ตอนที่ 5 : บทที่ 4 มุ่งสู่เมืองหลวง
บทที่สี่
มุ่งสู่เมืองหลวง
เยี่ยนเสี่ยวซุนพาเยี่ยนเจาส่งให้บ่าวพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ครั้นเดินออกจากห้องพักของคุณชายก็เจอเยี่ยนหลิงวิ่งเตลิดมาพอดี
“คุณหนู...” เขาตั้งท่าจะถามแต่ถูกยกมือห้ามไว้
หญิงสาวเหลียวมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นก็เอ่ยเสียงกระซิบ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ฝ่าบาททรงทาบทามข้าให้กับองค์ชายห้า!”
“หา! ฝ่าบาททรง...อุ๊บ!” อุทานได้แค่นั้น ฝ่ามือนุ่มก็ตะปบเข้าที่ปาก
“ปัดโธ่! อย่าเสียงดังสิ มาทางนี้”
เยี่ยนหลิงบุ้ยใบ้ให้ตามมาที่ห้องของตน นางปิดประตูหน้าต่างแล้วกวักมือเรียกเยี่ยนเสี่ยวซุนไปนั่งคุยกันตรงพื้นมุมห้องด้านใน
“คุณหนู...เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่” องครักษ์หนุ่มน้อยกระซิบถามไม่กล้าส่งเสียงดังอีก
“ในบรรดาพระโอรส มีเพียงองค์ชายห้าที่ยังไม่มีพระชายา สิบปีก่อนเพราะความผิดของมารดาทำให้เขาถูกเนรเทศกักบริเวณชายแดน และสารทปีนี้ก็จะครบกำหนดพ้นโทษแล้ว ท่านพ่อไปเมืองหลวงคราวนี้ ฝ่าบาททรงเปรยว่าอยากให้ข้าแต่งกับองค์ชายห้า” หญิงสาวเล่าโดยสรุปสั้นๆ “แต่นี่ยังไม่เป็นราชโองการ ข้าคิดว่ายังพอมีทางรอด”
คำตอบนี้ทำให้คนฟังนิ่งอึ้งไป ต่อเมื่อได้ยินประโยคถัดมาว่ายังพอมีหนทางจึงค่อยกระตือรือร้นขึ้น “เช่นนั้น...คุณหนูคิดจะทำอย่างไร”
“ข้าจะไปขอเข้าเฝ้า”
“หา? ...คุณหนูหมายถึงเข้าเฝ้า... เอ่อ... ฝ่าบาท?”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่เช่นนั้นจะให้เข้าเฝ้าใครเล่า” เยี่ยนหลิงตบไหล่คนอ่อนวัยกว่าเบาๆ “เอาน่า...เจ้าวางใจเถอะ ข้าย่อมไม่ฝืนดึงดันจนลืมฐานะตนเอง แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงที่สุด ยังพอมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ ที่สำคัญข้าก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วด้วย จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร”
“ค...คุณหนู... หมายถึงคนผู้นั้น...” เยี่ยนเสี่ยวซุนเอ่ยตะกุกตะกัก
“ถูกต้อง”
“แต่ว่า...เขาเป็นคนของพรรคมังกรทอง...”
เรื่องบาดหมางในอดีตที่ทำให้เยี่ยนตันกับหวงหลี่เจี๋ยแตกแยกไม่ลงรอยจนถึงทุกวันนี้ ถ้ามิใช่ต้องเข้าเฝ้าถวายรายงานทุกปี ประมุขหอเพลิงสุริยันคงไม่ไปเหยียบเมืองหลวงอีก ขนาดงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่สมัยก่อนต้องเข้าร่วมทุกครั้ง แต่หลังจากย้ายมาประจำที่มณฑลฮั่วหนานก็ตัดขาดโดยสิ้นเชิง
“เรื่องนั้นย่อมต้องเป็นอุปสรรคแน่”
เยี่ยนหลิงถอนใจแผ่วเบา...หลายปีมานี้นางถึงยอมอยู่หอเพลิงสุริยันอย่างสงบเสงี่ยม ได้แต่รอเวลาเหมาะสมที่จะพูดคุยกับบิดา
“แต่ตอนนี้มีปัญหาด่วนเฉพาะหน้า ถ้าข้ายังมัวรีรอ สุดท้ายคงไม่อาจเลี่ยงสมรสพระราชทานพ้น ...เขาเป็นคนพรรคมังกรทองก็จริง แต่เชื่อว่าถึงที่สุดแล้ว ท่านพ่อจะเข้าใจและรับฟังเหตุผลของข้า”
“แต่... ได้ยินว่าใบหน้าของเขา...”
“เสี่ยวซุน...อย่าตัดสินคนที่ภายนอกสิ” หญิงสาวตำหนิ
“บุรุษรูปงามก็ดีอยู่หรอก แต่ข้าไม่ได้จะแต่งงานเพื่อนั่งดูหน้าสามีไปตลอดชีวิตเสียเมื่อไร แล้วประเดี๋ยวพอแก่ตัวก็แห้งก็เหี่ยวเหมือนกันทุกคนนั่นละ ดังนั้นสำหรับข้า ต่อให้รอยแผลเป็นของเขาไม่ใช่ครึ่งหน้าแต่เป็นทั่วทั้งหน้า ก็ยังน่ามองกว่าพวกหล่อสวยแต่นิสัยอัปลักษณ์เป็นร้อยพันเท่า”
เยี่ยนหลิงทราบเพียงเขายังมิได้แต่งงาน อีกทั้งไม่มีคนรักที่คบหาอยู่ นางจึงตั้งใจไว้ว่าเจอกันครั้งหน้าต้องบอกความในใจให้ได้ เมื่อก่อนสมัยยังเยาว์ เคยพูดว่าอยากเป็นเจ้าสาวของเขา ตอนนั้นเจ้าตัวย่อมไม่คิดอะไร เห็นเป็นเรื่องขบขันของเด็กน้อย แต่ตอนนี้นางเติบโตเป็นหญิงสาววัยออกเรือนแล้ว จะลองเกี้ยวบุรุษอย่างจริงจังดูสักตั้ง
“หากข้าไปเมืองหลวงยังต้องหาโอกาสพูดกับเขาด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งหกเจ็ดปี ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยนเสี่ยวซุนเหม่อลอยเงียบงัน ...คุณหนูมีบุรุษในดวงใจตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่พรรคมังกรทอง เรื่องนี้ย่อมมิอาจเปิดเผยต่อบิดามารดา อยู่ที่นี่นางไม่มีใครให้พูดคุยปรับทุกข์ด้วยจึงมักเล่าเรื่องคนผู้นั้นให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ ทุกคราที่เอ่ยถึง สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความชื่นชมหลงใหลอย่างไม่ปิดบัง...
“เสี่ยวซุน...”
“ขะ...” หนุ่มน้อยพลันได้สติตื่นจากภวังค์รีบขานรับ “ข...ขอรับ”
“เรื่องพวกนี้ข้าเล่าให้เจ้าฟังคนเดียว ห้ามบอกใครนะ ประเดี๋ยวท่านแม่ต้องมาซักไซ้เอาจากเจ้าแน่ สี่ห้าวันนี้อย่าอยู่ห่างข้าเด็ดขาด หรือถ้าพลาดพลั้งโดนเรียกตัวจริงๆ ให้ตอบไปว่าไม่แน่ใจ แต่ในเมืองหลัวเจียงยังไม่เห็นคุณชายบ้านไหนสนิทกับข้า”
“เอ่อ... แล้วถ้าหลังจากสี่ห้าวัน...”
เยี่ยนหลิงเลิกคิ้วข้างหนึ่ง มุมปากยกยิ้มมีเลศนัยยามที่ตอบ “ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไม่อยู่ที่หอเพลิงสุริยันแล้ว”
----------------------------------------------------------
หลายวันต่อมา...
ลานกว้างหน้าหอสูงมีขบวนรถม้าติดตราสัญลักษณ์เปลวอัคคีจอดเรียงยาวเป็นแถวตั้งแต่เช้าตรู่ ...นั่นคือคนของหอเพลิงสุริยันที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ในปีนี้
แม้ว่าผู้เป็นประมุขจะตัดขาดจากการเข้าร่วมงาน แต่ก็มิได้ห้ามคนอื่นๆ หากรับผิดชอบหน้าที่ของตนทางนี้ให้เรียบร้อยก็สามารถไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่พวกที่ไปมักเป็นจอมยุทธ์วัยหนุ่มที่ไฟยังร้อนแรงเสียมากกว่า ส่วนยอดฝีมืออาวุโสรุ่นก่อนๆ ก็คิดเห็นเช่นเดียวกับประมุขหอ งานชุมนุมชาวยุทธ์พวกเขาเคยสัมผัสบรรยากาศมานักต่อนักแล้ว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีก ไหนจะความขัดแย้งกับหวงหลี่เจี๋ยประมุขพรรคมังกรทองตั้งแต่ครั้งอดีต ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่มีใครอยากย่างกรายไปสถานที่อโคจรอย่างเมืองหลวง
“ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย” เยี่ยนตันโบกมือเป็นสัญญาณให้ออกเดินทางได้ “เดินทางปลอดภัย”
“ขอบคุณประมุขหอ”
เซี่ยโจวและคนอื่นๆ ประคองมือคำนับผู้เป็นประมุขก่อนขึ้นควบม้าจากไป หลังรถม้าคันสุดท้ายในขบวนพ้นเขตประตู ประมุขหอเพลิงสุริยันก็กลับเรือนพักทางอาคารปีกซ้าย พบภรรยายืนรออยู่พอดี ครั้นเดินเข้าไปข้างในแล้ว เขาจึงเอ่ย
“ตกลงเจ้าได้ถามเสี่ยวซุนหรือยังว่าเป็นใครกันที่หลิงเอ๋อร์แอบชอบอยู่”
“ยังเลยท่านพี่...” หงไช่อี้ถอนใจส่ายหน้า “ลูกคนนี้หัวไวนัก นางคงเดาได้ว่าข้าย่อมต้องไปคาดคั้นเอาจากเสี่ยวซุน หลายวันมานี้สองคนตัวติดกันไม่ห่าง ไม่มีช่องว่างให้ข้าดึงตัวเสี่ยวซุนมาสอบถามเลยสักนิด”
ประมุขหอเพลิงสุริยันย่นหัวคิ้ว ท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจ “เช่นนั้นก็เค้นจากเจ้าตัวนั่นละ ข้าจะคุยกับนางเอง ข้าไม่ได้อยากรู้เพื่อกีดกัน แต่ในฐานะบิดาข้าจำเป็นต้องรู้!”
“ข้าเกรงว่า...”
“ข้ารู้...เจ้ากลัวว่านางจะต่อต้านจนเตลิดหนีออกจากบ้าน ทำให้เรื่องยิ่งเลวร้ายใช่หรือไม่”
หงไช่อี้ผงกศีรษะ สีหน้าเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“ฮูหยิน...เจ้าวางใจเถอะ หลิงเอ๋อร์แม้มิใช่คนใจเย็นแต่ก็ไม่ถึงกับมุทะลุ นางไม่ทำอะไรเหลวไหลไร้สาระแน่ ถ้านางจะหนี นางจะไปไหน นอกจากไปเมืองหลวงขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท นี่จึงพอมีประโยชน์ในการลงทุนหนีออกจากบ้าน แต่แค่จุดประสงค์เดียวไม่คุ้มค่าพอหรอกสำหรับนาง เรื่ององค์ชายห้าเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนถึงขั้นร้อนรนอยู่ไม่ติดที่”
“จริงของท่านพี่” หงไช่อี้ตรองดูแล้วก็เห็นด้วยกับสามี ทว่าขณะที่อ้าปากจะกล่าวต่อก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตังและเสียงตะโกนแหลมเล็กกำลังพุ่งตรงมาทางนี้
“ท่านพ่อท่านแม่!”
“เจาเอ๋อร์โวยวายอะไรนัก” ประมุขหอเพลิงสุริยันตำหนิบุตรชาย
เยี่ยนเจาหอบหายใจพักหนึ่งก่อนส่งกระดาษที่กำจนย่นยู่ให้บิดามารดา “พี่ใหญ่ฝากจดหมายวานข้ามอบให้ท่านพ่อท่านแม่”
“หา?”
เยี่ยนตันคลี่จดหมายเปิดดูอย่างรวดเร็ว หงไช่อี้อ่านออกเสียงเบาๆ ...
ท่านพ่อท่านแม่
อภัยที่ลูกอกตัญญูมิได้บอกกล่าวด้วยตนเอง ลูกจำเป็นต้องไปเมืองหลวง แต่โปรดวางใจ ลูกกับเสี่ยวซุนไปพร้อมขบวนของหอเพลิงสุริยัน ไม่มีอันตรายใดๆ อยู่แล้ว และหากการเจรจาผ่านไปด้วยความเรียบร้อยดี ลูกก็จะกลับมาพร้อมขบวนของหอเพลิงสุริยันหลังงานชุมนุมชาวยุทธ์...
อ่านเนื้อความจนจบคนเป็นบิดาถึงกับกุมขมับ “ลูกสาวข้า... ลูกสาวคนดีของข้า นางถึงกับใช้คำว่าเจรจากับ... กับ... โอ๊ย!”
“พี่ใหญ่ของข้ายอดเยี่ยมจริงๆ!” เยี่ยนเจาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ฟังออกแค่ว่าพี่สาวแอบบิดามารดาไปเที่ยวเมืองหลวงก็กระโดดโลดเต้นคึกคัก
“ยอดเยี่ยมกับผีอะไร! พวกเจ้าสองคนพี่น้องสมองเพี้ยนกันไปหมดแล้วรึ!”
ถูกบิดาถลึงตามองเยี่ยงนั้น คุณชายน้อยสกุลเยี่ยนรีบเกาะเอวหลบหลังมารดาแทบไม่ทัน
“ท่านพี่ใจเย็นๆ”
เยี่ยนตันผ่อนลมหายใจช้าๆ ยกมือขึ้นโบกไล่บุตรชายให้ไปฝึกยุทธ์ ส่วนเขาและภรรยาพากันเดินไปยังห้องหนังสือเพื่อสนทนาตามลำพัง
“ฮูหยิน...ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะไปเมืองหลวงจริงๆ”
ทั้งคู่ย่อมนึกไม่ถึงว่าบุตรสาวจะตัดสินใจกะทันหันเยี่ยงนี้ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าบุรุษในดวงใจของนางผู้นั้นอยู่ที่เมืองหลวง... ยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว เป้าหมายสองประการลุล่วงในการเดินทางครั้งเดียว ด้วยเหตุนี้เยี่ยนหลิงจึงลงมือรวดเร็วโดยปราศจากความลังเล
ประมุขหอเพลิงสุริยันถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ทว่าไปๆ มาๆ ก็ฉุกใจคิดถึงบางอย่าง
“คงมิใช่ว่า...บุรุษในดวงใจอะไรนั่นอยู่ที่เมืองหลวงด้วยนะ”
คิ้วเรียวงามของหงไช่อี้ขมวดมุ่น “จะเป็นไปได้อย่างไรกันท่านพี่ หลิงเอ๋อร์จากเมืองหลวงมาตอนอายุสิบเอ็ด จากนั้นก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย จะไปชอบพอใครได้เล่า”
“หรือว่าจะเป็นจวิ้นเสีย... แต่ก่อนข้าเห็นนางเที่ยวเดินตามเขาต้อยๆ ตอนนั้นเจ้านั่นอายุเท่าไร...สักสิบห้าสิบหกได้กระมัง”
“ท่านพี่...จะเป็นเสี่ยวเหยียนไปได้อย่างไร ท่านลองคิดดูดีๆ สิ”
เยี่ยนตันหลับตานึกภาพเหยียนจวิ้นเสีย... ใบหน้าข้างขวาเท่าที่เห็นเค้าโครงก็ดูดีไม่หยอก แต่อีกซีกหนึ่งมิได้มีแค่รอยกรีดหรือรอยบากที่ในบางครั้งยังสามารถส่งเสริมให้บุคลิกดูน่าเกรงขาม ทว่าเป็นแผลขนาดใหญ่ บนเสี้ยวหน้าข้างซ้ายของเขาคล้ายกับโดนไฟแผดเผาหรือพิษที่มีฤทธิ์แสบร้อนถึงทำให้ผิวหนังเละได้ขนาดนั้น
คราที่เหยียนจวิ้นเสียออกลาดตระเวนในและนอกเมือง โดยเฉพาะยามราตรี ผู้คนผ่านมาเห็นเข้าต่างแตกตื่นพากันวิ่งหนี ยิ่งเด็กๆ ถึงกับร้องไห้เสียขวัญ ภายหลังประมุขพรรคมังกรทองจึงสั่งทำหน้ากากให้สวมไว้...หน้ากากเงินสวมครอบใบหน้าส่วนบนโดยซีกซ้ายแผ่ปกคลุมเกือบถึงคางเพื่อปิดบังรอยแผลอัปลักษณ์มิให้ชาวบ้านหวาดเกรง ไม่กล้าเข้ามาขอความช่วยเหลือ
“อืม...ก็จริงของเจ้า”
สองสามีภรรยาสกุลเยี่ยนต่างก็เห็นตรงกัน พวกเขาแน่ใจว่าหากบุตรสาวจะชอบพอให้ใคร ย่อมไม่ใส่ใจเรื่องรูปโฉมไปมากกว่านิสัยใจคออยู่แล้ว แต่นั่นคือความคิดอ่านของเยี่ยนหลิงในวัยสิบแปดปี นางในวัยเด็กไม่กลัวรอยแผลเป็นเหวอะหวะของเหยียนจวิ้นเสียก็จริง ทว่าให้ตกหลุมรักมันก็เหลือเชื่อเกินไป แม้จะเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดีคนหนึ่งก็ตาม
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่หลิงเอ๋อร์เดินทางไปเมืองหลวง” เยี่ยนตันยังไม่คลายวิตก
“ท่านพี่...อย่างไรก็มีเสี่ยวซุนไปด้วย อีกทั้งเดินทางกับขบวนของหอเพลิงสุริยัน พวกโจรป่าโจรภูเขาเห็นรถม้าประทับตราสัญลักษณ์เปลวอัคคีก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน มีแต่ต้องหลบหลีก”
“เฮอะ...โจรป่าโจรภูเขาอะไรนั่น คนหอเพลิงสุริยันมีหรือจะครั่นคร้าม ข้าเกรงแต่...”
“ท่านพี่...”
หงไช่อี้เข้าใจความคิดสามีส่วนหนึ่ง... หลายปีที่ผ่านมาที่ไม่ยอมให้บุตรธิดาเดินทางไกลไปไหนก็เพราะห่วงความปลอดภัย เมื่อครั้งจากเมืองหลวงมายังมณฑลฮั่วหนาน พวกเขากับหวงหลี่เจี๋ย รวมถึงผู้คุมกฎคนอื่นๆ มิได้แยกจากด้วยดี บัดนี้แม้เวลาล่วงเลย ไร้ซึ่งปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แต่ก็มิอาจคาดเดาว่าฝ่ายตรงข้ามจะหาโอกาสลอบทำร้ายหรือไม่ กับตัวพวกเขา คนเหล่านั้นย่อมไม่เลือกประจันหน้าตรงๆ ทว่าหากลงมือกับเด็กๆ เล่า...ใครจะรู้ว่าเมื่อโกรธเกลียดกันแล้วจิตใจคนเราจะผันแปรไปได้ขนาดไหน แฝงความอาฆาตแค้นไว้ลึกล้ำเท่าไร
“เมื่อก่อนข้าแค่เกรงว่าคนพวกนั้นทำอะไรข้าไม่ได้จะไปลงที่ลูก แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างออกไป...วันนี้พวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหวงหลี่เจี๋ย นับว่ามีเหตุผลในการจัดการหลิงเอ๋อร์แล้ว ข้าถึงได้เป็นกังวล”
“เหตุผลที่ว่า...ท่านหมายถึงเรื่ององค์ชาย...” หงไช่อี้ลดเสียงลงแทบเป็นกระซิบ “เพราะเขาไม่ต้องการให้พวกเราเกี่ยวดองกับราชวงศ์?”
“ฮูหยิน...อย่าลืมว่าหลี่เจี๋ยสมัยโลดแล่นในยุทธภพกับหวงหลี่เจี๋ยที่รั้งตำแหน่งประมุขพรรคมังกรทองในปัจจุบันไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกต่อไปแล้ว แม้ภายนอกยังคงเป็นจอมยุทธ์คุณธรรมฉายาเอกบุรุษไร้พ่าย ทว่าภายใน...”
เขาหยุดถอนใจ หลับตาลงโคลงศีรษะเบาๆ
“คนเรา...เมื่ออำนาจอยู่ในมือแล้ว ยากที่อุดมการณ์แต่ดั้งเดิมจะไม่สั่นคลอน จากเหตุการณ์คัมภีร์ปราณอนันต์ ข้าก็ไม่คิดจะไว้ใจคนผู้นี้ไม่ว่าในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น”
“ท่านพี่...หลิงเอ๋อร์ลอบไปกับขบวนหอเพลิงสุริยัน แต่ย่อมมิได้หลบซ่อนตลอดการเดินทาง ทันทีที่นางปรากฏตัว ช้าเร็วข่าวก็ต้องไปถึงพรรคมังกรทอง ทว่าเรื่องนั้น...ฮ่องเต้ทรงเปรยเรื่องนั้นกับท่านเป็นการส่วนพระองค์ มีเพียงหวังกงกงอยู่ถวายการรับใช้ ข่าวนี้ย่อมต้องไม่แพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ต่อให้เป็นหวงหลี่เจี๋ยก็คงไม่อาจหาญมีสายข่าวเป็นถึงหัวหน้าขันทีหรอกกระมัง”
“ที่เจ้าพูดก็ถูก หวังกงกงถวายการรับใช้ฮ่องเต้มาตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งรัชทายาท เป็นขันทีประจำพระองค์ จะอยู่หรือตาย รุ่งโรจน์หรือตกต่ำ ล้วนขึ้นกับเจ้าเหนือหัวทั้งสิ้น ไม่มีแรงจูงใจใดๆ คุ้มค่าพอให้เขาต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเข้าพวกกับหวงหลี่เจี๋ย”
“หรือหากท่านพี่ไม่สบายใจ พวกเราจะไปตามตัวหลิงเอ๋อร์กลับมา... หรือจะส่งกำลังคุ้มกันไปเพิ่ม...”
เขาส่ายหน้า “ช่างเถอะ ข้าอาจคิดมากเกิน ถ้าหลิงเอ๋อร์บุ่มบ่ามไปกับเสี่ยวซุนแค่สองคน ข้าย่อมต้องตามตัวพวกเขากลับมาโดยเร็วที่สุด ทว่านางไปพร้อมขบวนของหอเพลิงสุริยัน คนของเราที่เข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ แม้อยู่ในวัยหนุ่มประสบการณ์ไม่มากแต่ฝีมือไม่ด้อย ทั้งยังมีเสี่ยวซุนอีกคน ต่อให้หวงหลี่เจี๋ยส่งจอมยุทธ์พลังปราณขั้นสูงมา ก็ไม่น่าเกินสองคน ซึ่งกำลังของพวกเราน่าจะต้านไหว และอาจสามารถดูกระบวนท่าออกจนคาดเดาที่มาได้ ข้าเชื่อว่าเขาต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย คงไม่ใช้ยอดฝีมือจำนวนมาก มันเสี่ยงกับการเปิดโปงฐานะตัวเองเกินไป”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น อีกอย่างลูกเรามิใช่เด็กน้อยอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะเหมือนในวัยเยาว์แล้ว ไม่มีทางนิ่งเฉยยอมให้ใครรังแกง่ายๆ แน่ หากเกิดเหตุจริงๆ ข้ายังเชื่อว่านางเอาตัวรอดได้”
“อืม” เยี่ยนตันผงกศีรษะ โอบรั้งร่างภรรยาเข้ามาชิด หวังว่าสิ่งที่คาดการณ์จะเป็นเพียงความวิตกกังวลเกินกว่าเหตุของตนเท่านั้น
-----------------------------------------------------------
เย็นวันนั้นขบวนของหอเพลิงสุริยันหยุดพักค้างแรมที่เมืองหนานหยางซึ่งยังคงอยู่ในพื้นที่มณฑลฮั่วหนาน ทว่าตอนที่เซี่ยโจวเดินตรวจตราม้าและรถม้าก่อนเข้าโรงเตี๊ยมก็พบความผิดปกติบางอย่าง เขาได้ยินเสียงกุกกักจากรถม้าขนสัมภาระท้ายขบวน...
“นั่นใคร!”
เงาร่างโผล่พรวดจากประตูรถด้านหลัง เซี่ยโจวชักดาบวาดออกไป ทว่าเมื่อเห็นคนชัดๆ เขาก็ต้องอ้าปากค้าง ดาบในมือเกือบจะพลัดหล่นลงพื้น
“อาหลิง!”
บนรถม้าคันเดียวกัน เยี่ยนเสี่ยวซุนค่อยๆ โผล่ตามมาพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ทำเอาคนเป็นศิษย์พี่นิ่งอึ้ง อ้าปากพะงาบๆ ไร้เสียงอย่างเสียอาการ กว่าจะรวบรวมคำพูดออกมาได้ก็ครึ่งค่อนวัน[1]
“พวกเจ้า...”
“พี่เซี่ยวางใจเถอะ ข้าเขียนจดหมายฝากน้องเล็กให้ท่านพ่อท่านแม่แล้ว” เยี่ยนหลิงยิ้มร่าเริง น้ำเสียงสดใสยิ่ง ...เจ็ดปีแล้วที่นางไม่ได้ออกมาสูดอากาศนอกเมืองหลัวเจียง
“ได้ที่ไหนเล่า เจ้าทำแบบนี้...”
“เถอะน่า ถ้าท่านพ่อคัดค้าน ป่านนี้ส่งม้าเร็วมาตามข้ากลับไปแล้ว เขาย่อมรู้เส้นทางของพวกเราว่าจะแวะพักจุดไหนบ้าง”
เขากุมขมับเดินวนไปมาพักหนึ่ง ในที่สุดก็จนใจต้องยอมให้ทั้งสองร่วมทางไปด้วย ชายหนุ่มจัดการแจ้งเสี่ยวเอ้อร์จองห้องพักเพิ่ม และกำชับให้ทั้งคู่อย่าออกเดินเพ่นพ่าน
ทว่าจากนั้นเซี่ยโจวก็มิได้เข้าห้องพักของตน แต่ย้อนกลับไปที่รถม้าขนสัมภาระ ครั้นเหลียวซ้ายแลขวาไม่พบผู้ใดก็หยิบเอากระดาษแผ่นเล็กและแท่งถ่านสั้นๆ ที่เหลาปลายแหลมเขียนข้อความลงไป เขาเปิดกรงพิราบสื่อสาร สอดจดหมายที่กระบอกขนาดจิ๋วซึ่งผูกติดอยู่กับข้อเท้านก ก่อนปล่อยมันบินขึ้นสู่ท้องฟ้า...
---------------- จบบทที่ 4 ---------------
[1]ครึ่งค่อนวัน ในที่นี้เป็นสำนวนจีนเปรียบเปรยว่านาน แต่ไม่ได้หมายถึงระยะเวลาครึ่งค่อนวันจริงๆ
--------------------------------------------
บทหน้าพระเอกค่าตัวแพงมาเข้าฉากละค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณพี่ด้วยนะคะ ช่วงแรกๆ บทน้อยจัด 555
--------------------------------------------------
ติดตามผลงานและพูดคุยกันได้ที่เพจ อาหลัน ค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ช้าหน่อยน้า ช่วงนี้ยุ่งมากเลย TvT