ตอนที่ 11 : - 11 : 그럼 됐어 | changkyun x kihyun 。
그럼됐어 | CHANGKYUN x KIHYUN
au / pg – 15 / drama-romantic
* Adapted almost from EXO's fiction - 그럼 됐어 by pinnathero *
그럼됐어
날보고웃고있잖아
지금.
แค่นั้นก็พอแล้ว
แค่คุณมองมาที่ผมแล้วยิ้มได้
แบบในตอนนี้.…
ความรู้สึกของคนหนึ่งคนมักถูกควบคุมได้ไม่ดีมากเท่าที่ใจต้องการ จะรู้สึกรักก็รัก จะรู้สึกเกลียดก็เกลียด ไม่มีใครควบคุมมันได้ แม้จะพยายามฝืนรักฝืนเกลียดแค่ไหนก็ตาม การบังคับความรู้สึกของอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขารู้สึกเช่นเดียวกับเรา เพราะเราไม่สามารถรู้ว่าใจของเขาจะรู้สึกเช่นไร ในขณะเดียวกัน เขาก็จะไม่มีทางรับรู้ได้ว่าเรารู้สึกเช่นไรเหมือนกัน ... ถ้าหากไม่ได้มีความรู้สึกสนใจในตัวตนจริงๆ
เพียงแค่รู้ว่ามีเส้นบางๆเส้นหนึ่งที่ถูกเรียกว่าความเป็นเพื่อนกำลังกีดกันให้ความรู้สึกของเพื่อนสนิททั้งสองมีระยะห่างที่สมควร มันทำให้คนๆหนึ่งต้องพยายามหักห้ามใจอย่างมากที่จะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกพิเศษล้ำเส้นกับเพื่อนสนิทที่คบหากันมานานนับสิบปี ไม่มีใครอยากให้ความสัมพันธ์ที่สวยงามต้องพังทลายลงด้วยน้ำมือของตัวเอง แม้ว่าภายในใจนั้นรู้สึกหน่วงทุกครั้งที่ทำเรื่องฝืนหัวใจก็ตามที
ผมคิดว่าทุกคนในมหาวิทยาลัยคงรู้กันหมดถ้วนหน้าแล้วว่า ยูกีฮยอน คนนี้แอบชอบ อิมชางกยูน มากขนาดไหน แต่ก็นั่นแหละ มีเพียงอิมชางกยูนคนโง่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีท่าทีว่าจะรับรู้อะไรเลยสักนิดเดียว แถมที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่าคือเพื่อนสนิทตัวหนาของผมดันมีคนรักคนเคียงข้างกายใจไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน แชฮยองวอน เพื่อนต่างคณะของพวกผมเอง
ผมกับชางกยูนเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ส่วนฮยองวอนเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์เอกการออกแบบแฟชั่น ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสองคนนี้ไปตกหลุมรักกันได้อย่างไรทั้งๆที่ผมก็อยู่ข้างชางกยูนอยู่ตลอดเวลา
แต่ก็นั่นแหละ ... เพื่อนสนิทไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอด ผมรู้ถึงกฎข้อนี้ดี
“ ฮัลโหลชางกยูน ? ” ผมกดรับโทรศัพท์มือถือที่สั่นเตือนให้รู้ว่ามีสายโทรเข้ามา โดยไม่เหลือบมองดูเลยว่าปลายสายนั้นจะเป็นใคร เพราะเวลานี้คงมีอยู่แค่คนเดียวที่จะเสียมารยาทโทรมาได้
( เมื่อกี้กูเห็นมึงโทรมาหาน่ะ ขอโทษทีที่รับสายไม่ทัน )
“ แล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่รับโทรศัพท์ ” แม้จะพยายามไม่โมโหเหวี่ยงใส่ แต่มันก็อดไม่ได้เมื่อนึกถึงสาเหตุลึกๆที่อิมชางกยูนรับสายเขาช้าแบบนี้
( อ .. อ๋อ ... กูนั่งเขียนสตอรี่บอร์ดอยู่น่ะ โทรมาเมื่อกี้มีอะไรรึเปล่า ? )
“ แค่จะโทรมาบอกว่า คาบที่มึงโดดเรียนเมื่อตอนบ่ายน่ะ ‘จารย์เช็คชื่อด้วย ” ผมเลือกที่จะโกหกชางกยูนออกไป เช่นเดียวกับที่เจ้าหมอนั่นโกหกผมว่าทำสตอรี่บอร์ดนั่นแหละ จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อไม่มีวิชาไหนที่สั่งการบ้านให้มาทำสตอรี่บอร์ดส่งเลยด้วยซ้ำ ความจริงแล้วอาจารย์ที่กีฮยอนอ้างถึงไม่ได้เช็คชื่อในชั้นเรียน แถมยังให้การบ้านเกี่ยวกับทฤษฎีการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์มาอีกต่างหากซึ่งผมก็ทำให้มันเสร็จเรียบร้อยแล้วอีกเช่นกัน แต่ก็นั่นแหละครับ
ผมแค่อยากได้ยินเสียงทุ้มๆที่มักจะได้ยินอยู่ทุกวันของชางกยูนเป็นการชดเชยกับงานที่ผมทำให้ ... แค่นั้นเอง
( อ่าวชิบหาย แล้วมึงเช็คชื่อเผื่อกูรึเปล่าวะ ? )
“ คิดว่าไงล่ะ ? ”
( กูรู้อยู่แล้วล่ะว่ามึงต้องเช็คแทนเวลาที่เพื่อนชางกยูนคนนี้โดดเรียนน่ะ ฮ่าๆ ) ปลายสายหัวเราะร่วนกับการคาดเดา แต่มันก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าเพื่อนจอมโดดเรียนพูด เมื่อไหร่ที่เพื่อนตัวหนาโดดเรียนไปนั่งจีบฮยองวอน เขาก็จะต้องเป็นคนเช็คชื่อในห้องเรียนให้ตลอดทั้งๆที่วอนโฮก็เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องเช็คให้หรอก
“ เออนั่นแหละๆ ”
( คือมึงจะโทรมาบอกแค่นี้ ? )
“ ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้วล่ะ ” ... นอกจากการบ้านรายงานทฤษฎีที่ไม่ได้บอกออกไปนั่นแหละ
( งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฮยองวอนโทรมาแล้วว่ะ )
“ อ .. อืม ” พูดจบ ชางกยูนก็รีบวางสายจากผมทันที ทำเอาผมหงุดหงิดไปสักพักใหญ่ว่าจะรีบอะไรขนาดนั้น กลัวว่าจะขาดใจตายก่อนจะได้คุยกันรึไง ก่อนจะเรียกสติได้แล้วหันไปทำรายงานของตัวเองที่ยังคั่งค้างเอาไว้อยู่ตรงหน้าต่อ
ผมรู้ว่าผมไม่มีทางเป็นที่หนึ่งในใจของชางกยูนได้อีก เพราะฮยองวอนแย่งตำแหน่งนั้นไปจากใจของชางกยูนแล้ว ...
หลายครั้งที่ผมยังสงสัยตัวเองอยู่ตลอดทุกครั้งว่าเพราะชอบชางกยูนเลยยอมทำทุกอย่างหรือว่าเป็นเพราะความเคยชินที่ทำงานให้บ่อยๆ ตั้งแต่ที่ผมเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มันห้ามไม่ได้กับเพื่อนตัวหนาคนนี้ ผมยอมทุกอย่างให้กับหมอนี่จริงๆ ไม่ว่าจะยอมเช็คชื่อเข้าห้องเรียนให้ ทำการบ้านให้ ติวหนังสือเวลาใกล้สอบ จดเลคเชอร์ให้ทุกคาบ ซึ่งแน่นอนว่ามินฮยอกกับวอนโฮไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกระทำที่ตามใจคนอื่นจนเคยตัวของผมเท่าไหร่ แถมยังบอกว่าเป็นการให้ท้ายคนที่ไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองเลย ผมกำลังทำให้ชางกยูนนิสัยเสีย ทำอะไรไม่เป็น เพราะถูกตามใจทุกอย่าง
ก็จริงอย่างที่พวกนั้นพูด ชางกยูนไม่เคยทำการบ้านเองเลยสักครั้งตั้งแต่เริ่มเรียนปีหนึ่งมา ไม่ค่อยเข้าเรียนด้วย แต่อาจจะเป็นเพราะหัวสมองของเจ้าตัวมีพื้นฐานและแววทางด้านนี้เสียมากเลยทำให้เวลาสอบมักจะได้คะแนนดีจนน่าตกใจทุกครั้ง เกรดที่ออกมาเลยดูสวยกว่าชาวบ้านเพราะความสามารถในการสอบของตัวเองและชิ้นงานที่ผมตั้งใจทำให้
แต่อาการเหล่านี้เริ่มมาหนักขึ้นเมื่อฮยองวอนที่อีกฝ่ายตามจีบมาร่วมปีตอบตกลงที่จะคบหากับชางกยูนแบบคนรัก ชางกยูนจึงกลายเป็นคนติดแฟนจนแฟนจะกลายเป็นแม่ไปโดยปริยาย ไม่ค่อยโผล่มาให้เพื่อนๆเห็นหน้าจนพวกเพื่อนแทบจะตัดออกจากสารบบกลุ่ม จากที่ผมกับชางกยูนมักจะตัวติดกันมาตลอด ไปไหนไปกัน เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าผมอยู่ตัวคนเดียว บางครั้งก็ไปอยู่กับพวกมินฮยอกบ้าง พูดตรงๆว่าค่อนข้างเหงาที่จู่ๆความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นมาโดยไม่บอกไม่กล่าว
ชางกยูนและผมไม่เคยโกหกกันและไม่เคยมีเรื่องปิดบังกันเลย แต่พอความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น ทุกอย่างกลับพลิกไปในทางตรงกันข้ามทั้งหมด ความลับของชางกยูนถูกสร้างขึ้นมาและไม่มีการบอกให้ผมรับรู้เหมือนแต่ก่อน จนผมเริ่มกลายเป็นคนที่อยู่ห่างไกลมากขึ้นเรื่อย รู้จักเพื่อนสนิทน้อยลงจนน่าใจหาย
บ่อยครั้งที่วอนโฮมักจะบอกให้ผมตัดใจจากชางกยูนเสียแล้วเริ่มเปิดใจมองหาความรักใหม่บ้าง ผมเข้าใจนะว่าวอนโฮกับมินฮยอกคงจะเริ่มเข้าใจ เป็นห่วงและสงสารผมที่เป็นฝ่ายแสดงความรู้สึกออกไปให้รับรู้มากจนจะออกนอกหน้าขนาดนั้นแต่อีกฝ่ายไม่เคยสนใจอะไรเลย ใช่ว่าผมจะเป็นคนหน้าตาหงิมๆเชยๆเหมือนเด็กเนิร์ดเสียเมื่อไหร่ อันที่จริงตัวผมก็มีคนเข้ามาพูดคุยเพื่อสานสัมพันธ์ฉันคนรักค่อนข้างเยอะ แต่ผมก็เลือกที่จะปฏิเสธอย่างมั่นใจเพราะผมคนเชื่ออยู่เสมอว่าที่ว่างๆอีกข้างของชางกยูนอาจจะเหลือให้ผมได้ยืนอยู่บ้าง เพียงแค่หนึ่งจุดเสี้ยวเล็กๆก็ยังดี
แม้ว่ามันจะเป็นความฝันลมๆแล้งๆที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ก็เถอะ
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำที่วางไว้อยู่ข้างตัวมาไว้บนมือ ปลดล็อกหน้าจอมือถือแล้วเปิดแอปพลิเคชันสีเขียวสำหรับแชท ผมพิมพ์ข้อความลงไปในห้องสนทนาของคนที่คุ้นเคยดีด้วยความเคยชินเวลาที่ว่างมือแบบนี้ ปกติแล้วชางกยูนเป็นคนติดโทรศัพท์มือถือมาก ถ้าผมทักอะไรไปเขามักจะตอบทันทีที่ผมส่งข้อความไปเหมือนว่าเปิดหน้าต่างที่พวกเราคุยกันตลอดเวลา ผมเลยรู้สึกว่าผมได้รับความสนใจ ถูกให้ความสำคัญว่าอาจจะเป็นคนที่พิเศษและใกล้ชิดกับเขาบ้าง แค่นิดนึงก็ยังดี
แต่ทว่าครั้งนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น
ข้อความที่ถูกส่งไปยังไม่มีแม้แต่สัญลักษณ์ที่แสดงขึ้นมาว่าคู่สนทนาอ่านข้อความนี้แล้ว นานจนผมรู้สึกว่าผมคงทนรอไม่ไหว ผมรู้ดีว่าผมถูกละเลยความสนใจไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะผมอยากพูดคุยกับเขาเหมือนเดิม จึงยังคงดื้อด้านพยายามทำให้เขาสนใจอยู่อย่างนั้น ผมพิมพ์ข้อความอีกประโยคลงไปก่อนจะตัดใจที่จะรอข้อความและหันมาทำการบ้านที่ตั้งอยู่ตรงหน้าให้เสร็จเพื่อที่จะได้นอนหลับพักผ่อนไวๆ
‘ KKKIHYUN. : ทำอะไรอยู่ ? ’
‘ KKKIHHUN : ไม่ว่างเหรอ ? ’
‘ KKKIHYUN : ฝันดีนะ ’
ผมว่าผมยังตัดใจจากชางกยูนไม่ได้
ไม่ว่าผมจะทำวิธีไหนผมก็ทำใจให้เลิกรักชางกยูนไม่ได้จริงๆ แม้ว่าผมรู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหันมามองเพื่อนสนิทที่ทำตัวน่ารำคาญแบบผมได้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อผมก็หันไปรักคนอื่นไม่ได้เหมือนกัน
มินฮยอกเคยแนะนำให้ผมรู้จักกับ ซนฮยอนอู รุ่นพี่ปีสาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ผมก็ได้ลองทำความรู้จักกับรุ่นพี่ตัวโตคนนี้ดูแล้ว ถึงเราจะเข้ากันได้หลายๆเรื่อง แต่ผมมองว่าพี่เขาเป็นพี่ชายที่สนิทคนหนึ่ง ถึงผมจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดกับผมแค่ในความสัมพันธ์ฉันพี่น้องเลยก็ตาม ผมคิดว่าผมยังไม่สามารถเปิดใจรับใครเข้ามาได้ พวกเพื่อนๆผมก็พร่ำบอกอยู่อย่างนั้นว่าผมเป็นคนจมปลักอยู่กับอดีต ไม่ยอมก้าวเดินไปข้างหน้าเลย โอเค ผมยอมรับว่าผมเป็นคนจมปลักกับอดีตมาก
แต่ถ้าไม่ใช่อิมชางกยูน ผมก็ไม่รู้จะเปิดใจรักใครอีกแล้วล่ะ
“ เฮ้ ได้ข่าวว่าลองดูใจกับพี่ฮยอนอูจริงเหรอวะ ? ” ยังไม่ทันดับความคิดของตัวเองให้เป็นผุยผงลอยไปกับอากาศ คนในความคิดก็โผล่เข้ามากอดคอทักทายเสียใกล้ชิด ชางกยูรที่เดินมาจากทางไหนไม่รู้วิ่งปรี่เข้ามากอดลำคอของผมเอาไว้พร้อมกับเดินไปที่ห้องเรียนด้วยกัน
“ มึงย้อมผมสีใหม่เหรอ ? ” ผมทักกลับไปอีกอย่างเพื่อกลบเกลื่อนคำถามที่เจ้าตัวถามผมมา จากอิมชางกยูนหนุ่มตัวสูงผมสีดำสนิท ในตอนนี้กลุ่มผมทุยที่ผมชอบยีตลอดเวลาที่เจอหน้าถูกสารย้อมผมกัดสีผมจนกลายเป็นสีบลอนด์จนเกือบขาวไปเสียแล้ว ผมคงไม่โกหกว่าผมไม่สามารถละสายตาจากชางกยูนลุคส์ใหม่ได้เลย ดูยังไงก็ยังคงความหล่ออยู่เหมือนเดิมจริงๆ
หล่อจนผมยังหวั่นไหวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“ ใช่กูไปทำสีผมมาน่ะ กูหล่ออ่ะดิ่ ... แต่มึงอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงคบกับพี่ฮยอนอูคนห่ามคณะวิศวะฯแล้วอ่อวะ ? ”
“ เปล่าสักหน่อย ” ผมพยายามดึงท่อนแขนหนาของชางกยูนออกจากคอแต่ทว่าเจ้าของดันกดน้ำหนักลงไปอีกยิ่งทำให้ผมที่แขนบางไม่สามารถยกขึ้นได้
“ เดี๋ยวนี้กูรู้เรื่องมึงคนสุดท้ายตลอดเลยนะกีฮยอน ทำไมเป็นงั้นวะ ปกติกูต้องรู้เรื่องของมึงคนแรกสิ่ ” ชางกยูนเอ่ยตัดพ้อผมพลางผลักหัวผมหนึ่งที ผมเอนหัวไปตามแรงที่มันผลักนิดหน่อยก่อนจะตั้งตรงเหมือนเดิม
“ไม่ต่างกันล่ะวะ ” ... ที่ต้องรู้เรื่องของมึงเป็นคนสุดท้าย กูควรน้อยใจมากกว่ามึงอีก
“ แต่เอาจริงๆกูว่ามึงลองคบกับพี่ฮยอนอูดูก็ไม่เสียหายนะเว่ย มีคนอาสามาดูแลหัวใจมึง ถึงจะดูห่ามๆไปหน่อยแต่กูว่าพี่เขาคงดูแลมึงได้แหละ มึงจะไม่เหงาแล้ว ” ชางกยูนยิ้มให้ผมอย่างจริงใจโดยที่เขาไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของผมที่มีต่อประโยคที่เจ้าตัวพูดหรอก
“ ไม่รู้ว่ะ ... กูยังไม่ได้ชอบใครเป็นพิเศษ ”
“ ตอบเซเลปมากไปแล้วมึงอ่ะ แม่งน่าหมั่นไส้ว่ะ ”
“ กูน่าหมั่นไส้ตรงไหน น่าสมเพชมากกว่าใครจะไปรู้ ” ผมตอบตามที่ผมคิด ตอนนี้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องมารอคอยความรักที่เป็นไปไม่ได้ทั้งๆที่มีคนหยิบยื่นความรักมา และผมเริ่มรู้สึกได้ว่าชางกยูนอาจจะสัมผัสได้ถึงความดราม่าลางๆของผมได้ คิ้วเข้มขมวดลงเล็กน้อยมาพร้อมกับสายตาที่ดูจริงจังผิดแปลกจากเวลาปกติ
“ มึงน่าสมเพชยังไง ? ”
“ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร กูก็แค่อินกับหนังสือที่เพิ่งอ่านจบเมื่อเช้าเฉยๆ ” ผมเลี่ยงที่จะตอบเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงดูน่าสมเพช เพราะผมไม่อยากเสียรอยยิ้มที่สดใสของเพื่อนสนิทคนที่ผมรักไป ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราขาดสะบั้นลงเร็วเกินไป
ผมแค่ทำใจไม่ได้ถ้าผมไม่มีสิทธิ์เป็นได้ทั้งเพื่อนหรือคนรู้จักของอิมชางกยูน
“ มึงนี่ชอบทำให้เพื่อนเครียดตลอดเลยนะยูกีฮยอน เดี๋ยวปั๊ด ! ” ชางกยูนยกมือขึ้นทำท่าจะตบเข้าที่หัวผมอีกรอบ แต่เขาก็ไม่ทำแบบนั้น ฝ่ามือหนาแสนอบอุ่นวางลงบนหัวของผมเบาๆ ไม่มีการกวัดแกว่งหรือผลักหัวหรือยีผมอะไร มีเพียงแค่การวางมือลงไปเท่านั้น
ไม่แปลกใจที่หัวใจของผมจะยังคงเต้นแรงและแรงขึ้นมากทุกครั้งที่อยู่ได้ยืนใกล้ๆเพื่อนสนิทคนนี้ ผมยากหยุดเวลานี้ให้อยู่กับผมไปนานๆ ไม่อยากให้มันผ่านเลยไปแม้แต่นิดเดียว ผมแค่อยากเก็บเกี่ยวสิ่งที่ทำให้หัวใจผมพองโตได้เหมือนทุกๆวันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่เขาคนนี้จะกลายเป็นของคนอื่นแล้วผมจะไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำการเหล่านี้ได้อีก
ผมสัมผัสได้ถึงความเห่อร้อนบนใบหน้าของผม สาบานได้ว่าใบหน้าของผมมันคงจะแผ่ไอร้อนนี้ไปกระทบเข้าที่ฝ่ามือหรือท่อนแขนแกร่งซ่อนรูปของชางกยูนแล้วแน่ๆ ผมไม่อยากให้เขารับรู้เลยจริงๆว่าผมกำลังเขินเขาอยู่ มืออวบของผมรีบยกขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันแน่น ความรู้สึกประหม่าเริ่มท่วมอกจนผมเผลอเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองเล็กน้อย
ชางกยูนจะได้ยินเสียงหัวใจของผมไหมนะว่ามันเต้นแรงจนหัวใจของผมจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
“ ชางกยูน .. ” ผมมีคำถามที่อยากถามมากมายแต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อโอกาสดีๆมีไม่ค่อยมาก ผมเลยเอ่ยเรียกไป และชางกยูนก็หันมาหาผมพร้อมเลิกคิ้วสงสัย
“ หืม ? ”
“ ถามอะไรหน่อยดิ่ ”
“ ว่า ? ”
“ มึงคิดว่ากูดูเป็นคนยังไง ? ” ผมแค่อยากได้ยินว่า ยูกีฮยอนคนนี้เป็นคนยังไงในสายตาของอิมชางกยูน จะมีความรู้สึกสนใจผมมากกว่านี้ไหม ... ก็แค่อยากได้ยินแม้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม
“ ที่มึงถามเพราะมึงคิดว่าตัวมึงน่าสมเพชสำหรับกูใช่ไหม ? มึงจะบอกว่าเพราะตัวมึงดูน่าเบื่อสำหรับกูใช่ไหม ? ”
“ ... ”
“ ถึงมึงจะไม่น่ารักเท่าฮยองวอน ตัวก็ไม่สูงเท่า ไม่ได้ตรงสเปกเหมือนฮยองวอน แต่มึงก็คือเพื่อนกู ”
“ ... ”
“ มึงไม่ต้องสมเพชตัวเองหรอก ต่อให้มึงเป็นคนทำตัวเฉื่อย ทำตัวไม่น่ารักยังไง มึงก็ยังคงเป็นมึง ยังคงเป็นยูกีฮยอน เพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของกูอยู่ดี อย่าน้อยใจไปเลย ควรดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับหนุ่มฮอตคนนี้ จำไว้ ” ว่าจบ ชางกยูนก็พาผมเข้าไปในห้องเรียน ก่อนจะผละจากผมไปทักทายวอนโฮและมินฮยอกที่นั่งเล่นเกมโทรศัพท์มือถืออยู่หลังห้องเรียนอย่างร่าเริงเหมือนทุกครั้ง
เพราะแบบนี้ไง ยูกีฮยอนถึงตัดใจจากอิมชางกยูนคนนิสัยไม่ดีไม่ได้สักที ...
แอลกอฮอล์กับผู้ชายเป็นของคู่กัน ...
หลังจากที่พวกผมเลิกเรียนช่วงเย็นเพราะอาจารย์ปล่อยเลทแล้ว มินฮยอกมันชวนพวกผมทุกคนไปเลี้ยงสังสรรค์ที่ผับแห่งหนึ่งที่ใช้บริการเป็นประจำซึ่งตั้งอยู่ใกล้หอของผม เป็นเรื่องที่โชคดีอย่างหนึ่งสำหรับผมที่เวลาเมาผมสามารถเดินกลับไปได้ผมไม่รู้ว่ามินฮยอกมันเลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไร แต่คงเป็นเพราะความอยากของเจ้าตัวล้วนๆ พวกผมเลยต้องมาร่วมแจมอย่างช่วยไม่ได้ในตอนแรกชางกยูนโทรชวนฮยองวอนให้มาร่วมแจมด้วยกัน แต่ทว่าเพราะมีสอบงานออกแบบพรุ่งนี้ ฮยองวอนจึงไม่ได้มาด้วย ผมไม่รู้ว่าผมเลวมากรึเปล่านะ
... ผมแค่แอบยิ้มในใจแค่นั้นเอง ...
งานเลี้ยงมักจะมีทั้งสุราและนารี แอลกอฮอล์รสขมปร่าหลากสีวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะกระจก สติสัมปชัญญะของทุกคนเริ่มลดลงเพราะเครื่องดื่มมึนเมาที่เข้าปากไม่รู้กี่แก้ว ผมเองก็เช่นกัน ผมไม่รู้ว่าตัวเองดื่มกี่แก้ว แต่รู้ว่ามันเยอะกว่าทุกครั้ง แต่ดูจากสภาพแล้วคงมีแต่อิมชางกยูนเท่านั้นที่ประคองสติได้ดีกว่าคนอื่นๆทั้งๆที่มันดื่มเยอะกว่าผมและมินฮยอกอีก
ผมรู้ว่าที่เจ้าหมอนั่นเป็นแบบนี้เพราะมันเป็นห่วงฮยองวอน ถึงตัวจะอยู่ที่นี่แต่ใจกลับไม่อยู่แล้วในตอนนี้ ผมรู้สึกเจ็บและน้อยใจมากนะที่เวลาผมพูดอะไรแต่เขาไม่ฟังที่ผมพูดเลย ซ้ำยังมัวแต่มองโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างนั้นผมเลยตัดปัญหาการสนทนาที่ไม่มีคนตอบด้วยการซัดเหล้าไปเต็มลิมิต ยังดีที่มินฮยอกจ่ายค่าเครื่องดื่มทั้งหมดก่อนที่จะเมาแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งเกี่ยงกันแน่ๆว่าใครจะจ่ายและจะทำอย่างไร
ร่างหนายังคงพิงพนักโซฟาสีดำขลับพลางเงยหน้าหลับตาพริ้มเพื่อรวบรวมสติ ในขณะที่มินฮยอกและวอนโฮต่างเมามายจนเหมือนหมาขี้เรื้อนที่นอนตายอยู่ข้างถนน ส่วนผมเองก็นั่งก้มหน้าก้มตามองแก้วใสที่ยังคงบรรจุเครื่องดื่มไว้ครึ่งแก้ว พยายามดึงสติที่เริ่มจะหมดไปกับความมึนเมา ผมกำลังจะหยิบมันมาดื่มด้วยความเสียดาย แต่ทว่ามือหนาของใครบางคนจับมือของผมไว้พร้อมกับดึงแก้วของผมออกจากมือไป
“ มึงพอได้แล้ว แดกเยอะเกินไปแล้วนะมึงอ่ะ ” ผมหันหน้าไปพร้อมกับใช้สายตาขวางทว่ามันอาจจะดูหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์มองต้นเสียงที่ขัดจังหวะการดื่มของผม เป็นคนเดิมที่ขัดผมทุกครั้งเวลาที่ผมแตะต้องของมึนเมาเหล่านี้ อิมชางกยูนยังคงดูแลผมตลอดแม้ว่าสติของตัวเองเริ่มมีน้อยลงทุกที
“ ยุ่งไรวะ กูจะดื่มมมมมม ”
“ กูบอกว่าพอได้แล้ว พูดไม่รู้เรื่องรึไง ”
“ รู้เรื่องงงง กูรู้เรื่องทุกอย่างงงงงงง พอใจยังงงง ” ผมว่าผมเกลียดตัวเองเวลาที่เมาเละเทะแบบนี้มากนะ ผมกลายเป็นคนงี่เง่าในสายตาของทุกคนเลยจริงๆทั้งๆที่ตัวตนของผมที่ทุกคนเห็นคือความสุขุมสุภาพ ไม่ใช่งี่เง่าไร้สาระแบบนี้ แต่ก็อย่างว่า ความเมามันไม่สามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก
“ มึงแม่งดื้อว่ะ ” ชางกยูนด่าผมเพราะมือของผมเอื้อมหมายจะเข้าไปยื้อแย่งแก้วเหล้าที่เจ้าตัวถือทั้งๆที่เพิ่งบอกไปอยู่เมื่อสักครู่ว่าเข้าใจจะไม่ดื่มอีก
“ กูดื้อแล้วไงวะ ใครจะไปสนใจกูล่ะ ... กูไม่ใช่ฮยองวอนนี่ .... อึก ” เขาว่ากันว่า แอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มแห่งความซื่อสัตย์ ผมว่ามันอาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันแบบนั้น จู่ๆความน้อยใจมันเกิดท่วมอกจนเผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป ยังดีที่มินฮยอกและวอนโฮน็อคไปแล้ว เหลือเพียงแค่ผมกับชางกยูนเท่านั้นที่ยังครองสติกันได้อยู่บ้าง
“ มึงเมาใหญ่แล้วกีฮยอน ”
“ อึก .. ไม่เมา .... กูไม่ได้เมาหรอกกก ”
“ มึงเมา เมามาก เละเทะด้วย จบไหม ” แต่ทว่าชางกยูนไม่ได้ฟังผมสักนิด ร่างหนาลุกขึ้นก่อนจะเข้ามาพยุงให้ผมยืนเพื่อที่จะกลับไปส่งที่หอ ด้วยแรงที่น้อยนิดของผมบวกกับสติที่เริ่มครองไม่อยู่ ทำให้ผมเซถลาเข้าไปหาชางกยูนเพราะอยู่ๆขาเกิดอ่อนขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ไม่มีการเสแสร้งตอแหลแต่อย่างใด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง สุดท้ายชางกยูนก็ต้องแบกผมบนหลังกว้างที่ไม่ได้กว้างไปกว่าผมเท่าไหร่อย่างช่วยไม่ได้ เพราะจะพยุงผมไปจนถึงที่หอก็คงจะลำบากกว่าการที่แบกผมขึ้นหลังไปก่อนจะเดินแบกผมออกจากร้านไปพร้อมกับฝากให้พนักงานในร้านเรียกรถให้วอนโฮและมินฮยอกกลับบ้าน
“ รู้ว่าแดกเยอะแล้วคุมสติไม่ได้ทำไมไม่รู้จักระวัง ”
“ ฮื่อออ อย่าบ่นมาก .. อึก ดิ่วะ ”
“ จะไม่ให้บ่นได้ไง กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าอย่าดื่มเกินสามแก้ว ”
“ ชางกยูนขี้บ่น บ่นมากจังวะ... ฮื่ออออออ ”
“ กีฮยอนพูดมาก พูดมากจังวะ ” ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่หอของกีฮยอน ชางกยูนยังคงบ่นกระปอดกระแปดในเรื่องไร้สาระเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหลับจนน็อคไปอีกคน แถมยังล้อเลียนคนเมาหนักกว่าอีกต่างหาก จนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะฟาดมือลงกลางแผ่นหลังกว้างหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้
“ ถึงกูจะพูดมาก .. อึก ... มึงก็คงรำคาญมากกว่า .... ฮยองวอนพูดก็แล้วกัน ” ความเมาทำให้ปากของผมยั้งไม่อยู่จริงๆ เอะอะก็พูดถึงเรื่องนี้ตลอด อยากจะตบปากตัวเองเป็นการสั่งสอน แต่แค่แรงยกแขนก็ไม่มีแล้ว แก้มของผมแนบลงบนแผ่นหลังอุ่นกว้างของชางกยูน
และน้ำตาที่กลั้นไว้อย่างอดทนตลอดเวลาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ มึงนี่พูดถึงฮยองวอนตลอดเลยนะ เป็นอะไรไป ” แม้ชางกยูนจะไม่ได้หันหน้ามามอง แต่ผมก็ได้ยินคำถามของเจ้าตัวชัดเจนดีทุกอย่าง แต่ผมไม่สามารถควบคุมเสียงสะอื้นของผมได้เลยนี่สี่ มันเป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ
“ ฮึก ... ”
“ มึงร้องไห้ทำไม ? ” น้ำเสียงของชางกยูนดูร้อนรน ผมรู้สึกดีใจอยู่นิดหน่อยนะที่เพื่อนสนิทของผมยังคงร้อนรนทุกครั้งที่ผมร้องไห้ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ ทำไมวะชางกยูน ... ”
“ ... ”
“ ทำไมถึงเป็นกูไม่ได้ .... ”
“ ... กีฮยอน ”
“ กูชอบมึงมากขนาดนี้ทำไมมึงไม่รู้ตัวสักที! ” ผมไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกต่อไป ความน้อยใจและเสียใจถาโถมเข้ามาอย่างเต็มที่ ผมทำได้แค่เพียงร้องไห้และทุบตีแผ่นหลังของเพื่อนสนิทของผมเท่าที่ผมจะระบายออกมาเป็นความรู้สึกได้
“ !!! ” ชางกยูนหยุดเดินทันที ร่างหนาไม่ขยับตัวไปไหนหลังจากที่ได้ยินคำสารภาพรักจากปากผมเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ผมรู้ดีว่าผมบอกไป คำตอบที่ได้กลับมาคงเป็นการปฏิเสธอยู่ดี มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าของแผ่นหลังกว้างจะทำหูทวนลมไม่ได้ยินประโยคล่าสุดที่หลุดออกไป ผมหยุดร้องไห้เพื่อที่จะตั้งสติของตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“ ... ปล่อยกูลงก่อนได้ไหม ... ”
“ แต่ว่ามึงเมามาก เดินไม่ไหวหรอก ”
“ ปล่อยกูลง กูไม่เดินหนีไปไหนหรอก ”
ผมขอร้องให้ชางกยูนปล่อยผมลงเดิน แม้ว่าเขาจะชั่งใจอยู่นานว่าจะปล่อยให้ผมลงจากหลังหรือไม่ แต่สุดท้ายเพื่อนสนิทตัวหนาก็ยอมตามใจให้เท้าของผมได้สัมผัสกับพื้นดินอีกครั้ง ผมเดินเซไปนั่งลงที่ม้านั่งข้างทางตัวที่ใกล้ที่สุด ก่อนที่ชางกยูนจะเดินมานั่งข้างๆผม และความเงียบก็โปรยตัวลงมาอีกครั้ง ผมและชางกยูนไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อน อาจเป็นเพราะเจ้าตัวคงจะกำลังตกใจและสับสนกับสิ่งที่ผมพูดอยู่ก็เป็นได้ ตอนนี้ผมอารมณ์เย็นลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงแปรปรวนไม่คงที่เหมือนเดิม
“ ... ”
“ กูรู้ดี .. ว่ากูสู้อะไรฮยองวอนไม่ได้ ... ”
“ ... ”
“ แต่กูก็แค่อยากบอกความรู้สึกของกูที่มันอัดอั้นอยู่ในใจให้มึงฟังบ้าง ... ”
“ ... ”
“ ว่ากูชอบมึง ชอบมานานแล้ว ชอบมากกว่าที่มึงคิดจะจีบฮยองวอนเสียอีก ”
“ ... ” แม้ว่าอิมชางกยูนจะไม่ชอบฟังอะไรนานๆ แต่ครั้งนี้เขาอยากขอบคุณที่ยังทนนั่งฟังคำพูดเจื้อยแจ้วไร้สาระของผมและไม่ต่อว่าผมสักคำแม้ว่าผมจะรู้ดีว่าในใจนั้นจะรู้สึกแย่แค่ไหนที่ผมทำแบบนี้
“ ...ขอโทษนะ ”
“ ... ไม่เป็นไร กูไม่ถือสาคนเมา ”
“ หึ .. อึกกก ... ถึงกูจะเมาแต่สติกูมีพอจะรู้ตัวว่ากูทำอะไรลงไป ”
“ ... ”
“ ตอนนี้กูยังตัดใจจากมึงไม่ได้ ..ถึงกูจะชอบมึงก่อนที่มึงจะชอบฮยองวอนก็เถอะ ”
“ ... ”
“ ก็มึงชอบดูแลกูดีแบบนี้ กูจะทำใจยังไงไหววะ ... อึก แค่นี้กูก็คิดเข้าข้างตัวเองจนเป็นบ้าไปแล้ว ”
“ ... มึงเป็นเพื่อนกู กูก็ต้องดูแล ”
“ ... ”
“ เหมือนที่มึงดูแลกูทุกเรื่อง ”
“ มึงรู้เหรอ ? ” ผมหันไปมองใบหน้าครึ่งเสี้ยวของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยความตกใจ ผมคิดมาตลอดว่าการกระทำทุกอย่าง อิมชางกยูนไม่มีทางรู้แน่เพราะมัวแต่สนใจฮยองวอนตลอดเวลา แต่เปล่าเลย ... เจ้าเพื่อนสนิทตัวแสบนี่รู้ทุกอย่าง ทุกๆเรื่องที่เขาเก็บเป็นความลับ
“ กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงปิดบังเรื่องการบ้านของกูแล้วทำให้กูตลอด ”
“ ขอบคุณที่มึงยังสนใจ ... ”
“ ... ”
“ แต่กูขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม ? ” ผมเอ่ยออกมาอย่างชั่งใจและน้ำเสียงที่สั่นเครือ โดยที่อีกฝ่ายยังคงฟังผม ไมได้มีทีท่าว่าจะสนใจโทรศัพท์มือถือที่เริ่มเตือนว่ามีสายเข้ามาเลยสักนิด
“ อะไรล่ะ ? ”
“ ถึงกูจะไม่ได้มองมึงแบบเพื่อนเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป .. กูรู้ว่ากูขออะไรที่เห็นแก่ตัว ”
“ ... ”
“ แต่กูขอให้มึง ... ช่วยนั่งอยู่ข้างๆกูแบบเดิมอย่างนี้จะได้ไหม อิมชางกยูน ฮึก .... ” ผมร้องไห้อีกแล้ว ความรู้สึกที่กลัวการสูญเสียเพื่อนสนิทมันแย่แบบนี้นี่เอง กลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไมได้ กลัวทุกอย่าง กลัวไปหมด แต่ในเมื่อเดินมาทางเส้นนี้แล้ว ผมก็ต้องก้าวไปจนสุด ยูกีฮยอนคนนี้ต้องยอมรับในการตัดสินใจทุกอย่าง แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บไปหมดทุกทางก็ตาม
“ ... ได้สิ่ ถ้ากูไม่คบมึงเป็นเพื่อน ... แล้วมึงจะคบใครได้อีกล่ะ ” และรอยยิ้มที่สดใสที่ผมชอบมองมาตลอดก็ประดับบนใบหน้าหล่อของเพื่อนสนิทที่ผมหลงรัก รอยยิ้มที่ทำให้ผมใจสั่นและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน แค่เห็นชางกยูนยิ้มเหมือนเดิมได้แบบนี้ ผมก็พอแล้วล่ะ
“ ไม่โกรธกูใช่ไหม .. ”
“ อืม ไม่โกรธ ” เพื่อนสนิทของผมส่ายหน้าปฏิเสธตามความรู้สึก ผมอยากขอบคุณเขาที่ไม่รู้สึกโกรธผม แม้ว่าในใจผมอยากจะให้โกรธเพราะความงี่เง่าของผม แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ของผมไม่ได้ถูกตัดทอนออกไป ผมก็ดีใจแล้วล่ะ มือของชางกยูนเอื้อมมาโอบไหล่ของผมเอาไว้พร้อมดึงให้ผมเอนตัวไปซบลงที่ไหล่กว้างนั้น สาบานได้ว่าผมกำลังยิ้มออกมา ยิ้มออกมาพร้อมน้ำตา ไม่รู้ว่ามันคือน้ำตาแห่งความดีใจหรือเสียใจ
แต่ผมก็ยิ้มออกมาจากหัวใจของผมพร้อมน้ำตาอยู่ดี
“ ขอบคุณนะ .. ขอบคุณจริงๆ ”
แค่นี้ก็พอแล้ว แค่เธอเห็นฉันแล้วยังคงยิ้มออกมาได้แบบในตอนนี้ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ...
END.
คัมแบ็คแบบไม่เต็มตัวกับฟิคแปลงที่เพิ่งเคยแต่งไปได้ไม่นาน (ทำมาหากินด้วยของเก่า)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนแรกก็คิดนะว่าชางกยุนมีดีอะไรทำไมกีฮยอนถึงชอบได้ แหมะ ก็หล่อ แถมยังเอาใจใส่เพื่อนอีก ฮื้ออ เป็นใครก็ต้องหวั่นไหวแหละ
แต่พอบอกว่าชางกยุนคบกับฮยองวอนนี่จุกแทนกีฮยอนเลย แอบชอบมาตั้งนาน
ก็เพราะความเป็นเพื่อนสินะ ต่อให้รู้สึกมากแต่ไหนมันก็มีเส้นกั้นระหว่างเพื่อนอยู่ดี
กีฮยอนได้สารภาพกับชางกยุน นี่คิดอยู่ว่าชางกยุนจะโกรธหรือรู้สึกเปลี่ยนไปมั้ย แต่ก็ไม่ ถึงกับโล่งอก
ถึงแม้กีฮยอนจะไม่สามารถครอบครองหัวใจของชางกยุนได้ แต่กีฮยอนก็ยังมีชางกยุนเพื่อนที่รักและก็คอยดูแล คอยทำให้ยิ้มและหัวเราะได้ อยู่ข้างๆตัว
ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆนะคะ ^^