ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ...ใครๆก็ไปญี่ปุ่น!!!!...

    ลำดับตอนที่ #7 : ...งานพิเศษที่ญุ่ปุ่น...

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 51


    อะรุไบโตะ

    ผ่านมาสี่เดือนแล้วนะครับ ที่ผมหลงระเริงอยู่นอกประเทศ ย้อนไปเมื่อฉบับก่อน ผมเคยพูดถึงงานพาร์ตไทม์ หรือที่เรียกกันในภาษาปลาดิบว่าอะรุไบโตะว่ามีการติดประกาศอยู่เกลื่อนกลาดตามร้านอาหาร ฟาสท์ฟู้ด หรือซุปเปอร์มาร์เกต ต่างก็ติดประกาศกันอย่างโจ๋งครึ่มว่าต้องการแรงงานกันทั้งนั้น โดยแต่ละที่ก็จะติดป้ายค่าแรงต่อชั่วโมงไว้ล่อตาล่อใจ มากบ้างน้อยบ้าง แปรผกผันตามความสบายของงาน ส่วนมากก็จะอยู่ในเรตราว ๆ แปดร้อยถึงพันเยน ต่อชั่วโมง แต่ว่าอย่าได้คาดหวังอะไรมากมายกับตัวเลขหลอกลวงพวกนั้น เพราะว่าเด็กไบต์มือใหม่การได้ค่าแรงต่ำกว่าป้ายไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ... อารุไบโตะที่ไม่ได้จำกัดแค่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงร้านขายยา ขายของชำ โรงงาน คนที่มาแจกใบปลิว แจกทิชชู่ แขวนป้ายแนะนำที่จอดรถ (เค้าเอาป้ายมาแขวนคอแล้วก็ไปยืนกลางแดดอยู่ตามสี่แยก อเมซซิ่งเจแปนมาก) เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอะรุไบโตะทั้งหมดทั้งสิ้น



    ช่วงที่ผมมาสิงสถิตอยู่ที่แดนปลาดิบใหม่ ๆ การเห็นป้ายอะรุไบโตะที่ติดมากมายเยอะแยะ ทำให้ผมเกิดนึกถึงหลักอุปสงค์อุปทานได้ขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่ในตอนเรียนวิชามาร์เกตติ้งเบื้องต้น เป็นขาประจำที่หลับคาโต๊ะเรียน สอบผ่านมาได้ด้วยเลคเชอร์เพื่อน (ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแฟน และเป็นภรรยาตามลำดับ อิอิ)... หลักอุปสงค์อุปทานบอกว่า ถ้าความต้องการกับการผลิตควรจะต้องสมดุลกัน ดังนั้นเมื่อมีป้ายต้องการแรงงานเยอะแยะขนาดนี้ จึงสร้างความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงว่าเดินเข้าไปเนี่ย เจ้าของร้านจะต้องกราบกรานขอร้องให้มาทำงานแหง ๆ เพราะขาดแคลนแรงงานอย่างแรงนี่นา (ตอนหลังได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่องี่เง่าแบบนี้ควรเรียกว่าเป็นความเชื่อปีศาจ)


    เมื่อมั่นใจขนาดนี้จะรออะไรอยู่เล่า ภาษงภาษาไม่ต้องห่วง พูดยังไม่ได้เหรอ ไม่เป็นไรน่า พอได้ใบอนุญาตทำงานแล้วก็เดินแบกเป้เข้าไปสมัคร ร้านเบเกอรี่ ราเมง ซุปเปอร์มาร์เกต มินิมาร์ท ร้านอาหารอิตาเลียน ข้างบ้าน .... ถึงแม้แต่ละที่จะมีถ้อยคำตอบกลับมาที่แตกต่างกันออกไป แต่ระดับความสะเทือนใจนั้นรับประกันว่าพอ ๆ กันทุกที่ ... หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ อย่าว่าแต่งานทำเลย แค่หน้าเทนโจ (เจ้าของร้าน) ก็ยังไม่ได้เห็นเลย หน้าเริ่มชา ความมั่นใจในหลักอุปสงค์อุปทาน(โง่ ๆ ของตัวเอง)เริ่มลดลง เริ่มวิตกจริตว่าเอาไงดีวะ ...


    พอดีมีรุ่นน้องคนไทยที่มีเพื่อนเคยไปสมัครกับเอเจนท์ซี่ที่รับจัดหางานให้ เค้าเลยแนะนำให้ไปสมัครดู ...คราวนี้ขนาดแค่ไปกรอกใบสมัครทิ้งไว้ให้เค้า ยังอดวิตกจริตเรื่องภาษา พาลให้แข้งขาอ่อนร่ำ ๆ จะไม่ไปสมัครอยู่ แต่สุดท้ายก็ลองไปดู บริษัทเอเจนท์ซี่ที่ไป เป็นบริษัทสำหรับจัดหางานให้กับคนต่างชาติโดยเฉพาะ มีทั้งอะรุไบโตะ งานประจำ หรืองานสำหรับบัณฑิตที่เพิ่งจบใหม่จากมหาลัยญี่ปุ่น ไปถึงก็ต้องไปกดบัตรคิวก่อน แล้วพนักงานต้อนรับก็จะเชิญให้ไปนั่งรอ หรือถ้าเราอยากจะฆ่าเวลาด้วยการค้นหางานในฐานข้อมูลของบริษัท ก็สามารถไปขอใช้คอมพิวเตอร์ได้


    พอถึงคิวเราเจ้าหน้าที่ก็จะสอบถามชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เวลาที่ว่าง งานที่อยากทำ แล้วก็เก็บข้อมูลเราลงไปในฐานข้อมูล แล้วก็เอาไปแมตช์กับข้อมูลงานที่มีอยู่ในระบบ สุดท้ายเค้าก็เอาออกมาให้เลือกสองสามที่ เป็นร้านอาหารไทยแต่มีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น พอเลือกได้แล้วบริษัทก็จะจัดแจงโทรไปที่ร้านบอกว่ามีแมงเม่ามาแล้วนะ แล้วก็บอกลักษณะคร่าว ๆ ของเราไป ถ้าทางร้านสนใจ บริษัทก็จะให้ resume มากรอกรายละเอียดที่บ้านแล้วให้ส่งจดหมายไปที่ร้านพิจารณาอีกที สรุปแล้วเอเจนท์ซี่ก็ดูเอาใจใส่เด็กหลงทางอย่างผมดี ดูมีความมุ่งมั่นที่จะหางานให้ผมไม่แพ้ผมเหมือนกัน อ้อ ลืมบอกไปว่า ทั้งหมดนี้ไม่ต้องเสียเงินสักกะเยนเดียว แต่ต้องสปีกกันด้วยภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ อะแฮ่ม ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเรา อิอิ..


    ผมก็กลับออกมาจากบริษัทเอเจนซี่ พร้อมกับใบสมัครร้านอาหารไทยแถบชิบุย่ามาหนึ่งร้าน ก็กลับมากรอกด้วยความตั้งใจและความหวัง ก่อนหย่อนลงตู้ไปรษณีย์อธิษฐานหลวงพ่อทั่วโยโกฮามาให้ช่วยอีกแรง ... ไม่นานก็มีจดหมายตอบกลับมาจากทางร้าน .... อย่างที่ใครเคยบอก หวังไว้มากก็เจ็บลึก ... ตามเคยปฏิเสธอีกแล้ว อารมณ์เหมือนตอนคบสาวเจ้ามาสิบปีแต่พอขอแต่งงาน สาวเจ้าดันบอกว่า เธอดีเกินไป ยังไงไม่รู้ แต่หลังจากซึมเศร้าเหงาและรักได้สองสามวันพระเจ้าคงเห็นความพยายาม มีเพื่อนบอกว่าให้ไปสมัครที่ร้านอาหารไทยดูสิ กำลังเปิดรับสมัครอยู่ แนะนำมาสองที่ คราวนี้เลยไปสมัครด้วยอารมณ์เ่ยว ๆ กลัวความผิดหวังจะทำชั้นเจ็บช้ำซ้ำซ้อน (เน่าจริง ๆ) ...แต่ปรากฎว่าดันได้ทั้งสองที่พร้อม ๆ กันเลยแฮะ ... ที่นึงทำงานอยู่ในครัว ทำงานสารพัดตามแต่พ่อครัวจะสั่ง อาจจจะโมเมเรียกว่าเป็นผู้ช่วยพ่อครัวมือวางอันดับ 8 แต่เป็นคนล้างจานกับคนทิ้งขยะมือวางอันดับ 1 … T T … ส่วนอีกร้านนึงเป็นพนักงานเสิร์ฟสามัญชน ตอนนี้ชีวิตก็เลยยุ่งวุ่นวายสมใจนึก ไหนจะเรื่องเรียน ที่บทเรียนเริ่มอภินิหารเพิ่มขึ้น ไหนจะทำงานอีก เหนื่อยก็เหนื่อย มันส์ก็มันส์ ...


    ถ้าจะถามว่าชีวิตเด็กไบต์ที่ไหนสนุกกว่ากัน คงวัดกันลำบาก เพราะว่าร้านที่เป็นพนักงานเสิร์ฟ อันนี้ได้สนุกสนานกับการเจอลูกค้ามากมายหลายแบบ จะมาแบบแฟมิลี่ สังสรรค์เพื่อนฝูง บางทีก็เป็นชายเดี่ยว หญิงเดี่ยว ชายคู่(ก็พอจะมีเหมือนกัน บรื้อออ) หญิงคู่ และที่เยอะที่สุดคือคู่ผสม อันนี้คาดว่าน่าจะต้องไปต่อแหง ๆ ...อิอิ.... ตั้งแต่ทำงานผ่านมาสักเดือนกว่า พบว่าเพศที่นิยมมาที่ร้านมากแทนที่จะเป็นผู้หนุ่ม ดันกลับกลายเป็นผู้สาวซะนี่ ทั้งมาเดี่ยว มากลุ่ม และที่สำคัญคือ คอยังกะแป๊บน้ำ ดื่มแอลกอฮอล์กันยังกับอูฐ และส่วนมากจะนั่งกันจนปิดร้านห้าทุ่ม ... วันไหนที่ได้มาทำที่นี่ชีวิตก็จะคึกคักตั้งแต่ขึ้นรถไฟ การได้เจอลูกค้าหลาย ๆ แบบเป็นความสนุกแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ แถมยังเป็นสถานที่ฝึกภาษาที่ดีอีกด้วย ไม่เพียงแต่บทสนทนาบนจานอาหารเท่านั้น บ่อยครั้งที่ลูกค้าสาวสวยลวนลามผมด้วยคำถามเกี่ยวกับอาหารไทย เมืองไทย ซึ่งผมก็ต้องตอบไปแบบเสียมิได้ ... อิอิ ... ความสุขอีกอย่างคือการได้เห็นลูกค้าอุทานด้วยความตื่นเต้นเมื่อเอาอาหารไปเสิร์ฟ ผมล่ะอดยิ้มภูมิใจไม่ได้ที่เห็นคนต่างชาติชื่นชมอาหารไทยขนาดนี้ แม้แต่ผลไม้กระป๋องสามัญชนธรรมดา ยังอุตส่าห์อุทานว่าสุโง่ยเลย ...สุโง่ยจริง ๆ ฮา...


    ส่วนร้านที่เป็นผู้ช่วยกุ๊กในครัว นอกจากที่จะได้เมามันกับการล้างจานที่ไม่มีวันจบสิ้นแล้ว บางวัน(ที่มีคนมาช่วยล้างจาน)จะได้ออกมาทำตัววุ่นวายกับการเตรียมเครื่องให้พ่อครัวผัด ไม่ว่าจะเป็นหั่นผัก (แบบเก้เก้กังกัง) ร่อนไข่ (กรุณาอย่าใช้จินตนาการมากเกิน ร่อนไข่ห่อข้าวเฉย ๆ) วันดีคืนดีก็จะได้ไปฉีกหนังไก่ ....โถ โถ โถ ผมน่ะอยู่เมืองไทยใคร ๆ ก็เรียกว่าคุณหนู อย่าว่าแต่หนังไก่เลย ไก่สดเนี่ยเคยจับนับครั้งได้เลย ดังนั้นไก่รอบนั้นใครได้กินถือว่าเป็นบุญปากแล้วนะ ...อิอิ ... เรียกว่าโทรไปเล่าให้หม่าม้าฟังนี่ หม่าม้าขำกลิ้งเลย อยู่บ้านไม่เคยเข้าครัว อย่างดีก็ล้างจาน มาอยู่นี่แสล่นไปหั่นผัก หั่นพริก ฉีกหนังไก่ ... เอาน่า โอกาเนะ โอกาเนะ (เงิน) ท่องไว้ ท่องไว้ ... หวังว่ากลับไปเมืองไทยจะได้วิชาทำกับข้าวไปอวดหม่าม้า เผื่อทีจะช่วยบรรเทาความผิดหวังเรื่องภาษาญี่ปุ่นไปได้บ้าง ...อิอิ... ที่สำคัญที่ร้านนี้กับข้าวน่ากินหรือเปล่าไม่รู้ แต่จุ๊ จุ๊ รู้แต่ว่าสาวเสิร์ฟญี่ปุ่นน่ากิน เอ้ย น่ารักทุกคน เอาไว้อากาศครึ้ม ๆ เบียร์เย็น ๆ แล้วจะถ่ายรูปมาอวดครับ ... อิอิ ...


    แต่ชีวิตเด็กไบต์อย่างผมก็ไม่ได้มีความสุขตลอดเวลา โดยเฉพาะค่ำคืนไหนที่ต้องอยู่ปิดร้าน ซึ่งกว่าแขกท่านสุดท้ายจะกลับบ้านก็ปาเข้าไปห้าทุ่ม นั่นหมายความว่ากว่าจานบนโต๊ะจะทยอยมาถึงมือเด็กล้างจานอย่างผมก็ราว ๆ สิบนาทีต่อมา ฉะนั้นวันไหนอยู่ปิดร้านกว่าจะได้ซาโยนาระก็ร่วมห้าทุ่มครึ่ง นั่งรถไฟถึงสถานีแถวบ้านก็เฉียดเที่ยงคืน จุดไคล์แมกซ์มันอยู่ที่ตอนที่จะเดินจากสถานีกลับบ้านนี่แหละครับ ต้องเดินผ่านมหาลัยแห่งหนึ่ง กลางวันมันก็ครึกครื้นดี ครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ ให้สาว ๆ หนุ่ม ๆ ได้อาศัยมานั่งกระหนุงกระหนิงกันที่เก้าอี้ใต้ร่มไม้ ดูแล้วอยากเด็กกว่านี้อีกสักสิบปีจัง ... อิอิ อิจฉาโว้ย...


    แต่กลางดึกแบบนี้ม้านั่งใต้ต้นไม้เป็นจุดที่ไม่ควรเหวี่ยงสายตาไปโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด บรรยากาศก็แสนจะวังเวง จะมืดตื๋อให้มองไม่เห็นก็ไม่ใช่ จะสว่างให้สบายใจหน่อยก็ไม่เชิง แต่มันดันแบบว่าสลัว ๆ พอจะมองเห็นเป็นเงา ๆ ตะคุ่มตะคุ่ม ตามตำราเป๊ะ ดวงตาของผมมันก็ดันไม่รักดี บอกว่าอย่ามอง ๆ ก็ดันมองทุกที วันไหนไม่มีใครนั่งก็แล้วไป แต่บางคืนที่มันดันมีคน (หวังว่ามันควรจะเป็นคน) มานั่งอยู่ อดสะดุ้งไม่ได้ทุกที และทุกครั้งที่เห็นจะต้องพยายามท่องไว้ในใจว่า " ไม่ต้องหันไปเช็คนะ รีบ ๆ เดิน รีบ ๆ เดิน " แบบว่ากลัวตาฝาด ...ไหนจะยังต้องเดินผ่านแกงค์แมวยากูซ่าอีก มีทั้งหมดห้าหกตัว แต่ละตัวอ้วนพีเชียว ตอนกลางวันก็ทำหน้าหงอย ๆ คอยไปเคล้าเคลียสาว ๆ แถวนั้นให้สงสาร หาข้าวหาน้ำมาให้มันกิน แต่กลางคืนดันทำตัวเป็นแกงค์แมวกวนเมือง นอนระเกะระกะ ขวางทางเดิน แถมบางทีไปจ้องมัน แทนที่มันจะหงอยหลบตา มันดันจ้องกลับอีก แน่ะ ...เราละกลัวว่ามันจะเป็นแมวปีศาจ เลยต้องเป็นฝ่ายหลบมันไปแทน ...อิอิ ... วันไหนถ้าต้องอยู่ถึงปิดร้าน ลากสังขารกลับถึงบ้านได้ก็นับว่าเป็นบุญโขแล้วครับ แต่ชีวิตเด็กไบต์แบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบครับ

    การทำงานพิเศษ

    มาถึงเรื่องการทำงานพิเศษเพื่อหาประสบการณ์ (และเงิน) กันดีกว่า จะว่าไปแล้ว เป็นนักเรียนมีหน้าที่ขยันเรียนหนังสือ จะได้เรียนได้เกรดดีๆ และจบตามกำหนดเวลา เท่านี้ก็แย่แล้วนะคะ ยิ่งช่วงที่เรียนหนักๆ ต้องส่งงาน ส่งการบ้าน ใกล้สอบ หรือช่วงใกล้จะจบต้องส่งวิทยานิพนธ์นี่บางทีก็แทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันก็มี แต่การที่หลายๆคนคิดว่าการที่ได้มาเรียนต่างประเทศแล้วมีโอกาสได้ลองทำอะไรที่เราไม่เคยทำ หรือไม่เคยมีโอกาสได้ทำอยู่เมืองไทย น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว อันนี้ก็เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงจะต้องแล้วแต่โอกาส ความสามารถ และความจำเป็นของแต่ละบุคคล เพราะจะเอาเวลาไปทำงานพิเศษซะจนเสียการเรียนก็เห็นจะไม่ดีแน่ แต่ถ้ามีเวลาว่างและมั่นใจว่าจัดเวลาได้ ลองทำดูซะหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แถมยังได้เงินใช้อีกต่างหากใช่มั๊ยล่ะคะ  
    Arubaito เดิมไม่ใช่คำในภาษาญี่ปุ่น แต่นำมาจากภาษาเยอรมัน " arbeit " ซึ่งมีความหมายว่า แรงงาน
    Arubaito ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงการทำงานพิเศษ หรือการทำงานชั่วคราว นักเรียนนักศึกษาญี่ปุ่นมักจะทำงานพิเศษ เพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ในบริษัทเอกชนก็มีการจ้างคนมาทำงานแบบ Arubaito กันมาก โดยจะได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงหรือรายวัน

    เรื่องการทำงานพิเศษนี่เป็นเรื่องปกติมากสำหรับนักเรียนญี่ปุ่นค่ะ เรียกว่าใครไม่เคยทำนี่สิแปลก ภาษาญี่ปุ่นเค้าเรียกการทำงานพิเศษว่า อารุไบ๊โตะ (arubaito) หรือย่อๆว่าไบ๊โตะ ส่วนนักเรียนไทยเราก็ตัดคำว่า โตะ ออกกันเอง กลายเป็น ไบต์ เฉยๆแทนค่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่านักเรียนไทยที่นี่เค้าทำไบต์อะไรกันบ้างค่ะ


    สยาม : นักเรียนโรงเรียนสอนภาษา
    ทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทยแก้วใจ
    งานร้านอาหาร หรือที่เรียกง่ายๆว่าเด็กเสิร์ฟนั่นล่ะค่ะ เห็นทีงานนี้จะเป็นงานที่เหนื่อยและลำบากที่สุด พูดง่ายๆก็ใช้แรงงานนั่นแหละค่ะ แต่เป็นงานที่สนุก และช่วยคลายเครียดได้ดีทีเดียวเชียวนะคะ ก็เป็นเพราะว่าเราไม่ต้องคิดอะไรมาก ภาษาก็ไม่จำเป็นมากนักเพราะใช้ภาษาในชีวิตประจำวันทั่วไป ที่ต้องถนัดหน่อยก็คงต้องถนัดเดินล่ะค่ะ เพราะว่าต้องเดินเข้าเดินออกตลอด ตั้งแต่รับออเดอร์ เสริฟน้ำ เสริฟอาหาร บางทีก็ต้องช่วยคุณพ่อครัวแม่ครัว หั่นผัก ล้างผัก ตกแต่งจานอาหารด้วย แล้วก็ยังต้องเก็บเงิน เก็บโต๊ะ และสุดท้ายก็ล้างจาน เช็ดจาน และเก็บจานเข้าที่อีก สรุปก็คือตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีได้นั่งเลยค่ะ

    โดยทั่วไปแล้วคนหนึ่งๆจะทำเป็นประจำทุก ๆ สัปดาห์ จะสะดวกกี่วันในแต่ละสัปดาห์ก็แล้วแต่ ทำงานประมาณวันละ 4-5 ชั่วโมง อย่างเช่นร้านเปิดหกโมงเย็น ก็จะทำจนร้านปิดประมาณสี่ถึงห้าทุ่มหรือบางทีก็ดึกกว่านั้น ทีนี้มาถึงเรื่องค่าจ้าง จะว่าไปแล้วก็ไม่น้อยเลยนะคะถ้าเทียบกับที่เมืองไทย หรือแม้แต่กับที่อเมริกา ผู้เขียนเคยถามเพื่อนที่เคยทำงานที่ร้านอาหารไทยในอเมริกา เทียบๆดูแล้วถ้าของเค้ารวมค่าทิปโดยเฉลี่ยเข้าไปแล้ว ที่ญี่ปุ่นอาจจะได้มากกว่านิดหน่อยแต่ก็ไม่เสมอไป ที่ญี่ปุ่นเราจะได้ค่าจ้างประมาณชั่วโมงละตั้งแต่ 800-1,000 เยน (ไม่มีทิปนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นเค้าไม่ให้ทิปกัน) ส่วนที่อเมริกานั้นเค้าจะได้ค่าจ้างต่อชั่วโมงน้อยกว่าเรา แต่เค้าจะได้ค่าทิปต่างหาก ก็จะขึ้นอยู่กับว่าเค้าได้ทิปมากหรือน้อยซึ่งไม่แน่นอนค่ะ
    ยุ้ย : นักเรียนโรงเรียนสอนภาษา
    กับงานโทรศัพท์หาลูกค้า

    การทำไบต์ร้านอาหารนี่เอาไว้คลายเครียดจากการเรียนได้ดีทีเดียวล่ะค่ะ แทนที่จะไปเที่ยวเสียเงิน เอาเวลามาเดินออกกำลังกายในร้านอาหารกันดีกว่า ได้เงินอีกต่างหาก แต่ทำมากๆไม่ดีหรอกนะคะ เพราะถ้าต้องทำงานวันไหนเหนื่อยๆ ตอนเช้าอีกวันนี่ลุกไม่ขึ้นก็มีค่ะ


    มาถึงงานนั่งโต๊ะสบายๆ เงินดี แต่ต้องมีความสามารถอย่างเข่น งานรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรืองานจ๊อบประเภทติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ งานนี้ภาษาญี่ปุ่นไม่จำเป็นเลยค่ะ แต่ภาษาคอมพิวเตอร์น่ะจำเป็นมาก นักเรียนภาคคอมก็รวยกันล่ะค่ะงานนี้ สำหรับผู้เขียนเองถึงแม้จะเป็นเด็กคอมกะเค้าเหมือนกันแต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงหรอกค่ะ เพราะรู้สึกว่างานนี้หนัก ต้องรับผิดชอบเยอะ และเครียดพอสมควร แหม ใจจริงแล้วให้เงินเยอะขนาดนี้ถ้ามีความสามารถก็น่าจะลองอยู่หรอกนะคะ แต่ติดที่ว่าที่เรียนๆอยู่ทุกวันนี่ก็ต้องเขียนโปรแกรมตั้งแต่เช้ายันเย็นแล้ว ยังจะต้องไปทำไบต์เขียนโปรแกรมอีกก็ไม่ไหวล่ะค่ะ ขอบายดีกว่า สำหรับค่าจ้างงานแบบนี้โดยทั่วๆไปแล้วจะตกประมาณวันละสองหมื่นเยน ส่วนใหญ่ก็คงจะต้องไปทำทั้งวัน ต้องหาวันที่ว่างจากการเรียน ไม่ติดอะไรที่มหาลัยก็ไปทำงานได้ นักเรียนญี่ปุ่นทำงานแบบนี้กันเยอะพอสมควรค่ะ เพราะถือว่าเป็นประโยชน์แก่การเรียนด้วย เราไปมหาลัยทุกวัน แรกๆก็สงสัยว่าบางวันเด็กญี่ปุ่นนี่หายไปไหนกันหมด หลังๆเพิ่งมารู้ว่าอ๋อ หนีเรียนไปทำไบต์กันนี่เอง


    งานสบาย เงินดีมีอีกเยอะค่ะ สำหรับงานนี้ ไม่เครียด ไม่ต้องใช้ความรู้ภาษาคอม ใช้แต่ความรู้ภาษาไทย งานน่าสนใจแบบนี้ไม่น่าพลาดใช่มั๊ยล่ะค่ะ แต่มีข้อแม้นะคะ ว่าภาษาญี่ปุ่นต้องดีพอสมควร จะงานอะไรซะอีกล่ะ ก็สอนภาษาไทยให้คนญี่ปุ่นไง คนญี่ปุ่นที่สนใจเมืองไทยและภาษาไทยมีค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยล่ะค่ะ บางคนไปเที่ยวเมืองไทยแล้วก็ชอบเมืองไทยและอยากเรียนภาษาไทย บางคนก็ไปเที่ยวมาหลายรอบแล้ว บางคนเคยไปอยู่ ไปทำงาน ไปเรียนหนังสือก็มี พูดภาษาไทยได้เก่งเลยก็มี ไม่น่าเชื่อเลยค่ะเพราะส่วนตัวรู้สึกว่าภาษาไทยค่อนข้างยาก โดยเฉพาะสำหรับคนญี่ปุ่นการออกเสียงในภาษาไทยให้ได้ครบจะยากพอสมควร เพราะภาษาเค้ามีเสียงน้อยกว่าเราเยอะค่ะ
    บาส : นักศึกษาปริญญาเอก ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น กับงานสอนพิเศษภาษาไทย

    ฟอง : นักศึกษาปริญญาเอก
    กับงานประชาสัมพันธ์ของ
    การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
    สำหรับงานนี้ผู้เขียนคงไม่อาจเอื้อมที่จะลองหรอกค่ะเพราะว่าภาษาญี่ปุ่นไม่เอาไหนเลย กลัวไปสอนแล้วจะอธิบายนักเรียนเค้าจะไม่รู้เรื่องน่ะสิ แต่มีเพื่อนๆที่นี่ไปสอนกันหลายคนเชียวล่ะค่ะ บางคนก็ไปสอนฟรี แบบแลกกันเราก็ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นจากเค้า เค้าก็ได้เรียนภาษาไทยจากเรา บางคนก็สอนคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว บางคนก็ไปสอนแบบผ่านโรงเรียนภาษาคือเค้าจัดแจงมีนักเรียนมาให้เรา นักเรียนก็จ่ายเงินให้โรงเรียน โรงเรียนก็จ่ายค้าจ้างให้เราเป็นชั่วโมง รายได้ก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนด้วยค่ะ คร่าวๆก็ถ้ามีนักเรียนคนเดียวอาจจะได้ประมาณ 2500 เยนต่อชม. ถ้านักเรียนสองคนก็ประมาณ 4000 เยนต่อชม.ค่ะ


    งานต่อไป งานนี้เงินดีอีกแล้ว ไม่ต้องใช้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วย แต่ต้องใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษในระดับที่เรียกว่า 'ยอดเยี่ยม' และก็ยังต้องพูดเก่งๆด้วย งานนี้สำหรับคนไทยโดยเฉพาะอีกแล้วค่ะ แต่จะต้องรับผิดชอบเยอะและจะทำเล่นๆแบบทำๆเลิกๆไม่ได้นะคะ (เพราะว่าเงินดีซะจนไม่อยากเลิกน่ะสิ) งานที่ว่าก็คืองานแปลข่าวจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย แล้วอ่านออกอากาศทางวิทยุพร้อมกับการเป็นดีเจรายการวิทยุไปในตัว เรื่องของเรื่องก็คือว่ามีบริษัททีวียักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นช่อง NHK ซึ่งเป็นช่องที่เน้นทำรายการข่าวและสารคดี เค้ามีการจัดรายการวิทยุซึ่งออกอากาศในประเทศไทยด้วย (ใครเคยฟังบ้างเนี่ย ผู้เขียนก็ไม่เคยฟังเหมือนกันค่ะ เห็นเค้าบอกว่าไม่ได้อยู่ในช่อง FM/AM ตามปกติ แต่อยู่ในช่วงคลื่นสั้น SW-short wave ลองสำรวจดูนะคะว่าวิทยุที่บ้านมีช่องนี้รึเปล่า) ก็จะเป็นการเสนอข่าว ต่อด้วยรายการบันเทิงเล็กๆน้อยๆ มีการพูดคุย สัมภาษณ์ เล่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น หรืออาจจะเปิดเพลงญี่ปุ่นพร้อมกับแนะนำนักร้อง รวมทั้งตอบจดหมายจากทางบ้าน เหมือนรายการวิทยุทั่วไปนั่นแหละค่ะ เค้าก็จะจ้างคนไทยในญี่ปุ่นนี่แหละค่ะเป็นคนแปลข่าว และเป็นผู้ประกาศข่าวและดีเจไปในตัวด้วย ส่วนรายได้ ก็จะตกประมาณครั้งละหมื่นกว่าเยนค่ะ ในหนึ่งสัปดาห์ก็จะทำประมาณครั้งหรือสองครั้ง แต่ละครั้งจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณสามชม.ตั้งแต่แปลข่าวไปจนถึงอ่านออกอากาศและจัดรายการวิทยุด้วย ใครสอบผ่านเข้าไปทำงานนี้ได้ก็ล่ะก็ ฉลองล่วงหน้าได้เลยค่ะ อ้อ แต่เค้ามีข้อแม้ว่าผู้ประกาศข่าวห้ามเป็นหวัดด้วยนะคะ เดี๋ยวเสียงไม่ดีค่ะ


    งานพิเศษยังมีอีกเยอะแยะมากมายค่ะ อย่างเช่นการเป็นล่าม การแปลเอกสาร อันนี้อาจจะยากหน่อยเพราะภาษาญี่ปุ่นต้องเก่งจริงๆ แล้วก็ยังมีอะไรอีกเยอะแยะให้ทำค่ะ ชักอยากมาลองทำ อยากมาอยู่ญี่ปุ่นบ้างรึยังคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็คงต้องแล้วแต่โอกาสและความสามารถของแต่ละคนล่ะค่ะ ยังไงก็ต้องจัดเวลาให้ดี และต้องไม่ลืมว่าการเรียนต้องมาอันดับหนึ่งนะคะ



    การทำงานพิเศษ

    มาถึงเรื่องการทำงานพิเศษเพื่อหาประสบการณ์ (และเงิน) กันดีกว่า จะว่าไปแล้ว เป็นนักเรียนมีหน้าที่ขยันเรียนหนังสือ จะได้เรียนได้เกรดดีๆ และจบตามกำหนดเวลา เท่านี้ก็แย่แล้วนะคะ ยิ่งช่วงที่เรียนหนักๆ ต้องส่งงาน ส่งการบ้าน ใกล้สอบ หรือช่วงใกล้จะจบต้องส่งวิทยานิพนธ์นี่บางทีก็แทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันก็มี แต่การที่หลายๆคนคิดว่าการที่ได้มาเรียนต่างประเทศแล้วมีโอกาสได้ลองทำอะไรที่เราไม่เคยทำ หรือไม่เคยมีโอกาสได้ทำอยู่เมืองไทย น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว อันนี้ก็เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงจะต้องแล้วแต่โอกาส ความสามารถ และความจำเป็นของแต่ละบุคคล เพราะจะเอาเวลาไปทำงานพิเศษซะจนเสียการเรียนก็เห็นจะไม่ดีแน่ แต่ถ้ามีเวลาว่างและมั่นใจว่าจัดเวลาได้ ลองทำดูซะหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แถมยังได้เงินใช้อีกต่างหากใช่มั๊ยล่ะคะ  
    Arubaito เดิมไม่ใช่คำในภาษาญี่ปุ่น แต่นำมาจากภาษาเยอรมัน " arbeit " ซึ่งมีความหมายว่า แรงงาน
    Arubaito ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงการทำงานพิเศษ หรือการทำงานชั่วคราว นักเรียนนักศึกษาญี่ปุ่นมักจะทำงานพิเศษ เพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ในบริษัทเอกชนก็มีการจ้างคนมาทำงานแบบ Arubaito กันมาก โดยจะได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงหรือรายวัน

    เรื่องการทำงานพิเศษนี่เป็นเรื่องปกติมากสำหรับนักเรียนญี่ปุ่นค่ะ เรียกว่าใครไม่เคยทำนี่สิแปลก ภาษาญี่ปุ่นเค้าเรียกการทำงานพิเศษว่า อารุไบ๊โตะ (arubaito) หรือย่อๆว่าไบ๊โตะ ส่วนนักเรียนไทยเราก็ตัดคำว่า โตะ ออกกันเอง กลายเป็น ไบต์ เฉยๆแทนค่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่านักเรียนไทยที่นี่เค้าทำไบต์อะไรกันบ้างค่ะ


    สยาม : นักเรียนโรงเรียนสอนภาษา
    ทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทยแก้วใจ
    งานร้านอาหาร หรือที่เรียกง่ายๆว่าเด็กเสิร์ฟนั่นล่ะค่ะ เห็นทีงานนี้จะเป็นงานที่เหนื่อยและลำบากที่สุด พูดง่ายๆก็ใช้แรงงานนั่นแหละค่ะ แต่เป็นงานที่สนุก และช่วยคลายเครียดได้ดีทีเดียวเชียวนะคะ ก็เป็นเพราะว่าเราไม่ต้องคิดอะไรมาก ภาษาก็ไม่จำเป็นมากนักเพราะใช้ภาษาในชีวิตประจำวันทั่วไป ที่ต้องถนัดหน่อยก็คงต้องถนัดเดินล่ะค่ะ เพราะว่าต้องเดินเข้าเดินออกตลอด ตั้งแต่รับออเดอร์ เสริฟน้ำ เสริฟอาหาร บางทีก็ต้องช่วยคุณพ่อครัวแม่ครัว หั่นผัก ล้างผัก ตกแต่งจานอาหารด้วย แล้วก็ยังต้องเก็บเงิน เก็บโต๊ะ และสุดท้ายก็ล้างจาน เช็ดจาน และเก็บจานเข้าที่อีก สรุปก็คือตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีได้นั่งเลยค่ะ

    โดยทั่วไปแล้วคนหนึ่งๆจะทำเป็นประจำทุก ๆ สัปดาห์ จะสะดวกกี่วันในแต่ละสัปดาห์ก็แล้วแต่ ทำงานประมาณวันละ 4-5 ชั่วโมง อย่างเช่นร้านเปิดหกโมงเย็น ก็จะทำจนร้านปิดประมาณสี่ถึงห้าทุ่มหรือบางทีก็ดึกกว่านั้น ทีนี้มาถึงเรื่องค่าจ้าง จะว่าไปแล้วก็ไม่น้อยเลยนะคะถ้าเทียบกับที่เมืองไทย หรือแม้แต่กับที่อเมริกา ผู้เขียนเคยถามเพื่อนที่เคยทำงานที่ร้านอาหารไทยในอเมริกา เทียบๆดูแล้วถ้าของเค้ารวมค่าทิปโดยเฉลี่ยเข้าไปแล้ว ที่ญี่ปุ่นอาจจะได้มากกว่านิดหน่อยแต่ก็ไม่เสมอไป ที่ญี่ปุ่นเราจะได้ค่าจ้างประมาณชั่วโมงละตั้งแต่ 800-1,000 เยน (ไม่มีทิปนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นเค้าไม่ให้ทิปกัน) ส่วนที่อเมริกานั้นเค้าจะได้ค่าจ้างต่อชั่วโมงน้อยกว่าเรา แต่เค้าจะได้ค่าทิปต่างหาก ก็จะขึ้นอยู่กับว่าเค้าได้ทิปมากหรือน้อยซึ่งไม่แน่นอนค่ะ
    ยุ้ย : นักเรียนโรงเรียนสอนภาษา
    กับงานโทรศัพท์หาลูกค้า

    การทำไบต์ร้านอาหารนี่เอาไว้คลายเครียดจากการเรียนได้ดีทีเดียวล่ะค่ะ แทนที่จะไปเที่ยวเสียเงิน เอาเวลามาเดินออกกำลังกายในร้านอาหารกันดีกว่า ได้เงินอีกต่างหาก แต่ทำมากๆไม่ดีหรอกนะคะ เพราะถ้าต้องทำงานวันไหนเหนื่อยๆ ตอนเช้าอีกวันนี่ลุกไม่ขึ้นก็มีค่ะ


    มาถึงงานนั่งโต๊ะสบายๆ เงินดี แต่ต้องมีความสามารถอย่างเข่น งานรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรืองานจ๊อบประเภทติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ งานนี้ภาษาญี่ปุ่นไม่จำเป็นเลยค่ะ แต่ภาษาคอมพิวเตอร์น่ะจำเป็นมาก นักเรียนภาคคอมก็รวยกันล่ะค่ะงานนี้ สำหรับผู้เขียนเองถึงแม้จะเป็นเด็กคอมกะเค้าเหมือนกันแต่ก็ไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรงหรอกค่ะ เพราะรู้สึกว่างานนี้หนัก ต้องรับผิดชอบเยอะ และเครียดพอสมควร แหม ใจจริงแล้วให้เงินเยอะขนาดนี้ถ้ามีความสามารถก็น่าจะลองอยู่หรอกนะคะ แต่ติดที่ว่าที่เรียนๆอยู่ทุกวันนี่ก็ต้องเขียนโปรแกรมตั้งแต่เช้ายันเย็นแล้ว ยังจะต้องไปทำไบต์เขียนโปรแกรมอีกก็ไม่ไหวล่ะค่ะ ขอบายดีกว่า สำหรับค่าจ้างงานแบบนี้โดยทั่วๆไปแล้วจะตกประมาณวันละสองหมื่นเยน ส่วนใหญ่ก็คงจะต้องไปทำทั้งวัน ต้องหาวันที่ว่างจากการเรียน ไม่ติดอะไรที่มหาลัยก็ไปทำงานได้ นักเรียนญี่ปุ่นทำงานแบบนี้กันเยอะพอสมควรค่ะ เพราะถือว่าเป็นประโยชน์แก่การเรียนด้วย เราไปมหาลัยทุกวัน แรกๆก็สงสัยว่าบางวันเด็กญี่ปุ่นนี่หายไปไหนกันหมด หลังๆเพิ่งมารู้ว่าอ๋อ หนีเรียนไปทำไบต์กันนี่เอง


    งานสบาย เงินดีมีอีกเยอะค่ะ สำหรับงานนี้ ไม่เครียด ไม่ต้องใช้ความรู้ภาษาคอม ใช้แต่ความรู้ภาษาไทย งานน่าสนใจแบบนี้ไม่น่าพลาดใช่มั๊ยล่ะค่ะ แต่มีข้อแม้นะคะ ว่าภาษาญี่ปุ่นต้องดีพอสมควร จะงานอะไรซะอีกล่ะ ก็สอนภาษาไทยให้คนญี่ปุ่นไง คนญี่ปุ่นที่สนใจเมืองไทยและภาษาไทยมีค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยล่ะค่ะ บางคนไปเที่ยวเมืองไทยแล้วก็ชอบเมืองไทยและอยากเรียนภาษาไทย บางคนก็ไปเที่ยวมาหลายรอบแล้ว บางคนเคยไปอยู่ ไปทำงาน ไปเรียนหนังสือก็มี พูดภาษาไทยได้เก่งเลยก็มี ไม่น่าเชื่อเลยค่ะเพราะส่วนตัวรู้สึกว่าภาษาไทยค่อนข้างยาก โดยเฉพาะสำหรับคนญี่ปุ่นการออกเสียงในภาษาไทยให้ได้ครบจะยากพอสมควร เพราะภาษาเค้ามีเสียงน้อยกว่าเราเยอะค่ะ
    บาส : นักศึกษาปริญญาเอก ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น กับงานสอนพิเศษภาษาไทย

    ฟอง : นักศึกษาปริญญาเอก
    กับงานประชาสัมพันธ์ของ
    การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
    สำหรับงานนี้ผู้เขียนคงไม่อาจเอื้อมที่จะลองหรอกค่ะเพราะว่าภาษาญี่ปุ่นไม่เอาไหนเลย กลัวไปสอนแล้วจะอธิบายนักเรียนเค้าจะไม่รู้เรื่องน่ะสิ แต่มีเพื่อนๆที่นี่ไปสอนกันหลายคนเชียวล่ะค่ะ บางคนก็ไปสอนฟรี แบบแลกกันเราก็ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นจากเค้า เค้าก็ได้เรียนภาษาไทยจากเรา บางคนก็สอนคนที่รู้จักกันอยู่แล้ว บางคนก็ไปสอนแบบผ่านโรงเรียนภาษาคือเค้าจัดแจงมีนักเรียนมาให้เรา นักเรียนก็จ่ายเงินให้โรงเรียน โรงเรียนก็จ่ายค้าจ้างให้เราเป็นชั่วโมง รายได้ก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนด้วยค่ะ คร่าวๆก็ถ้ามีนักเรียนคนเดียวอาจจะได้ประมาณ 2500 เยนต่อชม. ถ้านักเรียนสองคนก็ประมาณ 4000 เยนต่อชม.ค่ะ


    งานต่อไป งานนี้เงินดีอีกแล้ว ไม่ต้องใช้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วย แต่ต้องใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษในระดับที่เรียกว่า 'ยอดเยี่ยม' และก็ยังต้องพูดเก่งๆด้วย งานนี้สำหรับคนไทยโดยเฉพาะอีกแล้วค่ะ แต่จะต้องรับผิดชอบเยอะและจะทำเล่นๆแบบทำๆเลิกๆไม่ได้นะคะ (เพราะว่าเงินดีซะจนไม่อยากเลิกน่ะสิ) งานที่ว่าก็คืองานแปลข่าวจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย แล้วอ่านออกอากาศทางวิทยุพร้อมกับการเป็นดีเจรายการวิทยุไปในตัว เรื่องของเรื่องก็คือว่ามีบริษัททีวียักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นช่อง NHK ซึ่งเป็นช่องที่เน้นทำรายการข่าวและสารคดี เค้ามีการจัดรายการวิทยุซึ่งออกอากาศในประเทศไทยด้วย (ใครเคยฟังบ้างเนี่ย ผู้เขียนก็ไม่เคยฟังเหมือนกันค่ะ เห็นเค้าบอกว่าไม่ได้อยู่ในช่อง FM/AM ตามปกติ แต่อยู่ในช่วงคลื่นสั้น SW-short wave ลองสำรวจดูนะคะว่าวิทยุที่บ้านมีช่องนี้รึเปล่า) ก็จะเป็นการเสนอข่าว ต่อด้วยรายการบันเทิงเล็กๆน้อยๆ มีการพูดคุย สัมภาษณ์ เล่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น หรืออาจจะเปิดเพลงญี่ปุ่นพร้อมกับแนะนำนักร้อง รวมทั้งตอบจดหมายจากทางบ้าน เหมือนรายการวิทยุทั่วไปนั่นแหละค่ะ เค้าก็จะจ้างคนไทยในญี่ปุ่นนี่แหละค่ะเป็นคนแปลข่าว และเป็นผู้ประกาศข่าวและดีเจไปในตัวด้วย ส่วนรายได้ ก็จะตกประมาณครั้งละหมื่นกว่าเยนค่ะ ในหนึ่งสัปดาห์ก็จะทำประมาณครั้งหรือสองครั้ง แต่ละครั้งจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณสามชม.ตั้งแต่แปลข่าวไปจนถึงอ่านออกอากาศและจัดรายการวิทยุด้วย ใครสอบผ่านเข้าไปทำงานนี้ได้ก็ล่ะก็ ฉลองล่วงหน้าได้เลยค่ะ อ้อ แต่เค้ามีข้อแม้ว่าผู้ประกาศข่าวห้ามเป็นหวัดด้วยนะคะ เดี๋ยวเสียงไม่ดีค่ะ


    งานพิเศษยังมีอีกเยอะแยะมากมายค่ะ อย่างเช่นการเป็นล่าม การแปลเอกสาร อันนี้อาจจะยากหน่อยเพราะภาษาญี่ปุ่นต้องเก่งจริงๆ แล้วก็ยังมีอะไรอีกเยอะแยะให้ทำค่ะ ชักอยากมาลองทำ อยากมาอยู่ญี่ปุ่นบ้างรึยังคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็คงต้องแล้วแต่โอกาสและความสามารถของแต่ละคนล่ะค่ะ ยังไงก็ต้องจัดเวลาให้ดี และต้องไม่ลืมว่าการเรียนต้องมาอันดับหนึ่งนะคะ


    มาทำงานพิเศษที่ญี่ปุ่นกันดีกว่า !!!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×