยายามทำตัวแข็งแรง ลุกขึ้นยืนส่องกระจกอีกครั้ง มารดามองตามด้วยสายตายังไม่ค่อยแน่ใจ
หญิงสาวรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นที่ไหนมาก่อน เหมือนเคยเห็นร่างใหญ่โตของนางนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง คุ้น ๆ ว่าเธอจะได้เคยพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้ด้วย แต่ไม่รู้ที่ไหน
พิณคันนั้น ผู้หญิงคนนั้น สินีรวบรวมสติอีกครั้งพยายามนึกให้ออก
ถ้ำ… ใช่แล้ว เหมือนเธอเข้าไปในถ้ำที่ใดที่หนึ่ง หญิงสาวเริ่มนึกขึ้นได้ทีละอย่าง
ป่าประหลาดที่มีแสงแดดสีขาว…
ลักษณ์นาราโบกดอกไม้สีแดง…
มักกะลีผลกะพริบตา…
คนธรรพ์ดีดพิณ…
"ฟ้า!" เธอร้องชื่อเพื่อนของตัวเองออกมา
ใช่ เธอจำทุกอย่างได้แล้ว เหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างวิ่งฉายเข้ามาในใจของเธอราวกับเห็นจอภาพยนตร์ เธอรีบหันไปหาแม่ทันทีเมื่อนึกเหตุการณ์ทุกอย่างได้ครบถ้วน
มารดาของเธอเงื้อดาบคมกริบเงาวับขึ้นสุดแขน แล้วฟันมันลงมาตรงที่สินีกำลังยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
"แม่!" บุตรสาวร้องออกไปสุดเสียง พลิกตัวหลบคมดาบไปอย่างฉิวเฉียดด้วยสัญชาตญาณ
"แม่ แม่เป็นอะไร" เธอร้องลั่น
มารดาของเธอไม่พูดอะไร ราวกับไม่ได้ยินเสียงของเธอ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความชิงชัง หล่อนยกดาบคมกริบขึ้นอีกครั้ง
"แม่อย่านะ แม่เป็นอะไรไป" หญิงสาวตะโกน แต่แม่ของเธอฟันดาบพลาดไปชนกระจกแตกกระจาย โต๊ะเครื่องแป้งหักพัง ข้าวของกระจุยเกลื่อนกลาด
สินีรีบคลานถอยหลังด้วยความหวาดกลัว มารดาของเธอยังคงยืนถือดาบ ไม่ได้สนใจกับข้าวของที่แตกกระจายรอบตัวสักนิด หล่อนเดินพุ่งตรงมาอีกครั้ง
หญิงสาวรีบตะเกียกตะกายไปหน้าประตู ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า นี่ไม่ใช่แม่ของเธออย่างแน่นอน
มารดาของสินีวิ่งพรวดข้ามห้องเข้ามาด้วยความไวผิดมนุษย์ ยกดาบขึ้นสุดแขนอีกครั้ง หมายจะฟันร่างลูกสาวของตัวเองให้ขาดออกเป็นสองท่อน
สายตาของสินีเหลือบไปเห็นพิณที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะพอดี ปลายพิณที่สลักเป็นหัวพญานาคกลับกลายเป็นมีชีวิต หัวของงูใหญ่ขู่ฟู่ฟ่ออ้าปากเตรียมฉกทำร้าย ดวงตาสีแดงกลิ้งกลอกไปมา
เธอรู้ทันทีว่าต้องทำอย่างไร
หญิงสาวรีบคว้าขาเก้าอี้ไม้อันใหญ่ที่หักพังขึ้นมา แล้วฟาดลงไปที่พิณคันนั้นสุดแรงเกิด
พิณไม้หักขาดท่อนทันทีด้วยแรงตีอย่างหนักของเธอ หัวพญานาคที่มีชีวิตกลับกลายเป็นไม้แกะสลักธรรมดา
ฉับพลัน รอบด้านของสินีก็วูบวาบสั่นไหวเหมือนผิวน้ำที่มีคลื่นลม สภาพห้องของต่ายเปลี่ยนไป แม่ของเธอที่กำลังยืนเงื้อดาบก็ค่อย ๆ หายไป
สภาพป่า ลานกว้าง ต้นมักกะลีผล กลับมาแจ่มชัดรอบตัวต่ายอีกครั้ง เธอตาลายนั่งทรุดลงกับพื้น เบื้องหน้าเธอคือพิณที่หักครึ่งแหลกลาญ เธอเห็นคนธรรพ์ที่กำลังยืนถือดาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธร้องเสียงดังออกมาอย่างเดือดดาลเมื่อเห็นพิณถูกทำลาย
"นางมนุษย์! กล้าดีอย่างไร เจ้าทำอะไรลงไปหา!"
จบตอนที่ 7
เชิงอรรถ
*อุตรกุรุทวีป (อุ-ตะ-ระ-กุ-รุ-ทะ-วีบ) หมายถึง ทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เป็นทวีปในอุดมคติ มีแต่ความสุข คนทวีปนี้จะถือศีลอย่างเคร่งครัด
*ภูษา หมายถึง เครื่องนุ่งห่ม เครื่องทรง
*ท้าวสักกะเทวราช หมายถึง พระอินทร์
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น