ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #6 : หิมวันต์

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 66


                             

        ตอนที่ 6 หิมวันต์*



         ภาพสุดท้ายที่นักศึกษาหนุ่มเห็นคือบานประตูขนาดใหญ่ยักษ์ค่อยๆ เปิดออกพร้อมมีแสงสีขาววาบบาดตาพุ่งเข้ามา ชั่วพริบตาเดียวมันก็ดูดร่างเขาเข้าไป
         ความรู้สึกต่อมาร่างของนภดลเหมือนกำลังพุ่งทะยานสู่เบื้องบน สูงขึ้นไปอย่างเร็วและแรง เสมือนจรวดที่กำลังพุ่งออกจากฐาน เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองให้หยุดลอยขึ้นสูงได้ รอบด้านพร่าเลือน จับสังเกตอะไรไม่ได้สักอย่าง ลมที่พัดอื้ออึงรอบตัวก็ไม่ได้ทำให้เบนเส้นทางแม้แต่นิด
         ทันใด แสงสว่างสีเหลืองทองก็ปรากฏขึ้น ฉายฉาบอาบไปรอบบริเวณ ชายหนุ่มรู้สึกว่าความเร็วค่อย ๆ ช้าลง ช้าลง จนไม่เคลื่อนที่อีก ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบด้าน ทุกอณูในที่แห่งนี้ราวกับจะเปล่งประกายรัศมีแห่งความดีงามออกมาตลอดเวลา
           “นั่นอะไรน่ะ” ชายหนุ่มคิดขณะที่ดวงตาพร่าจากแสงสว่างเรืองรองโดยรอบ สักพัก เขาก็มองเห็นคล้ายขาโต๊ะขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายขาบัลลังก์อยู่เบื้องหน้า สายตาค่อย ๆ ปรับโฟกัสและมองไล่ขึ้นไปด้านบน ภาพต่อมาที่เห็นคือ ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์เหนือศีรษะตนเอง
         ชายหนุ่มรีบเดินถอยหลังทันทีเมื่อเห็น การเคลื่อนไหวของเขานั่นเองทำให้คนบนบัลลังก์หันมองลงมา ทันทีที่เห็นนภดล ใบหน้าชายคนนั้นก็ดูตกใจสุดขีด อาการตระหนกทำเอาบุรุษบนบัลลังก์ผู้นั้นนิ่งงันไป ตาค้างมองลงมาที่เขาดูราวกับจะไม่แน่ใจในภาพที่เห็น สักพักก็ทำท่าเพ่งมองลงมาที่นภดลอีกครั้ง
         ท่ามกลางความเงียบ
         "เป็นไปไม่ได้..." เสียงของชายผู้นั้นพูดขึ้นด้วยความหวาดหวั่น
         นภดลไม่เข้าใจในสิ่งบุรุษบนบัลลังก์พูด แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดอะไรออกไป บุรุษปริศนานั้นก็ก้มลงมองเขาอีกรอบ แล้วกระซิบว่า
         "แกกลับมาแล้วหรือ..."
         เหมือนถูกโยนลงมหาสมุทร ร่างของเขาอยู่ดี ๆ ก็ยวบวูบลงทันที รัศมีสีทองหายวับไป ตัวของเขาพุ่งดิ่งลงอย่างรวดเร็ว รวดเร็วพอ ๆ กลับคราวที่พุ่งขึ้นไป แสงสีและลมต่าง ๆ พัดผ่านหมุนวนรอบตัว อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้น ท้องฟ้าสีน้ำทะเลเริ่มปรากฏให้เห็นผ่านแวบไปแวบมา
         "ฟ้า ฟ้า" เสียงร้องเรียกชื่อเขาดังขึ้น 
         นภดลหันขวับไปมอง เห็นสินี ฐานิดาและบดินทร์ กำลังหมุนวนไปรอบทิศ ทั้งสี่ถูกลมพัดหวนไปหวนมา บังคับทิศทางไม่ถูก ฉับพลัน รอบตัวก็บังเกิดพายุใหญ่ น้ำฝนซัดสาดทั้งสี่ตลอดเวลา นภดลพยายามจะส่งเสียงร้องออกไป แต่เสียงลมเสียงฝนกลบไปหมดจนไม่มีใครได้ยิน เขาจึงคว้าข้อมือสินีไว้ พอคว้าได้ อีกฝ่ายก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร เธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้าสินีและบดินทร์เข้ามา ทั้งสี่หมุนติ้วท่ามกลางพายุ แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ พุ่งลงต่ำด้วย
         ไม่นานพายุใหญ่ก็ค่อย ๆ อ่อนกำลังลง รอบด้านเริ่มสว่างขึ้น อากาศเริ่มเย็นจนหนาวยะเยือก นภดลรู้สึกมีอะไรมาสัมผัสแก้ม จึงยกมือขึ้นแตะดู 
         หิมะนั่นเอง หิมะปุยขาวกำลังตกโปรยปรายอยู่รอบตัวทั้งสี่ สองสาวดูจะตะลึงกับภาพที่เห็น บดินทร์ยกมือขึ้นกำหิมะและแบมือดู พูดเบา ๆ ว่า "นี่มันอะไรกันเนี่ย"
         หิมะที่ตกลงมาค่อย ๆ หายไป ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาแทนที่อีกครั้งและร่างของทั้งสี่ก็ทิ้งดิ่งลงอย่างรวดเร็วอีกหน ทั้งหมดจับมือกันแน่นด้วยสัญชาตญาณ แต่ทว่า
         "ต่ายมือเราจะหลุดแล้ว" เพื่อนสาวกรีดร้องออกมาท่ามกลางลมแรง พยายามจะคว้ามืออีกฝ่าย
         "อย่าปล่อยมือนะแป๋ว" สินีกัดฟันแต่ไม่สามารถมีแรงพอที่จะยึดมือเพื่อนไว้ได้อีกต่อไป ทันทีที่มือฐานิดาหลุด ร่างของเธอก็พลัดวูบหลุดออกจากวงทันที ลอยคว้างห่างออกไปด้วยอำนาจแรงลม
         "กรี๊ด!" เสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้น ก่อนที่เจ้าของเสียงจะหายไปกับอากาศขมุกขมัว
         "ไม่!" สินีกรีดร้องพยายามจะไขว่คว้าเพื่อนที่หายลับไปแล้ว ด้านบดินทร์ที่กำลังจับมือนภดลอยู่อีกข้างเผลอยืดตัวตอนที่ฐานิดาหลุดออกจากวง เพื่อที่ต้องการจะคว้าตัวเธอไว้แต่ไม่ทัน ทำให้มืออีกข้างที่จับเพื่อนชายเลื่อนหลุดออก ทำให้ร่างของบดินทร์ปลิดปลิวออกไปทันทีไม่ต่างกับฐานิดา ลมที่พัดรุนแรงกีดกันไม่ให้นภดลยึดตัวอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ชั่วพริบตาร่างของเพื่อนชายก็หายวับไปกับลมที่พัดหวนอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงนภดลกับสินีที่ยึดกันไว้อย่างแน่นเหนียว พื้นแผ่นดินกำลังขยายเข้ามาใกล้ตามลำดับ จากนั้นสติของทั้งคู่ก็ดับวูบลง

    *****

         "ฟ้า ฟ้า"
         ชายหนุ่มสะดุ้งตัวลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นสินีกำลังเขย่าตัวเรียกชื่อเขาอยู่ 
         "ต่าย" เขาเรียกชื่อเพื่อนออกไป
         "ฟ้า เธอตื่นแล้ว โอ้ ขอบคุณพระรัตนตรัย เรานึกว่าเธอจะไม่ตื่นซะแล้ว เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า" หญิงสาวถาม ชายหนุ่มขยับร่างกายแต่ละส่วนไปมาเพื่อตรวจดูว่าเกิดอันตรายอะไรหรือไม่ มือทั้งสองลูบไปตามตัวและใบหน้า
         "เราไม่เป็นอะไร ต่าย เธอตื่นก่อนเรานานแล้วเหรอ แล้วแป๋วกับเอกอยู่ไหน"
         เธอก้มลงเช็ดน้ำตา
         "เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นฟ้า เราตื่นก่อนฟ้าไม่นานหรอก ไม่รู้ว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่เราจำเหตุการณ์สุดท้ายได้ ตอนนั้นเหมือนเรากำลังถูกพัดไปพัดมา แล้วแป๋วกับเอก... แป๋วกับเอก" พอมาถึงตรงนี้เพื่อนสาวก็หยุดพูดก่อนจะปล่อยโฮออกมา
         "เป็นความผิดเราเอง ถ... ถ้าเราจับมือแป๋วให้แน่นกว่านั้น แป๋วกับเอกคงไม่... คงไม่" เธอสะอึกไปกล่าวไป
         นภดลกลืนน้ำลายลงคอ ใช่ เขาก็จำได้เหมือนกัน ภาพที่เพื่อนรักสองคนหลุดลอยหายไปทำให้เขาหลับตาลงอีกครั้ง ไม่อยากจะคิดเลยว่า เพื่อนทั้งสองคนของเขานั้น อาจจะตายไปแล้ว
         "ต่ายใจเย็น ๆ ก่อน อย่าเพิ่งตกใจ แป๋วกับเอกไม่เป็นไรหรอก ดูอย่างเราสิ ตกลงมาตั้งสูงยังไม่เห็นเป็นอะไร อีกสองคนจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ เชื่อสิ ว่าแต่เราอยู่ที่ไหนกัน" ชายหนุ่มถามเพื่อนเปลี่ยนประเด็นเพื่อให้คู่สนทนาหายเศร้าโศก
         สินีเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว ทั้งสองกำลังนอนอยู่ใต้โขดหินใหญ่รูปร่างประหลาด แสงสว่างส่องออกมาจากเบื้องหน้า พื้นดินชื้นเย็น
         "ออกไปข้างนอกกันดีไหม" ชายหนุ่มถาม 
         "จะดีเหรอฟ้า ข้างนอกจะมีอะไรบ้างก็ไม่รู้" อีกฝ่ายส่ายหน้า
         "ถ้าเราอยู่แต่ในนี้ จะไม่รู้เรื่องอีกสองคนเลยนะ แต่ถ้าเราออกไปยังอาจหาร่องรอยสองคนนั่นได้บ้าง" เขาบอก เพื่อนหญิงนั่งคิดอยู่ชั่วครู่แล้วค่อย ๆ พยักหน้า
         ทั้งสองคนคลานออกมาจากโขดหิน พอถึงปากทางก็ค่อย ๆ มุดออกไปทีละคน นภดลออกก่อน ตามด้วยสินี และเมื่อทั้งสองยืนขึ้นก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นภายนอก
         แสงแดดสีขาวสว่างส่องกระจายเลื่อมพรายรอบบริเวณ ไม่ใช่… ต้องบอกว่าส่องสว่างไปทั่วทั้งป่ามากกว่า ส่องสว่างโดยรอบหาที่สุดไม่ได้ ทั้งสองไม่เคยเจอแดดสีขาวที่มีประกายแบบนี้มาก่อน เพราะเคยเห็นแต่สีเหลืองสีส้มมาตลอดชีวิต อากาศรอบด้านเย็นสบายแบบที่หาได้ยากยิ่งในโลกมนุษย์ เพราะเหมือนมีไอหมอกอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นลอยมาต้องกายอยู่ตลอดเวลา สินีเงยหน้ามองท้องฟ้าก็พบว่ามันเป็นสีน้ำทะเลลึกไร้เมฆแต่บางส่วนก็ดำทะมึนน่าหวาดหวั่น
         ความหยุ่นของพื้นดินร่วนเนื้อดีที่ทั้งคู่เหยียบอยู่ก็เสมอราบเรียบกันตลอด ชายหนุ่มสังเกตว่าดินเป็นสีน้ำตาลล้วน ไม่ดำ ไม่เทา ไม่เจือปนสีอื่น ๆ เลย เขาทดลองลงน้ำหนักเหยียบลงไปและยกเท้าขึ้นมา เม็ดดินไม่ติดเลอะเท้าให้สกปรกเลยแม้แต่นิด ทุกอณูของดินหล่นกลับไปรวมตัวกันอย่างแปลกประหลาด ราวกับไม่ได้เหยียบลงไปฉะนั้น โขดหินต่าง ๆ ที่ผุดออกมาจากดิน รูปร่างเป็นลักษณะหลังเต่าทุกลูก รวมถึงโขดหินที่ทั้งสองเข้าไปหลบด้วย สักพักทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลดังแว่วมาจากที่ไกลๆ จากการคาดเดา แม่น้ำแห่งนั้นน่าจะกว้างและไหลกระฉอกรุนแรงพอสมควร
         ที่น่าแปลกประหลาดคือต้นไม้ที่อยู่รอบตัว มันไม่ใช่… มันไม่มีทางที่จะเป็นต้นไม้แน่ ๆ ในความคิดของทั้งสองคน ต้นไม้บางต้นสูงชะลูดเสียดฟ้า ยอดหายลับเข้าไปในก้อนเมฆทรงประหลาดเบื้องบน บางต้นแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร บางต้นมีลำต้นใหญ่พอ ๆ กับสิบคนโอบ ใบไม้แต่ละใบราวกับเคลือบสีเอาไว้ มองผ่าน ๆ เหมือนต้นไม้พลาสติก รูปร่างลักษณะผิดแผกแตกต่างเหมือนที่พวกเขาเคยเห็นโดยสิ้นเชิง ดอกไม้ทุกดอกรูปทรงพิศวงแย้มกลีบเหมือนจะส่งแสงออกมาจากตัวมันเองได้ ต้นไม้บางพุ่มมีลักษณะคล้ายสัตว์ เช่นเสือไม่ก็ช้าง ทำเอาหลอนสายตาได้เหมือนกัน ที่สำคัญกลิ่นหอมของดอกไม้และใบไม้บางชนิดก็แปลกใหม่และให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนชายหาดฉะนั้น
         "ฟ้า" สินีกระซิบข้างตัวเขา เหมือนเธอจะตกตะลึงจนเป็นอัมพาต
         "เราก็เห็นเหมือนต่ายนั่นแหละ" เขาตอบโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถาม
         "เธอเคยเห็นต้นไม้แบบนี้ไหม" หญิงสาวถามเสียงกระซิบ
         "ไม่"
         "แสงแดดล่ะ"
         "ไม่"
         "พื้นดิน"
         "ไม่เคย"
         "เธอรู้สึกไหมว่าที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์" เธอถามต่อไปไม่หยุด
         นภดลเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทันที ตากระทบกับแสงแดดสีขาวที่ส่องไปทั่วแต่กลับหาแหล่งต้นกำเนิดแสงไม่พบ ที่สำคัญ แดดสีขาวแม้จะส่องจ้าขนาดไหน ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกร้อนสักนิด นี่มันผิดธรรมชาติชัด ๆ เขามองเลยไปยังสุดขอบขุนเขาอันห่างไกล เหมือนเห็นผาขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านเงื้อมอยู่ มันสูงจนลับหายไปบนนภา ขอบของมันปรากฏเหวน้ำตกขนาดมหึมาไหลหลั่งอยู่ท่ามกลางเมฆหนา พื้นหลังเป็นสีน้ำเงินเข้มราวกับภาพวาดมากกว่าจะเป็นของจริง ถ้าสถานที่นี้มีจริงในโลกมนุษย์ มันจะต้องกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย หากมองไกลออกไปอีกก็จะเหมือนเป็นทิวเขาซ้อนทับกันหลายชั้น
        "เราเคยดูสารคดีในป่าแอมะซอน เราว่าป่าที่นั่นลึกลับและแปลกประหลาดที่สุดละนะ แต่ที่นี่มันไม่เหมือนที่เราเคยเห็นเลย แม้แต่ต้นหญ้าก็ผิดจากที่เราเคยเห็นทังสิ้น" สินีพูดค่อย ๆ
         "เธอจำที่ลักษณ์นาราพูดกับเราครั้งสุดท้ายได้ไหม" ชายหนุ่มถามเพื่อน
         "เธอหมายถึง ประตูสู่ป่าหิมพานต์เปิดออกแล้วน่ะหรือ" เธอย้อนถาม
         "ใช่"
         "เธอกำลังคิดว่าที่นี่คือป่าหิมพานต์งั้นหรือ"
         "ใช่"
         สินีค่อย ๆ เดินถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น ริมฝีปากสั่นระริก
         "แต่ป่าหิมพานต์ไม่มีจริง นี่มันบ้าชัดๆ" หญิงสาวร้อง ทำท่าเหมือนจะเป็นลมเพราะปรับจิตไม่ทัน ชายหนุ่มหันไปคว้าตัวสินีไว้ จับร่างของหล่อนให้นั่งลงพลางเขย่าเรียกสติ
         "ต่าย ทำใจร่มๆ ไว้" นภดลรีบบอก
         "ฉันต้องฝันไปแน่ๆ" หญิงสาวกระซิบออกมาเสียงแผ่ว ใบหน้าซีดขาว
         "ฉันอยากกลับบ้าน ฉันไม่ได้อยากจะมาที่นี่ พวกเราต้องกลับไป นี่มันป่าอาถรรพ์"
         "ต่าย แล้วเธอจะกลับไปยังไง เธอกลับไปได้หรือ" ชายหนุ่มตั้งคำถาม
         "มันต้องมีสักวิธีแหละ" สินีโต้ตอบ
         "แล้วแป๋วล่ะ แล้วเอกล่ะ เธอจะทิ้งให้พวกเขาตายที่นี่งั้นหรือ" เพื่อนชายร้องถาม
         คราวนี้สินีนิ่งไป
         "ตอนนี้เรามีกันแค่สองคนนะต่าย อีกสองคนจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ สิ่งที่เราต้องมีตอนนี้คือสติและคิดอ่านกันต่อไปว่าจะทำยังไง อีกสองคนตอนนี้อาจจะกำลังรอการช่วยเหลือจากเราอยู่ก็ได้" 
         "แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะฟ้า เข้าไปในป่าประหลาด ๆ แห่งนี้ ฉันว่าไม่ถึงสิบนาที ตัวเราคงกลายเป็นศพ"
         "ต่ายหมายถึงอะไร"
         "เราหมายถึงอาจมีสัตว์ร้ายหรืออันตรายอะไรก็ได้ในป่านี้น่ะสิ แค่ลักษณะของมันก็แปลกพิกลแล้ว"
         "ไม่มีอะไรทำร้ายเราได้ทั้งนั้นแหละ"
         "ทำไมเธอมั่นใจแบบนั้น"
         "ต่ายลืมที่ลักษณ์นาราบอกไปแล้วล่ะ ถ้าเรามีความสามัคคี ความกล้าหาญ ก็ไม่มีอะไรทำอันตรายเราได้หรอก"
         "โอ๊ย มันไม่ได้ช่วยเราได้ตลอดรอดฝั่งหรอกคำปรัชญาพวกนี้ ยิ่งในเวลาที่เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จักด้วยแล้ว"
         "ถ้างั้น ต่ายไว้ใจเราไหมล่ะ"
         สินีมองหน้าเพื่อนสนิทตรง ๆ หญิงสาวคิดใคร่ครวญอะไรในใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาถอนหายใจเหมือนจะตัดสินใจบางอย่าง จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยอันเป็นความหมายว่าตกลง
          "ต่ายไม่ต้องกลัวเรื่องสัตว์ร้ายกาจหรอก ป่าหิมพานต์เป็นสถานที่ชั้นสูง เป็นโลกทิพย์ ในโลกมนุษย์ยังน่ากลัวกว่าอีก"
          "ฟ้ามั่นใจกี่เปอร์เซ็นต์ว่าที่นี่คือป่าหิมพานต์"
          "ล้านเปอร์เซ็นต์ ต่ายก็เห็นกับตานี่นา" ชายหนุ่มมั่นใจ มือข้างหนึ่งฉุดดึงให้หญิงสาวลุกขึ้นยืน
          "เราอาจจะหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ หรือไม่ก็เป็นภาพหลอน"
          "ถ้างั้นก็เข้าไปกัน จะได้รู้ว่ามันคือของจริง"
          หญิงสาวส่งสายตาเข้าไปในราวป่าทะมึนอย่างไม่ไว้ใจ 
          "จำเป็นจริง ๆ เหรอ ที่ต้องเข้าไปในนั้น" เธอถาม
          "เราต้องเข้าไปต่าย อาจพบเบาะแสของทั้งสองคนนั่นก็ได้ ป่านี้ดูท่าจะกว้างมาก เราต้องเริ่มสุ่มบริเวณค้นหาสักจุดก่อนอยู่ดี"
          ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปก่อน สินียืนนิ่ง เพื่อนชายหันมากวักมือเรียก หญิงสาวถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเดินตามไป
         ยิ่งทั้งสองเดินลึกเข้าไปเท่าไร แสงก็ยิ่งมืดทึบลงมากเท่านั้น อากาศดูจะเหลือน้อยและเย็นยะเยือกลงทุกที ต้นไม้ก็มีรูปร่างประหลาดขึ้นเรื่อย ๆ บางต้นคล้ายมนุษย์ตัวสูงชะลูด บางต้นคล้ายอุโมงค์ยักษ์ ทั้งคู่พบว่าต้นไม้บางต้นมีสีทองอร่าม แต่ก็มีที่ดำสนิทราวกับถูกเผาไหม้ บริเวณนี้ไม่มีโขดหินรูปหลังเต่าให้เห็นอีกเลย
          เหมือนกำลังเดินเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์อย่างไรอย่างนั้น เพราะใบไม้ที่เห็นอยู่เกลื่อนพื้นตอนนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวของทั้งคู่ด้วยซ้ำ ดูผาดๆ นึกว่าเสื่อสีเขียวสีเหลืองวางซ้อนทับกัน ผลของอะไรไม่ทราบได้ใหญ่พอๆ กับโอ่งมังกร มีหนามแหลมคมอยู่รอบตัวเกลื่อนกระจายอยู่เบื้องหน้าเต็มไปหมดจนทั้งสองต้องเดินหลบ นภดลพาเพื่อนหญิงเดินเลาะป่าต้นหญ้าที่สูงท่วมหัว หญิงสาวมั่นใจว่าหญ้าพวกนี้มันขยับเองได้เพราะไม่มีลมสักนิดทว่าพวกมันกลับโบกสะบัดไปมาได้อย่างน่าฉงน  
         "เราควรจะเข้าหาแหล่งน้ำดีไหม" นภดลถามขึ้นเมื่อเดินมาถึงโคนต้นก้ามปูใหญ่ เขายืนพิงรากขนาดมหึมาของมันที่ไชชอนโผล่ออกมาจากพื้นให้เห็นอย่างชัดเจน 
         "ก็สมควรอยู่ แต่ฟ้ารู้เหรอว่าไปทางไหน"
         "ตะกี้เราได้ยินเสียงน้ำ คิดว่าอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกลนักหรอก"
         สินีพยักหน้าเข้าใจและก้าวขาออกเดินต่อ ชายหนุ่มพยายามนำไปยังที่ที่มีพื้นโล่งมากที่สุด เขาไม่เสี่ยงที่จะลุเข้าไปในดงดิบทึบ มีหนหนึ่งสินีกรีดร้องลั่นป่าเพราะเห็นอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาพันขาเธอเหมือนงู แต่พอเพื่อนชายก้มดูก็พบว่าเป็นแค่ไม้เลื้อยธรรมดาเพียงแต่ว่าสีมันฉูดฉาดดุจมีคุณสมบัติเป็นพิษ
         "เรารู้สึกว่าต้นไม้พวกนี้กำลังมองเราอยู่" เธอพูดหลอน ๆ หันมองยอดไม้สูงรูปร่างวิกลวิการไปมา "บางทีรู้สึกเหมือนพวกมันกำลังคุยกระซิบกระซาบกัน"
         "คิดมากน่า" นภดลส่ายหน้า
         "เธอไม่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ เหรอ"
         "โอ๊ย ต่าย รอบตัวเราตอนนี้ก็มีแต่สิ่งแปลก ๆ ตั้งแต่เข้ามาแล้ว ยังจะสงสงสัยอะไรอีก"
         "ไม่ใช่แปลกแบบนั้น แต่เราหมายถึงว่าทำไมไม่มีสัตว์สักตัว นก แมลง ยังไม่เห็นมีเลย"
          นภดลชะงักและหยุดเดิน เขาเองก็เพิ่งนึกได้ในข้อนี้ นี่มันป่าไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไร้สิ่งมีชีวิตได้เล่า การที่ป่าเงียบสงัดแบบนี้มันชวนขนหัวลุกเอาเสียจริงๆ หรือที่มันเงียบนั้นเป็นมาจากการที่เขาและเพื่อนมาปรากฏตัวที่นี่อย่างนั้นหรือ
         "กรี๊ด!" จู่ๆ เพื่อนหญิงร้องลั่นจนนภดลสะดุ้งโหยง
         "อะไรอีกต่าย"
         "ดูนั่นฟ้า เราเห็นมีคนอยู่บนต้นไม้นั่นน่ะ นั่น… ดูสิ มีจริง ๆ ด้วย นั่นไง” เธอชี้มือไปที่ต้นไม้ใหญ่กลางลานป่าเบื้องหน้า ชายหนุ่มมองตาม เขานิ่งอึ้งไปสักพักก่อนจะแหวกพุ่มไม้เพื่อมองสิ่งที่กำลังเห็นให้ถนัด
         คุณพระคุณเจ้า... นี่มันของจริงรึนี่ ชายหนุ่มกล่าวกับตนเอง เขาเอามือทุบต้นแขนตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป สิ่งที่เห็นอยู่นี่คือของจริง และสติสัมปชัญญะของเขาก็ครบถ้วนบริบูรณ์
         "ฟ้าเห็นเหมือนกันใช่ไหม" ชายหนุ่มไม่ตอบแต่พยักหน้า "มันคืออะไรน่ะ เธอรู้ไหม" สินีถามต่อด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นสุดขีด ภาพที่ปรากฏต่อสายตาทำให้เธอครองสติแทบไม่อยู่
         "เรา... เราคิดว่าเรารู้" นภดลนึกขอบคุณตัวเองที่อ่านตำราทางด้านศาสนาและวรรณคดีมามากพอสมควร "ต่าย ถ้าความคิดของเราไม่ผิด นี่คือต้นมักกะลีผล"


    เชิงอรรถ

    1.หิมวันต์ หมายถึง ชื่อหนึ่งของป่าหิมพานต์

         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×