คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : จุดเริ่มต้น (100%)
ณ ห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลจุดๆหนึ่งบังเกิดพลังพิศดารกีดกั้นไม่ให้พลังอำนาจอันสุดหยั่งถึงหลุดรอดออกมา
ร่างของชายคนนึงมีดวงเนตรสีทองอร่ามเจิดจรัสดั่งดวงดาวที่งดงามมีผมสีเงินเงางามได้คุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าตัวตนที่มีร่างพิศดารแปลกประหลาด
"คาน!!ทำไมกันข้าทำตามสิ่งที่'ท่านผู้นั้น'บอกมาแล้วเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี้"ร่างของชายคนนั้นกล่าวออกมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะเมื่อได้ยินเช่นนั้นมันก็ได้ตอบคำถามของชายผู้นั้นด้วยรอยยิ้มอันน่าพิศวง
"แน่นอนเจ้าทำได้ดี...แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ'ท่านผู้นั้น'นี้เพื้อประโยชณ์ของเหล่านามธรรมหากเจ้าตายเคแกนเหล่านามธรรมจะได้รับประโยชณ์มหาศาล"คานกล่าวออกมาตอนนั้นเองที่บังเกิดอำนาจอันสุดหยั่งถึงบางอย่างได้ไหลมาที่ปลายดรรชนีราวกับทุกสิ่งมิอาจต่อต้านตอนนั้นเองที่พลังงานอันสุดหยั่งถึงได้เข้าโจมตีเคแกนแต่เขาก็ดึงพลังสูงสุดเท่าที่ตนมีออกมา
"หากมิใช่ท่านผู้นั้นเจ้าอย่าคิดว่าข้าจะยอมง่ายๆ!!"พลังอำนาจเกินประมาณระเบิดออกมาลบล้างพลังของคานไปหมดสิ้นทำให้คานเริ่มตึงมือแล้วพระเจ้าองค์นี้ไม่ใช่เล่นๆสามารถต่อกรกับนามธรรมที่แข็งลำดับต้นๆเช่นมันได้
"เจ้าคิดว่าข้าจะยอมง่ายๆรึ!!!"พลังอำนาจที่ค่อยบงการทุกสรรพสิ่งได้ระเบิดออกมาเข้าปะทะกับอำนาจของทั้งสองเข้าปะทะกันอำนาจพิศดารที่กั้นพลังไม่ให้หลุดรอดออกไปเริ่มมีรอยปริแตก
"บ้าน่า!ข้าผู้นี้แพ้พลังของมันงั้นรึ"คานกล่าวหลังจากที่หัตต์พระเจ้าได้กดร่างของมันลงแนบพื้น
ปรากฏร่างของเคแกนที่ตอนนี้มีมือทั้ง6ค่อยช่วยเหลืออยู่เขาได้พนมมือก่อนที่ตอนนั้นเองอำนาจเหนือห้วงอวกาศจะระเบิดออกมาปรากฏเป็นสัญลักษณ์บางอย่างมันได้หักล้างมิติจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
ก่อนที่มันจะเข้าใส่ร่างของคานหมายจะดับชีวามันซะแต่ผลก็ไม่เป็นตามคาดทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งด้วยอำนาจอันสูงส่งยิ่งกว่าทั้งสอง
ร่างของตัวตนซึ่งมีเพียงผ้าคลุมมีโซ่ตรวนอยู่ทั่วร่างกายได้โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
"ช่างน่าเวทนาจริงๆคานเจ้าเป็นถึงนามธรรมผู้ยิ่งใหญ่แต่ดันประมาทเช่นนี้พระเจ้าไม่ว่าจะโดนกดดันเท่าใดก็ยังเป็นพระเจ้าอยู่วันยังคํ่า"ร่างนั้นกล่าวออกมาก่อนที่อำนาจอันเกินบรรยายจะระเบิดออกมาจากร่างของสิ่งนั้นราวกับกฏฟิสิกได้ถูกทำลายพลังอำนาจเกินประมาณได้สลายพลังของเคแกนไปหมดสิ้น
ก่อนที่กาลเวลาจะกลับมาเดินต่อร่างของเคแกนได้มีเลือดไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ทุกสิ่งนั้นเหนือความเข้าใจของมนุษย์ไปมากการกระทำของคนเหล่านี้เหนือกว่ากฏฟิสิกใดๆ
"ไซธ์!?แม้กระทั่งเจ้าเองก็---!!!"ไม่ทันกล่าวจบอำนาจอันพิศดารของไซธ์ได้แปรเปลี่ยนตัวกลั่นกรองแห่งเวลา แม้กระทั่วอนุภาคของเวลาก็ถูกแปรเปลี่ยนไปด้วยร่างของเคแกนบิดเบี้ยวจนแทบแตกสลายไปจากความเป็นจริงแล้ว
"ขอโทษนะเคแกน...แต่นี้เจ้าเองก็ต้องเข้าใจพวกเราด้วย เจ้าปริภูมิ ผนึกมิติ"ไซธ์กล่าว เขาเขากำมือแน่นก่อนที่มิติรอบๆจะถูกผนึกให้หยุดนิ่งซึ่งอำนาจนี้แทบไม่มีใครต้านทานได้
"ไปกันได้แล้วเจ้าโง่ถ้านี้ไม่ใช่เพื่อตัวของพวกเราข้าคงปล่อยให้เจ้าตายไปนานแล้ว"ไซธ์กล่าว เมื้อคานได้ยินดังนั้นจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มันเป็นแค่ลูกน้องของพวกมันไม่มีศิษย์ไปต่อร้องต่อเถียง
ทั้งสองเปิดประตูมิติสีดำสนิทก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในนั้น
หลายวันผ่านไป
ณ มหาพิภพระฟ้าชั้นที่6 ณ ศูนย์กลางพิภพระฟ้าร่างของตัวประหลาด(?)ทั้งห้านั่งอยู่ในสายตาของสามัญชนจะรู้สึกราวกับว่าจะตายให้ได้ถ้ามายืนอยู่ตรงนี้ความร้อน จิตสังหาร และความบ้าคลั่งมันทำให้มนุษย์ธรรมดาตายทันทีถ้ามายังที่แห่งนี้
ทั้งห้าตนต่างนั่งราวกับรออะไรบางอย่าง
"นี้สรุปให้ข้ามารออะไรกัน"เสียงกล่าวที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกดังออกมาจากปากของตัวตนผู้สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬมีดวงเนตรสีแดงฉานที่ถูกปกปิดด้วยหมวกที่แข็งกล้า
"เจ้าคิดว่าใครในหมู่ของเราจะรู้รึพระเจ้าท่านได้หายไปอย่างไร้ซึ่งร่องรอยใดๆเลย"ชายอีกคนที่สวมใส่ชุดเกราะที่ดูขรุขระใช้นิ้วชี้แตะกับแขนรัวๆแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว
"งั้นเอางี้ทำไมเราไม่ลองจับต้นชนปลายดูล่ะว่าเรื่องนี้เป็นมายังไง"ร่างของสิ่งที่ดูน่าพิศดารยิ่งกว่าตัวตนใดๆในห้องนี้กล่าวออกมามันมีหัวกลมดวงตาทองมือเหมือนจะมีรอยไฟอยู่
"พวกเจ้าดูว่างจังเลยนะ"หญิงสาวผู้มีดวงตาที่น่าพิศวงผมสีนํ้าตาลอ่อนผิวสีเหลืองอ่อนกล่าวออกมา
ผิดกับอีกสี่ตัวหญิงสาวคนสุดท้ายทำเพียงนิ่งเงียบไม่กล่าววาจาใดๆมีเพียงหน้าตาที่เบื่อหน่ายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือบางทีอาจเป็นอย่างอื่น
"จะว่าไปแล้วลูนาร์พี่น้อง(ไม่รู้จะเอาพี่หรือน้องดีเอาแบบนี้แหละ)ของข้าเขาไม่มาเหรอ"ร่างพิศดารกล่าวกับหญิงสาวนามลูนาร์ นางทำเพียงส่ายหน้า
"หลุมดำเจ้าพูดเหมือนเจ้านั้นมาบ่อยๆงั้นแหละ"ลูนาร์กล่าวออกมาทำให้ร่างพิศดารหรือหลุมดำถอนหายใจออกมา
.
.
.
ผ่านไปนานกว่า5วัน
ชายใส่ชุดเกราะขรุขระก็เริ่มทนไม่ได้พบังแห่งการทำลายได้เริ่มทำลายพื้นที่รอบๆอย่างช้า
"อานอสหยุดมันน่ารำคาญ"ชายใส่เกราะอีกคนกล่าว จิตสังหารที่รุนแรงได้ปล่อยออกมาแต่อานอสก็มิได้สะทกสะท้านเขามองไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทีหยิ่งยโส
"แล้วมันจะทำไมล่ะวอร์"อานอสกล่าวก่อนที่กลิ่นอายแห่งการทำลายและความวุ่นวายจะพุ่งสูงขึ้นจนมิติบิดเบี้ยวได้ราวกับเส้นไหม
"นี้ชิออนไปห้ามเจ้าสองตัวนั้นหน่อยสิ"ลูนาร์กล่าวกับหญิงสาวที่เงียบมาตลอดการประชุมเมื่อได้ยินดังนั้นนางเพียงชายมองเล็กน้อยก่อนที่จะทำหน้าเบื่อหน่ายเช่นเดิม
"มันไม่จำเป็น..."ชิออนกล่าว ทำเอาลูนาร์ถึงกับเซ็งถ้าสองตัวนี้สู้กันแล้วพระเจ้ามาเจอเข้าจะทำอย่างไรละที่นี้พวกเขาก็โดนเหมารวมละน่ะ
เธอเป็นแค่ร่างอวตารของมหาเทพจะไปสู้มหาเทพกับราชันเทพได้ยังไง
ตอนนั้นเองที่มิจิได้แตกออกร่างของบางสิ่งได้เดินออกมา เมื่อทุกคนรู้สึกจึงหยิบอาวุธของตนออกมาทันที
สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นร่างของชายหนุ่มดวงเนตรสีทองผมสีขาวประบ่าจดจ้องมาที่พวกเขาด้วยสายตาที่ประหลาดใจ โดยมีสี่เหลี่ยมประหลาดอยู่ด้านข้าง
"ช่างเป็นจักรวาลที่ประหลาดจริงๆสมแล้วที่เจ้านั้นยอมรับ"ดุจดั่งวาจาแห่งผู้สร้างมันแทบจะกดเหล่าราชันเทพและมหาเทพลงกับพื้น
"เอาล่ะๆข้าไม่มีเวลามากเท่าไรข้าจะพูดตรงประเด็นเลยละกัน"ชายคนนั้นกล่าวก่อนที่จะจิบกาแฟก่อนจะวางลงบนโต๊ะของพวกเขา
"พวกเจ้าคงรู้สึกแล้วถึงการหายตัวไปของพระเจ้าในจักรวาลของพวกเจ้า"ตัดภาพมาอีกทีเขาได้นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมเหล่าราชันเทพและมหาเทพนั่งอยู่ด้านตรงข้าม
"แล้วท่านหายไปไหน"หลุมดำเป็นคนกล่าว ชายหนุ่มได้จิบกาแฟไปหนึ่งทีก่อนจะกล่าว
"ข้าเองก็ไม่รู้ แต่จากร่องรอยคงเกี่ยวของกับนามธรรม"ชายหนุ่มกล่าวออกมาแต่มันแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบแม้แต่เทพเจ้าที่มีโสตทิพย์ยังได้ยินไม่ค่อยชัด
"สิ่งที่ข้าอยากจะบอก ณ ตอนนี้คือพวกข้าเหล่าผู้คุมกฏแห่งมัลติเวิร์สได้เกิดความโกลาหลอย่างหนักเพราะมหาจักรวาลแห่งนี้มีจักรวาลบริวารนับไม่ถ้วนถ้ามันหายไปพหุจักรวาลที่ข้าดูแลคงเกิดความวิบัติเป็นแน่"ชายหนุ่มเงียบเพื่อให้พวกเทพย่อยข้อมูลเสี้ยววิก่อนกล่าว
"สิ่งที่ข้าอยากจะบอกคือหลังจากที่ตำแหน่งพระเจ้าของมหาจักรวาลนี้ได้ว่างลงมันจึงเกิดความไม่สมดุลต่อจักรวาลและข้าประสงค์ให้พวกเจ้าหาพระเจ้าองค์ใหม่รอค่อยให้พระเจ้ากลับมาแต่ถ้าไม่คงมีการเปลี่ยนพระเจ้าจริงๆ"เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบเสียงทุบโต๊ะดังขึ้น
ก่อนที่ออร่าที่แทบทำให้สรววสวรรค์นี้สั่นไหวอย่างไร้ที่สิ้นสุดได้ปลดปล่อยออกมาจากสองในห้าตัวตนตรงหน้า
"เจ้าจะบอกว่าให้ข้าปล่อยให้ไอ้แก่/ท่านพ่อของข้าที่ไม่รู้ด้วยซํ้าว่าเป็นรึตายไปเฉยๆเหรอ!!!"ลูนาร์และหลุมดำทั้งสองกล่าวออกมาทั้งสองถือเป็นตัวตนที่คลับคล้ายลูกของพระเจ้ามากที่สุดถึงแม้ทวยเทพจะเรียกว่าพระบิดากันทุกคน(เว้นบางกลุ่ม)แต่คนที่ใกล้กับพระเจ้าที่สุดย่อมเป็นทั้งสอง
"ใจเย็นๆก่อน ถ้าพระเจ้ากลับมาเขายอมได้ตำแหน่งนั้นกลับคืน...ถ้าเขากลับมานะ"ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างมีความก่อนที่เขาจะจับไปที่สี่เหลี่ยมที่อยู่ด้านข้างของตน
"การชิงตำแหน่งพระเจ้าในครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างทุกสิ่วที่เทพองค์นั้นมีตั้งแต่แม่ทัพสวรรค์ขึ้นไปพวกเขาจะบังคับให้เขาศึกนี้ และแน่นอนมันย่อมีกรรมการคุมสนาม"ชายหนุ่มกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะกดไปที่สี่เหลี่ยมมัาได้คายบางอย่างออกมาจากตัวของมัน
ร่างของสิ่งมีชีวิตที่พิศดารเกินบรรยายได้ออกมามันได้จ้องไปที่ชายหนุ่ม(แต่ก็ไม่มีตาให้มอง)ด้วยความแค้น
"เจ้าบังอาจคุมขังข้าเรอะ โทษที่เจ้ากล้ายุ่งกับแดนฝันข้าจะมอบความฝันที่เจ้าไม่มีทางลืมเลือน"มันกล่าวออกมาอย่างโกรธก่อนที่มันจะจับไม้เท้าของตนกีะแทกกับพื้นทำให้แต่ชายหนุ่มได้สัมผัสกับสี่เหลี่ยมที่อยู่ด้านข้างของตนก่อนที่สี่เหลี่ยมจะยืดออกไปเป็นหนามแหลมแทงทะลุร่างก่อนที่จะแตกหน่อเป็นสามส่วนและรัดร่างนั้นไว้
"เจ้ายังไม่รู้อีกหรือตัวตนที่สมบูรณ์แบบเช่นข้าของโง่ๆอย่างความกลัวมันไม่มีหรอก"ชายหนุ่มกล่าวออกมาเจ้านี้มันขัดตั้งแต่เขาพยายามไปเอามันมาแล้ว
ถ้าไม่ได้สรรพศาสตราสี่เหลี่ยมไอ้นี้มันคงพาเขาไปมิติไหนๆแล้วก็ไม่รู้
เขาถอนหายใจยาวออกมาขณะที่มันพยายามกระชากสรรพศาสตราสี่เหลี่ยมของเขาออก
"ถ้าเจ้าคิดจะทำลายมันต้องใช้มากกว่ากายภาพนะ"ชายหนุ่มกล่าวออกมาก่อนที่จะเปลี่ยนมันกลับมาเป็นสี่เหลี่ยมบนมือของเขาเช่นเดิม
"เอ่อๆ ไอ้เรื่องคัดเลือกพระเจ้าโง่เขลาอะไรนั้นใช่มั้ย"มันกล่าวออกมาแต่หันหลังไปไม่ถึงหนึ่งวิก็หันมาดึงเข้าไปโลกแห่งความฝันแต่สรรพศาสตราสี่เหลี่ยมก็แทงร่างของมันนับสิบ
"ไม่ยอมเลยแหะเจ้าบ้านี้"ชายหนุ่มที่เห็นว่า'ไม้อ่อน'ใช้ไม่ได้คงต้องเล่น'ไม้แข็ง'ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปมันไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิงแตกต่างกับครั้งก่อนครั้งนี้เขาไร้ซึ่งความกลัว ความหวัง ความประหลาดใจ และความสงสัยซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยังเป็นมนุษย์
ก่อนที่สรรพศาสตราสี่เหลี่ยมจะพุ่งเข้าโจมตีรามาลุนได้ยกมือขึ้น
"เอ่อๆช่วงนี้ข้ายังไม่อยากสู้เท่าไร"รามาลุนกล่าว เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงเก็บสรรพศาสตราสี่เหลี่ยมมาไว้ที่เดิมทั้งสองย่อมรู้ว่าหากสู้กันจักรวาลนี้จะพังแม้รามาลุนจะไม่อคร์สิ่งที่จะเกิดขึ้นแต่ผลรับและความโกลาหลที่ตามมาต่างหาก ที่เขาถูกบังคับให้แคร์มัน
"งั้นข้าจะอธิบายต่อการต่อสู้แห่งมหาพิภพระฟ้าย่อมมีคนดูแลและอย่าคิดขัดขืนเจ้านี้เพราะพวกแกสู้มันไม่ได้เข้าใจตรงกันนะ"ชายคนนั้นกล่าวก่อนที่จะกางมือออกเขาได้แผ่ขยายอำนาจแห่งการรังสรรค์ออกไปทั่วมหาพิภพระฟ้าเขาได้ชี้แจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ใช่แล้วเขาคือพระผู้รังสรรค์ ตัวตนอันเปี่ยมล้นด้วยอำนาจอันเป็นอนันต์ไร้ซึ่งขอบเขตอย่างแท้จริงพลังของเขามันอยู่ในระดับที่ว่า หากเขาไม่ใช้ญาณออกมาจากแดนสุขาวดีและมาด้วยตนเองเพียงแค่คิดทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามประสงค์ซึ่งในจักรวาลนี้ มีเพียงอซาธอทซึ่งมีฉายาว่าเทพตาบอดผู้โง่เขลา ศูนย์กลางแห่งความวุ่นวาย หรือสุลต่านปีศาจ(ที่ชายบนเรือหาปลาชอบเรียกแกผมอ่านนิยายแนวสมัครตัวละครมาเยอะรู้จักอซาธอทนะแต่ไม่รู้จักสุลต่านปีศาจรู้จักแค่ผู้โง่เขลาค้นWikiมาก็พึ่งรู้)เป็นตัวตนแรกกำเนิดของมหาจักรวาลทั้งมวลซึ่งทั้งสอง ทรงอำนาจพอๆกันทั้งสองจึงมีตัวแทนเป็นของตัวเองอซาธอทจะมียอกโซทอธ(ไม่รู้เขียนถูกรึเปล่าเพราะชื่อแต่ละตัวนี้อ่านเป็นคำพูดแทบไม่ได้)ตัวแทนของอซาธอทแต่ก็เป็นแค่ผู้มีปัญญาที่ไร้ซึ่งค่าเพราะตัวของมันเป็นแค่ตัวแทนของอซาธอท ในแดนสุขาวดีแต่น่าจะมีแค่ไม่กี่คนที่กล้ารังเกียจยอกโซทอธ เพราะมันคือทุกสรรพสิ่งในหนึ่งเดียว และหนึ่งเดียวในทุกสรรพสิ่ง
ส่วนตัวของเขานั้นจะมีผู้สร้างเป็นเสมือนตัวแทนตัวตนเหล่านี้แยกย่อยเป็นผู้สร้างระดับตํ่า>ผู้สร้างระดับสูง>ผู้สร้างสรรค์>พระผู้สร้าง พระผู้สร้างถือเป็นตัวตนที่มีพลังในการสร้างจักรวาลได้อย่างง่ายดาย พระผู้รังสรรค์แค่ปราถนาก็สร้างจักรวาลได้ เขานั้นมักจะมาหาอซาธอทเพื่อเช็คว่าเจ้านี้ยังไม่ตื่นดี แม้จะคาดการณ์ว่าอีกนานเท่าใดกว่าเจ้านี้จะตื่นแต่คงต้องใช้เวลาอีกเป็นมหากัป(เวลาที่ยาวนานมากๆเอาง่ายๆล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆปียังไม่ถึงอสงไขยเลยและมหากัปเนี้ยยาวนานกว่านั้นมากๆ)
เมื่อทุกคนรู้ถึงตัวตนของเขาก็มิหวันเกรงแต่อย่างใดเพราะตัวของพวกเขานับถือพระเจ้ามากที่สุดหรืออาจเพราะความถือตัวเป็นใหญ่ไม่ก็เพราะศักดิ์ศรีของมหาเทพ หรือแค่ความกล้าที่บังอาจยืนอยู่ต่อหน้าของพระผู้รังสรรค์ก็เป็นไปได้ แต่กระนั้นก็ปฏิเสธมิใดว่าแรงกดดันเพียงแค่การจ้องมองของพระผู้รังสรรค์นั้นเปี่ยมด้วยแรงกดดันอันไร้ก้นบ่ออย่างแท้จริง
"ที่ว่าให้สู้นี้คือฆ่ากันให้ตายเลยเหรอ"อานอสเป็นคนกล่าว เมื่อได้ยินดังนั้นพระผู้รังสรรค์ก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย
"แน่นอนว่าไม่ ตัวตนของพวกเจ้าล้วนสำคัญกับจักรวาลนี้อย่างมหาศาลมากเกินกว่าที่ข้าจะปล่อยให้ตายอย่างเปล่าประโยชณ์ได้"พระผู้รังสรรค์กล่าวออกมาพรางลูบไปที่คางของตน
"การฆ่ากันถึงตายนั้นข้าจะเป็นคนดึงเจ้าออกมาจากการต่อสู้แทน หากทวยเทพตายเพราะการคัดเลือกพระเจ้าเพียงองค์เดียว แล้วพระเจ้าจะปกครองสิ่งใดมีแค่เหล่าเทวดาและนางฟ้าเท่านั้นที่เหลือรอด นักรบสวรรค์ทั้งหมดล้วนอยู่ในบัญชาของเทพเจ้าทั้งสิ้นการที่จะยอมเสียมากขนาดนั้นสู้ไม่ต้องมีพระเจ้ายังดีซะกว่า"พระผู้รังสรรค์กล่าวออกมาถึงแม้มันจะเป็นข่าวที่ดีแต่ใช่ว่า เขาไม่ได้บอกว่าว่าพิภพระฟ้านั้นจะคงอยู่เลยแม้แต่น้อย
"งั้นข้าจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายมหาสงครามทวยเทพได้ริเริ่มขึ้นแล้ว"พระผู้รังสรรค์กล่าวจบก็พลันหายตัวไปในทันที เหลือเพียงเหล่าราชันเทพและมหาเทพกับรามาลุนกำลังตั้งสติกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดเท่า ก่อนที่แรงกดดันที่ราวกับบดขยี้พิภพระฟ้าได้ถูกปล่อยออกมาอย่างเต็มที่
แรงกดดันนี้ส่งผลถึงเหล่าเทพเจ้าและเทวดานางฟ้าต่างๆที่มีพลังเทียบเท่าพวกเขาไม่ได้แม้แต่ผงธุลี วอร์ได้พุ่งปะทะทกับอานอสทันทีกำลังรบของทั้งสองพุ่งสูงจนแตะขอบเพดานแห่งทวยเทพในทันที แต่เพียงเสี้ยวพริบตารามาลุนได้ใช้ไม้เท้าแตะกับพื้นตอนนั้นเองที่ราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดถูกย้อนกลับ
"เนี้ยแหละพวกทวยเทพมันถึงได้น่ารำคาญ"รามาลุนกล่าวด้วยเสียงที่ดูหงุดหงิดพรางมีความยโสเล็กน้อย
"การต่อสู้ของเหล่ามหาเทพยังไม่ริเริ่มในเร็วๆนี้หรอกจะเป็นการต่อสู้ที่ไล่ระดับไม่งั้นเทพเจ้าระดับตํ่าตนอื่นย่อมไม่มีทางเอาชนะได้อยู่แล้ว" รามาลุนกล่าวออกมาซึ่งในครั้งนี้มันจะดำเนินแบบมั่วตั่วก็จริงแต่จะสู้กันมั่วไม่ได้ถ้าแดนระฟ้าแห่งนี้เจอการต่อสู้ที่วุ่นวายขนาดนั้นคงไม่แคล้ว ดินแดนระฟ้าคงถูกทำลายเป็นแน่เพราะแค่มหาเทพสู้กันก็สะเทือนไปทั่วมหาพิภพแล้ว
"งั้นจะให้พวกเราทำยังไงเล่า"ลูนาร์เป็นคนกล่าวออกมาเมื่อรามาลุนได้ยินดังนั้นจึงเปิดผ้าคลุมของตนออกมาปรากฏดวงตาอันนับไม่ถ้วนบนร่สงกายมันได้สาดสายตาไปทั่วจนเพียงเสี้ยววินาทีมหาพิภพระฟ้าก็ถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง
"ข้าจะเลือกแม่ทัพสวรรค์มาสู้กันในสังเวียนของข้าซะก่อน"รามาลีนกล่าวจบก็แสยะยิ้มพร้อมเอานิ้วจ่อที่มือ
"ไว้เจอกันอีก...เหล่าเทพเจ้าผู้อ่อนแอ่"รามาลุนส่งท้ายด้วยการดึงความหวาดกลัวจากส่วนลึกในจิตใจออกมาแต่เหล่ามหาเทพและราชันเทพที่รู้ตัวก็รีบปล่อยพลังออกมาลบการโจมตีทางจิตใจของตัวรามาลุนที่ปล่อยออกมา
"น่าหงุดหงิดชะมักเจ้านั้น"อานอสกล่าวออกมาก่อนที่เขาจะเดินออกมาและได้วาร์ปออกไปจากศูนย์กลางแห่งแดนระฟ้าทันที ที่ๆดขาไปคือหอสมุดกลางแห่งแดนระฟ้าซึ่งมาถึงก็พบกับ
"นี่อย่างน้อยก็กินหน่อยสิที่รักเจเาจะกินแต่ของที่ตนชอบเท่านั้นไม่ได้นะ"เมมโมเรี่ยวเทพผู้พิทักษ์แห่งความทรงจำกล่าวออกมาขณะพยายามป้อนข้าวที่ดูมีคุณประโยชณ์สูงให้กับนาง
"ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่ก็คือไม่สิไอ้ของแบบนั้นจะไปมีประโยชณ์อะไรกับทวยเทพที่มีความพร้อมสมบูรณ์กันเล่า"มอร์ริแกนกล่าวออกมาทำเอาเมมโมเรี่ยวแทบหลั่งนํ้าต่ออกมาเป็นสายเลือดนี้คืออาหารที่เขาตั้งใจทำสถดฝีมือนางไม่แม้แต่จะมองด้วยซํ้า เขานั่งพึมพํากับตนเองก่อนจะสังเกตว่าอานอสเดินมาแทบในระยะประชิดห่างไม่ถึงหนึ่งเมตร
"เอ้า อานอสลมอะไรพัดให้นายมานี้ล่ะ"เมมโมเรี่ยวกล่าวออกมาทำเอาอานอสยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาแทบจะเป็นคนที่มาหอสมุดประจำทุกๆ10ปีแล้วเทียบกับเทพเจ้าคนอื่นที่1000ปีจะมาสักครั้ง
"ฮะ...นั้นเป็นแค่คำกล่าวของมนุษย์ในโลก992020เท่านั้นแหละ"เมมโมเรี่ยวกล่าวออกมาก่อนที่จะกล่าวถามตัวของอานอสอีกครั้ง
"เจ้ามาทำไมรึ"เมทโมเรี่ยวกล่าวเมื่ออานอสได้ยินดังนั้นจึงกล่าว
"ข้าขอเข้าไปในห้องสมุดสักหน่อย"อานอสกล่าว เมื่อเมมโมเรี่ยวได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าแต่ในตอนที่อานอสกำลังเข้าไปเมมโมเรี่ยวได้แตะไปที่ไหล่ของอานอส
"ท่านพ่อหายไปแล้วใช่ไหม"เมมโมเรี่ยวกล่าวออกมาก่อนที่อานอสจะสะบัดไหล่พรางพยักหน้าก่อนที่จะเกินเข้าไปภายในหอสมุดแห่งแดนระฟ้า
ณ อีกด้านนึง หลุมดำที่มายืนยังที่กั้นแต่ก็ไม่รู่ว่ากั้นมันจากอะไรเขาสัมผัสมันก่อนที่จะระเบิดความพิโรธออกมา
ความพิโรธของมหาเทพ คือสิ่งที่น่าปวดหัวพอๆกับการโดนเมียจับได้ว่ามีชู้ หลุมดำได้ปลดปล่อยพลังกฏแห่งการทำลายล้างกลืนกินแดนระฟ้าชั้นหกจนเกินไปกว่าครึ่งถูกทำลายอย่างง่ายดายแต่พลังของแดนระฟ้านั้นมีการผลิตอย่างไร้ขีดจำกัดมันจึงสร้างขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ จนกลับมาเป็นแบบเดิมในที่สุด
"เป็นไงบ้างล่ะ"ลูนาร์กล่าวกับหลุมดำแม้จะเป็นแค่ร่างจำลองแต่พลังของเขาก็ยังมหาศาลกว่าเทพธรรมดาหลายเท่านัก
"ก็พอใจเย็นลงได้บเางว่าแต่เจ้าเถอะเก็บอารมณ์ได้ดีจังนะทั้งที่เมื่อกี้ก็หลุดไปแล้ว"หลุมดำกล่าวพรางขยับผ้าพันคอของตนก่อนจะเดินออกไป
เมื่อลูนาร์ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมา
"ใจเย็นเหรอ? พี่น้องของข้าถ้าเจ้าเห็นเช่นนั้นข้าก็ดีใจ"ลูนาร์กล่าวจบเปลวเพลิงแห่งโทสะก็ลุกโชนมันแทบเผาผลาญศูนย์กลางนี้ด้วยซํ้าแต่พลังของนางก็เป็นแค่เทพธรรมดามิได้มีพลังมหาเทพเหมือนหลุมดำ
เธอได้ดับไฟลงก่อนที่จะเดินออกไป
ณ แดนระฟ้าชั้นที่4 อาณาจักรแห่งความไพเราะร่างของชายคนนึงใส่หน้ากากแต่งตัวด้วยชุดสีดำมีมงกุฏอยู่เหนือหัว กำลังเฝ้ามองดวงดาวต่างๆพร้อมกับจดมันลงหนังสือบันทึกเรื่องราวที่ไม่อาจพรรณนา ตอนนั้นเองที่ร่างของอัศวินชุดดำตัวสูงหลายเมตรได้ปรากฏตัวออกมา
"เมลัน เจ้าเองยังว่างอยู่สินะ"ไนท์กล่าว เมื่อเมลันได้ยินเสียงของไนท์เขาจึงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ
"ท่านมาทำไมเหรอครับ"เมลันกล่าวเมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงทิ้งร่างอันมหึมาของตนลงกับพื้น
"เจ้ารู้รึเปล่าตอนนี้นะแดนระฟ้าชั้นหกเริ่มเกิดความวุ่นวายแล้วนะ"ไนท์กล่าว เมลันที่กำลังจรดปลายปากกาของตนเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายราวกับอยากรู้อยากเห็น
"เรื่องอะไรเหรอครับ?"เมลันกล่าวพร้อมเปลี่ยนหน้าหนังสือใหม่เห็นได้ชัดว่าเขาหมายจะจดสิ่งนี้ลงในสมุดบันทึกเรื่องราวของตน
ซึ่งไนท์ก็ได้ร่ายยาวเรื่องทั้งหมดที่เขาได้ยินมาให้ฟังซึ่งเมลันก็จดลงหนังสืออย่างรวดเร็วแม้แต่ตัวของไนท์ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันจะจดอะไรนักหนา เมื่อเล่าเรื่องจบเมลันที่จดทุกอย่างลงสมุดของตนแล่ว ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเทพเจ้าจากแดนระฟ้าชั้นต่างๆที่เริ่มทำสงครามกันแล้ว ซึ่งแดนที่เป็นศูนย์กลางการต่อสู้คือแดนระฟ้าชั้นที่ห้า อาณาจักรแห่งการเนรมิต ที่ได้ชื่อนี้เพราะมันคือที่ซึ่งผู้ใดสามารถทำอะไรก็ได้เป็นเหมือนที่ปลดปล่อยอารมณ์ของทวยเทพโดยเฉพาะ และนอกจากนี้มันยังมิอาจถูกทำลายได้อีกเนื่องจากมันนั้นเ็นแดนที่ถูกปกคลุมด้วยพลังของพระเจ้ามากที่สุดแต่หากมหาเทพสู้กันจังๆมันก็พังลงได้ล่ะน่ะ
"งั้นผมเองก็ต้องลงสู้ในศึกครั้งนี้ด้วยเหรอครับ"เมลันกล่าวถามไนท์ก็พยักหน้าเมลันก็พยักหน้าตอบก่อนจะทำการยืดเส้นยืดสายทั้วร่างกายของตนเอง
"ผมว่าตอนนี้ต่อให้ไม่พร้อมผมคงต้องพร้อมแล้วล่ะนะครับแล้วจอมเทพคนอื่นๆล่ะครับ"เมลันกล่าวออกมาไนท์จึงใช้ไอแพท...ใช่ไอแพทจริงๆแต่จะดูลํ้าสมัยกว่ามากนัก
"พร้อมกันหมดแล้ว"ไนท์กล่าวออกมาก่อนที่เมลันจะถอนหายใจยาว
"เห้อ~อยากอยู่สงบๆจังน้า~"เมลันกล่าวก่อนที่ทั้งสองจะกลายเป็นประกายแสงลอยขึ้นไปบนแดนระฟ้าชั้นที่ห้า
ณ อีกฟากนึงของอาณาจักรแห่งความไพเราะร่างของชายผมสีครามดวงตาสีทองที่รับรู้ว่าตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นก็ลืมตาตื่นก่อนที่ร่างของชายคนนึงและสิงโตจะเดินออกมา
"โย่ววาจิ"ชายเจ้าของชื่อที่ได้ยินก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่รำคาญ
"โอดี้...เจ้ามาทำไม หรืออยากตายห่ะ?"วาจิ(น่า)กล่าวออกมาก่อนที่รังสีอาฆาตจะถูกปล่อยออกมาจากตัวของวาจิ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นกลัวแม้แต่น้อย
"ดุเหมือนที่แดนระฟ้าชั้นที่ห้าจะเกิดบางอย่างขึ้น ตัวข้ารู้ว่ามันเป็นอำนาจอันลึกลับเหนือกว่าตัวตนต่างมิติซะอีก"สิงโตเกราะสีทองนามเฟอร์กัลป์กล่าวออกมา เทพเจ้าแห่งการตัดสินที่ได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนที่ทั้งสามจะกลายเป็นประกายแสงลอยขึ้นสู่ชั้นระฟ้าที่ห้า
ตอนนี้ได้ฤกษ์แห่งสงครามเสียแล้ว
ณ แดนเจ้าสรรพสิ่ง แดนที่ตัวตนอันยิ่งใหญ่สุดๆเท่านั้นจะมีได้ร่างของพระผู้รังสรรค์เดินมาจากความว่างเปล่าแต่กลิ่นอายที่อยู่รอบๆตัวของเขาได้บิดเบือนมิตินี้ไป
ก่อนที่ร่างของพระผู้รังสรรค์อีกนับสิบจะเดินมาจากความว่างเปล่า ก่อนที่ทั้งหมดจภจดจ้องไปที่ร่างนึงซึ่งนั่งขัดสมาธิ ก่อนที่ร่างของพระผู้รังสรรค์ทั้งหมดจะหลอมรวมไปยังร่างๆเดียว
พระผู้รังสรรค์ที่นั่งขัดสมาธืลืมตาตื่นขึ้น
"ยุ่งยากซะจริง"
จบ
ไม่เขียนตอนยาวแบบนี้น่าจะดีกว่าแหะ
สรรพศาสตราสี่เหลี่ยม=สิ่งที่ไม่มีรูปร่างแน่นอนแต่มีความสามารถในการผ่านทุกสิ่งไปได้ตามจริงมันนั้นมีชีวิตแต่ผู้ชนะจะได้รับมันไปครองเหตุที่ได้ชื่อสรรพศาสตราสี่เหลี่ยมเพราะถแม้ภายนอกมันจะเป็นสี่เหลี่ยมแต่เพราะพระผู้รังสรรค์อยากให้เป็นอย่างงั้นทั้งที่ความจริงมันคือตัวตนซึ่งอาศัยในมิติหลายๆมิติพร้อมกันทั้งๆที่ปกติจะอาศัยได้แค่มิติเดียวแต่พวกมันอยู่ในมิติที่1,2,3,4และศูนย์การเคลื่อนไหวไม่อาจหยุดได้ในมิติที่สามและไม่สามารถเคลื่อนที่ในมิติที่สี่มันจะยืดออกไปก่อนจะหายไป...จะมีใครรู้สึกแปลกๆรึเปล่า ถ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับมิติน่าจะรู้นะความหมายเกี่ยวกับ การคงอยู่ของมิติระดับสูงลงมายังมิติระดับตํ่า
ผมชอบเวลาเล่นกับช่องโหว่นะครับ(ตรูโคตรกวนteenเลย)
ความคิดเห็น