คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อย่าคิดว่าชีวิตจะเหมือนนิยาย
เกม เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนต้องเคยเล่น
โดยเฉพาะยุคของผมในสมัยที่ยังเป็นเด็กจะมีเกมแนวหนึ่งเป็นที่นิยมกันมาก เกมแนว J-RPG ช่วงที่ยังเป็นเด็กยิ่งเล่นเกมแนวนี้มากเท่าไหร่ก็มีความคิดที่ว่า
'ถ้าได้เป็นผู้กล้าแบบในเกมก็คงดี' พอลองมองย้อนกลับไปในสมัยนั้นตัวผมนี่มันโง่ดีจริงๆ
ถ้าเกิดได้เป็นจริงๆล่ะก็รับรองได้มีแรงกดดันมหาศาลขนาดทำให้คนฆ่าตัวตายได้แน่ๆ
ถ้าให้พูดถึงแรงกดดันล่ะก็คงจะเป็นตั้งแต่ร่างกาย
ในยุคปัจจุบันน่าจะใกล้เคียงกับยุคที่สงบสุขที่สุดแล้ว ถ้าไปเทียบกับโลกนั้น ร่างกายของคนที่อยู่ในยุคที่สงบสุขกับร่างกายของคนที่ฝึกเพื่อเอาชีวิตรอดไม่ต้องบอกหรอกว่าอันไหนแข็งแรงกว่ากัน
ถ้าแค่นี้ไม่มีปัญหาอะไรมากหรอกก็แค่ใช้ชีวิตตามวิถีคนธรรมดาก็น่าจะอยู่รอดได้
แต่ปัญหาหลักๆของมันน่ะคือปัจจัยหลักสำหรับการดำรงอยู่ 'การสื่อสาร' ภาษาของโลกที่เราไม่รู้จักนี่จะให้มันมีความใกล้เคียงกับภาษาของโลกเราสักภาษาก็คงไม่ได้
การเรียนยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง
คนเราเริ่มต้นจากการไม่รู้ภาษาและเรียนรู้จากความคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านั้นส่วนภาษาที่
2 ก็เอามันมาเทียบกับภาษาแรกที่เข้าใจ
หากไม่สามารถเปรียบเทียบกับภาษาที่เราใช้อยู่ได้ก็คงเรียนรู้ยาก
กว่าจะฝึกร่างกายและภาษาอย่างต่ำก็ต้องมีสัก 1-2
ปี ถ้านับจริงๆก็ถือว่าเป็นเวลาที่นานพอสมควร
การที่เก็บตัวที่ไร้ประโยชน์ไว้ในระยะเวลานานขนาดนั้นคงไม่มีใครโง่ทำแน่นอน
ยกเว้นกรณีเดียวคือการทำให้เป็นโล่มนุษย์ โล่มนุษย์นี่มันก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าเหมือนกันในหลายๆความหมายอะนะ
แต่การที่ผมที่เป็นคนปกติมาพูดเรื่องแบบนี้ก็ดูผิดปกตินะ
ถ้าพูดให้เด็กฟังล่ะก็มันเหมือนกับการดับฝันเลยล่ะมั้ง
การที่ผู้ใหญ่แบบผมมาพูดมันก็ดูแปลกใช่มั้ยล่ะแต่ก็มีความจำเป็นที่ผมต้องมาพูดเรื่องแบบนี้ให้คนฟังอยู่
ก็แค่อยากให้คนรับรู้ความรู้สึกของผมหลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ไปน่ะ
ถึงจะบอกว่าผมปกติก็เถอะแต่มันปกติในความหมายที่ว่า
ร่างกายเหมือนคนปกติแต่แค่มาอยู่ต่างโลกมันเลยกลายเป็นผิดปกติแทนน่ะสิ
แถมยังผิดปกติในแง่ที่ไม่ต้องการอีกตั้งแต่อ่อนแอผิดปกติในโลกก่อนถ้าพูดถึงมาตราฐานร่างกายผมก็ถือว่าอยู่ในสภาพดีเลยล่ะแล้วก็เรื่องที่ไม่สามารถใช้เวทย์ได้
เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครบอกเหตุผลให้ผมได้เลยสักคน
ดูเหมือนคนที่โลกนี้จะสามารถใช้ได้ทุกคนมีแตกต่างกันแค่พลังเวทย์ที่ต่างกัน
ผมเลยลองตั้งสมมติฐานดู เวทย์ถ้าพูดตามความหมายที่พวกเราเข้าใจคงเป็น
พลังเหนือธรรมชาติ
แต่ถ้าลองสังเกตุดูดีมันคือปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ถูกทำให้เกิดขึ้นต่างหาก
อย่างเช่นการรวมดินให้เป็นก้อนกลมๆแล้วใช้ลมยกให้ลอยขึ้นต่อด้วยใช้ลมเป็นตัวผลักเพิ่มความเร่งให้สูงที่สุด
ถ้าลองเปรียบเทียบสภาพโลกทั้งคู่สิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนคือความเจริญ
โลกนี้จะเต็มไปด้วยป่าไม้และธรรมชาติส่วนโลกเดิมส่วนใหญ่จะเป็นตึก
ถ้าลองดูจากตรงนี้ที่พอคิดได้ก็จะเป็นเวทย์คือสิ่งที่ดึงธรรมชาติออกมาใช้ให้เกิดพลังมากที่สุด
ถ้าลองมองจากจุดนี้พวกเราก็มีเวทย์ที่ทรงพลังอยู่แล้วอย่างวิทยาศาสตร์ ถ้าเวทย์ในแต่ละโลกมีขีดจำกัดการใช้ที่ต่างกันไปคนอย่างผมก็น่าจะเป็นเพราะมีพลังเวทย์ในรูปแบบวิทย์อยู่แล้วจึงใช้ไม่ได้
โครงสร้างของมนุษย์ก็น่าจะแตกต่างกันด้วยเพื่อให้สามารถรองรับการทำงานที่ต่างกันของเวทย์ได้
จากที่สังเกตุมาคนจากโลกนี้ดูเหมือนจะทำงานที่ละเอียดอ่อนไม่ได้เลยไม่สามารถพัฒนาจากการทดลองสิ่งต่างๆได้แต่ก็มีบางคนสามารถทำได้
ถ้าสมมติฐานผมถูกล่ะก็พวกเขาจะสามารถใช้วิทยาศาสตร์เป็นอาวุธได้ขาดแค่ความรู้
ในทางกลับกันถ้าผมรู้หลักการล่ะก็จะสามารถใช้เวทย์ได้เหมือนกัน
คงต้องยอนกลับไปตั้งแต่ต้นล่ะนะช่วงที่ผมมาถึงโลกนี้ใหม่ๆ
*
"ยินดีต้อนรับสู่โลกใบใหม่
ตัวของข้าคือเทพที่อยู่บนอีกโลกหนึ่ง"
หลังจากที่ได้ยินแบบนี้
ผมก็พยายามตั้งสติเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
ดูเหมือนความที่ผมชอบอ่านนิยายแนวนี้บ่อยเลยพอจะจับประเด็นได้เร็วอยู่พอสมควร
ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆแล้วตะโกนในใจ 'มันจะแปลกเกินไปแล้วโว้ยยยยย' สูตรสำเร็จรูปของนิยายแนวนี้ที่เหมือนกันอย่างกับก๊อปกันมาก็เป็นแบบ
ถ้าตายแล้วเกิดใหม่ก็ต้องโดนรถบรรทุกชนสิ ส่วนตัวผมก็น่าจะหลับสบายอยู่บนห้อง
คงไม่มีเรื่องแบบที่ผมหลับอยู่บนหอชั้น 4 แล้วรถบรรทุกมันตรงดิ่งมาชั้นสี่ที่กลางๆตึกได้หรอกนะ
ไม่สิ ถ้าดูจากรูปการแบบนี้มันต้องเป็นการอัญเชิญไปต่างโลกแน่ๆ
ถึงจะพูดแบบนั้นมันก็แปลกอยู่ดีไม่คิดแบบนั้นเหรอ
ปกติตามนิยายพวกที่ถูกอัญเชิญไปควรไปเป็นกลุ่มแถมต้องมีคนที่โดนแกล้งอยู่ในนั้นด้วย
แต่ผมก็อยู่แบบมีเพื่อนฝูงเยอะอยู่ไม่เคยแกล้งใครหรือถูกแกล้งด้วย มันแปลกเกินไปจนผมตามไม่ทันแล้วล่ะ
สักพักนึงผมถึงนึกขึ้นได้ว่าผมกำลังเมินเทพเจ้าอีกโลกนึงได้
ถ้าตัวต้นเหตุมันอยู่ตรงนี้ทำไมไม่ถามมันซะตั้งแต่ต้นเลยล่ะ
"ท่านเทพใช่มั้ยครับ
ทำไมถึงต้องพาผมไปต่างโลกด้วยครับ"
"มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
เพราะโลกทางนั้นกำลังแย่ไง ความจริงมันก็ตัดสินใจอยากอยู่นะว่าจะเอาใครไปดี
เลยเลือกคนที่มีอคติกับต่างโลกเพื่อให้เขารู้ถึงความสนุกไง"
อืมๆ เยี่ยมมาก
ไม่คิดเลยว่าเทพจากต่างโลกมันจะยืดอกภูมิใจกับคำตอบที่เหมือนกับ 'ฝ่ายนั้นเป็นไงข้าไม่รู้
ฝ่ายข้าเดือดร้อนเจ้าก็ต้องช่วย' ถึงเหตุผลจะดูไร้เหตุผลในทุกๆอย่างแต่ก็พอรู้อยู่อย่างแล้วล่ะ
เทพเจ้านี่ซ่อนความฉลาดไว้ในความบ้าได้ดีเลยล่ะ
ทำให้คนปกติคิดว่าเป็นแค่คนบ้าๆที่มีอำนาจมากจนเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก
ก่อนอื่นก็คงต้องเริ่มจากการเลือกผมที่เป็นคนมีอคติไป
ถ้าคนที่ชอบต่างโลกไปอยู่ที่ต่างโลกจะเป็นยังไงล่ะ
แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นพวกมีความสุขกับชีวิตไปวันๆโดยไม่ค่อยสนการช่วยโลกนั้นอยู่แล้ว
ส่วนคนที่กลางๆก็จะเป็นพวกอยู่อยากกลับอยู่แล้วแต่ถ้าเจอความลำบากพอสมควรก็ถอดใจได้ง่ายๆ
ถึงไม่ถอดใจก็พัฒนาช้าล่ะเพราะไม่ได้คิดจะทนความลำบากเพื่อรีบกลับไปเร็ว
ส่วนคนที่มีอคติกับต่างโลกแน่นอนว่าไม่ว่าเจออะไรพวกนี้ก็ต้องพยายามทำให้ตัวเองกลับไปที่โลกเดิมอยู่แล้ว
ต่อไปคือจำนวนคนถ้ามาจากต่างโลกเหมือนกันพื้นฐานก็ย่อมต้องเท่ากันคือ 0 ต้องเริ่มสอนตั้งแต่ต้นหมดเลยมันก็เหมือนกับตอนเรียนระหว่างเรียนเดี่ยว
กับ เรียนกลุ่ม อันไหนไปเร็วกว่ากัน
แถมถ้าพัฒนาไปช้าหรือกลางๆถ้าเกิดพลาดสักนิดก็ตายหมู่
แทนที่จะเอาพวกที่มีพัฒนาช้าพลาดไปครั้งเดียวก็ตายหมด ไปเอาพวกที่พัฒนาเร็ว
พลาดครั้งเดียวก็ตายเหมือนกัน ยังจะดีกว่า
"งั้นก็ไปกันได้แล้ว"
หา? ยังไม่ได้คุยอะไรกันสักนิดเลยนะอย่างน้อยก็ควรจะบอกข้อมูลพื้นฐานสักนิดสิ
"เดี๋ยวๆๆ
สต๊อป ขอคุยอะไรสักนิดสิ"
"ไม่เอาอะ
ขี้เกียจ"
ดูมันตอบดิขนาดเป็นเทพเจ้ายังขี้เกียจแม้แต่ตอบคำถามของเหยื่อที่มันลากมาเอง
จากที่ตอนแรกร่างกายผมค่อยๆหายไป
สปีดตอนนี้มันเร็วกว่าตอนแรกแบบเทียบไม่ติดเลยนะเออ ตอนนี้จากที่ขาหายไปตอนนี้ปากมันหายไปแล้ว
"เจ้าน่ะเลิกทำเป็นฉลาดได้แล้ว"
ถึงจะเป็นช่วงวุ่นๆกับรางกายของตัวเอง
แต่สายตาของเทพเจ้าที่มองเหมือนกำลังมองสัตว์ชั้นต่ำอยู่กับรอยยิ้มที่ดูน่าขยะแขยงแบบนั้นมันทำให้ผมลืมไม่ลงเลยสักนิด
*
ที่แรกที่ผมมาก็คือปราสาทล่ะค่อยตรงตามสูตรหน่อย
ถึงมาครั้งแรกไม่ควรรู้ว่าเป็นที่ไหนก็เถอะแต่ดูจากหลายๆอย่างทางเดินปูพรม
มีรูปภาพตกแต่งอยู่พอสมควร เสาก็เป็นแบบกรีกนิดๆ
แล้วก็ยังมีตัวประกอบมากมายที่ชวนให้คิดว่าเป็นปราสาทจริงๆอย่าง
คุณอัศวินที่ยืนเรียงกันเป็นแถวอยู่สองฝั่งซ้ายขวารวมแล้วประมาณ 20 คน ส่วนตรงกลางก็มีคุณลุงหน้าเหมือนโจรที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์แถมยังใส่มงกุฎที่ทำมาจากทองที่มีพวกเพชรฝังไว้อยู่ด้วย
หืม? ทำไมผมถึงยังใจเย็นอยู่เหรอ
ก็โดนพวกนั้นเมินอะถึงจะดูเหมือนพวกนั้นจะพยายามมาคุยอยู่แต่ก็คุยไม่รู้เรื่องแล้วก็หายไปคุยกันเองแทน
โดยปล่อยไว้หลายชั่วโมงก็เบื่อเหมือนกันอะนะเลยลองพูดแนวที่เจอในการ์ตูนแทน
ดูสิขนาดคุยกับตัวเองยังคุยได้เลย
ขนาดเห็นภาพหลอนเป็นอัศวินถือดาบสองมือทำหน้าตาน่ากลัวที่อยู่ตรงหน้าผมกำลังฝาดดาบนั้นมาเพื่อตัดหัวผมเลยนะ
คงไม่มีใครบ้าขนาดนั้นหรอกนะ
'เจ้าน่ะเลิกทำเป็นฉลาดได้แล้ว'
คำพูดที่เทพเจ้าพูดก่อนที่ผมจะมาที่นี่แล่นเข้ามาในหัวของผม
'เลิกทำเป็นฉลาด' คงหมายความว่าอย่าไปเชื่ออะไรแบบ 100% ให้คิดว่ามีโอกาสเกิดได้สินะ
แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามใช้ความฉลาดนั้น
ถ้าฟันเฉียงลงมาแค่ถอยหลังก็หลบได้แน่ๆสปีดของดาบสองมืด
แต่ถ้าแทงมาที่คอก็ต้องก้มหลบที่หลบไม่พ้นการฟันแบบเฉียง
ถึงการแทงจะไม่ใช่รูปแบบของดาบสองมือแต่โอกาสก็ไม่ใช่เป็น 0% เวลาแบบนี้ก็ต้องเลือกอันที่โอกาสเกิดมากกว่า
ถอยหลังกลับนี่ล่ะคำตอบที่ถูกต้อง
ดูท่ามันจะถูกต้องจริงๆด้วยแต่มันคนละความหมายกับที่คิดว่าดาบฝาดลงบนพื้นโดยไม่เล็งผมตั้งแต่แรก
มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ
ช่วงที่มาคิดมันคือช่วงที่อีกฝ่ายกำลังฝาดมาแล้วใครคิดทันก็ไม่ใช่คนแล้ว
ใช่แล้วคำตอบที่ถูกต้องคือยืนอยู่เฉยๆนี่ล่ะ
ดูท่าความหมายที่พระเจ้าให้มาคือผมเป็นคนโง่ๆเท่านั้นอย่าพยายามทำตัวฉลาดจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องนะ
ส่วนท่าทางของราชานี่ผมก็ไม่ค่อยกล้ามองเท่าไหร่แต่ก็พอได้ยินเสียงที่คุยกันอยู่บ้างแต่ก็แปลไม่ออก
อาจจะถือว่าเป็นเรื่องดีก็ได้เหมือนตอนเราโดนด่าถ้าแปลไม่ออกก็คงไม่รู้สึกอะไรใช่มั้ยแล้วก็ไม่คิดยากจะรู้ด้วยว่าเขาด่าอะไรเรา
ปัญหาคือจะทำยังไงต่อดีถ้าอยู่ที่นี่ต่อก็มีสิทธิที่อีกฝ่ายจะรู้ได้ว่าตัวของผมเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย
หนีออกไปจากที่นี่ผมก็ไม่มีปัจจัยสำหรับดำเนินชีวิต เงิน การสื่อสาร
ผมทำไม่ได้สักอย่างจะไปเรียนโดยใช้วิธีเหมือนตอนที่เกิดมาก็คงไม่ได้
ก็ลืมไปแล้วนี่เนอะว่าตอนเกิดมาผมเรียนภาษาแรกยังไง
ถ้ามีโดเร(ตี๊ด)อยู่ด้วยคงสบายไปแล้วแท้ๆนะ อ๊ะ เสียงพูดคุยหยุดไปแล้ว
อัศวินที่เมื่อกี้เกือบฆ่าผมไปแล้วมายืนต่อหน้าผมอีกครั้ง
"นายนี่สุดยอดเลยนะ
เจอจิตสังหารเข้าไปแบบนั้นยังไม่หนีเลย มานี่"
หลังจากที่เขาพูดจบก็ลากตัวผมไปตามพื้น
ครั้งนี้ผมฟังที่เขาพูดออกด้วยล่ะเป็นภาษาที่คุ้นเคยแต่ไม่ใช่ว่า เกิดการปรับตัวของร่างกายผม
หรือ อีกฝ่ายพูดภาษาโลกของผมได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะผมเป็นคนพากย์เสียงเขาเอง
ให้อารมณ์เหมือนดูละครใบ้ที่มีเสียงเลยนะ
เดิมทีผมก็เป็นคนที่ใจเย็นอยู่เสมอนะแต่ดูถ้าที่คนบอกว่า 'ถ้าคนเราอยู่ในสภาพที่พูดอะไรไม่ได้เลยจะเป็นบ้าเอา' จะเป็นเรื่องจริงตอนนี้ผมก็พอรู้ว่าผมมีสองบุคลิกเรียบร้อยแล้ว
ช่างมันเถอะพูดไปยังไงก็แก้ไม่ได้ ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ถึงที่ที่ผมโดนลากไปแล้วล่ะนะ
เสียงของโลหะที่มาปะทะกันดังขึ้นเรื่อยๆ
ยามใดที่ไม่มีเสียงของโลหะมาปะทะกันก็มักจะมีเสียงกรีดร้องอย่างทรมาณออกมาแทน
ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแบบนี้ผมก็วิ่งออกไปจากที่นี่ทุกครั้งด้วยความเร็วพอๆกับแสงแต่ที่ออกไปมันดันเป็นแค่จิตใจเนี่ยสิ
ร่างกายนี่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุดสักทีก็ยอมแพ้ไปแล้วล่ะ
ถึงพูดว่ายอมแพ้ยังไงพอได้ยินเสียงกรีดร้องมันก็ชวนอยากให้ร้องตามแล้ววิ่งหนีไปอยู่เหมือนเดิม
ถ้าเป็นแบบนี้คงต้องทำใจยอมรับมันแล้วล่ะ พอผมโดนลากเข้าไปในห้องการฝึกก็หยุดลง
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็โค้งตัวทำความเคารพผมหมดเลยล่ะ ลองคิดดูแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าทุกคนทำความเคารพหมอนั่นอยู่
วันนี้ก็จบลงโดยที่ผมไม่ได้ฝึกอะไรเลย ถึงพูดว่าไม่ได้ฝึกอะไรก็ไม่ใช่สบายหรอกนะ
ต้องนั่งอยู่เฉยๆทนฟังเสียงกรีดร้องของคนอื่นนี่มีแต่ทำให้ผมเป็นบ้าง่ายขึ้นเท่านั้นล่ะ
ถ้าเทียบกับการโดนฝึกแบบให้ฆ่ากันเลยใครใกล้ตายก็จะมีคนไปรักษาแล้วใหัฝึกต่อทันที
แบบไหนก็ชวนให้เป็นบ้าเหมือนกันเลือกทางที่ไม่เจ็บตัวน่าจะดีที่สุด แต่ไม่ว่ายังไงมันก็แล้วแต่ฝ่ายนี้จะจัดการตัวผมแล้วอะนะ
ขนาดที่นอนอยู่ยังเป็นห้องที่ใช้ฝึกซ้อมเมื่อกี้อยู่เลยให้ที่นอนใหญ่ดีจริงๆ
ผนังห้องก็ตกแต่งให้ด้วยของเหลวสีแดง
กลิ่นห้องไม่ต้องพูดถึงมีการต้อนรับแขกอย่างดีให้ด้วยการปรับกลิ่นให้เป็นกลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นของเหงื่อ
อันแรกนี่ไม่ต้องพูดถึงยังไงก็ไม่ชอบอยู่แล้วแต่สักวันก็ต้องชินกับมันถ้าไม่ตายก่อน
ส่วนอันที่สองนี่จะว่าไม่ชอบก็พูดได้ไม่เต็มปากเหมือนกัน
ถ้าไม่ติดที่ว่าตัวผมมันใส่เสื้อผ้าที่มีเหงื่อที่เกิดจากความกลัวอยู่ตอนนี้ก็คงพูดไปแล้วล่ะว่าเกลียด
เหมือนบอกว่าอาหารไม่อร่อยแต่ก็ยังกินหมดนั่นล่ะ
เอาเถอะไม่ว่าเป็นยังไงผมก็ต้องยอมรับมันล่ะ
พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรคงต้องขอนอนก่อน
ความคิดเห็น