ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #4 : เผชิญหน้าองค์เทวี

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 66


        ตอนที่ 4 เผชิญหน้าองค์เทวี



         ย้อนเวลาไปเมื่อ 24 ชั่วโมงที่แล้ว
       
         วัยรุ่นทั้ง 4 คนกำลังพยายามจับจ้องมองผนังถ้ำแต่ละด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนในที่สุด บดินทร์ก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น

         "เห็นจริง ๆ ด้วยฟ้า พอจ้องมองนิ่ง ๆ หินพวกนี้ดูราวกับจะส่องแสงออกมาเองได้ แต่พอกะพริบตาก็จะหายวับไป มาดูสิ"

         สินีรีบวิ่งเข้าไปยืนมองผนังถ้ำด้านที่บดินทร์ยืนอยู่ด้วยความสนใจ ส่วนนภดลไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
     
         สิ่งที่เบนความสนใจของนภดลตอนนี้ก็คือต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้า
      
         ต้นไม้ต้นนี้ผุดขึ้นมาใจกลางถ้ำ แทรกตัวผ่าเข้ามากลางพื้นหิน ยืนหยัดอยู่ระหว่างผนังถ้ำ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปไกล โดดเดี่ยวทะมึนทึบท่ามกลางความมืดและความอับชื้นของถ้ำ ที่น่าแปลกใจคือ ใบไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเต็มต้นทั้ง ๆ ที่บริเวณนี้แดดไม่มีทางส่องถึง แม้แต่แสงสว่างก็ไม่มีทางที่จะเล็ดลอดเข้ามา

         ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เจริญเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร ?
         

         ชายหนุ่มมองพฤกษาตระหง่านง้ำนั้นนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีใครดึงเสื้ออยู่หลายครั้ง

         "นั่นต้นอะไร พวกเธอรู้ไหม" เขาถามเพื่อน ๆ โดยไม่ได้หันไปมอง ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ทะมึนใจกลางถ้ำเบื้องหน้า

         ไม่มีใครตอบฟ้าสักคน แต่ลักษณะอาการที่เสื้อของนภดลถูกดึงก็ยังดำเนินอยู่เช่นนั้น 

         ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกรำคาญจึงหันมาดู ก็เห็นสินีกำลังยืนดึงเสื้อของเขาอยู่ หน้าเธอซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตามีน้ำตาคลอ เธอเหมือนจะหวาดกลัวอะไรสักอย่างจนพูดไม่ออก

         "อะไร มีอะไรต่าย" เขาจับไหล่เพื่อนสนิทไว้ เธอไม่ตอบ แต่ชี้มือไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่อุทยานเดินนำทางอยู่เมื่อครู่ 

          ชายหนุ่มมองตาม แล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ 

          พี่เจ้าหน้าที่อุทยานที่นำทางเข้ามา บัดนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทางเดินข้างหน้าที่เปิดโล่ง บัดนี้ปิดสนิทกลายเป็นทางตัน!

         "อะไรกันเนี่ย" นภดลกระซิบแผ่วเบา

         "ทางที่เราเดินมาก็ปิดหมดเลย" ฐานิดาร้องออกมา

         นภดลหันหลังกลับไปมอง และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทางที่เดินกันมาบัดนี้กลับกลายเป็นผนังหินราบเรียบ ไม่มีทางออกอื่นให้ไปได้เลย

         "ฟ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น พี่คนนั้นไปไหนแล้ว" สินีถามเสียงสั่นเครือ

         เขาไม่ตอบ รู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวง บดินทร์กับฐานิดาตอนนี้ทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปนอกถ้ำทั้ง ๆ ที่ไม่มีทางออก

         "เอก แป๋ว ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งตกใจ มารวมกลุ่มกันไว้ก่อน" ชายหนุ่มตะโกนเรียก สินีแม้จะตกใจไม่แพ้เพื่อนอีกสองคน แต่ก็ยังพอมีสติ รีบวิ่งไปจับมือเพื่อนทั้งสองคนมารวมกลุ่ม 

         "นี่เราเดินหลงกับพี่เขาเหรอฟ้า" ฐานิดาถามเสียงดังด้วยความตกใจ 

         "ไม่ได้เดินหลงแน่ ๆ เรามั่นใจ เพราะเราเดินตามหลังพี่เขามาตลอด มันเหมือนกับว่าพี่เขาหายตัวไปงั้นแหละ" บดินทร์พูดเสียงตระหนก

         "เงียบนะเอก  คนทั้งคนจะหายไปไหนได้ เราคงพลัดหลงกับพี่เขาต่างหาก" ฐานิดาพยายามหาเหตุผล

         "เราว่าสภาพถ้ำเปลี่ยนไปนะ เราจำได้ว่าตอนเดินเข้ามา หินไม่สูงใหญ่ขนาดนี้" สินีเอ่ยพลางไล่สายตาไปตามหินงอกหินย้อย
         

         "กรี๊ด!!" จู่ๆ ฐานิดาก็หวีดร้องออกมาสุดเสียง

         "แป๋ว เป็นอะไร"

         "ด... ดูรอบ ๆ สิ" หล่อนร้อง

         นภดลหันไปมองรอบตัว แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ทว่าอีกขณะจิตต่อมา เขาก็รู้ว่าเพื่อนหญิงกรีดร้องเพราะอะไร

         แสงในถ้ำที่เคยส่องสว่างเริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ จากสว่างจ้าก็เริ่มหม่นหมองลง ทีละนิด ๆ จนกลายเป็นแสงสลัวเลือนรางที่มองอะไรไม่ชัด 

         "ข้างนอกมืดแล้วเหรอ" สินีถามเสียงขาดเป็นห้วง ๆ

         "ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่ความมืดจากตอนกลางคืน แต่แสงในนี้กำลังหมดลง" นภดลตอบ

         ความมืดรอบด้านกำลังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน กระทั่งครอบงำหมดสิ้นจนมองไม่เห็นตัวเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

         "จับมือกันไว้ก่อนเร็ว แล้วค่อย ๆ นั่งลง ใครเอามือถือออกมาส่องไฟหน่อยสิ" นภดลสั่งการ

         เพื่อนอีกสามคนรีบจับมือกันแน่นแล้วนั่งลงกับพื้น กระซิบเรียกถามหาชื่อแต่ละคนเพื่อตรวจดูว่ามีใครหายไปบ้าง 

         สองสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่องไฟแต่ไม่สามารถเปิดไฟจากหน้าจอได้

         "ฟ้าโทรศัพท์เราไม่ติด" ฐานิดาร้อง

         "เราก็ไม่ติด" สินีทุบโทรศัทพ์มือถือกับฝ่ามือพลางพูดขึ้นมาอีกคน

         "ช่างมัน นิ่ง ๆ ไว้ก่อน รวมกลุ่มไว้ ใครอย่าเพิ่งวิ่งไปไหนเด็ดขาดนะ ตั้งสติ แล้วมาคิดหาทางว่าจะทำยังไงกันต่อไป" นภดลพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

          บัดนี้ ความมืดปกคลุมไปทั่วแล้ว ราวกับถูกผ้าสีดำปิดตา จะมองจะจับสังเกตอะไรก็ไม่สามารถทำได้เลย แม้แต่เพียงแสงจุดเล็ก ๆ ก็ไม่ปรากฏ

          'คัพธัพวดี ได้โปรดช่วยเราด้วย' ชายหนุ่มหลับตา นึกภาวนาในใจ



         "กรี๊ด!" เสียงหวีดร้องของหญิงสาวคนใดคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครดังขึ้นรอบ

         "มีอะไรอีก" นภดลส่งเสียงผ่านความมืดออกไป

         "นั่น... ใครน่ะ" สินีถามออกมาในความมืด

         เขาหันมองรอบทิศ แล้วสะดุดตากับแสงสีขาวบาง ๆ เหนือศีรษะเยื้องขึ้นไปเบื้องหน้าเล็กน้อย

         คัพธัพวดีนั่นเอง หญิงงามเกินมนุษย์ที่เขาพบปะเมื่อคืน กำลังยืนยิ้มพออกพอใจในอะไรบางอย่าง

         "คัพธัพวดี นั่นคุณใช่ไหม" นภดลส่งเสียงถามออกไป ความหวาดกลัวที่เคยมีต่อคัพธัพวดีนั้นหมดสิ้นไป เมื่อตนเองและเพื่อนฝูงกำลังตกอยู่ในสภาวะอันตรายแบบนี้ 
     
         "ข้าดีใจที่เจ้ายังจำเราได้ แม้เราจะสถิตห่างไกลเจ้าขนาดนี้" นางตอบ

         "ฟ้า นี่มันอะไรกัน เธอคุยกับเขางั้นหรือ" ฐานิดาถามเสียงหลง
     
         "เงียบก่อน" เขาปราม
         
         "คุณบอกให้ผมมาขอขมา ผมก็มาแล้วพร้อมกับเพื่อน แล้วคุณทำแบบนี้ทำไม ไหนว่าคุณไม่เคยทำร้าย ไม่เคยรบกวนมนุษย์" ชายหนุ่มส่งเสียงถามขึ้นไป
     
         "เรามิได้ทำอะไรกับพวกเจ้าทั้งสิ้น ความมืดที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเจ้านั้นคือธรรมดาในที่แห่งนี้ ฉะนั้นเจ้าจะมากล่าวหาว่าเราทำร้ายพวกเจ้ามิได้ เพราะพวกเจ้ามิได้เป็นอันตรายใด ๆ" คัพธัพวดีตอบ
     
         "งั้นก็หยุดทำแบบนี้เถิด เราแค่จะมาขอขมา แล้วจากนั้นผมขอร้องให้ปล่อยเรากลับไป"
     
         ทุกครั้งที่มีการตอบโต้ระหว่างนภดลกับนางในอากาศ เพื่อนอีกสามคนจะสะดุ้งตกใจตลอด บางครั้งเขาได้ยินเสียงสะอื้นด้วยความหวาดกลัวดังมาจากสองสาวด้วย

         คัพธัพวดีไม่ตอบฟ้า เพียงแค่ยืนเอียงคอมองฟ้าอย่างสนอกสนใจ ดั่งคราวแรกที่เจอกัน ชายหนุ่มเริ่มเอะใจว่ามันต้องมีอะไรแปลก ๆ แน่แล้ว
         
        "คัพธัพวดี นี่คุณไม่ได้ต้องการให้เรามาขอขมาใช่ไหม คุณพาเรามาที่นี่เพราะอะไรกันแน่" เขาตัดสินใจถาม
     
         "เรายอมรับ เราไม่ได้ต้องการจะมาฟังคำขอขมาอะไรจากพวกเจ้า เรามีจุดประสงค์อื่น"
     
         "แสดงว่าคุณโกหก คุณหลอกพวกผมมาที่นี่งั้นหรือ ไหนคุณบอกว่าจะไม่พาพวกเรามาสู่หายนะ แต่ที่ผมเห็นคือคุณกำลังผิดสัจจะ คุณจงใจนำพวกเรามาสู่อันตรายชัด ๆ" เขาตะโกนออกไปด้วยความโกรธ 
     
         "หุบปากเดี๋ยวนี้นะ" นางตะโกนก้อง "จะกี่ภพกี่ชาติ เจ้าก็ยังโอหังถือดีอยู่เช่นเดิม กิจนี้ไม่เกี่ยวกับเรา เราแค่ชักจูงพวกเจ้ามาพบกับพระองค์!"
     
         "พระองค์? คุณหมายถึงใครกัน" ชายหนุ่มงุนงง

         นางในโลกทิพย์ไม่ตอบ ค่อย ๆ หันกายไปทางขวาของตน นั่งคุกเข่าลงกับพื้น ยกมือประนมไว้แนบอกและกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน
       
         "ข้าแต่ท้าวธตรฐ*ผู้เป็นใหญ่ในหมู่คนธรรพ์ ท้าววิรุฬหก*ผู้เป็นใหญ่ในหมู่กุมภัณฑ์* ท้าววิรูปักษ์*ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นาค และท้าวเวสสุวรรณ*ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์ ได้โปรดเถิดเพคะ จงประทานพรให้หม่อมฉันทำกิจครั้งนี้ให้สำเร็จด้วยเถิด"
     
         ทันทีที่นางกล่าวจบ เบื้องขวาของนางก็บังเกิดแสงสีแดงวาบขึ้นมาแปลบปลาบส่องสว่างไปทั่วบริเวณ นภดลกับเพื่อนอีกสามคนที่นั่งตัวสั่นอยู่ถึงกับหลับตาเพราะรัศมีจ้าที่สาดลงมากะทันหัน เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้น รัศมีสีแดงก็ค่อย ๆ กลับเข้ามารวมกลุ่ม ณ จุดที่มันกำเนิด ปล่อยให้รอบด้านมืดสนิทลงตามเดิม เขาจับตามองแสงสีแดงที่กำลังเปล่งสว่างอยู่ด้วยความฉงน ไม่นานแสงนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหาย แต่กลับมีอะไรบางอย่างเข้ามาแทนที่
     

         ร่างของสตรีนางหนึ่ง กำลังนอนอยู่กลางอากาศด้วยท่าสีหไสยาสน์*โดยไม่มีอะไรรองรับ ที่น่าตกใจคือร่างของนางมีขนาดใหญ่โตนัก ทำให้นึกถึงองค์พระนอนขนาดยักษ์ก็ยังเทียบไม่เท่านาง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ายาวจนแทบมองไม่สุด ความกว้างนั้นเล่าก็สูงจนแทบต้องแหงนหน้ามอง รอบกายของนางมีรัศมีสีแดงเรื่อ ๆ เปล่งประกายออกมาตลอดเวลา เมื่อนภดลมองไปที่ใบหน้าของนาง เขาคิดว่าคัพธัพวดีนั้นงามแล้ว แต่นางผู้มีร่างกายอันมโหฬารนี้กลับสวยกว่าอย่างเทียบไม่ได้ ดวงตาทั้งสองข้างนั้นปิดสนิท มือข้างซ้ายของนางมีสีแดงเข้ม เขารู้ได้ทันทีจากการอ่านหนังสือแนวตำนานทางพุทธมาเยอะว่า นี่คือเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก 

         แม้แต่คัพธัพวดีเองก็ยังเกรงฤทธิ์นางผู้นี้ นางได้แต่นั่งก้มหน้า มือยังประนมอยู่ที่อกเช่นนั้น นภดลรู้ได้ในทันทีว่า พระองค์ที่คัพธัพวดีพูดถึง คือนางผู้นี้กระมัง

         รัศมีจากกายของนางสว่างพอที่จะขับไล่ความมืดบางส่วนรอบ ๆ ตัวสี่สหายออกไป ตอนนี้นภดลค่อย ๆ มองเห็นเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ตนได้ชัดเจนขึ้นซึ่งอีกสามคนตอนนี้ได้แต่จ้องมองร่างของนางที่นอนอยู่กลางอากาศด้วยความตกใจ ปากอ้าค้างพูดอะไรไม่ออกเพราะอาการช็อกกับภาพที่ปรากฏ
     
         นานเท่านาน...
     
         "นานมากแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้เห็นใครเข้ามาที่นี่" พระสุรเสียงหวานล้ำดังกังวานขึ้นจากโอษฐ์ของสตรีผู้งามเลิศ พระเนตรที่ปิดสนิทค่อย ๆ เปิดอย่างช้า ๆ 

         ชายหนุ่มขนหัวลุกซู่ด้วยความตกใจ ดวงนัยน์ของนางนั้นแดงวาบราวกับไฟ นภดลรีบก้มหลบทันที 

         ด้วยประสาทสัมผัสที่หกหรืออะไรไม่รู้ได้ นักศึกษาหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบลงไปกับพื้น ทำความเคารพสตรีผู้นั้น เพื่อนทั้งสามเห็นเขาก้มลงกราบ ก็รีบทำตามกันเป็นพัลวัน
     
         "นานกี่พันปีมาแล้ว ที่ข้าไม่เห็นมนุษย์ธรรมดาเข้ามาถึงที่นี่ได้ ที่เคยพบก็มีเพียงแต่พระอริยเจ้าและพระอรหันตขีณาสพ*เท่านั้นที่ล่วงรู้ธราดล*แห่งเรา แล้วเหตุใดถึงมีมนุษย์ผู้อาจหาญล้ำแดนมาถึงที่นี่ได้ หรือว่า นี่ล่วงถึงกึ่งพุทธกาล*แล้วงั้นหรือ?" นางผู้ทรงฤทธิ์มหิทธานุภาพตรัส หันพระพักตร์อันผุดผ่องไปทางคัพธัพวดี

         "ถูกแล้วเพคะ เวลานี้ในมนุษย์โลกฟากฝั่งชมพูทวีป*ได้เข้าสู่ช่วงกึ่งพุทธกาลแล้วเพคะ ฝ่าบาท" คัพธัพวดีตอบ

         "อะไรกัน นี่ถึงกึ่งพุทธกาลแล้วงั้นหรือ เวลาในมนุษย์โลกช่างไวเสียจริง ดูเหมือน... ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้เองนะ" เสียงของนางผู้งามล้ำค่อย ๆ อ่อนลง กระแสเสียงดูราวกับจะเสียใจอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้ง
     
         "ใช่ ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้เอง กับเหตุการณ์มหาวิปโยค วันเสด็จดับขันธปรินิพพาน*ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้ ช่างเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจข้ายิ่งนัก คัพธัพวดีเอ๋ย ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดในโลกจะเทียบได้กับเหตุการณ์นี้ที่สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งมหาโลกธาตุ*ครั้งนั้น" พระนางตรัสเสียงสั่นสะท้านเครือหน่วงด้วยความเสียพระทัย นภดลเหมือนเห็นพระอัสสุชล*หยดหนึ่งไหลออกมาจากพระเนตรที่แดงจ้าราวกับเพลิงของนาง

         "พระนางเพคะ" คัพธัพวดีเรียกเตือนด้วยเสียงอันเบา 

         นางผู้มีวรองค์อันใหญ่โตเหมือนจะดำรงพระสติกลับคืน แล้วก้มลงมองมนุษย์ทั้งสี่เบื้องล่าง
         
         "มนุษย์ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่" พระนางตรัสถาม

         ทั้งสี่ตัวสั่นสะท้าน ไม่มีใครกล้าทูลตอบ แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบพักตร์ก็ไม่กล้า

         "เอ๊ะ มนุษย์เดี๋ยวนี้หูหนวกกันแล้วหรือไร ข้าถามไปเหตุไรถึงไม่ตอบ หรือว่าเจ้าจะเอามาผิดตัว คัพธัพวดี" นางผู้เปี่ยมฤทธิ์ตรัสถาม

         "มิได้เพคะ พระนาง ถูกตัวแน่นอนเพคะ" คัพธัพวดีรีบทูลตอบ

         "เช่นนั้น มนุษย์ผู้อาจหาญทั้งสี่ จงตอบข้ามา เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่" พระนางตรัสถามอีกครั้ง

          นภดลก้มลงกราบอีกครั้งและพูดออกไปโดยไม่เงยหน้า
     
          "ม... มะ... หม่อมฉันไม่ทราบ พ... พระเจ้าข้า เอ่อ พระนาง..." เขาทูลตอบเสียงสั่นระรัว
     
          "ลักษณ์นารา คือนามของเรา"

          "พระเจ้าข้า" 

          "ฉะนั้น เจ้าทั้งสี่จงฟังเราให้ดี ที่พวกเจ้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะ..." ลักษณ์นาราตรัส ริมโอษฐ์แย้มพระสรวลเล็กน้อย พระเนตรราวกับจะสาดแสงลงมาแผดเผาทั้งสี่ให้มอดไหม้ ก่อนจะตรัสต่อว่า

         "เพราะเจ้าทั้งสามคน..." พระนางยกดัชนีชี้มาที่ฐานิดา สินีและบดินทร์

         "...จะต้องถึงฆาต ชะตาขาดในวันนี้แล้ว"




    โปรดติดตามตอนต่อไป
      


    เชิงอรรถ

    *ท้าวธตรฐ  (ธะ-ตะ-รด) หมายถึง  ประมุข 1 ใน 4 ของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ปกครองด้านทิศตะวันออกและหมู่คนธรรพ์

    *ท้าววิรุฬหก (วิ-รุน-หก) หมายถึง ประมุข 1 ใน 4 ของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ปกครองด้านทิศใต้และเหล่ากุมภัณฑ์

    *กุมภัณฑ์ หมายถึง อสูรชนิดหนึ่งในป่าหิมพานต์ รูปร่างประหลาด อยู่ใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก

    *ท้าววิรูปักษ์ หมายถึง ประมุข 1 ใน 4 ของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ปกครองด้านทิศตะวันตกและหมู่นาค
     
    *ท้าวเวสสุวรรณ หมายถึง ประมุข 1 ใน 4 ของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ปกครองด้านทิศเหนือและเหล่ายักษ์

    *สีหไสยาสน์ (สี-หะ-ไส-ยาด) หมายถึง ท่านอนตะแคงขวา มือซ้ายวางแนบเสมอลำตัว มือขวาหนุนศีรษะ สายตามองลงต่ำ เท้าสองข้างวางซ้อนเหลื่อมกัน

    *พระอรหันตขีณาสพ (ออ-ระ-หัน-ตะ-ขี-นา-สบ) หมายถึง ชื่อพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดใน 4 ชั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

    *ธราดล หมายถึง พื้นแผ่นดิน, โลก

    *กึ่งพุทธกาล หมายถึง อายุของพระพุทธศาสนาที่ล่วงเลยมาถึงครึ่งทาง คือช่วง พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป

    *ชมพูทวีป ในที่นี้หมายถึง โลก

    *ดับขันธปรินิพพาน หมายถึง ตาย (ใช้กับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์)

    *มหาโลกธาตุ หมายถึง จักรวาลหลายแสนหลายล้านจักรวาลรวมกัน

    *พระอัสสุชล หมายถึง น้ำตา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×