ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #5 : เบื้องหน้าประตู

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 66


    ตอนที่ 5 เบื้องหน่าประตู


         "เพล้ง!" เสียงแก้วตกลงพื้นแตกกระจายดังสนั่น สักพัก เสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างรีบเร่งดังตุบตับ ๆ ใกล้เข้ามา ประตูเปิดผางออก
         "เฟื่อง! เป็นอะไร" มุกดาถามด้วยความตกใจ กวาดสายตามองไปรอบห้อง เห็นเพื่อนกำลังยืนตัวสั่นเอามือกุมหน้าอก ที่พื้นมีแก้วตกแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ มุกดารีบเดินเข้ามาในห้อง เขย่งเท้าหลบเศษแก้วคม แล้วมาโอบประคองเพื่อนไปนั่งที่เตียง
         "จะเป็นลมหรือเฟื่อง หน้ามืดรึเปล่า เอายาลมไหม" อีกฝ่ายถามด้วยความเป็นห่วง
         "เปล่า ๆ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกมุก แค่รู้สึกแปลก ๆ สังหรณ์ใจเหมือนตาฟ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย" เฟื่องตอบ ท่าทางอกสั่นขวัญแขวน 
         "คิดมากน่า ตำรวจยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย อย่าฟุ้งซ่านสิ" มุกดาปลอบ เฟื่องเอามือปิดหน้าส่ายหัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง พอเริ่มสงบก็ก้มลงจะเก็บเศษแก้วที่ทำตกไว้
         "ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวฉันเก็บเอง สติไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวด้วย เดี๋ยวเศษแก้วก็บาดมือเลือดราดเข้าเท่านั้น เธอพักผ่อนเถอะ" มุกดาอาสา ก้มลงเก็บเศษแก้วใส่ที่ตักผง
        เฟื่องมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อย ๆ เอนตัวลงนอนบนเตียง แต่ไม่ได้หลับตา
        "นี่เธอแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะไปเชียงใหม่ ไม่รอข่าวจากตำรวจให้แน่ชัดก่อนเหรอ" เพื่อนสนิทถามขึ้น
        "ฉันทนรออยู่นี่ไม่ไหวหรอกมุก ลูกฉันทั้งคน ฉันอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ตาฟ้าคิดจะทำอะไร แล้วหายไปไหน ไม่แน่ว่า ลูกฉันอาจจะยังไม่เป็นไร" เธอพูดอย่างมีความหวัง 
        มุกดาไม่ได้พูดอะไรต่อ ยกที่ตักผงไปเทลงในถังขยะ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟในห้อง
        "พักผ่อนให้มาก ๆ นะเฟื่อง อย่ากังวลเรื่องลูกจนลืมดูแลตัวเอง หยิบจับอะไรก็ระวังหน่อยล่ะ" เธอเตือน มือผลักประตูเปิดเพื่อจะเดินออกไป
        "มุก เธอรู้ไหมทำไมฉันถึงเผลอทำแก้วตกแตก" จู่ๆ เฟื่องก็ถามขึ้น มุกดาที่กำลังจะเดินออกนอกประตูไปได้ยินก็ยืนชะงักค้างอยู่
        "ทำไมล่ะ หลุดมือเหรอ" อีกฝ่ายย้อนถามกลับ
       "เธอจะเชื่อรึเปล่า ฉันไม่รู้นะ แต่ฉันเหมือนเห็นแสงสีแดงอะไรสักอย่างแวบเข้ามา มันเป็นแสงที่แปลกมาก เหมือนไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ ฉันตกใจเลยปล่อยแก้วหลุดมือตกแตก" เฟื่องพูดเบา ๆ 
        มุกดาที่ยืนฟังนิ่งอยู่หันมามองเฟื่องครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ เดินออกจากห้องไปด้วยอาการครุ่นคิด

    *****

         ผู้ที่เฟื่องกำลังคิดถึงอยู่ในขณะนี้ หาได้รับรู้ถึงความเป็นห่วงของมารดาไม่ เพราะกำลังตกอยู่ในสภาวะเหนือธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้ แม้แต่สถานที่ก็ลี้ลับราวกับจะอยู่กันคนละโลกฉะนั้น
         หลังจากที่ลักษณ์นาราตรัสคำประกาศิตจบ ฐานิดา สินีและบดินทร์พากันนั่งตาค้าง หน้าซีดเผือดพูดอะไรไม่ออก ทั้งสามนิ่งงันไปราวกับถูกสาปและนั่งกอดกันด้วยความหวาดหวั่น คล้ายว่าชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ความกลัวที่มีต่อลักษณ์นาราและประกาศิตของพระนาง ดูราวกับจะดูดวิญญาณของทั้งสามออกไปจนหมดสิ้น
         หลังจากที่ตั้งสติ หลุดพ้นจากอาการช็อกได้ นภดลก็รีบหันหน้าไปทางลักษณ์นาราทันที
         "พระองค์หมายถึงอะไรพระเจ้าข้า หม่อมฉันไม่เข้าใจ ถึงฆาตอะไรกัน พระองค์ต้องเข้าพระทัยผิดเป็นแน่พระเจ้าข้า" นภดลพูด แม้จะหวั่นเกรงสักเท่าใด แต่ความตกใจเรื่องที่เพื่อนจะตายก็ได้ไล่ความกลัวที่มีให้สลายหายไปหมด แม้แต่คำราชาศัพท์ที่ไม่เคยพูดมาก่อนในชีวิต ก็พรั่งพรูออกมาจากปากอย่างน่าแปลกใจ
         นางผู้ทรงรัศมีสีแดงรอบพระวรกายอันมโหฬาร ได้ทอดพระเนตรลงมาที่ชายหนุ่ม จับจ้องจนเขาต้องหลุบตาลง
         "เจ้าเป็นคนที่มีไหวพริบเป็นเลิศ แต่สติปัญญาของเจ้า ทั้งมันสมอง ความคิดต่าง ๆ นานา เจ้าอย่าคิดว่าจะมากกว่าเรา ความรู้ในโลกมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด ไม่สามารถบรรลุหรือแตกฉานได้ในบั้นปลาย ไม่สามารถเทียบกับเราได้ เช่นนั้นแล้ว จงอย่ากำแหงหาญมาว่าข้าเข้าใจผิด" ลักษณ์นาราตรัสด้วยเสียงเรียบเฉย ไม่ได้ทรงกริ้วแต่อย่างใด แต่นักศึกษาหนุ่มก็รู้สึกว่าคำพูดของพระนางแฝงไปด้วยความเย็นชา
         "หม่อมฉันและเพื่อน ๆ ขออภัย ไม่ว่าจะเรื่องล่วงล้ำแดนหรือเรื่องอื่นใด พวกของหม่อมฉันไม่มีเจตนาใด ๆ ได้โปรดยกเว้นโทษตายให้แก่พวกของหม่อมฉันด้วยพระเจ้าข้า" นภดลอ้อนวอน
         "เจ้าคิดว่าตัวข้าจะพรากชีวิตสหายของเจ้าทั้งสามคนไปอย่างนั้นหรือ ครานี้เจ้าเป็นฝ่ายที่เข้าใจเราผิดบ้างแล้ว มนุษย์น้อยเอ๋ย ข้านั้นมิได้จะพรากชีวิตผู้ใด แต่เพื่อนของเจ้าทั้งสามต่างหากที่จะต้องสิ้นชีวีในวันนี้ด้วยแรงกรรมที่มาตัดรอนของพวกเขาเอง หาเกี่ยวกับข้าไม่" ลักษณ์นาราตรัส
         ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปสักพักด้วยความไม่เข้าใจ ราวกับจะล่วงรู้ความคิดของเขา ลักษณ์นาราตรัสต่อไปว่า
         "ในโลกมนุษย์ ถ้ามีผู้ใดถึงคราวตาย ไม่ว่าจะด้วยความชรา อุบัติเหตุ โรคภัย ตัวเจ้าเองสามารถหยุดสามารถห้ามได้หรือไม่ ไม่สามารถทำได้ เพราะอะไร ก็เพราะแรงกรรมของคนเหล่านั้นได้นำพวกเขามาถึงที่ตายแล้ว เฉกเช่นสหายทั้งสามของเจ้าในวันนี้ก็เหมือนกัน"
        ชายหนุ่มรู้สึกว่าพื้นที่นั่งอยู่ยวบลงไปในพริบตา เขาเข้าใจในคำพูดของพระนางแล้ว เพื่อนทั้งสามนั้นไม่ได้จะตายเพราะลักษณ์นาราคร่าชีวิต แต่จะตายเพราะสิ้นอายุขัยนั่นเอง ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่เพราะต่อให้เพื่อนทั้งสามจะอยู่ในโลกมนุษย์ ที่มหาวิทยาลัย หรือที่บ้าน ก็ไม่สามารถหนีความตายที่จะมาถึงในครั้งนี้ได้พ้น 
         "แล้วหม่อมฉันล่ะพระเจ้าข้า" นภดลทูลถาม
         "ตัวของเจ้าจะได้กลับไปยังโลกมนุษย์ตามเดิม ส่วนวิญญาณของสหายเจ้าทั้งสามจะต้องอยู่รับใช้ข้าที่นี่ไปชั่วกาลตามบุพกรรมที่ทำไว้" ลักษณ์นาราตอบ
         เหล่าผู้ที่ถูกกล่าวถึงสะดุ้งเฮือก ตอนนี้ทั้งสามคนต่างพากันร้องไห้น้ำตานองหน้า ก้มลงกราบลักษณ์นาราแทบพื้นเพื่อร้องขอชีวิต
         "ท่าน เรายังไม่อยากตาย พ่อแม่เราล่ะ เรายังไม่ได้ลาท่านเลย เราตายในป่าในเขาแบบนี้ไม่ได้หรอกนะคะ---ฟ้า… ฟ้าช่วยพูดกับเขาทีสิ ช่วยขอร้องท่านให้ยืดอายุเราได้ไหม" สินีร่ำร้อง เขย่าแขนเพื่อนชาย
         "ข้าไม่มีอำนาจจะยืดอายุใครได้ดอก เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ข้าไม่มีอำนาจถึงเพียงนั้น อย่าว่าแต่ข้า แม้แต่ท้าวมหาพรหมก็ช่วยมิได้ เพราะกรรมใครก็กรรมมัน" ลักษณ์นาราตรัสราวกับล่วงรู้ทุกสิ่งอย่าง
          ความเงียบได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้นอยู่นาน แม้แต่คัพธัพวดีก็นั่งก้มหน้านิ่งเงียบไป
         "ไม่ได้!" จู่ๆ นภดลพูดเสียงดังพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืน ทำเอาเพื่อนทั้งสามที่กำลังร้องไห้อยู่ต่างผงะด้วยอารามตกใจ
         "ผมไม่ยอม ถ้าจะให้ผมรอดไปคนเดียว คนอื่นก็ต้องไปทั้งหมด" จากความสิ้นหวังที่มีแต่เดิม บัดนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธและความกล้า นี่มันไม่ยุติธรรมเลย เขาจะให้เพื่อนมาตายแล้วตัวเองรอดคนเดียวไม่ได้ เขาเป็นคนชวนทุกคนมาเชียงใหม่ มาที่ถ้ำนี้ เท่ากับว่าชักนำเพื่อนมาตายชัด ๆ เขายอมไม่ได้ 
         "หยุดนะ! เจ้าคนอวดดี กล้าดียังไงถึงยืนพูดกับพระองค์เยี่ยงนั้น นั่งลงกราบขอชีวิตกับพระเทวีเดี๋ยวนี้ เจ้าคนสามหาว" คัพธัพวดีชี้หน้านภดล ร้องกึกก้องด้วยความโกรธ
         "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คัพธัพวดี" ลักษณ์นาราตรัสยิ้ม ๆ ยกพระหัตถ์อันมโหฬารขึ้นปรามคัพธัพวดี พระนางดูจะไม่ทรงกริ้วเลยสักนิด ทว่ากลับดูอารมณ์ดีขึ้นเสียอีก
         "เจ้าก็รู้ว่าข้าทำไม่ได้ ยังไงความตายของเพื่อนเจ้าก็ต้องมาถึง ไม่มีอะไรหยุดได้ เหมือนการโคจรของดวงดาว ส่วนตัวเจ้ายังไม่ถึงเวลา จงรักษาตัวเองให้รอดก่อนที่จะคิดห่วงผู้อื่นเถิด เจ้าช่วยพวกเขาไม่ได้ เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝืนกฎแห่งกรรมไปได้พ้น" ลักษณ์นาราตรัส
         "ผมเข้าใจพระองค์นะครับ" เขาเลิกใช้ศัพท์แสงชั้นสูง และดูเหมือนลักษณ์นาราจะไม่ถือตัวอะไร
         "แต่ผมจะไม่ยอมให้เพื่อนมาทิ้งชีวิตที่นี่แน่ ๆ ผมเป็นต้นเหตุทุกอย่าง ได้โปรดเถอะครับ ช่วยให้เราทั้งสี่คนรอดไปพร้อมกันได้ไหมครับ" ชายหนุ่มวิงวอน ก่อนจะหยุดพูดไปสักพัก แล้วค่อย ๆ กล่าวต่อไปว่า
         "ถ้าจะพรากชีวิต ก็ต้องพรากชีวิตผมอีกคนด้วย ผมจะไม่เห็นแก่ตัวหนีไปคนเดียวแน่นอนครับ" 
         "ฟ้า!" เพื่อนทั้งสามร้อง
         "ทำไมพูดแบบนั้น" ฐานิดาพูดเสียงดัง
         นภดลจับมือเพื่อน ๆ อีกสามคนไว้ เป็นความหมายแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมทิ้งกันเด็ดขาด
         องค์เทวีผู้เรืองฤทธิ์เลิกพระขนงหรือคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกพระทัย "เอาชีวิตเจ้าไปอีกคน? ข้าจะเอาชีวิตเจ้าไปด้วยเหตุอันใด ในเมื่อข้าทำไม่ได้เพราะเจ้ายังไม่ถึงฆาต  ส่วนการที่เจ้าจะมาตายพร้อมกับสหายของเจ้า แล้วมารดาของเจ้าล่ะ เจ้าลืมผู้มีพระคุณคนนั้นแล้วหรือ ถึงจะเอาชีวิตมาทิ้งขว้างเช่นนี้"
         ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ในทันทีทันใด ว่าตัวเองก็มีคนที่อยู่ข้างหลังซึ่งรักและเป็นห่วงเช่นกัน ถ้าเขาจากไป แม่ที่เคารพรักคงเสียใจใหญ่หลวงและจะกลายเป็นการอกตัญญูอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถทิ้งเพื่อน ๆ ได้เช่นกัน
        น้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงอาบแก้มของชายหนุ่ม
        "ผมต้องการให้ทุกคนรอด ผมแค่ไม่อยากให้ใครตายเท่านั้นเองครับ" เขาตอบ ก้มลงร้องไห้เบา ๆ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยภาวะที่กดดัน
        "เช่นนั้นเจ้าจะยอมทิ้งบุพการีของเจ้าโดยการตายแทนเพื่อน ๆ ของเจ้าหรือไม่ ข้าจะเอาชีวิตเจ้าแค่คนเดียว ส่วนอีกสามคนข้าจะปล่อยไป และวิญญาณของเจ้าจะอยู่รับใช้ข้าไปชั่วกาลแทนพวกเขา" ลักษณ์นาราเสนอข้อแลกเปลี่ยน
        "ไม่นะฟ้า! อย่านะ" สองสาวกรีดร้องออกมาพร้อมกัน
        "อย่าทำแบบนั้นนะฟ้า" บดินทร์พูดขึ้นมาอีกคนพลางจับมือเพื่อนชายแน่น
        นภดลสะอื้น ยังไงเขาก็ไม่มีทางทิ้งแม่ผู้ให้กำเนิดแน่นอน
        ลักษณ์นาราผู้อ่านใจทุกคนทะลุปรุโปร่งจึงตรัสว่า
        "ข้ารู้ใจเจ้าดี เจ้ามิได้มีความเห็นแก่ตัวใด ๆ แต่เจ้าก็ทิ้งมารดาเจ้าไม่ได้ เช่นนั้น ข้าจะให้ทางเลือกสุดท้ายแก่เจ้า" องค์เทวีเว้นระยะเล็กน้อยแล้วตรัสต่อ "ข้าจะปล่อยเจ้าทั้งสี่กลับไป แต่เจ้า…" ลักษณ์นาราจ้องมองลงมาที่ฟ้า
        "เจ้าจะมีเวลาในโลกมนุษย์อีกแค่ 5 ปีเท่านั้น จงใช้เวลา 5 ปีที่ข้าให้นี้ ทดแทนคุณมารดาของเจ้าให้ถึงพร้อม ครบ 5 ปีเมื่อใด เจ้าจะสิ้นชีวี และจะต้องมาเป็นวิญญาณรับใช้ข้าไปตลอดกาล" 
         นภดลเงยหน้าขึ้นมองพระเทวี ในใจวิ่งวุ่น หัวสมองกำลังขบคิดทางเลือกสุดท้ายที่พระนางให้มาอย่างถี่ถ้วน
        "ไม่นะฟ้า เธอทำแบบนี้ไม่ได้ อย่าไปฟังเขา เธอสามารถรอดได้ เธอต้องรอดออกไปก่อน เราสามคนจะหาทางทีหลัง" สินีพูด อีกสองคนรีบพยักหน้า
        "นั่นไม่ใช่กิจของเจ้า!" ลักษณ์นาราตรัสด้วยเสียงก้องดังสนั่นหวั่นไหวเข้าไปในหูของทั้งสามจนต้องทรุดตัวเอามืออุดหูไว้ เสียงของพระนางทำเอาความมืดรอบด้านสั่นครืน พระเนตรของนางวูบวาบวาววับราวกับจะสาดลงมาเป็นไฟบรรลัยกัลป์มอดไหม้ทุกชีวิตให้ดับดิ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ลักษณ์นาราทรงพระพิโรธ
        "นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องเลือกเอง เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปชักนำเขา" ลักษณ์นาราตรัส คราวนี้ทั้งสามคนนิ่งเงียบไป
        "ข้ารอคำตอบจากเจ้าอยู่ มนุษย์" ลักษณ์นาราทวงถาม
        นภดลที่นั่งเงียบไปนาน ค่อย ๆ ตอบไปว่า
        "ถ้าผมยอมรับ พระองค์จะปล่อยเพื่อนทั้งสามไปโดยไม่ตามยุ่งเกี่ยวอะไรอีกใช่ไหมครับ"
        "เป็นเช่นนั้น มนุษย์"
        "งั้นผมยอมรับ"
        "ฟ้าไม่นะ"
        "ฟ้าทำบ้าอะไรเนี่ย"
        เพื่อนทั้งสามเอ็ดตะโรขึ้นมาทันที 
        "เงียบนะ เราเลือกแล้ว" ชายหนุ่มตวาดใส่เพื่อน ๆ สินีร้องไห้โฮก่อนจะรีบเข้ามากอดเขาไว้
        "ที่ฟ้าทำอย่างนี้ก็เพราะจะช่วยพวกเรา แล้วฟ้าคิดว่าพวกเราจะหนีเอาตัวรอดงั้นเหรอ ดูถูกน้ำใจพวกเรามากเกินไปแล้วฟ้า ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน ถ้าฟ้าจะมาตายที่นี่คนเดียว หรืออีก 5 ปีข้างหน้า เราก็ไม่ยอมทั้งนั้น" เธอพูดทั้งน้ำตา
        "เราไม่มีทางเลือกแล้วต่าย ดีกว่าเราจะมาตายกันทั้งหมด นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด" นภดลบอกเพื่อน
        สองสาวสะอึกสะอื้น ส่วนบดินทร์นั่งหน้าเครียด
        ลักษณ์นาราโบกพระหัตถ์ช้า ๆ ดอกไม้สีแดงเล็ก ๆ ดอกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ลอยหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลอยต่ำลงมาเรื่อย ๆ และมาตกตรงหน้านภดล
        "กลืนดอกไม้นั้นเข้าไปในกายเจ้า เมื่อเจ้ากลืนเข้าไปแล้วถือว่าให้สัจจะกับข้า จะถอนมิได้ และอีก 5 ปีโลกมนุษย์ มันจะนำเจ้ากลับมาหาข้าที่นี่" ลักษณ์นาราตรัส
        ชายหนุ่มหยิบดอกไม้สีแดงดั่งเลือดนั้นขึ้นมาในมือ
        "ฟ... ฟ้าจะทำอะไร" บดินทร์ถามทันที
        "ฟ้า เราขอร้องอย่าทำแบบนี้" ฐานิดาดึงแขนเพื่อนไว้ 
        ด้านสินีนั่งร้องไห้อย่างไม่อายใคร เพราะรู้นิสัยเพื่อนชายดี ถ้าคิดตั้งใจจะทำอะไร หน้าอินทร์หน้าพรหมก็หยุดไม่ได้ 
         นภดลอ้าปาก หยิบดอกไม้สีแดงเข้าไปในปากของตน
         "หยุด!" ลักษณ์นาราตรัสเสียงดัง
         นภดลสะดุ้ง ถือดอกไม้ค้างอยู่ ส่วนอีกสามคนหันไปมองเทวนารีทันที
         พระอัสสุชลไหลรินลงมาจากพระเนตรขององค์เทวี พระโอษฐ์แย้มยิ้มด้วยความยินดี 
        "นานมากแล้วนะ นานมากทีเดียวที่ข้ามิได้เจอมนุษย์แบบพวกเจ้า มนุษย์ที่เสียสละเพื่อผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่หนีเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์และที่สำคัญ ความกล้าหาญ" ลักษณ์นาราตรัสอย่างใจดี
         ทั้งสี่คนงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันคืออะไรกัน นภดลก้มมองดอกไม้สีแดงในมือ แต่ทว่ามันหายไปแล้ว เมื่อหันไปมองคัพธัพวดีก็เห็นนางยิ้มแล้วมองมา
         ลักษณ์นาราตรัสต่อไปว่า
        "เราแค่ต้องการทดสอบพวกเจ้าเท่านั้น เจ้าทั้งสี่คนมิได้มีใครถึงฆาตชะตาขาดอันใดหรอก เมื่อเราจะทดสอบเจ้า" ลักษณ์นาราชี้ดัชนีมาที่นภดลและตรัสต่อว่า "เราก็แกล้งบอกว่าเพื่อนเจ้าอีกสามคนจะถึงฆาต เจ้าก็ได้แสดงถึงความเสียสละ ความไม่ทอดทิ้งเพื่อน เป็นที่น่านิยมยิ่งนัก พอมาถึงคราวที่ข้าจะทดสอบเพื่อนเจ้าทั้งสามบ้าง ที่ข้าบอกว่าเจ้าจะต้องตายเพียงผู้เดียว เพื่อนทั้งสามของเจ้าก็ไม่ยอม ไม่ทอดทิ้งเจ้าเหมือนกัน"
         ทั้งสี่คนสบตากัน ค่อย ๆ เข้าใจเรื่องราวทีละน้อย  
         "พวกเจ้าทำให้ข้ายินดีนัก มนุษย์อย่างพวกเจ้ามีน้อยมาก พวกเจ้าแสดงให้ข้าเห็นถึงพลัง ถึงมิตรภาพ ความดีงามที่ไม่มีผู้ใดมาทำลายได้ จงรักษาความดีงามนี้ไว้เถิด ท่านผู้เจริญทั้งหลาย วันหน้าจะมีอุปสรรคอีกมากมายจะมาถึงพวกเจ้า จงใช้พลังแห่งความดีนี้ชนะอุปสรรคเหล่านั้นด้วยเถิด" ลักษณ์นาราตรัสอวยพร
         ทั้งสี่คนร้องไห้โฮออกมาด้วยความปีติยินดี พากันกอดกันกลม ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกมือขึ้นประนม แล้วกราบลงไปแทบพื้นธรณีอย่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาของพระนางผู้งามเลิศ ความกังวลต่าง ๆ ในใจของทั้งสี่สลายหายวับไปทันที
        ลักษณ์นาราหันไปมองคัพธัพวดี นางไม้คนธรรพ์พยักหน้านิดหนึ่ง ลักษณ์นารายิ้มเล็กน้อย และเมื่อหันกลับไปที่สหายทั้งสี่ก็ตรัสว่า
        "เป็นอันว่าพวกเจ้าผ่านการทดสอบ ลุกขึ้นเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย"
         สองหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน และเข้าไปพยุงสองสาวที่ยังสะอื้นเล็กน้อยให้ลุกตาม
        "ที่พระองค์ตรัสว่าผ่านการทดสอบ หมายถึงอะไรหรือพระเจ้าข้า" นภดลทูลถาม 
        "ผ่านการทดสอบก็เหมือนกับการอนุญาตให้เจ้าไปในที่ที่เจ้าปรารถนามานานยังไงล่ะ ฟ้า" ลักษณ์นาราตรัสชื่อเล่นของเขาออกมาเป็นครั้งแรก ทำเอาชายหนุ่มขนลุกซู่
        "คิดว่าการทดสอบนี้เป็นการทดสอบธรรมดาอย่างนั้นหรือ มิใช่ดอก รวมถึงเจ้าทั้งสามคนด้วย เจ้าจะได้ไปในที่ที่ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนใดไปได้ ไม่ว่าจะมีบุญมากมายสักเพียงไหน ถือว่าเป็นวาสนาของพวกเจ้ายิ่งแล้ว พลังแห่งความดีงามของพวกเจ้าเองเมื่อครู่ ทำให้ประตูอีกโลกหนึ่งเปิดออก" ลักษณ์นาราตรัส
         ลักษณ์นาราโบกพระหัตถ์อีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาววาบบาดตาปรากฏขึ้นข้างหลังพระนางเป็นเส้นตรงแนวตั้งดิ่ง เหมือนกับมีบานประตูขนาดยักษ์กำลังเปิดแง้มออกช้า ๆ
        "ขอต้อนรับ..." ลักษณ์นารายิ้มอ่อนโยน ไม่ได้หันไปมองเหล่ามนุษย์ แต่ก็ยังตรัสกับทั้งสี่ว่า
        "...ประตูสู่ป่าหิมพานต์เปิดออกแล้ว!"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×