ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #10 : เพื่อนร่วมทางที่คาดไม่ถึง

    • อัปเดตล่าสุด 2 ม.ค. 67


           ตอนที่ 11 เพื่อนร่วมทางที่คาดไม่ถึง

                                                                 

     

          สองเกลอมองหน้ากัน

         "น่ะ... นารีผลหรือ" นภดลถาม สายตาพินิจพิจารณาไปทั่วร่างกายของสาวผู้เกิดจากต้นไม้ ไม่รู้ว่าเธอไปเอาหญ้าขนหนาขนาดยาวมาจากไหนแต่มันก็สามารถพันปกปิดลำตัวช่วงหน้าอกและท่อนเอวลงไปได้อย่างมิดชิดพอสมควร 

         นารีผลยืนเอียงคอมอง

         "ใช่แล้วท่านทั้งสอง ได้โปรดอย่ากลัวข้า ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดกับพวกท่าน ข้าแค่จะตอบแทนที่ท่านทั้งสองช่วยชีวิตข้าไว้ หาไม่ร่างของข้าคงถูกพรากไปเหมือนเพื่อน ๆ ของข้าก่อนหน้านี้"

         "นั่นคือฝีมือคุณหรือ" นภดลถามพลางชี้ไปที่ศพคนธรรพ์ไร้หัว

         "ถูกต้อง แต่ไม่ใช่วิชาอะไรที่มีฤทธิ์นักหรอก ข้าเคยร่ำเรียนวิชาให้สิ่งต่าง ๆ เคลื่อนไหวสมัยยังเป็นผลดิบ ชาวฟ้าสตรีมักจะลงมาสอนพวกเรา เป็นวิชาธรรมดาที่ผู้ใดก็ทำได้ ไม่ใช่วิชายากเย็นอะไร" นารีผลตอบ สายตาจ้องมองศพคนธรรพ์

         "โอ้ คุณพระ ฉันนึกว่า... นึกว่ามันฟื้นคืนชีพเสียอีก" สินีพูดเสียงแหบโหย เธอยังดูสติไม่มั่นคงเท่าที่ควร เพื่อนชายรีบเดินไปกุมมือเพื่อนไว้ด้วยความเป็นห่วง

         "คุณแค่ให้มันเคลื่อนที่เฉย ๆ เท่านั้นเหรอ" ชายหนุ่มถามนารีผลอีกครั้งด้วยความแปลกใจ

         "ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด ก็ไม่ต่างกับการขยับไม้หรือขยับก้อนหินดอก แต่ถ้าใหญ่มากข้าก็ทำไม่ได้" เธอตอบ

         "แล้วทำไมวิทยาธรถึงได้หวาดกลัวมากนักจนถึงขนาดหนีไปล่ะครับ" นภดลถามต่อเพราะเขาสงสัยในข้อนี้อย่างยิ่ง

         "ท่านยังไม่รู้จักวิทยาธรดีพอ โดยเชื้อวงศ์เผ่าพันธุ์ของวิทยาธรนั้นจะมีวิชาอาคมเฉพาะตัวที่ค่อนข้างสูง ไสยเวทมนตราหรือฌานสมาบัติใด ๆ พวกเขาย่อมเรียนรู้จนชำนาญ วิทยาธรใช้อาวุธประจำกายสังหารคนธรรพ์ เขารู้แค่ว่านั่นคือจุดจบ แต่การเห็นร่างคนธรรพ์ลุกขึ้นได้อีก เขาจึงเข้าใจว่าเวทมนตร์อาคมเขากำลังกลับเข้าตัว และด้วยความอวดดีของเขาเองจึงทำให้มองข้ามวิชาธรรมดาอย่างการเคลื่อนที่นี้ไป วิทยาธรมองไม่เห็นในจุดนี้ กลับคิดว่าอาคมตัวเองสะท้อนกลับ ความกลัวในวิชาของตัวเองนั่นแหละทำให้เขาหนีไป" เธออธิบายจนมนุษย์ทั้งคู่แจ่มแจ้งในทุกข้อสงสัย

         นภดลสบตานารีผล เขารู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยแบบสาวแรกรุ่น ตั้งแต่เส้นผมยันปลายเท้าไม่มีที่ติได้เลย

         "ปกติมีคนมาเก็บพวกคุณไปบ่อยเลยเหรอคะ" สินีส่งเสียงถามออกมา

         "ตลอดเวลาเลยล่ะท่านหญิง" นารีผลตอบเสียงเนิบ

         หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นชินกับการถูกเรียกแบบนั้น

         "แต่มีคนสร้างคุณขึ้นมาเพื่อให้สิ่งที่อยู่ในป่านี้มาเก็บไปอยู่แล้วนี่ครับ" นภดลไต่ถาม ต้องการรู้ข้อมูลให้มากที่สุด

         "ท่านชายผู้นี้" นารีผลชี้นิ้วเรียวงามมาที่ชายหนุ่ม "เหตุไฉนจึงรู้เรื่องข้ามากนัก ท่านบอกว่าท่านเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องเหล่านี้"

         "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนรู้นี่ครับ" เขาแย้งออกไป

         "มีแต่พระอริยเจ้า พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงพร้อมแล้วเท่านั้นที่จะรับรู้และพบเจอสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ท่านมิใช่แต่ทำไมท่านถึงรู้" นารีผลเอียงคอถาม

         นภดลฉุกคิดในคำพูดของนารีผลด้วยความแปลกใจ มันตรงกับสิ่งที่ลักษณ์นาราเคยพูดกับเขามาก่อน

         “นานกี่พันปีมาแล้ว ที่ข้าไม่เห็นมนุษย์เข้ามาที่นี่ได้ ที่ข้าเคยเห็นก็มีเพียงแค่พระอริยเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น เหตุใดถึงมีมนุษย์ผู้อาจหาญล้ำแดนมาถึงที่นี่ได้

         ชายหนุ่มดึงตัวเองกลับมาปัจจุบันแล้วตอบว่า

         "ผมชอบอ่านเรื่องแบบนี้ ความจริงแล้วผมก็ได้แต่เดาครับ แต่ส่วนมากคนจะรู้กันว่าคุณมีไว้เพื่อให้คนในป่ามาเก็บไป" 

         นารีผลสะบัดศีรษะด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

         "องค์อมรินทร์สร้างข้ามาก็จริง เลียนแบบมนุษย์เพศหญิงทุกประการ มีรูปร่างโฉมสะคราญ สร้างให้ข้าพูดได้เหมือนมนุษย์ ยกเว้นกระดูกที่ข้าไม่มี" นารีผลพูดพลางสะบัดแขนไปมา "แต่ก็ไม่ได้ความว่าข้าไม่มีจิตใจ ข้าไม่รู้สึกหวาดกลัว ข้าไม่รู้สึกรู้สม ตลอดเวลาที่ข้ายังเป็นผลดิบสีเขียว เห็นพวกฤๅษี กินนร มาเก็บเพื่อน ๆ ของข้าที่สุกไป ข้าหวาดกลัวนัก กลัวว่าเมื่อวันที่ข้าสุกจะเป็นอย่างไร เหมือนสวรรค์จะกลั่นแกล้ง ข้ากลายเป็นผลเดียวบนต้นที่สุกก่อนผลอื่น ทุกวันจะมีเจ้าคนธรรพ์และวิทยาธรสองคนนั่นมาแอบดูข้าทุกวัน จนในที่สุดข้าก็สุกเต็มที่ แต่บังเอิญแท้ ๆ ที่ท่านทั้งสองมาช่วยข้าไว้ทันการณ์" สาวผู้เกิดจากต้นไม้พูดด้วยความซาบซึ้ง

         สินียิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้สาวน้อยนารีผลและค่อย ๆ จับมือของเธอมากุมไว้

         "เราทั้งคู่มากกว่าที่ตกเป็นหนี้ชีวิตเธอ ขอบคุณเธอมากนะ" หญิงสาวพูดอย่างขอบคุณพลางตบหลังมือของนารีผลเบา ๆ สาวจากต้นไม้ยิ้มอ่อนโยนก้มหัวให้เป็นเชิงคารวะด้วยความเคารพ

         "ข้าขออะไรพวกท่านอีกข้อได้หรือไม่" นารีผลพูดขึ้น

         "ว่ามาสิจ๊ะ" สินีกล่าวยิ้ม ๆ

         "ข้าขอติดตามรับใช้พวกท่านได้หรือไม่" เธอถาม

         สินีหันไปมองเพื่อนชาย

         "ผมไม่แน่ใจว่าข้างหน้าจะเจออันตรายอะไรบ้าง ผมกับเพื่อนมาตามหาเพื่อนอีกสองคนที่หายไป  อนาคตข้างหน้าตอนนี้มืดมน คุณจะยอมติดตามเราไปหรือ" ชายหนุ่มบอกต่อเธอ

         "นั่นยิ่งควรมีข้าไปด้วย แม้ข้าจะอยู่ที่ต้นมาตลอดชีวิต แต่ก็มีทั้งชาวฟ้า เทพ สัตว์ต่าง ๆ นานามาเล่าเรื่องในป่าให้ข้าฟังจนข้าพอที่จะนำทางให้พวกท่านได้" นารีผลพูดอย่างกระฉับกระเฉง

         สินียังทำหน้าไม่ค่อยแน่ใจ สาวน้อยจากต้นไม้จึงรีบพูดว่า

         "ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระ ถ้าท่านทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียวข้าคงไม่รอดแน่ ได้โปรดเถิด ข้าไม่จำเป็นต้องกินอาหารให้ยุ่งยากอีกด้วย ผิดกับพวกท่านที่ยังต้องหาใส่ปากใส่ท้อง" 

         พอได้ยินนารีผลพูด นภดลก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาทันที นี่เขาไม่ได้กินอะไรมากี่ชั่วโมงแล้วนะ นารีผลมองอย่างรู้ทัน "ท่านหิวใช่หรือไม่ ท่านต้องพึ่งข้านะไม่ว่าจะอาหารหรือน้ำ ส่วนเรื่องที่จะตามหาคนหายข้าก็รู้ว่าควรจะไปที่ใดและไต่ถามผู้ใด ดีกว่าเดินตามหาอย่างไม่รู้จุดหมายและอีกอย่างข้าก็อยู่กวนใจพวกท่านได้ไม่นานหรอก ข้าขอติดตามอยู่แค่ 7 วันข้าก็ไปแล้ว" 

         "เธอจะไปไหนเหรอ" สินีถามทันทีด้วยความสงสัย

         "ข้าตาย" นารีผลตอบสั้น ๆ

         "หมายความว่าอะไร ตายอะไรกัน" อีกฝ่ายถามเสียงดัง ทำหน้าตาตื่น

         "ข้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ 7 วัน ท่านหญิง" นารีผลตอบเธอ

         "7 วันอะไรกัน ทำไมถึงอยู่ได้แค่ 7 วันล่ะ" หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจอยู่เช่นนั้น

         "เป็นเรื่องจริง" ผู้พูดไม่ใช่นารีผล แต่เป็นนภดล เพื่อนหญิงหันมามอง

         "มักกะลีผลหลังจากขั้วหลุดออกจากต้น จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ 7 วัน ก่อนที่จะค่อย ๆ เน่าเปื่อยและย่อยสลายเหมือนผลไม้ทุกอย่าง" เขาอธิบาย นารีผลยิ้มรับ

         หน้าของสินีดูจะหม่นหมองลง

         "โธ่ เพิ่งรอดพ้นจากอันตรายมาหมาด ๆ แต่ต้องมาเจอความตายในอีก 7 วันข้างหน้าอีก ฉันสงสารเธอจัง" เธอพูดพลางจับแขนนารีผลไว้ด้วยความสงสารจับใจ

         "ไม่เป็นอันใดหรอกท่านหญิง อย่าได้กังวลไป มันเป็นไปตามครรลองของที่นี่" นารีผลบอก

         "ฟ้าเราพาเธอไปด้วยเถอะ ฉันจะดูแลเธอเอง" สินีบอกกับเพื่อน อีกฝ่ายพยักหน้า นารีผลยิ้มออกมาอย่างดีใจ

         "พาเราไปหาน้ำกับอาหารก่อน แล้วค่อยหารือกันต่อ" นภดลบอกเพื่อนใหม่ที่เพิ่งได้เข้าร่วมกลุ่ม เธอยิ้มรับคำแล้วเดินนำฝ่าแมกไม้ไปทางทิศเหนือของต้นมักกะลีผล เพื่อนสาวเดินตามเข้าไปก่อน ชายหนุ่มยืนนิ่งก่อนจะหันมามองข้างหลัง

         ลานใต้ต้นมักกะลีผล พิณคนธรรพ์ซึ่งหักครึ่ง ศพคนธรรพ์ที่ถูกสังหาร ร่องรอยการต่อสู้ของวิทยาธร เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันได้เกิดขึ้นจริงใต้ต้นไม้ประหลาดแห่งนี้ นภดลมองไปรอบ ๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนจะหันหลังกลับเดินตามเพื่อนของเขาไป… ทิ้งลานใต้ต้นมักกะลีผลเบื้องหลังให้กลายเป็นอดีตไปตลอดกาล

     

    *****

     

         นกตัวเล็กขนฟูหลากหลายสีร้องจิ๊บ ๆ กันระงมไปทั่วบริเวณ บ้างเกาะอยู่ตามกิ่งไม้วิ่งไล่จิกตีกันเป็นพัลวัน บ้างลงไปสะบัดตัวในน้ำคลายร้อน บ้างจิกหาของกินตามพื้น ดูเป็นสวรรค์ของเหล่านก แต่ความสุขอยู่ได้ไม่นาน นกทุกตัวก็ต้องพากันกระพือปีกบินพรึ่บพร้อมกัน โผบินออกจากบริเวณนั้นเป็นฝูงและหายลับไป เสียงแมงเสียงแมลงที่เคยเซ็งแซ่บัดนี้เงียบสนิท

         ร่างของใครบางคนก้าวสวบออกมาจากพุ่มไม้ การบุกรุกเข้ามาของเขานั่นเองทำให้บรรดานกตกใจจนบินหนีเตลิดไปหมด แต่เขาหาได้สนใจสิ่งใดไม่ เพราะความโกรธแค้นกำลังกลุ้มรุมอยู่ในหัวอก

         วิทยาธรกระทืบเท้าลงบนบ่อน้ำตื้น ๆ ใสสะอาดอย่างกระฟัดกระเฟียด น้ำที่เคยใสแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นคลั่กทันทีอย่างรวดเร็ว

         เขาไม่เข้าใจ นี่เขาแพ้อย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เกิดเขาฝึกวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะอาคมหรือการต่อสู้มามากมาย เขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแพ้ เป็นครั้งแรกที่เขาผละหนีอย่างคนขี้ขลาด

         และที่น่าเจ็บใจคือเขาแพ้ให้กับศพของศัตรูที่ตายแล้ว

         ทำไมมันจึงยังไม่ตาย ทำไมมันยังลุกขึ้นมาเล่นงานเขาได้อีกหรือว่าเกิดอะไรผิดปกติกับวิชาของเขา มักกะลีผลที่เขารอคอยมานานก็ชวด และที่สำคัญ...

         สองคนนั่น คู่มนุษย์ชายหญิงนั่น มันเป็นใครกันแน่ ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่าดูเหมือนจะเป็นมนุษย์ธรรมดาแต่ก็มีอะไรบางอย่างในตัวที่พิเศษ โดยเฉพาะเจ้าคนผู้ชายนั่น

         วิทยาธรลุกขึ้นยืนก่อนจะสะดุ้งด้วยความตกใจ

         "วิทยาธร!

         เสียงผู้ชายที่ทรงอำนาจดังก้องสะท้านสะเทือนไปทั้งราวป่า วิทยาธรหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ค่อย ๆ นั่งลงกับพื้นมองไปเหนือหัวด้วยความหวั่นวิตก สายตาของบุรุษกายสีส้มเห็นขาโต๊ะขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายบัลลังก์ที่แกะสลักเสลาลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น รอบกายมีรัศมีสีทองเปล่งออกมาตลอดเวลา

         วิทยาธรตัวสั่นพั่บ ๆ ด้วยความหวาดกลัว ยกมือขึ้นประนมและกราบลงไปแทบพื้น

         "บอกข้า เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่" เสียงของชายทรงอำนาจพูดออกมาอีกครั้ง

         "มะ... หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรพระเจ้าข้า" วิทยาธรตะกุกตะกักตอบ เขาไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมองชายบนบัลลังก์

         "สิ่งที่ข้าบอกให้เจ้าทำ เจ้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไม่"

         "ทะ... ทำพระเจ้าข้า"

         "ข้าสั่งให้เจ้าทำสิ่งใด"

         "ตะ... ตรวจดูว่าไม่มีมนุษย์ผิดแปลกเข้ามาในป่าหิมพานต์อย่างไรเล่าพระเจ้าขะ..." วิทยาธรเสียงขาดหายไปทันทีเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ 

         มนุษย์มนุษย์สองคนนั่น!

         "ทีนี้รู้แล้วสินะ เจ้าโง่ ว่าคนที่ข้าบอกให้จับตาดูแล้วรีบมาบอกข้าเมื่อมันล่วงเข้ามาที่นี่ก็คือพวกมัน แต่เจ้ากลับไม่สนใจ กลับไปหลงใหลมักกะลีผลจนตามืดบอดลืมสิ่งที่ข้าสั่งโดยสิ้นเชิง"

         วิทยาธรรีบก้มลงกราบแทบพื้นอีกครั้ง ปากร่ำร้องขอโทษขอโพย

         "ข้าเห็นมัน" ชายทรงอำนาจที่นังบนบัลลังก์กลางอากาศกล่าวต่อไป "ข้าเห็นมันเข้ามาแล้ว ข้าไม่รู้ว่ามันผ่านประตูจากโลกของมันมาโลกนี้ได้อย่างไร แต่แน่นอนว่ามันเข้ามาแล้ว ข้าไม่สามารถเข้าใกล้มันได้เพราะรู้ดีว่าลักษณ์นาราคอยปกป้องคุ้มครองมันอยู่ ข้าเลยให้เจ้าไปจัดการแทน แต่เจ้ากลับทำเรื่องไร้สาระแล้วตอนนี้มันก็หนีไปแล้ว ข้าจะลงโทษยังไงกับเจ้าดี" ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พูดเสียงดังกึกก้องด้วยความโกรธ รัศมีสีทองเปล่งประกายวูบวาบ ก่อนจะพูดต่อว่า

         "ข้าเคยแพ้มาแล้ว พ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดที่สุด แต่ครั้งนี้ข้าจะไม่แพ้อีก ข้ารอวางแผนมาตั้ง 2,560 ปี ข้าจะให้มันพังมิได้"

         "หม่อมฉันขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้งเถิดพระเจ้าข้า ได้โปรดอย่าได้ลงโทษหม่อมฉัน" วิทยาธรอ้อนวอน

         ชายผู้มีรัศมีสีทองส่ายหน้าช้า ๆ

         "ข้าไม่ให้โอกาสผู้ใดซ้ำสอง" พูดจบ แสงสีทองก็พุ่งเข้าม้วนร่างของวิทยาธรเป็นก้อนกลม ก่อนจะอัดกระแทกเข้ากับโคนไม้ใหญ่ข้างหลัง 

        แสงสีทอง ๆ สะบัดออกมาเป็นริ้ว ๆ ทีละเส้น ๆ วิทยาธรตาเหลือกดิ้นพรวดพราดด้วยความตกใจกลัว เส้นสีทองค่อย ๆ กลายเป็นเถาวัลย์ไม้แกร่งที่รัดร่างของวิทยาธรให้ติดตรึงกับต้นไม้ใหญ่ หลายเส้นมัดรอบตัวหลายตลบจนแน่นหนา ร่างทั้งร่างถูกกลืนหายไปใต้เถาวัลย์ เหลือแต่เพียงใบหน้าที่โผล่ออกมา

         "จงสำนึกผิดกับข้อผิดพลาดของเจ้าให้จงหนักระหว่างที่ถูกจองจำ" ชายบนบัลลังก์พูดเสียงดังราวกับฟ้าร้อง วิทยาธรร่ำร้องขอความเมตตา แต่ชายผู้นั้นหาฟังไม่ ชั่วพริบตาเดียวชายที่มีรัศมีสีทองบนบัลลังก์ก็หายวับไป

     

    *****

     

         "พอกันไหม ท่านทั้งสอง" นารีผลพูดพลางโยนเครือกล้วยหอมอันเบ้อเริ่มบนพื้นหญ้า

         สองหนุ่มสาวมองพื้นเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง กล้วยหอมเครือใหญ่สีเหลืองอร่าม หัวเผือกหัวมันขนาดมหึมา แตงโมสองลูก นอกจากนั้นยังมีผลไม้สีสันฉูดฉาดอีกมากมายที่ทั้งคู่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

         การปีนป่ายเก็บผลหมากรากไม้ของนารีผลก็แทบทำให้ทั้งคู่อ้าปากค้าง เธอว่องไวราวกับลิง เหมือนกับเธอช่ำชองการขึ้นลงต้นไม้มานาน ความชำนาญกับสภาพป่า อะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ อันไหนมีพิษ พืชหรือต้นไม้ชนิดใดไม่ควรไปยุ่ง หรือควรเก็บติดตัวไว้เพราะมีสรรพคุณเป็นยา เธอดูออกทะลุปรุโปร่ง ทำให้นภดลและสินีอุ่นใจขึ้นมาก

         "มันกินได้แน่นะ" เธอถาม ชี้ไปที่ผลไม้ลูกสีสันจัดจ้านอย่างไม่แน่ใจ

         "อย่ากังวลท่าน เขาเก็บกินกันทั้งนั้น ไม่มีพิษดอก ไม่ต้องห่วง รีบกินเร็วเข้าแล้วข้าจะพาไปสระน้ำ" นารีผลพูด

         "ทำไมไม่พาเราไปเลยล่ะ" นภดลถามพลางบิดกล้วยหอมผลใหญ่ขึ้นมาผลหนึ่งก่อนจะเริ่มต้นปอก เขารู้สึกกระหายน้ำไม่น้อยเหมือนกัน

         "มีปัญหาบางประการ ข้าอาจมีเหตุจำเป็นต้องพาท่านทั้งสองคนอ้อมไป" นารีผลตอบ 

         "อ้อมเพราะอะไรหรือ" สินีถามขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

         "บางแห่งข้าไม่สามารถผ่านเข้าไปได้  ผู้ที่อาศัยอยู่แถบนั้นเขาไม่ได้คิดเหมือนกันกับข้า" เธอตอบเบา ๆ

         "ไม่ได้คิดเหมือนกับคุณ  หมายถึงอะไรเหรอครับ" ชายหนุ่มถามพลางเงยหน้าจากการปอกผลไม้

         "พวกนั้นกินเนื้อเป็นอาหารอย่างใดเล่า" เสียงหวานกังวานของสตรีคนหนึ่งที่คุ้นหูพูดขึ้น ทั้งสามคนหันไปมอง

         "ลักษณ์นารา!"

     

    *****

     

         วิทยาธรพยายามขยับแขนขา เถาวัลย์ไม้ที่รัดตรึงกายเขาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก บุรุษกายสีส้มพยายามรวบรวมสมาธิหลับตาบริกรรมคาถาในใจเพื่อทำลายเถาวัลย์ แต่ไม่เป็นผล มนตราของท่านผู้นั้นช่างทรงอานุภาพยิ่งนัก  ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นไอ้มนุษย์สองคนนั่นที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ เขาหมายมั่นในใจว่า ถ้าเขาพ้นพันธนาการจากตรงนี้ไปได้เมื่อใด มันสองคนต้องตายสถานเดียว

         วิทยาธรมั่นใจว่าแส้ที่ทรงพลังของเขาสามารถทำลายเถาวัลย์นี้ได้อย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือ แส้ไม่ได้อยู่กับเขา แต่มันตกอยู่ข้างบ่อน้ำห่างไปข้างหน้าประมาณ 10 เมตร 

         ถ้าเพียงแต่เขาจะเอามันมาได้นะ วิทยาธรคิดในใจอย่างนึกเสียดาย

         เสียงเหยียบใบไม้แห้งกรอกแกรบดังขึ้นจากทางขวาของวิทยาธร 

         วิทยาธรหันขวับ เห็นเงาของอะไรบางอย่างยืนหลบอยู่ในพุ่มไม้ ดูจากเค้าโครงร่างกายไม่น่าจะใช่สัตว์

         "เจ้าเจ้าช่วยข้าด้วย" วิทยาธรร้องออกไป

         ร่างที่ยืนอยู่สะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันมามองวิทยาธร แล้วหันวูบหลบอย่างไว

         "อย่า อย่าได้กลัวข้า ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่ทำอันตรายอันใดเจ้าดอก ข้าคือวิทยาธร ถ้าเจ้าช่วยข้า ข้าจะให้ในทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา ได้โปรดเถิด" วิทยาธรร้องออกไป เมื่อครู่เขามองไม่ทันตอนที่ร่างนั้นมองมา ตอนนี้จึงยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่

         ร่างปริศนาในดงไม้ยังคงยืนนิ่ง

         "ข้าเจอกับอุบัติเหตุบางอย่าง ข้าติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าคงต้องตายเป็นแน่แท้" วิทยาธรพูดรัวเร็วก่อนจะรีบพูดต่อ "แค่หยิบแส้ริมบ่อน้ำนั่นมาให้ข้า แค่นั้นเท่านั้นแล้วข้าจะจัดการเอง ช่วยข้าทีเถิด แล้วข้าจะให้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าสัญญา" 

       ร่างนิรนามค่อย ๆ ขยับตัวออกมาจากหมู่ไม้ช้า ๆ ทำท่าทำทางเหมือนระแวดระวังรอบด้านเต็มที่ ร่างนั้นเดินลัดเลาะตามโขดหิน จนไปหยุดที่ริมบ่อน้ำ

         วิทยาธรยิ้มดีใจ ในที่สุดเขาก็รอดตายแล้ว

         ร่างนั้นค่อย ๆ ก้มลงหยิบแส้สีทองของวิทยาธรขึ้นมาไว้ในมือ 

         "แส้นี่ใช่ไหมคะ ที่คุณให้ฉันเก็บให้" ฐานิดาหันหน้ามาถาม

     

     โปรดติดตามตอนต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×