ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสนาคริสต์ ,, (- Catholic -)

    ลำดับตอนที่ #46 : • ลัทธิเท็จเทียม ,, มอร์มอน ??? •

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 50



    (- ตอนนี้กำลังเริ่มไล่เรียงสู่ศาสนาคริสต์นิกายหรือว่าลัทธิยิบย่อยอื่นๆที่พอจะหาข้อมูลมาได้นะคะ เป็นความรู้คู่กันไปเง้อ -)

    ไม่ทราบว่านี่มันจะรุนแรงไปไหมสำหรับบทความที่พูดถึงลัทธินี้แบบนี้ จะพยายามปรับปรุงให้ดีกว่านี้นะคะ ถ้าเจอบทความใหม่ที่น่าอ่านกว่า ,, อันนี้เอาไว้อ่านเป็นความรู้เบื้องต้นไปละกันนะคะ ^^ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าลัทธินี้ ไม่เป็นที่ยอมรับในคริสตจักรสากลเท่าไหร่ค่ะ

    -------------------------------------------------------------------------------------

    ลัทธิมอร์มอน หรือสิทธิชนยุคสุดท้าย (Mormonism)

    ( ตอนที่ 1 )

       ขณะที่พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์สอนสาวกให้ระมัดระวังพวกครูสอนผิด ที่เป็นเหมือนสุนัขป่า ที่นุ่งห่มด้วยขนแกะ คริสเตียนจะรู้ว่าใครบ้างที่เป็นพวกสอนผิด ก็จากคำสอนของเขา แต่สำหรับพวกมอร์มอนแล้ว มีเอกลักษณ์ ที่สามารถบอกเราให้รู้ได้ทันทีเลยคือ เป็นฝรั่งที่ไปด้วยกันเป็นคู่ แต่งตัวสะอาด เรียบร้อย ผูกเนคไท ใช้จักรยานเป็นพาหนะ พวกมอร์มอนจะเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน และมักจะโอ้อวดสิ่งที่ดีๆ ที่คริสเตียนทำไว้เช่น สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เป็นต้น พวกมิชชั่นนารีมอร์มอนจะพูดไทยได้ดี เพราะได้เตรียมตัวที่อเมริกาก่อนมาเมืองไทย เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มีข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ ในทำนองกล่าวโทษพวกมิชชั่นนารีฝรั่ง ขึ้นไปขี่คอพระพุทธรูป เพื่อถ่ายรูป ส่งผลกระทบ ต่อภาพพจน์ของพวกเขาอย่างยิ่ง หลายปีต่อมาพวกมอร์มอนได้กระทำอันชาญฉลาด คือการได้เคยเชิญพระราชินี ราชวงค์บางพระองค์ และรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาไปดูงาน หรือคริสตจักรมอร์มอน ที่ประเทศอเมริกาเป็นผลต่อภาพที่ดีต่อพวกเขา

    I. ผู้ก่อตั้ง และประวัติ

       นายโจเชพ สมิธ (Joseph Smith, Jrl, 1830-1844) เป็นผู้ริเริ่มลัทธิคำสอนผิดนี้ สมิธ เกิดวันที่ 23 ธันวาคมปี 1805 ที่ New York จากครอบครัวที่ยากจน ไร้การศึกษา เริ่มอ่านออกเขียนได้ เมื่อเป็นหนุ่มแล้ว หลงไหลในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ตามพ่อของเขา ที่เป็นนักขุดค้นสมบัติ โดยใช้ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ และหินเสี่ยงทาย เมื่อเขาอายุ 15 ปี (คศ.1820) ก็อ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้า และพระเยซู ว่า คริสตจักรในโลกทั้งหมด น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เขาอ้างว่า ได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้เผยพระวจนะ เพื่อนำการฟื้นฟู โดยประกาศข่าวประเสริฐ ความจริงไปทั่วโลก

    Joseph Smith Preaching to the Indians     Joseph Smith in Liberty Jail

       พ่อแม่สมิธเป็นคนมีการศึกษาต่ำมาก และเชื่อถืออยู่กับความฝันและนิมิต ซึ่งเป็นสิ่งที่พลักดัน ให้สมิธหลงไป จากนอกทางของพระเจ้า มากขึ้น ก็เพราะคำพูดในลักษณะ เป็นคำพยากรณ์ของพ่อแม่ของเขา ที่ว่าลูกชาย เขาจะได้เป็นผู้พบศาสนาใหม่ เมื่อสมิธอายุ 14 เขาอ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเยซู บอกเขาว่าคริสตจักรของคริสเตียนนั้น ผิดหมด ต่อมาในวันที่ 21 กันยายน 1823 สมิธอ้างว่าทูตสวรรค์ที่ชื่อ Moroni มาพบเขา และบอกเขาเรื่องแผ่นโลหะทองคำ ซ่อนอยู่ในป่าบนเนินเขาคูโมร่า ที่รัฐนิวนอร์กในปี ค.ศ. 420 แผ่นทองคำสองสามแผ่นนี้ จารึกประวัติของนีไฟด์ ซึ่งเป็นพวกยิว ที่เดินทางมาจากกรุงเยรูซาเล็ม มายังประเทศอเมริกาในปี ก่อนค.ศ. 600 ในปี 1827 เขาก็ได้ค้นพบ พร้อมกับแว่นตา ขนาดใหญ่หนึ่งคู่ ที่มีชื่อว่าอูริมและทูมมิม ซึ่งสมิธอ้างว่าเขาใช้มันในการแปลภาษาอียิปต์ปรับปรุงใหม่ ให้เป็นภาษาอังกฤษ จากปี 1827-1829 และพิมพ์ออกมาในปี 1830 ซึ่งคือพระคัมภีร์มอร์มอนนั้นเอง (The Book of Mormon)

       ต่อมาในปี 1829 John the Baptist ปรากฏ และแต่งตั้งเขาให้เป็นปุโรหิตอาโรน และอีก 10 วันต่อมา อัครทูตรยอห์น เปโตรและยากอบ มาสำแดง และได้แต่งตั้งเขา ให้เป็นอัครทูต เขาจึงเริ่มต้นก่อตั้ง "Church of Jesus Christ of Latter-Day Saints" จาก New York สมิธอ้างว่า ได้รับนิมิตรให้ย้ายไปรัฐ Ohio and Missouri ที่นี่เอง พวกมอร์มอน ถูกกล่าวหาว่าได้ก่ออาชญากรรมมากมาย และได้ถูกขับไล่โดยผู้นำของรัฐในปี 1839 สมิธได้ย้ายไปที่รัฐ Illinois และได้สร้างเมืองขึ้นชื่อ Nauvoo ที่นี่เอง เขาและสาวกได้เริ่มประพฤติตัว ในลักษณะมีภรรยามาก เขาและน้องชาย ถูกจับติดคุกที่ Carthage และขณะที่กำลังรอลงอาญานั้นเองในวันที่ 27 เดือน มิถุนายน 1844 ฝูงชนที่บ้าคลั่ง ได้แหกคุกและยิงเขาทั้งสองจนตาย

    ( ตอนที่ 2 )

    บริงแฮม ยัง (Brigham Young:1847-1877)

       บริงแฮม ได้รับการเป็นผู้นำ ต่อจากสมิธในปี 1844 เขาเป็นประธานคนแรก และผู้เผยพระวจนะ ของคริสตจักรมอร์มอน บริงแฮม ได้นำสาวกหลายพันคน อพยพมุ่งลงสู่ทิศตะวันตกเฉลียงใต้ จนกระทั่งมาถึง Salk Lake ซึ่งเป็นหุบเขาของรัฐ Utah ในเดือนกรกฎาคมปี 1847 ซึ่งเขาได้ ประกาศต่อหน้าสาวกของเขาว่า "สถานที่นี่แหละ" (This is the place!) สำนักงานใหญ่ ปัจจุบันก็ถูกสร้างขึ้นที่นี่ เพื่อทำการเผยแพร่ โดยผ่านทางมิชชันนารีไปทั่วโลก

    Mormon in Utah     Mormon Rocks

       บริงแฮมตายในปี 1877 เขาสนับสนุนให้มีภรรยามาก ซึ่งตัวเอง และภรรยา 25คน ลูกอีก 56คน ไว้ข้างหลัง ขณะที่บริงแฮม ยังได้สืบทอดอำนาจจากสมิธไม่นาน สาวกที่สัตย์ซื่อของสมิธ ได้แยกออกจากคริสตจักรแม่ ไปตั้งศูนย์บัญชาการที่วิสคอนซินในปี ค.ศ. 1853 และได้ประกาศ ยกเลิกความประพฤติ การมีภรรยามากเสีย

       หลัง บริงแฮม ก็เป็น เทเลอร์ (Taylor), ฮันเตอร์ (Hunter), กอดอร์น (Gordon B.), ฮินสเกเลย์ (Hinckley:1995)

    II. ระเบียบการปกครองคริสตจักรมอร์มอน

       ปัจจุบันมอร์มอนเรียกตัวเองว่า คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย (The Church of Jesus Christ of Latter-Day Saints) ได้แบ่งเป็น 2 ส่วนที่เรียกว่า "wards" และ "stakes" โดยการนำโดย First President, a Council of Twelve Apostles และ a Council of Seventy นอกจากนี้ยังมี บิชอบ, ที่ปรึกษา และอาจารย์ นอกจากนี้ผู้ชายมอร์มอน รับใช้ดังมัคนายก หรือผู้ปกครอง ผู้ชายมอร์มอนทุกคนที่อายุ 12 ปีขึ้นไป จะเป็นสมาชิก ของปุโรหิตอาโรน หรือเมคคีเซเด็ค

    III. คำประกาศหลักข้อเชื่อทั่วไปของมอร์มอน

       มอร์มอน เชื่อว่า คริสตจักรมอร์มอนเป็นคริสตจักรที่เป็นความจริง และมีชีวิตเพียงแห่งเดียว ที่อยู่เหนือความจริงทั่วโลกนี้ทั้งหมด

    Mormon's church

       คริสตจักรมอร์มอน เป็นองค์กรเพียงแห่งเดียว ที่ได้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า ที่จะประกาศข่าวประเสริฐ และสถาปนาความรอด และเป็นคริสตจักรเพียงแห่งเดียว ที่มีสิทธิอำนาจที่จะช่วยให้รอด

       นอกจากนี้ มอร์มอนยังได้ปฏิเสธ และบิดเบือนหลักคำสอนหลักทั้งหมด ของคริสตศาสนา เช่น หลักข้อเชื่อเรื่องพระเจ้า, การประสูติจากหญิงพรหมจารีย์ของพระคริสต์, ตรีเอกานุภาพ และสิทธิขาดของพระคัมภีร์ ฯลฯ

    ( ตอนที่ 3 )

    IV. สมาชิก และการนมัสการ

       ในปี 1994 คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย (The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints) รายงานว่ามีสมาชิก 9,024,569 คน ใน 2,008 stakes, 21,774 wards และ สาขาต่างๆ มอร์มอน มีพันธกิจ การประกาศ 303 แห่ง และมีมิชชันนารีเต็มเวลา 47,311 คนทั่วโลก สิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นี้ มอร์มอนคาดหวังที่จะมีสมาชิก 12 ล้านคน และ 157 ล้านคนในปี 2050

       พวกมอร์มอน นมัสการในวันอาทิตย์ โดยจัดทำโปรแกรมที่หลากหลาย น่าสนใจ ตลอดเวลา 3 ชั่วโมงนั้น ส่วนเรื่อง รวีวารศึกษา จะเป็นการสอนพระคัมภีร์ใหม่, หนังสือของมอร์มอน, หนังสือไข่มุกอันล้ำค่า, หลักคำสอน และพันธสัญญา โดยใช้เวลาทุกๆ 1 รอบคือ 4 ปี

       พิธีศีลมหาสนิทของมอร์มอน นับว่าเป็นรูปแบบมากมีการวางแผนลำดับอย่างดี ส่วนมากจะเริ่มด้วย การร้อง 2 หรือ 3 เพลง ตามด้วยการประกาศข่าว การแจกขนมปังและเหล้าองุ่น และหลังจากนั้น ก็เป็นการแบ่งปัน ของสมาชิกแต่ละคน ประมาณ 5-30 นาที โดยเนื้อหาที่พูด จะครอบคลุมเรื่องต่างจากพระคัมภีร์ และประสบการณ์ส่วนตัว พวกผู้ชาย จะเข้าร่วมกลุ่มชุมชนปุโรหิต เรื่องที่จะถกเถียงกัน จะเกี่ยวข้องกับบทเรียนจิตวิญญาณของสมาชิก, การประกาศข่าวในที่ประชุม และตัดสินปัญหาต่างๆเช่นการลงวินัยสมาชิก, สมาชิกประจำที่ขาดการมาประชุม

    V. หนังสือของลัทธิมอร์มอน

    ประกอบด้วย พระคัมภีร์มอร์มอน, หลักคำสอน และพันธสัญญา (Doctrines and Covenants), ไข่มุกล้ำค่า (The Pearl of Great Price) และพระคัมภีร์ไบเบิล

    1. พระคัมภีร์มอร์มอน (The Book of Mormon)

       คาดเดาว่าถูกเขียนโดยหลายคนตั้งแต่ช่วงก่อน ค.ศ. 600 ถึง ค.ศ. 428 ได้บันทึกเกี่ยวกับ การอพยพของของคนโบราณ จากหอบาเบล มาที่ประเทศอเมริกากลาง ผู้คนเหล่าเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Jaredites ต่อมาถูกทำลายเนื่องจากมีผู้ทรยศ

       ผู้อพยพกลุ่มที่สอง เกิดขึ้นในปีก่อน ค.ศ. 600 ซึ่งเป็นพวกยิว ที่ได้รับการเตือนจากพระเจ้า ให้หนีจากกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อให้รอดพ้น จากการถูกจับเป็นเชลย โดยกองทัพบาบิโลน โดยการนำของชายที่ชื่อ Lehi และลูกของเขาคือ Nehphi พวกคนยิวเหล่านี้ ได้เล่นเรือข้ามมหาสมุทร Pacific มาที่อเมริกาใต้ ต่อมา ก็ได้แบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มคือ Nephites และ Lamanites

       พวก Lamanites คือพวกคนอินเดียแดงผิวคล่ำ ถูกสาบเพราะความชั่วที่เขาได้กระทำ ในทำนองเดียวกัน พวกคนผิวดำ ก็ถูกสาบ เนื่องจากพวกเขาสืบเชื่อสายมาจากคาอิน ผู้ซึ่งเป็นอาฆตกรคนแรก ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่มอร์มอนไม่อนุญาต ให้คนดำรับใช้ในฐานะปุโรหิต

       Nephites ได้บันทึกคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ และหลังจากที่พระคริสต์ เป็นขึ้นมาจากตาย ก็กลับมาเยี่ยมพวกเขาที่อเมริกาใต้ พระองค์ได้สถาปนาพิธีมหาสนิท, พิธีบัพติศมา และสถาบันปุโรหิต สำหรับพวก Nephites ต่อมาในปี 428พวก Nephites ได้ทำสงครามกับพวก Lamanites และถูกทำลาย ก่อนที่พวก Nephites จะถูกฆ่าตาย ชายคนที่เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์มอร์มอนบนแผ่นทองคำ กับลูกชายของเขาชื่อ Moroni ได้นำเอาไปซ่อนเสีย จนกระทั่งอีกประมาณ 1400 ปี จึงถูกค้นพบโดยสมิธ

    ( ตอนที่ 4 ) ข้อโต้แย้ง

    1. สมิธอนุญาตให้ลูกศิษย์เพียง 11 คนเห็นเท่านั้น หลังจากนั้น Moroni นำกลับสวรรค์ และคำพยานของแต่ละคน ก็ไม่สอดคล้องกัน เช่นบางคนกล่าวว่า พวกเขาเห็นด้วยตาแห่งความเชื่อ อีกคนถูกสมิธขับไล่ออกจากคริสตจักร นอกนั้น เป็นพ่อและน้องชายอีก 2 คนของเขา

    2. คัมภีร์มอร์มอน ถูกเขียนใน style ที่เหมือนพระคัมภีร์มาก ซึ่งสมิธอ้างว่า ถูกฝังไว้ในปี ค.ศ. 428 แต่จากการศึกษา พบว่า ประมาณ 25,000 คำ ในคัมภีร์มอร์มอน คัดมาจากพระคัมภีร์ฉบับ King James Version ซึ่งเขียนในช่วง ค.ศ. 1611

    3. คัมภีร์มอร์มอน เต็มด้วยประวัติ และความจริงที่คลาดเคลื่อน

    4. คัมภีร์มอร์มอน ได้รับการแก้ไขมากกว่า 2000 แห่ง เมื่อปี 1830

    5. ไม่เคยปรากฏว่า มีภาษา Reformed Egyptian Hieroglyphicsใช้ในโลก ดังที่สมิธอ้าง

    6. มีคนทำการค้นคว้า พบว่าคัมภีร์มอร์มอน เป็นอธิบายคำเทศน์ ของนักเทศน์คนหนึ่ง

        ต่อไปนี้เป็นคำกล่าวของ ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ แอลทอน นักภาษาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงได้ศึกษา และวิจารณ์คัมภีร์มอร์มอน ดังนี้

       "จากการสำรวจคร่าวๆ ผมก็เชื่อว่าสิ่งนี้ เป็นเพียงการเล่นตลกเท่านั้น และเป็นเรื่องโง่เอามากๆ ด้วย เขาจัดตัวเขียน วางเป็นแถว ตั้งเหมือนการเขียนภาษาจีน และเป็นการผสมอักษรพิสดารที่สุด เท่าที่เคยเคยเห็นมา มีทั้งภาษากรีก ฮีบรู และตัวหนังสือทุกชนิด เอามาบิดเบือนมากบ้างน้อยบ้าง โดยความไม่ชำนาญ หรือไม่ก็ จากการออกแบบจริงๆ ปนเข้าด้วยกัน กับการวาดภาพต่างๆ เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว รูปดวงดาว และวัตถุธรรมชาติ ทั้งหลาย และทั้งหมดนี้ จบลงด้วย เครื่องหมายจักรราศีเม็กซิกันที่ทำขึ้นหยาบๆ"

    อีกครั้งหนึ่งโดย ฮอร์ตัน เดวิส

       "ความพิศวงงงงวยของพวกเรา ในความเชี่ยวชาญ ทางภาษาศาสตร์ของบุรุษ ไร้การศึกษาผู้นี้ ยิ่งเพิ่มขึ้นอีก เมื่อผู้เชี่ยวชาญ เรื่องอียิปต์ ได้ให้ความมั่นใจกับเราว่า เครื่องหมายภาษาอียิปต์นั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง นับจากศตวรรษที่ 5 ก่อน คริสตศักราช จนกระทั่ง ถึงศตวรรษที่ 4 หลังคริสตศักราช ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่เพียง ภาษาอียิปต์ ปรับปรุงใหม่ จะไม่เป็นที่รู้จักกัน ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญ เรื่องอียิปต์เท่านั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเอง ก็ไม่สามารถ ถอดรหัสจารึก ภาษาอีกบิปต์ได้ จนกระทั่ง มีการค้นพบหิโรเซนต้า ดังนั้น คำอธิบาย สำหรับปรากฎการณ์อันนี้ เราก็จะคิดได้สองอย่างคือ ถ้าไม่เป็นเรื่องโกหกครั้งมโหฬาร ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งใหญ่" (คัดมากจาก "มอร์มอนสอนผิดอย่างไร" โดย ออสวอลด์ แซนเดอส์")

    2. หลักคำสอน และหนังสือพันธสัญญา (Doctrines and Covenants)
    บันทึกโดยศาสดา ที่ได้รับนิมิตมากพระเจ้ามีทั้งหมด 136 บท

    3. หนังสือไข่มุกล้ำค่า (Pearl of Great Price)
    มีทั้งหมด 3 ตอน แบ่งเป็นหนังสือของอับราฮาม หนังสือของโมเสส และหนังสือ ของโจเซฟ สมิธ ซึ่งกล่าวถึงประวัติของตัวสมิธเอง


    ( ตอนที่ 5 )

    VI. จุดอ่อนของลัทธิมอร์มอน
    1. ส่งเสริมการมีภรรยามาก ซึ่งผิดกฎบัญญัติของพระเจ้า และกฎหมายของอเมริกา การมีภรรยา สำหรับมอร์มอน ถือว่าเป็นคำบัญชาจากสวรรค์ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม ก็จะพลาด จากสง่าราศี ที่สูงสุด คำสอนนี้ สิ้นสุดในปี 1890 เนื่องจากนาย Wiford Woodruff ประธานของคณะได้รับนิมิตรจากพระเจ้าให้ยุติ

    2. ภายใต้การนำของบริงคือในปี 1857เขาได้สั่งให้ บิชช๊อบ จอห์น ดี. ลี ฆ่าหมู่ ผู้อพยพ ที่ไม่ได้เป็นมอร์มอน ซึ่งเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า Mountain Meadow Massacre

    3. ปฏิเสธต่ออำนาจของรัฐบาลสหรัฐที่ไม่ยอมให้ Utha เป็นรัฐหนึ่งของอเมริกา

    4. ชีวิตของทั้งสมิธ และบริงประพฤติผิดทางศีลธรรมในเรื่องการมีภรรยามาก ใฝ่ฝันในนิมิต เชื่อถือในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
          ดร.เอ็ดมันด์ แฟร์ฟิลด์ ประธานวิทยาลัยมิชิแกน ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตของสมิธกล่าวดังนี้ "ผมได้ฟังจากคนสามคนซึ่งรู้จักสนิทสนมกับ โจเซฟ สมิธ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบจนถึงอายุ 25 และต่อๆ มาอีก พยานหลักฐานของคนเหล่านี้บอกเล่าโดยดไม่ได้ใช้อารมณ์ แต่เป็นการคุยธรรมดา เป็นหลักฐานทีชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่มีข้อสงสัย ซึ่งพวกเขาต่างเห็นด้วยกันทั้งหมดว่า โจเซฟ สมิธเป็นจอมโกหก ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง สิ่งซึ่งโจเซฟ สมิธ ขึ้นชื่อที่สุดก็คือคำพูดหลาบคาย แบบไพร่ และชีวิตเสเพลจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้"

    VII. ศาสนศาสตร์ของลัทธิมอร์มอน

    1. พระคัมภีร์ พวกมอร์มอน ยอมรับพระคัมภีร์ของคริสเตียน นั้นไม่พอ ไม่สมบูรณ์มีข้อผิดพลาด จึงต้องการคัมภีร์มอร์มอน อีกเล่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขาถือว่ามีค่าและน้ำหนักเท่ากัน ตลอดจน สามารถช่วยให้พระคัมภีร์ สมบูรณ์มากขึ้น ต่อไปนี้เป็นข้อความที่ยกมาจากข้อเขียนของมอร์มอน

    "เราเชื่อว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าตราบใดที่แปลอย่าง ถูกต้อง เราเชื่อด้วยว่าพระคัมภีร์มอร์มอนก็เป็นพระวจนะของพระเจ้า" (หน้า30)

    "ถ้ายอมรับว่าอัครสาวกและผู้ประกาศเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่จริงแล้ว ก็ยังมิ ได้พิสูจน์ตัวเองว่า พวกเขาได้รับการดลใจจากเบื้องบนจริงๆในขณะที่เขียน"

    "เจ้าผู้โง่เขลาที่จะกล่าวว่า พระคัมภีร์ เรามีพระคัมภีร์แล้ว (ของมอร์มอน) และเราไม่ต้องการ พระคัมภีร์อีกต่อไป เจ้าจะพึมพำ ไปหาอะไร เพราะเจ้าจะได้รับ ถ้วยคำของเรามากขึ้นอีก" (หน้า30)

    2. พระเจ้า มอร์มอนเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ซึ่งแท้จริงครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ และได้รับ การพัฒนา กลายเป็นพระเจ้า พระเจ้าจะหยุดความเป็นพระเจ้า ถ้าสติปัญญา หยุดสนับสนุนพระองค์ ซึ่งมอร์มอนเชื่อว่า พระเจ้ามีกาย เนื้อหนัง และเลือดเหมือนมนุษย์ มนุษย์มีศักยภาพที่จะกลายเป็นพระเจ้า (gods) ด้วยตัวเอง นอกจากโลกเราแล้ว ยังมี โลกอื่นๆ ที่ซึ่งถูกควบคุมโดยพระเจ้า (gods) แต่พระเจ้าพระบิดาทรงเป็นผู้สร้างจักรวาลมีอำนาจเหนือพระเหล่านี้ "พระบิดาคือผู้ใดเล่า พระองค์คือ มนุษย์คนแรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์" (มอน์มอนสอนผิดอย่างไร? หน้า21) แม้พระเจ้า พระบิดา ก็ทรงมีพระบิดา ด้วยเหมือนกัน พระนามของพระองค์คือเวโฮวาห์ ดังปรากฏในพระคัมภีร์เดิม พระองค์ ทรงมีภรรยาหนึ่งคน ผู้ให้กำเนิดวิญญาณเด็กเล็กๆ ซึ่งจะเข้าไปอยู่ในร่างกายมนุษย์เมื่อปฏิสนธิพระเจ้าคืออาดัม "เมื่อพระบิดาของเราคืออาดัมเสด็จเข้ามาในสวนเอเดน" พระเจ้าแต่ละองค์ จะมีภรรยาของตน บางองค์มีมากกว่าหนึ่ง แต่เป็นภรรยาที่ได้ ก่อนจะได้รับการไถ่ ในขณะที่อยู่สภาพเนื้อหนัง บนโลกนี้ ดังนั้นพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ เหมือนกับที่มนุษย์ ให้กำเนิดลูกคือทางเพศสัมพันธ์

    3. พระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกนี้เชื่อว่าพระเจ้าพระบิดา และพระบุตรมีร่างกายแบบเนื้อหนัง แต่สำหรับ พระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว พระองค์ทรงเป็นเหมือนวิญญาณมนุษย์คนหนึ่ง พระองค์ทรงเป็นอิทธิ ที่ไม่ใช่บุคคล ซึ่งเป็นผลผลผลิตจากพระบิดา มอร์มอน ได้แยกพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับพระวิญญาณของพระคริสต์ พระวิญญาณ จะทำงานในชีวิต ของมอร์มอนหลังจาก ได้รับการวางมือเจิมแล้ว

    4. พระเยซูคริสต์ มอร์มอนลดความเป็นพระเจ้า ของพระคริสต์ โดยสอนว่า พระองค์ไม่แตกต่างจาก มนุษย์ทั่วไป เพราะทั้งวิญญาณของมนุษย์และพระคริสต์นิรันดร์เหมือนกัน (ดู "มนุษย์") พระเยซู ไม่ใช้พระเจ้าบุคคลที่ 2 แห่งพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระองค์ไม่เท่าพระบิดา พระคริสต์ทรงบังเกิดจากมารีย์กับอาดาม (หรืออาดามพระเจ้า) ไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอาดามพระเจ้า ผู้ซึ่งเสด็จเข้ามาในสวนเอเดน และได้นำฮาวา ผู้ซึ่งเป็นภรรยา ฝ่ายสวรรค์องค์หนึ่งของพระองค์

         "ร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของพระเยซูต้องการมารดาให้กำเนิด เช่นเดียวกับ ต้องการบิดา ดังนั้น บิดาและมารดา ของพระเยซู ที่อยู่ในร่างกายเนื้อหนัง ย่อมจะต้องมีความสัมพันธ์ ร่วมกันอย่างฉันสามีภรรยา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หญิงพรหมจารีมารีย์ ในขณะเกิดเหตุการณ์นั้น จึงต้องเป็นภรรยาที่ถูกต้อง ตามกฎหมายของพระเจ้า พระบิดา (มอร์มอนสอนผิดอย่างไร? หน้า 21)

         "ดังนั้นจงจำไว้ว่า นับจากนี้ไปจนตลอดกาล พระเยซูคริสต์ มิได้กำเนิดโดย พระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้า ได้สนทนากับ ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งผู้ได้ศึกษาหัว ข้อนี้มาแล้ว เมื่อข้าพเจ้า ตอบเรื่องความคิดนี้ ถ้าพระบุตร ถือกำเนิดโดย พระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ก็คงจะเป็นอันตรายมากยิ่ง ที่จะทำพิธี รับศีลบัพติศมา และให้พิธียืนยันความเชื่อ แก่พวกผู้หญิง และมอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่พวกเธอ เพราะถ้าเป็นดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ อาจจะทำให้พวกผู้หญิงตั้งท้อง ซึ่งจะทำให้ พวกผู้ปกครองต้องประสบความยุ่งยากใหญ่หลวง เนื่องจากคนอื่นจะคิดว่า พวกเขาทำให้หญิงพวกนั้นมีบุตร" (หน้า21-22)

        ก่อนที่พระคริสต์ ทรงบังเกิดพระองค์ ทรงเป็นวิญญาณ ในโลกวิญญาณ พระองค์ทรงเป็นบุตรหัวปี ท่ามกลางวิญญาณ ที่เกิดมาจากพระเจ้าพระบิดา มอร์มอนเชื่อว่า พระเยซูทรงมีภรรยา 3 คน คือนางมารีย์ มาธา และมารีย์มักดาลา และกำเนิดบุตรหลายคน เพราะถ้าพระเยซูไม่มีลูกหลาน พระองค์จะไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นเป็นพระเจ้า

    ( ตอนที่ 6 )

    4. มนุษย์

       บนสวรรค์วิญญาณ (เด็กเล็กๆ) ของมนุษย์ ถูกสร้างตั้งแต่ นิรันดร์กาล เพียงแต่รอคอย เพื่อที่จะ เข้าสู่ร่างกาย ที่ก่อกำเนิดมาภายหลัง วิญญาณของพระคริสต์ก็เป็นหนึ่งในวิญญาณเหล่านี้ด้วย (เป็นพี่ของวิญญาณลูซีเฟอร์) ที่เข้าสู่กาย เมื่อพระองค์บังเกิดมาจากครรภ์ของนางมารีย์ และภายหลังพระองค์ได้ยกระดับเป็นพระเจ้า ดังนั้นเรา อาจพูดได้ว่า ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ไม่แตกต่างจากมนุษย์คือไม่ได้เป็นโดยลักษณะธรรมชาติ แต่เป็นเพียง ในเรื่องของเวลาเท่านั้น เหตุผลก็เพราะว่ามอร์มอน เชื่อว่ามนุษย์ทุกคน มีความสามารถแฝงในตัวที่จะกลายเป็นพระเจ้า (god) ด้วยตัวเองได้ โดยการที่คนนั้นเรียนรู้ความจริง และเชื่อฟังพระบัญญัติ แห่งข่าวประเสริฐเพื่อมุ่งพัฒนา สู่ความเป็นพระเจ้า(ความรอด)

    "วิญญาณทั้งหลายของมนุษย์ทั้งหมดเป็นอยู่แล้วตั้งแต่ปฐมกาลร่วมกันกับพระเจ้า" (หน้า 24)

       พวกมอร์มอนสอนว่า วิญญาณคนดำแอฟริกัน ต่ำด้อยกว่า เนื่องจากถูกพระเจ้าสาป สัญญลักษณะ คือสีผิวและจมูกที่แบน คำสาปนี้ได้ถ่ายทอดมาจากบิดาคือคาอิน เพราะเหตุนี้ มอร์มอน จึงไม่อนุญาติให้คนดำ รับตำแหน่งปุโรหิตในคริสตจักรของเขา จนกระทั่งปี 1978 ได้มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากทนความกดดัน จากสังคมไม่ไหว

    5. ความรอด

       ปฏิเสธเรื่องปฐมบาปจากอาดาม เด็กทุกคนเกิดมาบริสุทธิ์ มนุษย์มีบาปเพราะ ไม่กระทำตามบัญญัติ พระคริสต์ตายก็เพื่อ ไถ่บาปอดีตที่มนุษย์ทำเท่านั้น และหลังจากนั้น มนุษย์ต้องทำความดี พูดได้ว่าความรอด ไม่ใช่ของประทานจากพระเจ้า "เราเชื่อว่ามนุษย์ทั้งหลาย จะต้องได้รับการลงโทษ ตามความบาปของตนเอง ไม่ ใช่ตามการล่วงละเมิดของอาดัม" (หน้า23)

    พระเยซูคริสต์ ทรงรับโทษบาปของมนุษย์ ขณะที่พระองค์ อยู่ในสวนเก็สเซเมเน ไม่ใช่บนไม้กางเขน พวกเขาเชื่อว่า มีความบาปบางอย่าง ที่พระโลหิตของพระเยซู ไม่สามารถลบล้างได้ มนุษย์คนนั้นที่กระทำ จะต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งพวกมอร์มอนเรียกคำสอนสอนว่า "โลหิตแห่งการไถ่บาป" (blood atonement)

    ปฏิเสธเรื่องการเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ การตายของพระคริสต์นำความรอดมาสู่มนุษย์ ภายใต้เงื่อนไข โดยความเชื่อในพระคริสต์, การกลับใจใหม่, บัพติศมา โดยการจุ่ม, เชื่อฟังต่อคำสอน ของคริสตจักรมอร์มอน, การกระทำดี และการรับบัพติศมา ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านการวางมือ

    มอร์มอนอธิบายความรอด เป็นเหมือนขบวนการที่พัฒนามนุษย์เพื่อจะเป็นพระเจ้า (gods) ผู้ยังคงมีร่างกาย เลือดเนื้อเหมือนมนุษย์ และเมื่อผู้ใด สามารถยกระดับตนเป็นพระเจ้าแล้ว ก็สามารถสร้างโลก ผลิตลูกหลาน และปกครองด้วยตนเอง ดังนั้นถ้าคนใดตายขณะที่ยังไม่แต่งงาน เขาก็ไม่สามารถสร้างครอบครัวของตนเอง และพัฒนาที่จะเป็นพระเจ้าต่อไปได้ (ความรอด/salvation)

    การตายของพระคริสต์ ไม่ได้ปลดปล่อยมนุษย์นี้ ให้พ้นจากอำนาจ ของความตาย และบาป เพียงแต่ให้ความมั่นใจ แก่มนุษย์ ในเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือการรวมร่างกาย และวิญญาณเข้าร่วมกัน

    Wifes

    6. คำสอนเรื่องการมีภรรยามาก

          เรื่องนี้ถือว่า เป็นหลักคำสอนที่สำคัญของลัทธิมอร์มอน แต่ต่อมาถูกรัฐบาล บังคับให้เลิก การปฏิบัตินี้ในปี 1890 พวกเขาจึงทดแทนโดยพิธี "การสมรสแห่งสวรรค์" (celestial marriage) สำหรับพวกมอร์มอน การแต่งงาน จำเป็นต้องได้รับการรับรอง ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์มอร์มอน เพื่อจะคงทน ถาวรตลอดไป โดยผ่านทางพิธีนี้ ในโบสถ์มอร์มอน ผู้ชายคนหนึ่งสามารถรับรองภรรยา หลายคน สำหรับชีวิตในอนาคต เพราะมอร์มอนไม่เชื่อว่า มีการสมรสอีกในสวรรค์ พิธีนี้ถือว่าเป็น ผลประโยชน์ต่อมอร์มอนเอง เพราะตามคำสอน ของพวกเขาแล้ว มอร์มอน จะไม่สามารถเลือนขึ้นไปถึง ขั้นสูงสุดได้ถ้าไม่รักษาคำสอนเรื่องมีภรรยามาก

    7. พิธีบัพติศมา (ล้างบาป -คาทอลิก )

    พิธีบัพติศมา และการวางมือ สำหรับคนตาย เป็นสิ่งที่ปฎิบัติกันอย่างกว้างข้าง ในพวกมอร์มอน นี้เป็นเหตุ ที่พวกมอร์มอน ได้รวบรวมลำดับวงศ์ตระกูล ของบรรพบุรุษ ที่เป็นคนต่างชาติ ของพวกเขาอย่างระมัดระวัง และให้คนเหล่านั้น รับบัพติศมาโดยผ่านทางตัวแทน มีคนเป็นจำนวนล้านๆ ได้ปฏิบัติพิธีนี้ เพื่อความมั่นใจในความรอด


    ( ตอนที่ 7 )

    8. การอัศจรรย์

    มอร์มอนอธิบายการอัศจรรย์ เป็นเรื่องของการพูดภาษาแปลกๆ การพยากรณ์ การสำแดง นิมิต การรักษาโรค พวกเขาอ้างว่า เรื่องการอัศจรรย์เป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าเป็นคริสเตียน และศาสนาที่ถูกต้อง พวกมอร์มอนเท่านั้น ที่เป็นเจ้าของการอัศจรรย์

    9. การเป็นขึ้นมาจากตาย ชีวิตหลังความตายและนรก

    สถานะแรก หลังมนุษย์หลังเป็นขึ้นคือ คุกวิญญาณ (spirit prison) ในความหมายทั่วๆ ไป มันเป็นอาณาจักร แห่งความตาย ซึ่งเป็นสถานที่คนตาย รอคอยการเป็นขึ้น และเข้าสู่การพิพากษา วิญญาณของผู้ชอบธรรม รอคอยที่สวรรค์ขณะที่วิญญาณ คนอธรรมรอคอยที่นรก พระเยซูเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างสองฝ่ายเพื่อว่าทั้งฝ่าย สามารถไปมาด้วยกันได้ เป็นการเปิดโอกาสให้วิญญาณของคนอธรรม ได้รับความรอด โดยผ่านทางข่าวประเสริฐ ที่เทศน์จากพระวิญญาณคนชอบธรรม

    พวกมอร์มอร์แบ่งสวรรค์เป็น 3 ระดับ : พวกที่ไม่เชื่อจะไป telestial heaven พวกที่เคร่งครัดในศาสนา แต่ไม่ใช่มอร์มอนจะไป terrestial heaven ส่วนพวกที่ 3 คือมอร์มอนที่ดีจะไป celestial heaven

    celestial heaven ยังแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ใครจะถูกพิจารณาอยู่ที่ใดขึ้นอยู่กับการรับใช้ของผู้นั้น ขณะที่ยังอยู่บนโลกนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นมัคนายก, อาจารย์, ปุโรหิต, ผู้ปกครอง, บิชช๊อบ, อัครทูต, เจ็ดสิบบุรุษ และประธานกลุ่ม มอร์มอนสอนว่า รางวัลตอบแทนสูงสุด คือการที่มนุษย์ผู้นั้น ได้รับการเลื่อนเป็นพระเจ้า และสร้างโลก พร้อมกับการปกครอง ร่วมกับครอบครัวของเขา

    10. ซาตานและทูตสวรรค์ชั่ว

       มอร์มอนสอนว่า ซาตานเป็นบุตรแห่งรุ่งอรุณ เป็นพี่ชายตนโตของมนุษย์ และเป็นน้องชายของพระเยซูคริสต์ ซาตานได้กบฎจึงถูกพระเจ้าขับไล่ลงจากสวรรค์ พร้อมกับพรรคพวก พวกที่ไม่เชื่อถูกเรียกว่าลูกแห่งความพินาศ ลูกแห่งความพินาศ, ซาตาน, สมุนของมัน และผู้ที่ทรยศ ต่อความเชื่อ ของมอร์มอนทั้งหมด จะถูกกำหนดให้ไปอยู่ขอบรอบนอก แห่งความมืดชั่วนิรันดร์

    11. อื่นๆ
    11.1 คริสตจักรของ สิทธิชนยุดสุดท้ายเท่านั้น ที่เป็นคริสตจักรแท้ และมีสิทธิใน การประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในฐานะของปุโรหิต
    11.2 ซาตานและวิญญาณชั่วจะอยู่ในโลกแห่งความมืด
    11.3 เมื่อสิ้นสุดยุคพันปี ก็จะมีการเป็นขึ้นมาจากความตาย และพิพากษา ผู้ที่จะถูกเลื่อนขึ้นเป็นพระเจ้า คือผู้ที่เป็นมอร์มอน มีครอบครัวและทำความดี และรับบัพติศมาของมอร์มอน
    11.4 พระเจ้าตรีเอกานุภาพคือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้สากลสถิต
    11.5 เฉพาะผู้ชายมอร์มอนเท่านั้น ที่จะมีคุณสมบัติเป็นปุโรหิตผู้ซึ่งมีสิทธิ อำนาจ เป็นตัวแทนของพระเจ้า สำหรับความรอดที่ไปถึงมนุษย์
    11.6 สวนเอเดนอันแรกเลยอยู่ที่ Jackson County, รัฐ Missouri และแทนบูชา อันแรกที่อาดามสร้างก็ยังคงอยู่ในช่วงระหว่างชีวิตของโจแชฟ สมิธ
    11.7 สมาชิกมอร์มอนทุกคนต้องละเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอลฮอลล์, กาแฟ, น้ำชา และการเต้นรำ ซึ่งพวกนี้เรียกการปฏิบัตินี้ว่า "พระวจนะแห่งปัญญา" (Word of Wisdom)
    ข้อคิด

    1. ศาสนศาสตร์มอร์มอนเดินตรงกันข้ามกับหลักคำสอนของพระคัมภีร์คริสเตียน

    2. ลัทธิมอร์มอน ได้วางข้อเขียนของสมิธ ไว้สูงกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ เช่น ข้อความตอนใดในพระคัมภีร์ ที่แย้งกับหลักคำสอนของมอร์มอน พระธรรมตอนนั้นแปลผิด

    3. มอร์มอนเน้นความชอบธรรม โดยความเชื่อ และบวกกับการประพฤติ ความรอดเป็นขบวนการที่ต่อเนื่อง เพื่อเลื่อนขึ้นสูงจนเป็นพระเจ้า

    4. มอร์มอน มักจะยกข้อพระคัมภีร์ เฉพาะตอนที่สนับสนุนความเชื่อของตน และปฏิเสธพูดถึงตอนอื่น เพราะขาดความเข้าใจในพระคัมภีร์จริง

    5. คณะมอร์มอน เติบโตอย่างเร็ว เพราะผลประโยชน์มากมาย เช่นความมั่นคงทางสังคม ความช่วยเหลือแก่สมาชิก จากคริสตจักร การยกเว้นการเกณฑ์ทหาร

    (ข้อมูลเหล่านี้ คัดมาจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม จากกระทู้แห่งหนึ่ง)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×