ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีวิตเหมือนตกนรกเมื่อโดนอัญเชิญไปต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #1 : อย่าคิดว่าชีวิตจะเหมือนนิยาย

    • อัปเดตล่าสุด 21 ส.ค. 58


    เกม เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนต้องเคยเล่น โดยเฉพาะยุคของผมในสมัยที่ยังเป็นเด็กจะมีเกมแนวหนึ่งเป็นที่นิยมกันมาก เกมแนว J-RPG ช่วงที่ยังเป็นเด็กยิ่งเล่นเกมแนวนี้มากเท่าไหร่ก็มีความคิดที่ว่า 'ถ้าได้เป็นผู้กล้าแบบในเกมก็คงดี' พอลองมองย้อนกลับไปในสมัยนั้นตัวผมนี่มันโง่ดีจริงๆ ถ้าเกิดได้เป็นจริงๆล่ะก็รับรองได้มีแรงกดดันมหาศาลขนาดทำให้คนฆ่าตัวตายได้แน่ๆ ถ้าให้พูดถึงแรงกดดันล่ะก็คงจะเป็นตั้งแต่ร่างกาย ในยุคปัจจุบันน่าจะใกล้เคียงกับยุคที่สงบสุขที่สุดแล้ว ถ้าไปเทียบกับโลกนั้น ร่างกายของคนที่อยู่ในยุคที่สงบสุขกับร่างกายของคนที่ฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดไม่ต้องบอกหรอกว่าอันไหนแข็งแรงกว่ากัน ถ้าแค่นี้ไม่มีปัญหาอะไรมากหรอกก็แค่ใช้ชีวิตตามวิถีคนธรรมดาก็น่าจะอยู่รอดได้ แต่ปัญหาหลักๆของมันน่ะคือปัจจัยหลักสำหรับการดำรงอยู่ 'การสื่อสาร' ภาษาของโลกที่เราไม่รู้จักนี่จะให้มันมีความใกล้เคียงกับภาษาของโลกเราสักภาษาก็คงไม่ได้ การเรียนยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง คนเราเริ่มต้นจากการไม่รู้ภาษาและเรียนรู้จากความคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านั้นส่วนภาษาที่ 2 ก็เอามันมาเทียบกับภาษาแรกที่เข้าใจ หากไม่สามารถเปรียบเทียบกับภาษาที่เราใช้อยู่ได้ก็คงเรียนรู้ยาก กว่าจะฝึกร่างกายและภาษาอย่างต่ำก็ต้องมีสัก 1-2 ปี ถ้านับจริงๆก็ถือว่าเป็นเวลาที่นานพอสมควร การที่เก็บตัวที่ไร้ประโยชน์ไว้ในระยะเวลานานขนาดนั้นคงไม่มีใครโง่ทำแน่นอน ยกเว้นกรณีเดียวคือการทำให้เป็นโล่มนุษย์ โล่มนุษย์นี่มันก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าเหมือนกันในหลายๆความหมายอะนะ แต่การที่ผมที่เป็นคนปกติมาพูดเรื่องแบบนี้ก็ดูผิดปกตินะ ถ้าพูดให้เด็กฟังล่ะก็มันเหมือนกับการดับฝันเลยล่ะมั้ง การที่ผู้ใหญ่แบบผมมาพูดมันก็ดูแปลกใช่มั้ยล่ะแต่ก็มีความจำเป็นที่ผมต้องมาพูดเรื่องแบบนี้ให้คนฟังอยู่ ก็แค่อยากให้คนรับรู้ความรู้สึกของผมหลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ไปน่ะ ถึงจะบอกว่าผมปกติก็เถอะแต่มันปกติในความหมายที่ว่า ร่างกายเหมือนคนปกติแต่แค่มาอยู่ต่างโลกมันเลยกลายเป็นผิดปกติแทนน่ะสิ แถมยังผิดปกติในแง่ที่ไม่ต้องการอีกตั้งแต่อ่อนแอผิดปกติในโลกก่อนถ้าพูดถึงมาตราฐานร่างกายผมก็ถือว่าอยู่ในสภาพดีเลยล่ะแล้วก็เรื่องที่ไม่สามารถใช้เวทย์ได้ เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครบอกเหตุผลให้ผมได้เลยสักคน ดูเหมือนคนที่โลกนี้จะสามารถใช้ได้ทุกคนมีแตกต่างกันแค่พลังเวทย์ที่ต่างกัน ผมเลยลองตั้งสมมติฐานดู เวทย์ถ้าพูดตามความหมายที่พวกเราเข้าใจคงเป็น พลังเหนือธรรมชาติ แต่ถ้าลองสังเกตุดูดีมันคือปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ถูกทำให้เกิดขึ้นต่างหาก อย่างเช่นการรวมดินให้เป็นก้อนกลมๆแล้วใช้ลมยกให้ลอยขึ้นต่อด้วยใช้ลมเป็นตัวผลักเพิ่มความเร่งให้สูงที่สุด ถ้าลองเปรียบเทียบสภาพโลกทั้งคู่สิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนคือความเจริญ โลกนี้จะเต็มไปด้วยป่าไม้และธรรมชาติส่วนโลกเดิมส่วนใหญ่จะเป็นตึก ถ้าลองดูจากตรงนี้ที่พอคิดได้ก็จะเป็นเวทย์คือสิ่งที่ดึงธรรมชาติออกมาใช้ให้เกิดพลังมากที่สุด ถ้าลองมองจากจุดนี้พวกเราก็มีเวทย์ที่ทรงพลังอยู่แล้วอย่างวิทยาศาสตร์ ถ้าเวทย์ในแต่ละโลกมีขีดจำกัดการใช้ที่ต่างกันไปคนอย่างผมก็น่าจะเป็นเพราะมีพลังเวทย์ในรูปแบบวิทย์อยู่แล้วจึงใช้ไม่ได้ โครงสร้างของมนุษย์ก็น่าจะแตกต่างกันด้วยเพื่อให้สามารถรองรับการทำงานที่ต่างกันของเวทย์ได้ จากที่สังเกตุมาคนจากโลกนี้ดูเหมือนจะทำงานที่ละเอียดอ่อนไม่ได้เลยไม่สามารถพัฒนาจากการทดลองสิ่งต่างๆได้แต่ก็มีบางคนสามารถทำได้ ถ้าสมมติฐานผมถูกล่ะก็พวกเขาจะสามารถใช้วิทยาศาสตร์เป็นอาวุธได้ขาดแค่ความรู้ ในทางกลับกันถ้าผมรู้หลักการล่ะก็จะสามารถใช้เวทย์ได้เหมือนกัน คงต้องยอนกลับไปตั้งแต่ต้นล่ะนะช่วงที่ผมมาถึงโลกนี้ใหม่ๆ

    *

    "ยินดีต้อนรับสู่โลกใบใหม่ ตัวของข้าคือเทพที่อยู่บนอีกโลกหนึ่ง"

    หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ ผมก็พยายามตั้งสติเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ดูเหมือนความที่ผมชอบอ่านนิยายแนวนี้บ่อยเลยพอจะจับประเด็นได้เร็วอยู่พอสมควร ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆแล้วตะโกนในใจ 'มันจะแปลกเกินไปแล้วโว้ยยยยย' สูตรสำเร็จรูปของนิยายแนวนี้ที่เหมือนกันอย่างกับก๊อปกันมาก็เป็นแบบ ถ้าตายแล้วเกิดใหม่ก็ต้องโดนรถบรรทุกชนสิ ส่วนตัวผมก็น่าจะหลับสบายอยู่บนห้อง คงไม่มีเรื่องแบบที่ผมหลับอยู่บนหอชั้น 4 แล้วรถบรรทุกมันตรงดิ่งมาชั้นสี่ที่กลางๆตึกได้หรอกนะ ไม่สิ ถ้าดูจากรูปการแบบนี้มันต้องเป็นการอัญเชิญไปต่างโลกแน่ๆ ถึงจะพูดแบบนั้นมันก็แปลกอยู่ดีไม่คิดแบบนั้นเหรอ ปกติตามนิยายพวกที่ถูกอัญเชิญไปควรไปเป็นกลุ่มแถมต้องมีคนที่โดนแกล้งอยู่ในนั้นด้วย แต่ผมก็อยู่แบบมีเพื่อนฝูงเยอะอยู่ไม่เคยแกล้งใครหรือถูกแกล้งด้วย มันแปลกเกินไปจนผมตามไม่ทันแล้วล่ะ สักพักนึงผมถึงนึกขึ้นได้ว่าผมกำลังเมินเทพเจ้าอีกโลกนึงได้ ถ้าตัวต้นเหตุมันอยู่ตรงนี้ทำไมไม่ถามมันซะตั้งแต่ต้นเลยล่ะ

    "ท่านเทพใช่มั้ยครับ ทำไมถึงต้องพาผมไปต่างโลกด้วยครับ"

    "มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เพราะโลกทางนั้นกำลังแย่ไง ความจริงมันก็ตัดสินใจอยากอยู่นะว่าจะเอาใครไปดี เลยเลือกคนที่มีอคติกับต่างโลกเพื่อให้เขารู้ถึงความสนุกไง"

    อืมๆ เยี่ยมมาก ไม่คิดเลยว่าเทพจากต่างโลกมันจะยืดอกภูมิใจกับคำตอบที่เหมือนกับ 'ฝ่ายนั้นเป็นไงข้าไม่รู้ ฝ่ายข้าเดือดร้อนเจ้าก็ต้องช่วย' ถึงเหตุผลจะดูไร้เหตุผลในทุกๆอย่างแต่ก็พอรู้อยู่อย่างแล้วล่ะ เทพเจ้านี่ซ่อนความฉลาดไว้ในความบ้าได้ดีเลยล่ะ ทำให้คนปกติคิดว่าเป็นแค่คนบ้าๆที่มีอำนาจมากจนเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก ก่อนอื่นก็คงต้องเริ่มจากการเลือกผมที่เป็นคนมีอคติไป ถ้าคนที่ชอบต่างโลกไปอยู่ที่ต่างโลกจะเป็นยังไงล่ะ แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นพวกมีความสุขกับชีวิตไปวันๆโดยไม่ค่อยสนการช่วยโลกนั้นอยู่แล้ว ส่วนคนที่กลางๆก็จะเป็นพวกอยู่อยากกลับอยู่แล้วแต่ถ้าเจอความลำบากพอสมควรก็ถอดใจได้ง่ายๆ ถึงไม่ถอดใจก็พัฒนาช้าล่ะเพราะไม่ได้คิดจะทนความลำบากเพื่อรีบกลับไปเร็ว ส่วนคนที่มีอคติกับต่างโลกแน่นอนว่าไม่ว่าเจออะไรพวกนี้ก็ต้องพยายามทำให้ตัวเองกลับไปที่โลกเดิมอยู่แล้ว ต่อไปคือจำนวนคนถ้ามาจากต่างโลกเหมือนกันพื้นฐานก็ย่อมต้องเท่ากันคือ 0 ต้องเริ่มสอนตั้งแต่ต้นหมดเลยมันก็เหมือนกับตอนเรียนระหว่างเรียนเดี่ยว กับ เรียนกลุ่ม อันไหนไปเร็วกว่ากัน แถมถ้าพัฒนาไปช้าหรือกลางๆถ้าเกิดพลาดสักนิดก็ตายหมู่ แทนที่จะเอาพวกที่มีพัฒนาช้าพลาดไปครั้งเดียวก็ตายหมด ไปเอาพวกที่พัฒนาเร็ว พลาดครั้งเดียวก็ตายเหมือนกัน ยังจะดีกว่า

    "งั้นก็ไปกันได้แล้ว"

    หา? ยังไม่ได้คุยอะไรกันสักนิดเลยนะอย่างน้อยก็ควรจะบอกข้อมูลพื้นฐานสักนิดสิ

    "เดี๋ยวๆๆ สต๊อป ขอคุยอะไรสักนิดสิ"

    "ไม่เอาอะ ขี้เกียจ"

    ดูมันตอบดิขนาดเป็นเทพเจ้ายังขี้เกียจแม้แต่ตอบคำถามของเหยื่อที่มันลากมาเอง จากที่ตอนแรกร่างกายผมค่อยๆหายไป สปีดตอนนี้มันเร็วกว่าตอนแรกแบบเทียบไม่ติดเลยนะเออ ตอนนี้จากที่ขาหายไปตอนนี้ปากมันหายไปแล้ว

    "เจ้าน่ะเลิกทำเป็นฉลาดได้แล้ว"

    ถึงจะเป็นช่วงวุ่นๆกับรางกายของตัวเอง แต่สายตาของเทพเจ้าที่มองเหมือนกำลังมองสัตว์ชั้นต่ำอยู่กับรอยยิ้มที่ดูน่าขยะแขยงแบบนั้นมันทำให้ผมลืมไม่ลงเลยสักนิด

    *

    ที่แรกที่ผมมาก็คือปราสาทล่ะค่อยตรงตามสูตรหน่อย ถึงมาครั้งแรกไม่ควรรู้ว่าเป็นที่ไหนก็เถอะแต่ดูจากหลายๆอย่างทางเดินปูพรม มีรูปภาพตกแต่งอยู่พอสมควร เสาก็เป็นแบบกรีกนิดๆ แล้วก็ยังมีตัวประกอบมากมายที่ชวนให้คิดว่าเป็นปราสาทจริงๆอย่าง คุณอัศวินที่ยืนเรียงกันเป็นแถวอยู่สองฝั่งซ้ายขวารวมแล้วประมาณ 20 คน ส่วนตรงกลางก็มีคุณลุงหน้าเหมือนโจรที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์แถมยังใส่มงกุฎที่ทำมาจากทองที่มีพวกเพชรฝังไว้อยู่ด้วย หืม? ทำไมผมถึงยังใจเย็นอยู่เหรอ ก็โดนพวกนั้นเมินอะถึงจะดูเหมือนพวกนั้นจะพยายามมาคุยอยู่แต่ก็คุยไม่รู้เรื่องแล้วก็หายไปคุยกันเองแทน โดยปล่อยไว้หลายชั่วโมงก็เบื่อเหมือนกันอะนะเลยลองพูดแนวที่เจอในการ์ตูนแทน ดูสิขนาดคุยกับตัวเองยังคุยได้เลย ขนาดเห็นภาพหลอนเป็นอัศวินถือดาบสองมือทำหน้าตาน่ากลัวที่อยู่ตรงหน้าผมกำลังฝาดดาบนั้นมาเพื่อตัดหัวผมเลยนะ คงไม่มีใครบ้าขนาดนั้นหรอกนะ

    'เจ้าน่ะเลิกทำเป็นฉลาดได้แล้ว'

    คำพูดที่เทพเจ้าพูดก่อนที่ผมจะมาที่นี่แล่นเข้ามาในหัวของผม 'เลิกทำเป็นฉลาด' คงหมายความว่าอย่าไปเชื่ออะไรแบบ 100% ให้คิดว่ามีโอกาสเกิดได้สินะ แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามใช้ความฉลาดนั้น ถ้าฟันเฉียงลงมาแค่ถอยหลังก็หลบได้แน่ๆสปีดของดาบสองมืด แต่ถ้าแทงมาที่คอก็ต้องก้มหลบที่หลบไม่พ้นการฟันแบบเฉียง ถึงการแทงจะไม่ใช่รูปแบบของดาบสองมือแต่โอกาสก็ไม่ใช่เป็น 0% เวลาแบบนี้ก็ต้องเลือกอันที่โอกาสเกิดมากกว่า ถอยหลังกลับนี่ล่ะคำตอบที่ถูกต้อง ดูท่ามันจะถูกต้องจริงๆด้วยแต่มันคนละความหมายกับที่คิดว่าดาบฝาดลงบนพื้นโดยไม่เล็งผมตั้งแต่แรก มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ ช่วงที่มาคิดมันคือช่วงที่อีกฝ่ายกำลังฝาดมาแล้วใครคิดทันก็ไม่ใช่คนแล้ว ใช่แล้วคำตอบที่ถูกต้องคือยืนอยู่เฉยๆนี่ล่ะ ดูท่าความหมายที่พระเจ้าให้มาคือผมเป็นคนโง่ๆเท่านั้นอย่าพยายามทำตัวฉลาดจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องนะ ส่วนท่าทางของราชานี่ผมก็ไม่ค่อยกล้ามองเท่าไหร่แต่ก็พอได้ยินเสียงที่คุยกันอยู่บ้างแต่ก็แปลไม่ออก อาจจะถือว่าเป็นเรื่องดีก็ได้เหมือนตอนเราโดนด่าถ้าแปลไม่ออกก็คงไม่รู้สึกอะไรใช่มั้ยแล้วก็ไม่คิดยากจะรู้ด้วยว่าเขาด่าอะไรเรา ปัญหาคือจะทำยังไงต่อดีถ้าอยู่ที่นี่ต่อก็มีสิทธิที่อีกฝ่ายจะรู้ได้ว่าตัวของผมเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย หนีออกไปจากที่นี่ผมก็ไม่มีปัจจัยสำหรับดำเนินชีวิต เงิน การสื่อสาร ผมทำไม่ได้สักอย่างจะไปเรียนโดยใช้วิธีเหมือนตอนที่เกิดมาก็คงไม่ได้ ก็ลืมไปแล้วนี่เนอะว่าตอนเกิดมาผมเรียนภาษาแรกยังไง ถ้ามีโดเร(ตี๊ด)อยู่ด้วยคงสบายไปแล้วแท้ๆนะ อ๊ะ เสียงพูดคุยหยุดไปแล้ว อัศวินที่เมื่อกี้เกือบฆ่าผมไปแล้วมายืนต่อหน้าผมอีกครั้ง

    "นายนี่สุดยอดเลยนะ เจอจิตสังหารเข้าไปแบบนั้นยังไม่หนีเลย มานี่"

    หลังจากที่เขาพูดจบก็ลากตัวผมไปตามพื้น ครั้งนี้ผมฟังที่เขาพูดออกด้วยล่ะเป็นภาษาที่คุ้นเคยแต่ไม่ใช่ว่า เกิดการปรับตัวของร่างกายผม หรือ อีกฝ่ายพูดภาษาโลกของผมได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะผมเป็นคนพากย์เสียงเขาเอง ให้อารมณ์เหมือนดูละครใบ้ที่มีเสียงเลยนะ เดิมทีผมก็เป็นคนที่ใจเย็นอยู่เสมอนะแต่ดูถ้าที่คนบอกว่า 'ถ้าคนเราอยู่ในสภาพที่พูดอะไรไม่ได้เลยจะเป็นบ้าเอา' จะเป็นเรื่องจริงตอนนี้ผมก็พอรู้ว่าผมมีสองบุคลิกเรียบร้อยแล้ว ช่างมันเถอะพูดไปยังไงก็แก้ไม่ได้ ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ถึงที่ที่ผมโดนลากไปแล้วล่ะนะ เสียงของโลหะที่มาปะทะกันดังขึ้นเรื่อยๆ ยามใดที่ไม่มีเสียงของโลหะมาปะทะกันก็มักจะมีเสียงกรีดร้องอย่างทรมาณออกมาแทน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแบบนี้ผมก็วิ่งออกไปจากที่นี่ทุกครั้งด้วยความเร็วพอๆกับแสงแต่ที่ออกไปมันดันเป็นแค่จิตใจเนี่ยสิ ร่างกายนี่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุดสักทีก็ยอมแพ้ไปแล้วล่ะ ถึงพูดว่ายอมแพ้ยังไงพอได้ยินเสียงกรีดร้องมันก็ชวนอยากให้ร้องตามแล้ววิ่งหนีไปอยู่เหมือนเดิม ถ้าเป็นแบบนี้คงต้องทำใจยอมรับมันแล้วล่ะ พอผมโดนลากเข้าไปในห้องการฝึกก็หยุดลง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็โค้งตัวทำความเคารพผมหมดเลยล่ะ ลองคิดดูแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าทุกคนทำความเคารพหมอนั่นอยู่ วันนี้ก็จบลงโดยที่ผมไม่ได้ฝึกอะไรเลย ถึงพูดว่าไม่ได้ฝึกอะไรก็ไม่ใช่สบายหรอกนะ ต้องนั่งอยู่เฉยๆทนฟังเสียงกรีดร้องของคนอื่นนี่มีแต่ทำให้ผมเป็นบ้าง่ายขึ้นเท่านั้นล่ะ ถ้าเทียบกับการโดนฝึกแบบให้ฆ่ากันเลยใครใกล้ตายก็จะมีคนไปรักษาแล้วใหัฝึกต่อทันที แบบไหนก็ชวนให้เป็นบ้าเหมือนกันเลือกทางที่ไม่เจ็บตัวน่าจะดีที่สุด แต่ไม่ว่ายังไงมันก็แล้วแต่ฝ่ายนี้จะจัดการตัวผมแล้วอะนะ ขนาดที่นอนอยู่ยังเป็นห้องที่ใช้ฝึกซ้อมเมื่อกี้อยู่เลยให้ที่นอนใหญ่ดีจริงๆ ผนังห้องก็ตกแต่งให้ด้วยของเหลวสีแดง กลิ่นห้องไม่ต้องพูดถึงมีการต้อนรับแขกอย่างดีให้ด้วยการปรับกลิ่นให้เป็นกลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นของเหงื่อ อันแรกนี่ไม่ต้องพูดถึงยังไงก็ไม่ชอบอยู่แล้วแต่สักวันก็ต้องชินกับมันถ้าไม่ตายก่อน ส่วนอันที่สองนี่จะว่าไม่ชอบก็พูดได้ไม่เต็มปากเหมือนกัน ถ้าไม่ติดที่ว่าตัวผมมันใส่เสื้อผ้าที่มีเหงื่อที่เกิดจากความกลัวอยู่ตอนนี้ก็คงพูดไปแล้วล่ะว่าเกลียด เหมือนบอกว่าอาหารไม่อร่อยแต่ก็ยังกินหมดนั่นล่ะ เอาเถอะไม่ว่าเป็นยังไงผมก็ต้องยอมรับมันล่ะ พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรคงต้องขอนอนก่อน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×