ตอนที่ 7 : วาสนาครั้งที่๗ : กล้วยหอมจอมซน
กล้วยหอมจอมซน
หลังจากที่ทำร่างกายให้อุ่นหลังจากออกมาจากเมืองหิมะด้วยการดื่มเครื่องดื่มจากตู้กดและของกินเล่นทานนิดหน่อย ครั้นก็ได้เวลากลับ ดวงอาทิตย์ยามห้าโมงยังไม่ลับฟ้าแต่ก็ไม่ร้อนอบอ้าวแล้ว ผู้คนยังคงมีอยู่เผลอๆ อาจจะเยอะกว่าช่วงเช้าเสียอีก ก่อนหน้านี้พายบอกวาดแล้วเรื่องจะพาไปซื้อมือถือเพื่อใช้สื่อสารได้สะดวก ตอนนี้ทั้งสองจึงพากันเดินมุ่งหน้าไปที่ประตูทางออก โดยมีร่างสูงเดินนำ อีกคนเดินตาม แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลัง ผมก็หันกลับไป สิ่งที่เห็นคือเด็กหนุ่มกำลังนั่งอยู่ตรงม้านั่งริมทางในที่ที่สังเกตเห็นได้ไม่ยาก
“มัวทำอะไรอยู่?”
“อ๋อ คือ...ขอโทษครับ ผมปวดขานิดหน่อย” วาดหัวเราะแห้งไม่ได้บอกความจริงที่ว่าไม่ได้ปวดขาแต่คือขาชา มือทั้งสองออกแรงทั้งบีบทั้งนวด แถมยังกำหมัดทุบขึ้นๆ ลงๆ ไปทั่วราวกับจะช่วยให้อาการปวดหายไป ปิดบังความจริงที่พยายามทำให้มันกลับมามีความรู้สึกเหมือนเดิมเร็วๆ ต่างหาก...ฮึ้ย มาเป็นอะไรตอนนี้ล่ะเนี่ย
“ปวดขา?” พายเลิกคิ้ว ขายาวเดินเข้าไปใกล้และนั่งข้างกายบอบบางตรงม้านั่งนั้น ดูความพยายามออกแรงอันน้อยนิดจากมือเล็กๆ นั่นแล้วก็แอบคิดเหมือนกันว่าจะช่วยหรือเปล่า? “สงสัยเพราะเล่นสนุกมาทั้งวันนั่นล่ะ”
“ฮะๆ ...นั่นสินะครับ” วาดตอบรับด้วยความโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ได้สงสัยอะไร อีกทั้งยังเอ่ยเหตุผลที่ทำให้เขาเอาตัวรอดเองได้แบบนี้ก็เป็นการดี
ในขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันระหว่างสองเรา เด็กหนุ่มก็มองไปยังที่ที่ผู้คนขวักไขว่อย่างปล่อยความคิด มือทั้งสองจับนวดพลางขยับแกว่งขาทดสอบไป ปลายจมูกสูดกลิ่นสายลมที่พัดผ่านมอบความเย็นสบาย ก่อนร่างทั้งร่างจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมีสัมผัสพร้อมกลิ่นหอมที่ข้างหน้าผาก “!”
“...มึงเหงื่อออก” แม้ผมจะเห็นอาการตกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากบอกเสียงเรียบ มือยังติดผ้าเช็ดหน้าที่พกเอาไว้เป็นประจำซับไปยังหน้าผากเนียนแคบ
แววตาที่ล้อมด้วยกรอบดวงตาดอกท้อยามเงยมองใบหน้าหล่อเหลาในระยะใกล้สั่นไหวระริก “ข...ขอบคุณครับ”
“ดูไม่ออกว่าเป็นคนขี้ร้อน”
เด็กหนุ่มเพียงหัวเราะแห้งกลบเกลื่อนเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ตอนนี้มึงเรียนอยู่มหา’ลัยไหน?” ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ถาม พายอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับวาดมากกว่านี้
“คือ...” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง แต่พอโดนจับจ้องในระยะใกล้ก็ยิ้มน้อยๆ บอกเสียงเบาทว่าชัดเจน “ผมไม่ได้เรียนครับ”
“ไม่ได้เรียน? คือยังไง?” แน่นอนว่าพายต้องสงสัย ถึงตอนแรกจะเข้าใจผิดว่าวาดเป็นเด็กยากจน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน...ถึงไม่รู้ว่าครอบครัวของเด็กหนุ่มประกอบอาชีพอะไร แต่ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นทายาทของมหาเศรษฐีก็ไม่เปลี่ยน
สภาพแวดล้อมที่พร้อมสรรพ มันทำให้คนฟังอดไม่ได้ที่จะต้องถาม
“ตั้งแต่จบมัธยมปลายผมก็ไม่ได้ต่อมหาวิทยาลัยครับ” วาดบอกเล่าแต่ไม่ได้บอกเหตุผล จากนั้นก็จบด้วยประโยคย้ำอีกครั้ง “...ตอนนี้ผมเลยไม่ได้เรียนที่ไหน...น่ะครับ”
ร่างสูงฟังแล้วก็ได้แต่เงียบ...ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะมันแปลกประหลาดเกินไป
เด็กหนุ่มที่เกิดมาในครอบครัวเพียบพร้อม หายากมากที่จบมัธยมแล้วไม่เรียนต่อ ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะผลักดันให้ลูกเรียนจนจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ เพราะอยากให้เติบโตมีความรู้เพื่อหน้าที่การงานที่ดีในภายภาคหน้า ยิ่งถ้ามีทรัพย์สินยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะสามารถส่งให้เรียนจบด็อกเตอร์หรือไปเรียนต่างประเทศก็ยังได้
แต่นี่วาดกลับบอกว่าไม่ได้ต่อมหาวิทยาลัย? หมายความว่าอีกฝ่ายมีวุฒิการศึกษาแค่มัธยมปลาย?
หรือว่าไม่ต้องเรียนหรือทำงานก็สามารถใช้เงินที่มีอยู่ชาตินี้ก็ไม่หมด?
เหตุผลผุดขึ้นมาในหัวล้านแปด
เด็กหนุ่มอาจจะมีอะไรที่บอกไม่ได้ แล้วก็คงไม่ใช่สิ่งที่ผมควรถาม
“หายปวดขาหรือยัง จะกลับกันเลยมั้ย”
“...”
ทั้งๆ ที่ได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบ เอาแต่เงยหน้าจดจ้องใบหน้าของผมตาไม่กระพริบ ทำให้ผมต้องเรียกย้ำ “วาด”
“คุณพายใจดีจัง” เสียงใสพึมพำแผ่วเบา “เหมือนพี่บุญเลย”
“...บุญ?” เสียงทุ้มทวน ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเรียวคมสบมองดวงตากลมโตกลับ สีหน้าที่มักจะร่าเริงมีความโหยหา ศีรษะทุยปกคลุมด้วยเส้นผมบางยาวประบ่าพยักขึ้นลงเบาๆ
“พี่ชายของผม”
“...”
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันที่วาดเอ่ยชื่อ...ไม่สิ กล่าวถึงครอบครัวของตัวเอง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เลี่ยงมาตลอด
บุญเป็นชื่อของพี่ชาย?
“อายุเท่าคุณเลยล่ะครับ”
พายเงียบ ก่อนจะครางรับในลำคอ “ออ...” ไม่แน่ใจว่าตนรู้สึกอย่างไรกับคำว่า ‘ผมกับพี่ชายอายุเท่ากัน’
“จะว่าไป...ตอนไปที่บ้านไม่เห็นเจอ” คฤหาสน์หลังนั้นที่ไม่มีวี่แววของ ‘สิ่งมีชีวิต’
นับอึดใจที่ดวงหน้ามนเงยขึ้นสบตา เสียงใสบอกแผ่วเบาราวกับกล้ำกลืนฝืนทน “...เขาไม่อยู่น่ะครับ”
ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกผิด...ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าอาจจะเป็นคำถามที่ทำให้แววตาดอกไม้ที่เคยสดใสกลับลึกล้ำดำดิ่ง...แต่เสียงทุ้มก็ยังถาม
“พ่อกับแม่ก็ด้วย?”
วาดไม่ได้ว่าอะไร เพียงพยักหน้าและแย้มยิ้มเบาบางแตกต่างจากที่เคยเป็น
“คุณพ่อกับคุณแม่ด้วยครับ...”
แม้จะคาดเดาได้แล้วถึงสาเหตุที่วาดไม่เคยเอ่ยถึงครอบครัว...สาเหตุถึงคฤหาสน์หลังโตที่เงียบร้าง สาเหตุที่ต้องถอดกรอบรูปเพื่อลบความทรงจำ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังหลงเหลือร่องรอยให้เห็น
เมื่อเชื่อมโยงกันทั้งหมดก็พอจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไม่อยู่’ ในคำพูดนั้น...และอาจจะรวมไปถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายใช้ชีวิตว่างเปล่าไร้การศึกษาในตอนนี้ด้วย
แล้วทำไม...
ทำไมเขาถึงไม่ร้องไห้เลย
ทำไมถึงยังยิ้ม
ทำไมถึงหัวเราะ...ร่าเริงได้ขนาดนี้
ทั้งสองคนกลับมาถึงกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้กำลังเดินอยู่ชั้นใดชั้นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง แน่นอนว่าแม้จะสนุกสนานมาทั้งวันจนหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่ผมจำไม่ลืมว่าจะต้องให้เด็กหนุ่มมีโทรศัพท์กับตัวไว้สักเครื่องให้ได้ ซึ่งหลังจากที่ให้โอกาสตอบอย่างสมัครใจว่าอยากจะใช้ยี่ห้ออะไรหรือแบบไหนเป็นพิเศษ วาดก็เพียงบอกแค่ ‘แบบเดียวกันกับของคุณพาย’
ในขณะที่พนักงานกำลังร่ายฟังก์ชั่นและหน้าที่ของสมาร์ทโฟนยี่ห้อที่เรียกได้ว่าแพงที่สุดในตลาดแต่ก็มียอดขายสูงสุดเช่นกัน ร่างโปร่งก็กำลังก้มมองเครื่องที่วางเรียงกันอยู่สามเครื่องสลับไปมากับใบหน้าของผมราวกับจะขอความช่วยเหลือ สามเครื่องนั้นไม่มีอะไรแตกต่างนอกจากสี ผมมองหน้าเขานิ่งๆ บอกเป็นนัยว่าให้ตัดสินใจเอง เจ้าตัวก็มู่ปากแล้วก็ชี้ไปที่เครื่องตรงกลางที่เป็นเคสสีขาวที่ดูเรียบง่ายแต่หรูหราที่สุด เป็นการตัดบทกลางปล้องเพราะพนักงานยังพูดไม่ถึงหนึ่งในสามเลยด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเองที่ผมพานนึกไปถึงบทสนทนาครั้งแรก
‘ผมไม่มีโทรศัพท์มือถือครับ...คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้’
‘แล้วมึงไม่ต้องใช้ติดต่อกับใครหรือไง’
‘...’
‘พี่บุญ เขาไม่อยู่น่ะครับ...คุณพ่อกับคุณแม่ก็ด้วย’
ผมคิดว่าผมพลาดไปแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดกับเด็กคนนี้เปลี่ยนไปอย่างไร แต่ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกสงสารขึ้นมา...อายุแค่ยี่สิบ แต่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง คงต้องเหงาอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่มีเพื่อนเลยหรือไงนะ
‘...ถ้าหากไม่มีใครให้ติดต่อด้วย ก็เอาไว้ใช้มือถือเครื่องใหม่ที่จะไปซื้อนี่โทรหากูแทนสิ’ เพราะสิ่งที่ได้รับรู้รวดเดียวนั้นพายจึงพูดอะไรแบบนั้นออกไป
อีกฝ่ายหันขวับมามอง ดวงตาประกายความหวังวูบหนึ่ง ตอนแรกผมนึกว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาดีใจจนกระโดดตัวลอยออกนอกหน้า แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มแค่พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มบางเบา
ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายได้มือถือเครื่องใหม่ไป ผมก็พาไปซื้อซิมต่อ คราวนี้เด็กหนุ่มให้ผมเลือกซึ่งก็ไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไร
ถึงเจ้าตัวจะยังไม่เปิดเครื่องมือสื่อสารนั้นใช้งาน(แกะกล่องแล้วโดยพนักงานเพื่อเช็คเครื่อง) แต่จากนั้นผมก็เมมเบอร์โทรของวาดลงในมือถือของตัวเอง
“มึงอยากจะแวะกินอะไรหน่อยมั้ย” เสียงทุ้มถามขึ้น ดวงตาคมกริบมองคนข้างกาย
แม้คำพูดและสรรพนามจะไม่แตกต่างจากก่อนหน้าสักเท่าไหร่ แต่ว่าน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิมอักโข ซึ่งดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะรับรู้ได้เป็นอย่างดี
“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากรบกวนคุณมากกว่านี้” เสียงใสบอกอย่างเกรงใจกลับไป โหนกแก้มใสแต้มสีระเรื่อพยายามเก็บอาการดีใจอย่างถึงที่สุดเอาไว้...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่พายก็เริ่มใจดีด้วยแล้ว
แต่ก็ต้องเผื่อใจเอาไว้ ยามที่วันใดวันหนึ่งต้องกลับไปเจอกับบุคลิกเย็นชา...ปากร้าย
“ไม่ได้รบกวนอะไร ทั้งค่าตั๋วเที่ยวสวนสนุกทั้งค่ามือถือมึงก็เป็นคนออกเอง”
“ผมหมายถึงรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณพายต่างหากครับ” วาดส่ายหน้าอธิบาย น้ำเสียงใสแฝงด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนแปลกหน้า
“นี่มันคือข้อแลกเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ”
“...”
...หมายความว่าหากไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้งั้นสิ...
วาดอดโทษตัวเองไม่ได้ที่ชั่ววินาทีนั้นมีความคิดต่ำๆ แล่นเข้ามา
บ้าจริงๆ ...ตัวเราไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวผู้ชายคนนี้ทั้งนั้น
ร่างโปร่งไขว้แขนไปด้านหลัง ชะโงกหน้าจุดยิ้ม ส่งให้ร่างสูงที่มองลงมาสังเกตเห็นแววตาประกายวิบวับ “หรือว่าที่ถามเพราะคุณพายหิวแล้ว...ทั้งๆ ที่เมื่อกี้กินไปตั้งเยอะขนาดนั้น?”
“อ๋อ ก็เปล่านี่” ไม่รู้ทำไมถึงได้ปฏิเสธก่อนจะได้คิดเสียอีก ทั้งๆ ที่ผมถามไปไม่ใช่เพราะอย่างนั้นสักหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้แยกย้ายกันตรงนี้ก็ได้นะครับ”
“...อ้าว?” ผมไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะตัดบทกันแบบนี้?
ทั้งๆ ที่ได้รับรู้เรื่องราวแล้ว แต่วาดยังคงปฏิบัติตัวเหมือนเดิม ไม่อ้อนวอน ไม่เรียกร้อง ไม่แสดงอะไรที่ชวนให้สงสารหรือเห็นใจ
...นึกว่าจะเอาแต่ใจกันมากกว่านี้เสียอีก...
วาดหลุดหัวเราะเมื่ออ่านสีหน้าบนใบหน้าดูดีเหมือนคุณชายนั้นออก...คงคิดจะไปส่งถึงบ้านอีกแล้วสิ
รับรู้ได้ถึงความใจดี...แต่นั่นก็คงเป็นเพราะผลพวงจากความ ‘สงสาร’ หรือ ‘เห็นใจ’
แม้จะไม่ได้บอกอย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าใครหากรู้ว่าเขาอยู่ตัวคนเดียว ไร้ญาติมิตรก็อดที่จะเวทนาไม่ได้
“คุณพายอุตส่าห์ให้ผมติดรถมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว...จากนี้ผมกลับเองได้ครับ”
ถึงต้องการมากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าเรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้
สิ่งที่สมควรจะได้รับ ก็ต้องทำอะไรให้อีกฝ่ายก่อน
“ขอบคุณมากนะครับที่มาเที่ยวกับผม” ก่อนที่ร่างสูงจะได้พูดอะไรเด็กหนุ่มที่ยืนกุมถุงด้วยมือทั้งสองข้างก้มศีรษะต่ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ยังคงประดับรอยยิ้มทั้งดวงตา “วันนี้ผมสนุกมากจริงๆ”
...มันคือการแลกเปลี่ยน...
“เอาไว้ไปเที่ยวกันใหม่นะครับ”
ประโยคนั่นหมายถึงครั้งหน้าที่เจอกัน...จากน้องชายผู้ร่าเริงจะกลายเป็นคู่นอนร้อนแรง
“...อืม” ผมเพียงครางในลำคอตอบรับและยืนมองเขาที่เดินห่างออกไปกำลังหันกลับมาโบกมือลาอย่างกระฉับกระเฉง
“...”
‘วันนี้ผมสนุกมากจริงๆ ...ขอบคุณนะครับ’
...จริงๆ แล้วผมเองก็...
เสียงส้นร้องเท้ากระแทกดังก๊อกๆ เป็นจังหวะอารมณ์ดีตามทางเดินริมถนนสายหนึ่ง หากฟังดีๆ แล้วเสียงนั้นมาพร้อมกันสองคู่ มองเลยขึ้นไปจากเบื้องล่างเป็นผู้หญิงสองคนที่แต่งตัวสไตล์อ่อนหวานคล้ายกันราวกับฝาแฝด อีกทั้งยังไว้ผมตัดสั้นเหมือนกันจึงแยกออกยากเข้าไปอีก ทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะว่างงานมาปรากฏกายอยู่ใกล้ๆ กับร้านคาเฟ่ขนมหวานในยามบ่ายแก่ แม้อากาศจะร้อนจนหน้าแทบไหม้ แต่หาได้ทำให้สาวๆ ผู้ที่กำลังจะได้ไปเยือนสรวงสวรรค์สะทกสะท้านไม่
หากเหลือบมองนาฬิกาสักนิดก็จะสังเกตเห็นเข็มสั้นชี้เลยเลขสามไปนิดๆ ซึ่งมันยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน...แล้วทำไมทั้งคู่ถึงได้มาอยู่ที่นี่น่ะหรือ
ก็เพราะว่าไม่ได้ทำงานราชการหรือออฟฟิศน่ะสิ
“วันนี้-จะ-กิน-อะไร-ดีน้า~?” หญิงสาวผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ด้วยการแต่งหน้ากับผมสีเบจดัดเป็นลอนน้อยๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มริมฝีปาก ยกเท้าขึ้นเหยียบย่องเดินตัวปลิวจนทำให้กระโปรงที่ติดระบายหมุนไปมาราวกับกำลังเต้นรำ
“เดี๋ยวไปถึงร้านแล้วค่อยคิดได้ไหม ตอนนี้คิดไม่ออก แต่ที่แน่ๆ คือมัฟฟินช็อกโก!” สาวสวมแว่นกรอบโต ใบหน้าล้อมกรอบด้วยผมสีน้ำตาลเข้มแซมอ่อนกำหมัดพูดเสียงมั่น หากจะแยกสองคนนี้จากอะไรก็คงจะเป็นสีผมและแว่นตาล่ะมั้ง
เมื่อกี้ยังบอกว่าคิดไม่ออกอยู่เลย...ไม่ใช่ว่าคิดเอาไว้แล้วหรอกเหรอ
“อ๊า~ เฌอมากี่ครั้งก็สั่งแต่เมนูนี้อ่ะ ปรางล่ะเบื่อแทน” คนแทนตัวว่าปรางบอกด้วยน้ำเสียงยาน แม้จะบอกว่าเบื่อแต่ก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ เพราะมัฟฟินช็อกโกอร่อยสมคำร่ำลือของเฌอที่มักพร่ำเพ้อทุกครั้งหลังจากได้ลิ้มรสมัน
ใบหน้าสวมแว่นหันมาร้องอ้าว “ก็ของโปรดเฌอนี่?”
“ก็นั่นล่ะ ก็ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่ว่านะ ของอร่อยๆ อย่างอื่นมีตั้งเยอะ...”
“แต่ถึงยังไงมัฟฟินก็อร่อยและฟินมากที่สุด!”
ได้ยินคำพูดตัดบท ปรางก็โบกมือหยอยๆ ขี้เกียจจะยื้อเอาความ “อ่ะจ้าจ้า”
เพื่อนๆ มักบอกว่าเฌอกับปรางมักจะตัวติดกันอยู่เสมอ คุยกันถูกคอ แต่งตัวสไตล์เดียวกัน ขนาดจบมายังทำงานด้วยกัน เพื่อนๆ เลยมักจะเรียกเหมารวมสาวๆ ทั้งคู่ว่าเฌอปรางเสียเลย
กรุ๊งกริ๊งๆ
เสียงคุ้นเคยยามผลักประตูไม้ที่แขวนด้วยแผ่นป้ายOPENกับกระดิ่งสีทองเหนือศีรษะดังขึ้น แล้วเสียงต่อมาที่มักจะได้ยินก็เป็น...
“ยินดีต้อนรับครับ”
เฌอปรางพูดอะไรไม่ออก เพราะเสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงทุ้มๆ ของผู้จัดการร้าน แต่เป็นเสียงใสๆ รื่นหูที่ฟังแล้วจะต้องขนลุกไปทั่วสรรพางค์กาย
เบื้องหน้าคือเด็กผู้ชายรูปร่างบอบบาง ส่วนสูงมากกว่าสาวทั้งสองที่ใส่ร้องเท้าเสริมส้นแล้วเล็กน้อย หน้าตาอ่อนเยาว์ล้อมด้วยเส้นผมสีดำกลืนน้ำตาลธรรมชาติที่ปล่อยให้ยาวเลยบ่าจนต้องรวบมัดเปิดเผยลำคอและไหปลาร้าผอมบาง แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่เก่งเรื่องนี้สักเท่าไหร่จึงยังมีเส้นผมบางส่วนหลุดผล็อยคลอเคลีย ผิวขาวละเอียดทุกอณูรูขุมขน ดวงตารูปดอกท้อกลมโต ยิ่งแพขนตาหนาอย่างกับหางนกยูง(?)นั้นยิ่งขับเสริมให้แววตาเปล่งประกายวิบวับซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สุดเหมือนกับดอกไม้บานฉ่ำยามเช้า ริมฝีปากสีชมพูบอบบางกำลังแย้มยิ้มอย่างสุภาพ
ม ม ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนงดงามเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ!!
เด็กหนุ่มกวาดตามองลูกค้าทั้งสองที่อึ้งตะลึงงันไปแล้วอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเอ่ยด้วยความอ่อนน้อม “ลูกค้าสองท่านนะครับ เชิญทางนี้...”
ฟิ้ว...!
“อ อ้าว...?” วาดถึงกับงุนงงเมื่อลูกค้าสองคนนั้นเดินไปคนละทางกับที่เขาผายมือ แต่พอเห็นผู้จัดการที่อยู่หลังเคาน์เตอร์โบกมือให้ก็เลยไปใส่ใจกับลูกค้าท่านอื่นที่นั่งอยู่เกือบเต็มร้านแทน
“นี่ๆๆ พี่คุณๆ!” สาวน้อยสองคนปรี่เข้ามาและตบโต๊ะเคาน์เตอร์อย่างร้อนแรง แทนที่จะสั่งขนมเหมือนอย่างที่เคย แต่คราวนี้กลับป้องปากถามกระซิบกระซาบด้วยดวงตาลุกเป็นไฟผิดกับบุคลิกละมุนละไม อีกทั้งยังประสานเสียงถามพร้อมเพรียง “อะไรน่ะนั่น เด็กใหม่เหรอคะ!?”
เฌอกับปรางมาอุดหนุนบ่อยจนคุยกับเจ้าของร้านเป็นคนสนิทกันไปแล้ว
ชายหนุ่มผิวสองสีหน้าตาคมคายไม่ถึงกับหล่อโดดเด่นมาก แต่บุคลิกใจเย็นและดูเป็นผู้ใหญ่ทำให้หญิงสาวมากหน้าหลายตาต่างหมายปองไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นเจ้าของคาเฟ่ขนมหวานแห่งนี้ และยังควบตำแหน่งบาริสต้า(คนชงกาแฟ)และพาทิชิเอ้(คนทำขนม)ไปพร้อมกัน เรียกว่าเป็นผู้ชายที่โคตรจะเพอร์เฟคต์เลยล่ะ
“สวัสดีทั้งสองคน...อื้ม ใช่แล้วล่ะ” เสียงทุ้มทักทายและตอบรับคำถามเรียบง่ายอย่างเป็นลำดับ ขณะนั้นเขากำลังเทนมลงบนถ้วยกาแฟและด้วยความเป็นมืออาชีพจึงทำให้นมที่เทลงไปออกมาเป็นลายใบไม้ที่อยู่บนผิวลาเต้สีน้ำตาลอย่างสวยงาม “ว่าไงเฌอ รับมัฟฟินช็อกโกเหมือนเดิมใช่มั้ย แล้วเครื่องดื่มจะเอาอะไรดี”
สาวเฌอสวมแว่นทำตาโตเมื่อเห็นมัฟฟินช็อกโกวางอยู่ในตู้กระจก แต่ไม่ลืมพูดถึงประเด็นที่เด็ดยิ่งกว่าของโปรด “อะไรกัน แล้วก่อนหน้านี้ที่เราแนะนำเพราะเป็นห่วงว่างานจะหนักแต่แล้วพี่ปฏิเสธ...ก็ไหนบอกว่าไม่อยากรับพนักงานไงล่ะ”
“ก็ก่อนหน้านี้ไม่อยาก แต่ตอนนี้ต้องการแล้ว” ร่างสูงชะลูดสวมเสื้อเชิ้ตขาวพับแขนทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีดำตอบทั้งๆ ที่กำลังขยับอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ไม่ลืมพูดยินดีต้อนรับลูกค้าคนใหม่เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งดัง
“ไม่ใช่ว่าเพราะหนุ่มน้อยคนนั้นน่ารักมากหรอกเหรอ” ปรางหรี่ตา เสียงไต่จากคีย์ต่ำไปสูง
“นั่นก็ด้วย” คุณพยักหน้า ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธความจริง ดวงตาเรียวไม่สะท้อนสิ่งใดกับคำพูดล้อแซวของเธอทำให้อดควักผ้าเช็ดหน้ามากัดอย่างเสียดายไม่ได้
“โห่ ยังตอบได้น่าหมั่นไส้ไม่เปลี่ยนเลย งื้อออ...แต่ว่าไม่เป็นไร ครั้งนี้ให้อภัยค่ะ!”
“อื้อๆ!!” เฌอจัดแว่นที่เอียงกะเท่เร่ เพราะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนแรงเกินไป
“นี่คงไม่ได้คิดอะไรแปลกๆ กันหรอกใช่มั้ย” คุณอมยิ้มน้อยๆ ขบขันสองสาว ดวงตาคมเข้มหยักพร้อมรอยยิ้มเป็นอะไรที่มีอานุภาพรุนแรงถึงขีดสุด แต่หาได้ทำให้เฌอปรางหวั่นไหว เพราะพวกเธอมีหน้าที่สำคัญคือจับคู่ผู้ชายให้ผู้ชายรักกันทั้งในจินตนาการและความเป็นจริง!
“เอ่อ คือ ขอโทษนะครับ”
เสียงจากทางด้านหลังทำให้สองสาวที่ยืนเท้าคางขวางหน้าเคาน์เตอร์แหวกออกโดยไม่ต้องหันไปมองโดยอัตโนมัติ
“เอ้า ออเดอร์โต๊ะห้ากับโต๊ะเจ็ด ยกไหวหรือเปล่า?”
“ไหวครับ” วาดพยักหน้าอย่างไม่อิดออด จัดขนมลงถาดอย่างระมัดระวัง ท่วงท่านั้นถูกจดจ้องโดยดวงตาสองคู่แทบไม่กระพริบ
“เก่งมาก รบกวนหน่อยนะ”
เด็กหนุ่มย่นจมูก “พี่คุณทำเหมือนผมเป็นเด็กเลย”
“ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้เกิดมา” เฌอและปรางยกมือจับเต็มแก้ม คล้อยหลังหันไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นที่เดินถือถาดออกไปแล้ว จากนั้นก็หันมาสบตากันและพูดเสียงเคลิ้ม “เด็กอะไรน่ารักน่าหยิกชะมัด~”
“สรุปจะสั่งอะไรหือ” คุณฉีกกระดาษแผ่นล่างขึ้นมาดูรายการ ก่อนจะหันมาพูดกับสองสาวที่ยังเหมือนจะเหม่อลอย พร่ำเพ้อไม่เลิก “ห้ามคิดอะไรแปลกๆ เด็ดขาด ห้ามเข้าไปยุ่งกับวาดเกินความจำเป็นด้วย เดี๋ยวเขาจะกลัวเอา”
ทั้งคู่หลุดจากฝันดีเหมือนชายหนุ่มเป็นคนเอาเข็มไปจิ้มขี้มูกโป่งแตกดังโพละ
“ขี้งก...!” ปรางแลบลิ้น ร่ายสั่งรายการขนมเหมือนจะกินถล่มร้านก่อนจะเดินกระทืบเท้าจากไป
คุณได้ยินแล้วอดกลั้วขำไม่ได้ “จะเอาที่ไหนใส่ล่ะเนี่ย?” ผู้หญิงเห็นตัวเล็กแบบนั้นแต่ก็กินได้น่ากลัวชะมัด
“ถ้างั้นเฌอขอเป็นชาเขียวเย็นกับมัฟฟินช็อกโก้เหมือนเดิมนะคะ” เฌอพูดสุภาพ แต่ดวงตาใต้กรอบแว่นจ้องมองมาระยิบระยับ
“โอเค” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
ถึงสองสาวซึ่งทำงานอิสระเป็นนักเขียนกับนักวาดภาพประกอบจะรักในความอยากรู้อยากเห็น(และอยากเผือก)มากแค่ไหน แต่เรื่องส่วนตัวของคนอื่น หากได้คุณเตือนแล้วเจ้าตัวก็พอจะสงบเสงี่ยมกันได้บ้าง แต่ก็แค่ครู่เดียว พอเฌอกับปรางเห็นวาดว่างจากหน้าที่ ก็ยกมือเรียกเข้าไปเจ๊าะแจ๊ะ เขาไม่รู้หรอกว่าคุยอะไรกัน แต่วาดก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพียงแต่ยิ้มและหัวเราะน้อยๆ ไปตามนิสัยของคนอัธยาศัยดี
เมื่อมากเกินไป คุณก็ได้แต่ส่งสายตาเตือนเป็นระยะ
หารู้ไม่ยิ่งทำให้คนทั้งคู่เกิดความคิดและจินตนาการอันแสนบรรเจิด
“เฮ้อ...” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
ป่านนี้คงจะไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว...
หืม? หมายถึงเรื่องอะไรน่ะเหรอ?
ก็เนื้อหาที่ทั้งสองจะเอาไปบรรยายในหนังสือนิยายนั่น...มันเป็นแนวชายรักชายน่ะสิ
และนั่นคงไม่พ้นเอาตัวเขาไปจับคู่กับเด็กหนุ่มที่เล็งเอาไว้ตามใจชอบอีกตามเคย
“แล้วเจอกันน้า น้องวาด แล้วพวกพี่จะแวะมากินขนมใหม่นะจ๊ะ”
“บ๊ายบาย”
“ขอบคุณที่มาอุดหนุนครับ” วาดยิ้ม และโค้งศีรษะให้แก่ผู้หญิงสองคนที่ยังคงโบกไม้โบกมือด้วยท่าทางเป็นกันเองผ่านกระจกไม่หยุด พอเห็นแบบนั้นเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะ พลางโบกมือบอกลาตอบรับกลับไปไม่ได้
เป็นท่าทางที่สุภาพอ่อนโยนและน่ารักราวกับเทวดาจนเฌอปรางอดจะดีดดิ้นออกมาอย่างบ้าคลั่งไม่ได้...แต่วาดหันหน้าออกมาก่อนจึงไม่เห็น
ใกล้ย่ำเย็นลูกค้าจึงเริ่มน้อยลงบ้าง ทำให้ร่างโปร่งได้พักบ้างเสียที แต่ก็เป็นการยืนพิงผนังร้านเฉยๆ ไม่ได้ถือวิสาสะนั่งให้เห็นแต่อย่างใด
“ขอโทษทีนะ วุ่นวายมากหรือเปล่าสองคนนั้น” คุณสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อีกฝ่ายมาทำงานวันแรก หลายวันผ่านมาเคยพูดไปหลายครั้ง เขาไม่ได้เคร่งครัดเรื่องห้ามนั่งในร้านให้ลูกค้าเห็นขนาดนั้น แต่ว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ยอมลดความดื้อดึงยิ่งกว่า จึงได้แต่บอกว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้ไปนั่งหลังร้าน(ในครัว)ได้...จึงยอมตกลงกันได้
เห็นว่าง่ายแบบนี้ แต่บางเรื่องก็หัวแข็งสุดๆ
“ไม่ครับ พี่เฌอกับพี่ปรางเขาชวนคุยสนุกดี” วาดพูดพลางหัวเราะออกมาอีกเมื่อนึกถึง หญิงสาวทั้งสองคนเป็นคนที่ร่าเริงมากๆ สรรหาหัวข้อเรื่องมาสนทนาได้ตลอด อยู่ด้วยไม่มีเบื่อเลย
คนฟังหัวเราะแผ่วเบา “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ว่าแต่ว่าหิวหรือเปล่า? ทำงานทั้งวันพี่เห็นเรากินแค่แซนด์วิชชิ้นเดียวเอง”
ทั้งคำพูดและกิริยาที่ได้รับ วาดรู้สึกเหมือนได้มีพี่ชายคอยเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา
“แซนด์วิชของพี่คุณชิ้นใหญ่ แค่นั้นผมก็อิ่มมากแล้วครับ”
“เอาแต่ใจหน่อยก็ได้นะ?” คุณพูดลองเชิง เขามีน้องชายอยู่เหมือนกัน อายุมากกว่าวาดแต่กลับทำตัวเด็กกว่าเสียอีก ทำเอาคนอายุมากกว่าพี่ชายแทบทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอเด็กหนุ่มแสนสุภาพและเปี่ยมด้วยมารยาทเช่นนี้
แต่วาดก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เป็นเชิงขอบคุณ...ดังนั้นร่างสูงก็เลยไม่เซ้าซี้ต่อ
เมื่อในร้านลูกค้าน้อยลง ถ้าหากไม่เดินป้วนเปี้ยนคอยรับออเดอร์หรือเสิร์ฟขนมและกาแฟ วาดก็จะไปทำอย่างอื่น อย่างล้างจาน กวาดพื้น ทั้งๆ ที่เหมือนคุณหนูแท้ๆ แต่ก็ทำอะไรเป็น บางอย่างก็ต้องสอนแต่ก็เป็นงานเร็วมากจนคุณไม่ต้องพูดมาก ซ้ำยังขยันเกินค่าแรงที่ตกลงกันไว้เสียอีก
ดังนั้นคุณจึงไม่ยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธเวลารับเจ้าตัวมักจะหักค่าขนมในร้านที่เขาเป็นคนให้อย่างเด็ดขาด
“สนใจหรือ?” ร่างสูงถาม สังเกตเห็นหลายครั้งเวลาที่วาดมักจะเมียงมองมาอย่างสนอกสนใจสิ่งที่คุณทำ นั่นคือการชงกาแฟ...หรือบางทีที่คุณเข้าครัวเพราะต้องไปทำขนมมาเติมตู้ก็รับรู้ถึงสายตานั้นเช่นกัน
“ครับ” เด็กหนุ่มที่ชะเง้อมองผ่านเคาน์เตอร์พยักหน้าหงึกหงัก
“สอนให้เอามั้ย”
“...ได้เหรอครับ” ใบหน้าอ่อนเยาว์เบิกตาเล็กน้อย วินาทีต่อมาก็ขมวดคิ้ว “...แต่ว่าพี่คุณยุ่ง”
เวลาวาดจะทำอะไรมักจะเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเกรงอกเกรงใจเกินพอดี
“งั้นเอาไว้ตอนที่พี่และเราว่างพร้อมกัน...โอเค?” คุณจึงเสนอทางเลือกที่ไม่ทำให้เจ้าตัวต้องลำบากใจ
“โอเคครับ” วาดยกยิ้มตอบรับในทันที แววตาประกายดอกไม้สดใส บ่งบอกอารมณ์ดีใจที่เอ่อล้นออกมากับบรรยากาศรอบตัว
ถ้าครั้งหน้าคุณพายมาที่บ้าน เขาอยากจะทำอะไรเป็นได้ซักอย่างสองอย่างก่อน
คุณพายชอบกาแฟดำ แล้วชอบของหวานหรือเปล่านะ...
“อยากจะทำให้คนพิเศษทานใช่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยราวกับอ่านใจได้ เมื่อได้รับคำตอบเป็นรอยแดงพาดแก้มใส ไม่วายชายหนุ่มเอ่ยแซวต่อ “พี่ทำอาหารคาวได้ด้วยนะ...มือใหม่ก็เริ่มต้นเอาเป็นเมนูที่ทำง่ายๆ ก่อนดีกว่า”
“พี่คุณรู้ได้ยังไง”
น่ารักจริงๆ
แต่ก่อนจะได้สนทนากันต่อ วาดหันออกไปนอกร้านเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างที่หางตา...เป็นอะไรที่ไม่ควรจะมาอยู่เพียงลำพัง
บางอย่างที่ว่านั่นคือ...มนุษย์
มนุษย์ที่สุดแสนจะคุ้นและสะดุดตา...คือเด็กผู้ชายวัยอนุบาลสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนอนุบาลเอกชนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ร้านคาเฟ่ที่วาดทำงานอยู่
“นั่นมัน...” เสียงใสพึมพำในลำคอ ทำให้คุณกำลังง่วนอยู่กับการชงกาแฟเลิกคิ้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบตากับเด็กหนุ่มเข้าพอดี “พี่คุณ ผมขอตัวแปปนึงได้มั้ยครับ”
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงใสนั้นมีความร้อนรนนิดๆ ...เป็นครั้งแรกที่วาดเอ่ยขอความต้องการด้วยตัวเอง ดังนั้นชายหนุ่มเจ้าของซึ่งรั้งตำแหน่งทำทุกอย่างในร้านจึงไม่ลังเลที่จะอนุญาต
“ได้สิ”
ร่างโปร่งผลักประตูออกมานอกร้าน ยืนหันรีหันขวางมองหาเด็กคนนั้น ดีที่ละสายตาไปแค่แปปเดียวจึงเห็นชุดโรงเรียนลายสก็อตเป็นเอกลักษณ์อยู่ปลายตา ทั้งยังได้ยินเสียงเล็กร้องเรียกหาแม่มาจากทางเดียวกัน วาดไม่รอช้ารีบวิ่งไปทางซ้ายมือคว้าหมับเข้าที่แขนเล็กๆ นั่นท่ามกลางกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะจับจ้องมาที่เด็กหลง
“หม่าม้า? ...ไม่ใช่ ฮึก ไม่ใช่หม่าม้านี่นา...” เด็กชายตัวน้อยคราแรกหันมามองตาโต ก่อนจะเบะปากเตรียมร้องไห้เมื่อคนที่จับแขนไม่ใช่แม่ของตน ใบหน้าป้อมกับแก้มกลมสีชมพูแสนคุ้นตานี้วาดไม่มีทางจำผิด
เด็กชายคนนี้คือน้องชายของคุณพายนั่นเอง
“เอ่อ ไม่เอาไม่ร้องไห้นะครับ...” วาดรีบปล่อยมือเพราะคิดว่าเด็กน้อยจะกลัวสัมผัสจากคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยปลอบอย่างไร เพียงแต่บอกเสียงอ่อน พลางสอดส่องสำรวจทั่วตัวอย่างโล่งอก...ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน “หลงทางเหรอ”
เด็กชายคล้ายจะรับรู้ได้ว่าคนแปลกหน้าไม่ใช่คนไม่ดี จึงพยักหน้าบอกกลั้นสะอื้น “ฮะ...”
“แล้ว...” ครั้นจะถามว่าแล้วคุณแม่ล่ะ ก็คงจะแปลกไปหน่อย ถ้าหากเด็กคนนี้รู้คงไม่หลงทางแบบนี้? วาดจึงเปลี่ยนคำถาม “แล้วฝาแฝดล่ะ”
“?” เด็กชายเอียงคอมองเป็นคำถาม ทำให้วาดเกือบสบถออกมา คิดว่าตนพลาดไปแล้ว
แย่ล่ะสิ...จะว่าไปคำถามนี้แปลกยิ่งกว่าเสียอีก! แล้วคนแปลกหน้าอย่างเราจะไปรู้ได้ยังไงว่าเด็กน้อยมีฝาแฝดกันน่ะ!?
“ซิน...อยู่กับหม่าม้า” คำตอบของเด็กชายบ่งบอกว่าวาดกังวลไปเกินเหตุ ทำให้ร่างโปร่งหยุดฟังเสียงเล็กบอกเล่าต่อ “เพราะซินบอกว่าอยากกินขนมเค้กซันก็เลยจะมาซื้อให้ แต่ว่า...”
ก็เลยหลงกันก่อนสินะ...
วาดที่นั่งยองๆ พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้ว...จะว่าไประยะทางจากโรงเรียนนั่นไม่ได้ไกลมากก็จริง แต่สำหรับเด็กอายุห้าขวบมันก็ไกลเกินกว่าจะเดินเท้ามาล่ะนะ
แต่ว่าเด็กชาย...ซันพูดแบบนี้แสดงว่าก็เคยมาที่ร้านของพี่คุณน่ะสิ? เพราะแถวนี้ร้านคาเฟ่ที่ขายทั้งกาแฟและขนมหวานก็มีแค่ร้านพี่คุณซะด้วย คงไม่มีทางเป็นที่อื่นอีก
“ถ้าอย่างนั้นซันมารอที่ร้านขนมก่อนมั้ย”
เด็กชายเลิกเบะปากแล้ว ตอนนี้เอียงคอมองตาแป๋ว “ร้านขนม?” ดูเหมือนจะจับใจความได้แค่นั้น
“อื้ม” ร่างโปร่งชี้นิ้ว ให้เด็กชายมองตาม “ซันจะมาซื้อเค้กร้านนี้ใช่มั้ยเอ่ย ซื้อให้ซินไงครับ”
ซันหันกลับมาพยักหน้าแรงๆ แล้วส่งคำถามพาซื่อ “ใช่ๆ !...แล้วพี่รู้ได้ไงคับ?” ให้วาดกลั้วหัวเราะเอ็นดู
น้องชายของคุณพายน่ารักจริงๆ เลย
“เอาเป็นว่าซันรออยู่นี่ เดี๋ยวพี่จะช่วยตามหาคุณแม่ให้โอเคมั้ย”
ดูเหมือนวาดจะได้รับความไว้วางใจจากเด็กชายซันวัยห้าขวบกว่าที่คิด เพราะเพียงแค่ยื่นนิ้วชี้ให้จับ เจ้าตัวก็จับอย่างง่ายดายและเดินตามต้อยๆ จนมาถึงร้าน
อาจจะเพราะใบหน้าอ่อนเยาว์ น้ำเสียงใสใจดีหรือว่าบรรยากาศไม่มีการคุกคามน่ากลัวแต่อย่างใด
แน่นอนว่าพอคุณเห็นเด็กชายฝาแฝดก็ร้องทักด้วยความตกใจ เหมือนจะคุ้นเคยกันอยู่บ้างแล้วด้วยความบังเอิญเป็นลูกค้าประจำ ซึ่งวาดที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่ถึงสัปดาห์ก็ได้รับรู้ความจริงข้อนี้เมื่อครู่นี้เอง
พอได้รับคำบอกเล่าจากปากวาด พี่คุณก็รับปากว่าจะดูแลให้ ซันที่ชอบผู้ใหญ่ใจดีก็ติดพี่คุณแจ แถมยังทำหน้าที่เป็นมาสคอตเรียกลูกค้าได้อีกต่างหาก
ตอนที่วาดเดินออกมาจากร้าน ไม่มีแม้แต่คำถามว่าวาดรู้จักแม่ของตนได้ยังไงออกจากปากของเด็กชาย
ทำไมวาดถึงรู้ ก็เพราะว่าเคยตามติดชีวิตของคุณพายมาตลอดก่อนจะได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ...จนรู้จักสมาชิกในครอบครัวหมดแล้ว
ถึงจะบอกว่ารู้จักแต่ก็แค่ข้างเดียว
แน่นอนว่าเรื่องที่วาดได้เจอกับซันในวันนี้ เขาไม่มีทางบอกให้คุณพายรู้อย่างเด็ดขาด
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่วาดก็ไม่ติดต่อพาย ทำเพียงเดินตามหาแถวหน้าโรงเรียนอนุบาลเอกชนชื่อดังด้วยตัวเอง สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ได้เจอคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณพายตรงๆ ...ไม่ใช่เป็นเพียงการแอบมองอยู่ห่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้สนทนากัน...ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
เมื่อได้คุยว่าวาดเป็นคนเจอเด็กชายซันและบอกไปว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งอย่างมาก และด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกที่ลูกชายตัวน้อยหายไป จึงไม่มีแม้แต่คำถามจำเป็นอย่าง ‘แล้วรู้จักหน้าค่าตาของตนได้อย่างไร’ อีกเช่นเคย
ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว
เพราะเขาหวาดกลัวและไม่อยากคาดคิด...ว่าถ้าหากคุณพายรู้เข้า
...จะรู้สึกกับเรื่องเหล่านี้เช่นไร...
จบตอน.
ติดตามต่อไปใน วาสนาครั้งที่ ๘ : ความบังเอิญสุดเหลือเชื่อ
ห่างหายไปนานถึงสองเดือน
มันคือช่วงเวลาที่เราติดการ์ตูนงอมแงมเลยค่าาาา
เอาจริงๆ ก็มีแวะเข้ามาดูบ้างนะ แต่ไม่ค่อยมีใครทวงเลยขอโอกาสนี้...หายวับ55
ขอโทษด้วยน้าาา
เจอกันตอนถัดไปจ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
