ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสนาคริสต์ ,, (- Catholic -)

    ลำดับตอนที่ #45 : • เปรียบเทียบศาสนา คริสต์ ,, ยิว ,, อิสลาม •

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 50



    ประวัติความเป็นมาของศาสนาคริสต์
                 
    ศาสนาคริสต์พัฒนามาจากศาสนายิว มีพระเยซูเป็นศาสดา พระองค์มิได้ทรงปรารถนาจะตั้งศาสนาใหม่ แต่ทรงประสงค์จะปฏิรูปศาสนายิวให้บริสุทธิ์ขึ้น ทรงเห็นว่าพวกยิวโดยเฉพาะพระมิได้มีศรัทธาอย่างจริงใจ  ทรงตั้งการให้ชาวยิวมีความเข้าใจศาสนาและพระเจ้าที่เขานับถือขึ้น

    พระเยซูเกิดที่เมืองบาซาเรส แคว้นกาลิเล ประเทศปาไตน์ เมื่อ พ.ศ. 543 สี้นชีวิตเมื่ออายุได้ 33  ปี พ.ศ. 576 เผยแพร่ศาสนาอยู่ 3 ปี

    คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า มาเรียผู้เป็นพระมารดาของเยซูนั้น เดิมโยเซฟไปสู่ขอหมั้นกันไว้แล้วก่อนที่จะอยู่กินด้วยกันก็เห็นนางมาเรียมีครรภ์แล้ว ด้วยเดชพระวิญญาณขริสุทธิ์แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนดีซื่อสัตย์  ไม่พอใจที่แพร่งพรายความเป็นไปของนางนั้น หมายจะให้นางนั้นหลบไปเสีย แต่เมื่อโยเซฟยังติตริตรองด้วยเรื่องนี้ก็มีทูคองค์หนึ่งของพระเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฦนว่า โยเซฟบุตรของดาวินอย่าวิตกในการที่จะรับมาเรียเป็ยภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางเป็นโดนเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ นางนั้นจะประสูติบุตรเป็นชาย แล้วจึงเรียกนามท่านว่า เยซู  เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ปฏิบัติตามคำแห่งพระเจ้า คือ รับมาเรียมาอยู่กินด้วยกัน แต่มิได้ร่วมสู่สมออย่างสามีกัน

    พระเยซูได้รับการศึกษาเลี้ยงดูอย่างดี รู้ภาษากรีกและศึกษาพระคัมภีร์เก่าได้อย่างเข้าใจ มอบตัวเป็นศิษย์ของโยฮัน ผู้แตกฉานในคัมภีร์ของยิวในสมันนั้น พระเยซูมีอุปนิสัยชอบความสงบ ได้ทำทุกรกิริยา อดอาหาร  40  วัน อยู่ในที่สงัดเพื่อตรึกตรองหาธรรม

    การสอนของพระเยซูที่สำคัญคือการเทศนาบนภูเขา ซึ่งเป็นเรื่องการปลุกปลอบใจให้ความหวังแก่ชีวิตดังข้อความว่า ผู้ที่รู้สึกบกพร่องทางจิตใจจะได้รับความสุขเพราะว่าสวรรค์เป็นของเขาแล้ว  ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ได้ชื่อว่าเห็นพระเจ้า ผู้ที่สามารถทนการประทุษร้ายเบียดเบียนได้  ทนการข่มเหงนินทาได้ จะได้รับบำเหน็จจากสวรรค์ดังนี้เป็นต้น  และได้ประกาศว่า พระองค์มิได้มีเจตนาจะทำลายล้างบัญญัติแต่จะทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้นคำสอนของพระเยซูจึงเป็นลักษณะปฏิรูปพระคัมภีร์เดิม ซึ่งก่อให้เกิดการขัดแย้งกันกับพวกยิว พระเยซูใช้วิธีการแผยแผ่ศาสนาโดยการอ้างอิทธิปาฏิหารย์ของพระเจ้า ในการรักษาคนป่วยเช่น รักษาโรคเรื้อนให้หายได้ รักษาคนง่อยให้เดินได้ รักษาคนใบ้ให้พูดได้ รักษาคนตาบอดให้เห็นได้ เป็นต้น
    ความสำเร็จในการสั่งสอนของพระเยซูมีผู้เลื่อมใสประกาศตนเป็นสาวกจำนวนมากพระเยซูได้เลือกพระสาวกคนสำคัญไว้ 12 คน

    พระเยซูประกาศศาสนาอยู่ 3 ปี วันสุดท้ายในพิธีปัสคา ซึ่งเป็นวันเทศกาลกินขนมปัง ไม่มีเชื้อ พระเยซูพร้อมกับสาวก 12 คนกำลังรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายก็ถูกทหารโรมัน จับด้วยข้อหาว่า เป็นกบฏต่อซีซาร์โรมัน ตั้งตนว่าเป็นบุตรพระเจ้า และเป็นพระเมสสิอาห์ แล้วให้ลงโทษประหารชีวิต โดยตรึงกับไม้กางเขน 3 วัน   

    ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหนึ่งในกลุ่มศาสนาสากล เป็นศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันตกคือดินแดนปาเลสไตน์ ( ปัจจุบันคือ อิสราเอล ) มีผู้นับถือส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปและอเมริกา นอกนั้นก็มีผู้นับถือกระจายออกไปในส่วนต่างๆ ของโลก สถิติของผู้นับถือไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านคน นับว่าเป็นศาสนาใหญ่ที่มีศาสนิกมากที่สุด

    ศาสนาคริสต์เกิดจากความเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และเป็นศาสนาที่สืบต่อเนื่องเป็นสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์มาจากศาสนายิว หรือเกิดจากการปฏิรูปลักษณะคำสอนของศาสนายิว โดยยอมรับนับถือคัมภีร์เก่าหรือพันธสัญญาเดิม [ Old Testament ] ของศาสนายิวและในขณะเดียวกันจากคัมภีร์เก่านั้นก็ทำให้เกิดการปฏิรูปจนกลายเป็นคัมภีร์ใหม่หรือพันธสัญญาใหม่ [ New Testament ] ทั้ง 2 คัมภีร์นี้รวมกันเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งเรียกว่า พระคัมภีร์ใบเบิ้ล [ The Bible, The Holy Bible ] เพราะฉนั้นเมื่อพูดถึงคัมภีร์ใบเบิ้ลจะต้องเข้าใจว่า เป็นคัมภีร์ทั้งของศาสนายิวและของศาสนาคริสต์รวมกัน

    เนื่องจากศาสนาคริสต์สอนให้ทุกคนมีจิตประกอบด้วยเมตตากรุณา เสียสละและรู้จักให้อภัยเสมอหน้ากัน ทั้งต่อคนที่ตนรักและปรปักษ์ต่อตน ให้มีความรักตนอื่นๆ เหมื่อนรักตนเอง รวมทั้งให้รักพระเจ้าอย่างสุดความคิดและสุดกำลังของตน จึงเป็นคำจำกัดความโดยย่อของศาสนาคริสต์ที่สรุปเอาไว้ซึ่งคำสอนทั้งปวงว่าเป็นศาสนาแห่งความรัก [ The Religion of Love ]

    .
    .

    ประวัติความเป็นมาของศาสนาอิสลาม

    ศาสนาอิสลามเป็นอีกศาสนาหนึ่งในกลุ่มศาสนาสากล เป็นศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเซียตะวันตก คือ ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีผู้นับถือทั่งโลก ส่วนใหญ่ในประเทศอาหรับ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ปากีสถาน แอฟริกา บางส่วนของประเทศจีน รัสเซีย อินเดีย ไทย สถิติผู้นับถือประมาณ 700  ล้านคน นับว่าเป็นศาสนาใหญ่ที่มีศาสนิกชนมากเป็นอันดับที่สองรองจากศาสนาคริสต์

    คำว่า  อิสลาม   มาจากภาษาอาหรับว่า  " อัสละมะ " แปลว่า สันติ ความปลอดภัย ความสงบสุข การยอมนอบน้อมตนเอง ผู้นับถือศาสนาอิสลามได้ชื่อว่า มุสลิม แปลว่า ผู้นอลน้อมตน ผู้แสวงหาสันติ อาจถือใจความว่า ผู้นอบน้อมตนเองอย่างสิ้นเชิงต่อพระเจ้าเพื่อความสันติสุข

    ศาสดามุฮำมัดเกิดปี ค.ศ. 570 ที่เมืองเมกกะ เผ่ากุเรช เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดีมีวาจาไพเราะชอบการค้าขายแต่งงานกับหญิงหม้าย ซึ่งมีอายุแก่กว่า 15 ปี เป็นเจ้าของการค้า ชื่อ คาดิยาห์ [ Khadejah ] มีบุตร 6 คน

    ศาสดามุฮำมัดมีนิสัยโน้มน้าวไปทางสงบ ชอบความสงัดมักไปหาความสงบสุขตามขุนเขาทุ่งกว้าง และทะเลทราย เมื่ออายุ 40 ปี วันหนึ่งขณะนั่งสงบอยู่ในถ้ำฮิรอบภูเขานูร์ก็ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้าให้เผยแพร่ศาสนา และได้ยึดเอาสถานที่ประดิษฐหินกาบะห์  [ Kabah ] เป็นที่ประกาศสัจธรรมเป็นต้นมา ระหว่างประกาศศาสนาต้องทำสงครามต่อสู้กับฝ่ายปฏิปักษ์จนในที่สุดเป็นฝ่ายชนะ และดับขันธ์เมื่ออายุได้  63  ปี รวมเวลาประกาศศาสนาเป็นเวลา  23  ปี

    ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งกฎหมาย เพราะคัมภีร์อัลกุรอานได้ประมวลหลักธรรมอันเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต [ Code of Life ]  และเป็นระบบสังคมนิยมประชาธิปไตยของหมู่คณะ โดยได้มีหลักการสำหรับดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมอย่างพร้อมมูลทุก ๆ ด้าน เช่น การแต่งงาน การมรดก การพาณิชย์ การลงโทษทางอาญา การปกครอง ฯ ล ฯ เป็นการประมวลไว้อย่างชัดเจนในตัว สามารถนำไปถือปฏิบัติได้ทันทีตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งชาวมุสลิมผู้มีศรัทธาย่อมปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดทุกข้อทุกกระทงความ เพื่อความสันติสุขในสังคม

    ศาสนาอิสลามมีต้นกำเนิดเดิมมาจากศาสนายิวและศาสนาคริสต์ เพราะพระ อัลลาห์เจ้าได้ส่งผู้ประกาศข่าว หรือนบีมูซา หมายถึงโมเสส  และนบีอีสา หมายถึงพระเยซู มาก่อนแล้ว จึงได้ส่งนบีคนสุดท้ายคือ นบีมหะหมัด หลังจากท่านนบีมหะหมัดแล้วไม่มีนบีอีกเลย เพราะถือว่าพระบัญญัติที่ส่งมาทางนบีมหะหมัดถูกต้องและแน่นอนกว่า นอกจากนี้คัมภีร์ตอนต้นก็มีใจความว่า พระอัลลาห์เจ้าทรงสร้างโลกนี้ขึ้น แล้วทรงสร้างมนุษย์สำหรับปกครองโลกขึ้น โดยทำรูปกายคล้ายพระองค์ ประทานนามว่า อาดัม ภายหลังทรงถอดซีโครงของอาดัมมาสร้างเป็นหญิงขึ้นอีกคนหนึ่ง ให้นามว่า อีวา แล้วให้เป็นผู้เฝ้าสวนสวรรค์ อยู่มาวันหนึ่ง อีวา ได้เก็บผลไม้ทิพย์ที่พระเจ้าทรงหวงห้ามนั้นมาบริโภค แล้วให้อาดัมผู้สาม บริโภคด้วย พระเจ้าทรงทราบทรงพิโรธมาก จึงทรงขับไล่อาดัมและอีวาบุรพชนของมนุษย์ออกจากอุทยาน แล้วทรงสาปให้ได้รับบาปและความทุกข์ทรมานต่างๆ......

    .
    .

    ประวัติความเป็นมาของศาสนายูดาย หรือ ยิว

    ศาสนายิวเป็นศาสนาหนึ่งที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันตก คือ ปาเลสไตน์ เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียตะวันตก คือ เกิดก่อน พ.ศ. 657 ปี มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์และอิสลาม ในฐานะเป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้เกิดศาสนาทั้ง 2 ในสมัยต่อมา นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า ศาสนาคริสต์เป็นผลของการวิวัฒนาการของศาสนายิว

    สถิติผู้นับถือศาสนายิวมีประมาณ 17 ล้านคน มีชาวยิวเป็นจำนวนมากที่สุดที่สหรัฐอเมริกา นอกนั้นก็กระจายอยู่ทั่วไปในเอเชีย (ประเทศอิสราเอล) ยุโรป ออสเตรีย และแอฟริกา คำว่าศาสนายิวหรือยูดาย หมายถึงศาสนาของชาวแคล้วยูดาย ซึ่งสืบเชื้อสายมาเป็นชาวเฮบรูหรืออิสราเอล ซึ่งสมัยนั้นพวกเฮบรูหรืออิสราเอลเรียกตนเองว่า "ยูดาย" หรือ "ยิว" [Jew]

    ศาสนายิวเป็นศาสนาแห่งประวัติศาสตร์ เพราะจะต้องมีความเป็นที่เกี่ยวเนื่องกับอนาคตอีกจึงจะสมบูรณ์ นั่นก็คือ จะต้องมีผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้ามาทำให้สมบูรณ์ ตามคำสัญญาของพระเจ้าที่ชาวยิวเชื่อและรอคอยตลอดมาก็คือ พระเมสสิอาห์ (Messiah) ตามความเข้าใจของชาวยิวหรืออิสราเอลพระเมสสิอาห์ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงมอบความไว้วางใจให้มาช่ายเหลือพากเขาให้พ้นจากทุกข์เข็ญ จากการกดขี่และภัยสรครามของชนชาติอื่นๆ เป็นผู้จะนำสันติที่แท้จริงมาสู่พวกเขา

    เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามที่ได้เกิดมาพบเห็นและได้รับใช้พระเมสสิอาห์ในอานาคต ผู้นั้นจะเป็นผู้โชคดีมีบูญวาสนามาก และยังพลอยทำให้บรรพบุรุษของผู้นั้นได้รับส่วนบุญด้วย และถ้าใครพลาดโอกาสอันนี้ก็จะถือว่าเป็นผู้โชคร้ายมาก เพื่อความปลอดภัยแก่ตนเองชาวยิวจึงกระตือรือร้นที่จะขวนขวายศึกษาความรู้เพื่อเป็นแนวปฏิบัติที่จะให้พระยะโฮวาเจ้า ทรงโปรดปรานให้ได้รับใช้พระเมสสิอาห์ เมื่อพระเมสสิอาห์เสด็จลงมานั้นจะมีลักษณะอย่างไร และจะมีกรณียกิจอะไรบ้าง ผู้มีศรัทธาจะพึงปฏิบัติตัวต่อพระเมสสิอาห์อย่างไรนั้น ได้ปรากฏชัดอยู่ในคัมภีร์ของศาสนายิวอย่างครบถ้วน

    ศาสนายิวก่อกำเนิดมาจากวิวัฒนาการของศาสนาดั้งเดิมของบรรพบุรุษยิว ซึ่งได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกและการแสดงออกสืบต่อมาสู่ลูหลานตามลำดับ กล่าวคือ ชนชาตินี้เพิ่งมามีชื่อว่า คนยิว เมื่อประมาณ 3,000 ปี ก่อนหน้านั้นจะนานเท่าไรก็ได้ ชนชาตินี้มีอยู่แล้วและก็มีศาสนาแล้วด้วย ตามประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เดิมทีคนชาตินี้มีหลักแหล่งอยู่ในดินแดนทางเหนือเรียกว่า "เมโสโปเตเมีย" [Mesopotamia] ได้แก่ที่ราบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย  คือ แม่น้ำยูเฟรเตส (Euphrates) กับแม่น้ำไตกรีส (Tigris) สังกัดอยู่ในในพวกคาลเดีย อันอันเป็นชนชาติโบราณที่มีควาเจริญก้าวหน้าอยู่ในแถบนั้น ชนพวกคาลเดียที่เป็นยิวในเวลาต่อมานี้มีนิสัยชอบย้ายที่อยู่เร่ร่อนไปเรื่อยๆ โดยอพยพโยกย้ายไปที่ไหนก็ไปกันก๊กใหญ่เลยทีเดียว เพราะมีหัวหน้าใหญ่เป็นผู้นำร่วมกัน หัวหน้าไปทางไหนก็เฮโลไปกันทางนั้น หัวหน้าใหญ่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า  "ปาตริอาร์ค" [ Patriarch] แปลว่า พ่อหมู่ พวกคาลเดียที่อพยพย้ายถิ่นมาทางใต้นี้ มีอยู่ก๊กหนึ่งลงมาตั้งหลักปักมั่นอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน อันเป็นผลให้ก่อรูปก่อร่างอย่างชัดเจนมั่นคงเป็นคนยิวและศาสนายิวขึ้นในกาลต่อมา พ่อหมู่ที่นำชาวคาลเดียก๊กนี้อพยพลงมามีชื่อเรียกว่า "อับราฮัม" [ Abraham ]

    เมื่ออับราฮับได้ถึงแก่กรรม อีสัก [ Isaac ] บุตรชายก็ได้สืบตำแหน่งพ่อหมู่ของชาวเฮบรูต่อมา อีสักมีบุตร 2 คน คือ เอเซา คนน้องชื่อ ยาขอบ ภรรยาของอีสักรักยาขอบ ชึ่งเป็นลูกคนเล็กมากว่าเอเซาซึ่งเป็นลูกคนโต จึงใช้อุบายอ้อนวอนให้อีสักมอบตำแหน่งพ่อหมู่ให้แก่ยาขอบสืบต่อเมื่อตนตายไป

    ต่อมายาขอบได้เป็นพ่อหมู่ แบ่งหมู่คนออกเป็น 12 หมู่ และได้แต่งตั้งบุตรทั้ง 12 คนเป็นพ่อหมู่ๆละคนอย่างเท่าเทียมกันจะได้ไม่เกิดการแย่งชิงกันอีก แต่แผนการของยาขอบก็ไม่ประสบผลสำเร็จนักเพราะถึงแม้จะแก้ปัญหาการแกร่งแย่งอำนาจทางการเมืองได้ แต่ก็แก้ปัญหาการบ้านไม่ตก กล่าวคือ ในบรรดาบุตรทั้ง 12 คนนั้น โยเซฟซึ่งเป็นคนเล็กสุดนั้นเป็นผู้ที่มีรูปร่างบุคลิกดี มีสติปัญญาดี เป็นที่รักใคร่เอ็นดูจากบิดามารดามากกว่าบุตรคนอื่นๆ จนกระทั่งถูกพี่ๆคนอื่นๆ ริษยาและคบคิดกันปองร้าย บิดามารดาเห็นว่าขืนปล่อยไว้ให้โจเซฟอยู่ในปาเลสไตน์จะเป็นอันตราย จึงมอบให้แก่พ่อค้าชาวอียิปต์คนหนึ่งซึ่งชอบพอกัน พ่อค้าชาวอียิปต์คนนั้นได้พาโจเซฟไปขายไว้เป็นทาสรับใช้ภายในบ้านองครักษ์คนหนึ่งของกษัตริย์ฟาโรห์ พระเจ้ากรุงอียิปต์ เป็นโอกาสดีเพื่อให้โยเซฟได้ศึกษาหาความรู้อยู่ในราชสำนัก โยเซฟเป็นคนฉลาดได้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงประทานพรสวรรค์เป็นพิเศษในเรื่องนี้ให้คือ เป็นผู้ทำนายได้อย่างแม่ยำ มีชื่อเสียงโด่งดัง จนได้ยินไปถึงพระกรรณ์ของกษัตริย์ฟาโรห์

    อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้ากรุงอียิปต์ท่านทรงพระสุบินนิมิตรประหลาด เลยเป็นโอกาสให้โยเซฟได้เข้าไปถวายคำทำนาย ผลปรากฏว่าคำทำนายถูกต้องเหมือนมองเห็นด้วยตา โยเซฟได้รับพระราชทานรางวัลทั้งลาภทั้งยศมากมาย ลงท้ายได้เป็นถึงอัครเสนาบดี นักประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหารย์ของโยเซฟนี้มีแง่สำคัญอยู่คือ ความเป็นใหญ่เป็นโตของโยเซฟนั้น เป็นช่องทางสำคัญให้พวกเฮบรูได้ไหลบ่าเข้าไปตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในอียิปต์เป็นการใหญ่ อันเป็นมูลเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่และเกิดศาสนายิวขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่างในกาลต่อมา
    ความเชื่อในพระเจ้าของคริสต์-อิสลาม-ยูดาย

                    ศาสนาคริสต์ - อิสลาม - ยูดาย เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม คือมีความเชื่อในเรื่องพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก ดังนั้นความเชื่อในพระเจ้ามีลักษณะดังนี้

    1. เชื่อว่ามีพระเจ้า  [ God ] สร้างโลก ทรงบำรุงเลี้ยง ทรงรักษา และทรงปกครองโลกอยู่ตลอดเวลา
     
    2. เชื่อว่ามีพระเจ้าพระองค์เดียว หรือหลายพระองค์ ในปัจจุบันหมายถึง พระเจ้าพระองค์เดียว  [  Monotheism  ] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อในพระเจ้าเฉพาะพระองค์ที่ได้ทรงสร้างโลกนี้และมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในโลกนี้
    ศาสนาประเภทเทวนิยมนี้  มุ่งสอนให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นอยู่กับพระเจ้า [God] หรือเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาโดยเน้นว่า

    1. ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เกิดจากการสร้างสรรค์ของเทพเจ้า ซึ่งเป็นผู้กำหนดให้เป็นไปทั้งสิ้น

    2. พระเจ้าได้เป็นผู้กำหนดชีวิตของมนุษย์ ( พรหมลิขิต ) โดยถือว่ามนุษย์เกิดจากการสร้างสรรค์ของเทพเจ้า ฉะนั้น ความเชื่อในรูปนี้จึงผูกพันธุ์มนุษย์ให้อยู่กับพระเจ้า
     
    3. มนุษย์ต้องมีความเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานดวงชีวิตให้กับตน และด้วยความเชื่อนี้เอง มนุษย์จึงถือว่าเป็นบุญคุณที่ผูกพันธุ์กับพระเจ้า
     
    จากความเชื่อดังกล่าว ทำให้เห็นวิวัฒนาการในเทวนิยม โดยถือเป็นเกณฑ์การแยกประเภทตามความเชื่อ ดังนี้

     1.เอกเทวนิยม  [ Monotheism  ] ประเภทความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ฉะนั้น จึงถือว่าพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่สามารถสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นในโลก
     
    2.พหุเทวนิยม [ Polytheism ] ความเชื่อต่อพระเจ้าหลายพระองค์ โดยถือว่าโลกนี้เกิดจากพระเจ้าหลายพระองค์ ทรงบัญชาให้เป็นไปโดยแต่ละพระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ต่างๆกัน

    .
    .

    ในศาสนายิว - คริสต์ อธิบายไว้ว่า พระเจ้าทรงมีลักษณะ 5 ประการ คือ

    1. ทรงเป็นพระจิตล้วน
    2. ทรงมีฤทธิ์มาก
    3. ทรงหาผู้เสมอมิได้
    4. ทรงสถิตอยู่ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
    5. ทรงไม่มีใครสามารถเข้าใจพระองค์ได้

    จึงแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าคือพระผู้ทรงสรรพานุภาพ รู้เห็นสารพัด ทรงเป็นผู้เป็น [Beinghimself] แต่เพียงผู้เดียว มนุษย์และสรรพสิ่งที่ถูกสร้างมาได้รับความจับเป็น [Being] นี้จากพระองค์และถ่ายทอดความเป็นของพระองค์ลงในตัวมนุษย์ ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นฉายาของพระเจ้า [Image of God] จึงอาจกล่าวได้ว่า คนกับพระเจ้าเป็นสิ่งคู่กัน

    อาณาจักรพระเจ้า หมายถึง อาณาจักรแห่งความรักหรืออาณาจักรแห่งจิตใจ ใครก็ตามที่มีจิตใจบริสุทธิ์ก็เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นสมาชิกในอาณาจักรของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงถูกจับและถูกไต่สวนหน้าศาล พระองค์ทรงตอบว่า "อาณาจักรของเรานี้มิใช่โลกนี้" เพราะถ้าอาณาจักรของพระองค์เป็นนี้จริง คนของพระองค์ต้องลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อมิให้พระองค์ถูกจับและถูกทรมานเช่นนั้น

    ครั้นเมื่อสาวกทั้งหลายของพระเยซูคริสต์ได้ออกเทศนาสั่งสอนแล้ว ชาวคริสต์ทั่วโลก เรียกอาณาจักรพระเจ้านี้ว่า ศาสนจักร [Church] และเชื่อว่า พระศาสนจักรนี้เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่ได้เริ่มขึ้นแล้วในโลกและใน ประวัติศาสตร์ กำลังมุ้งหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ ซึ่งจะได้เป็นความจริงในวาระสุดท้ายของโลก เวลานั้นจะมีสันติสุขอย่างแท้จริง จะไม่มีความเกลียดชัง ความทุกข์ สงคราม ความวุ่นวายอีกต่อไป "ลูกแกะและสิงโตจะกินหญ้าด้วยกัน" อาณาจักรของพระเจ้าคืออาณาจักรแห่งความรักอย่างแท้จริง

    --------------------------------------------------------------------------------------

    Credit :: http://library.uru.ac.th/webdb/images/Ca21.htm
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×