คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [ [ . . . : Chain Soul : . . . ] ] Chapter 5 - คำสาปจากกระแสธาราที่หมุนวน II
“นึกว่าจะกินแค่เด็กกับผู้หญิง นี่ผู้ชายแกยังไม่เว้นเลยเหรอห๊ะ!...แล้วนี่ทวยเทพแห่งอัคคีไม่ได้มาด้วยกันเหรอไง” บรัศว์ค่อยๆยันตัวขึ้นแล้วปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออก ชายหนุ่เสยเรือนผมสีดำขลับขึ้นจากนัยน์ตาแล้วหันซ้ายขวามองหาภูตไฟราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“อยู่กับยูกิมั้ง” บรัศว์วางมือข้างหนึ่งรองได้ใต้ท้ายทอยแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้ายามค่ำคืนสีหมอง เมฆหมอกหนาๆสีเข้มที่กระจายอยู่เต็มผืนฟ้าราวกับกลุ่มควัน...มันซ่อนบางอย่างไว้ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่คล้ายกับจะเงียบสงัด ภาพลวงตาที่ซ่อนความมืดมิดไว้
“ยูกิ?”
“ชื่อของยัยเจ้าหญิงนั่นน่ะ” บรัศว์เอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นไปบนอากาศ แล้วไล่ปลายนิ้วสัมผัสอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นตัวตน ทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสโดน ‘สิ่งนั้น’ จึงค่อยๆปรากฏเป็นกลุ่มควันสีดำฟุ้งกระจายอยู่รอบๆนิ้ว ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะละมือออก
“ชักจะเยอะเกินไปแล้วนะ เศษเร่ร่อนพวกนี้น่ะ...” บรัศว์หันไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง รรันร์ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วแบมือขึ้นรับกลุ่มควันสีดำที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ...เศษเสี้ยวของวิญญาณที่หลงอยู่ในความมืดมิด ไม่มีหนทางใดปลดปล่อยได้ นอกจากจิตใจอันพิสุทธิ์
“เป็นสิ่งที่แกต้องรับผิดชอบ...เราไม่เกี่ยวข้อง อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ ไม่ต้องมาถาม”
บรัศว์ขยับรอยยิ้มฝืนๆแล้วเบือนหน้าหนี นัยน์ตาสีดำขลับที่ทอดมองกลุ่มควันตรงหน้าสื่อความหมายหลายต่อหลายอย่างที่ไม่อาจคาดเดา...ความรู้สึกผิด รู้สึกเกลียดชัง และความหวาดกลัว...เป็นตราบาปที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ จมดิ่งลงไปจนยากจะลบล้าง
“ใจร้ายชะมัดเลยอ่ะ...มีใครเขาปฏิเสธความเดือดร้อนของเพื่อนได้ไร้ไยดีอย่างนี้มั่ง...ป้า!”
ถ้อยคำเน้นหนักที่ทำเอาเส้นประสาทคนฟังระเบิดตู้ม นัยน์ตาคู่สีฟ้าตวัดควับหันมามอง บรัศว์รีบละเท้าถอยหนี เพราะจิตสังหารรุนแรงที่โผล่พรวดออกมาจากเจ้าของนัยน์ตาคู่นั้น...จิตสังหารของคนแก่
...น่ากลัวเหมือนกันแหะ
“ท่านหญิงขอร๊าบบบบ~ ~ ~” ยังไม่ทันได้วีนแตก ร่างบอบบางก็สะดุ้งเฮือก นัยน์ตาคู่คมดุตวัดขึ้นมองกลางอากาศแล้วอุทานเสียงหลง เมื่อเปลวไฟขนาดย่อมๆพุ่งฉิวลงมาทิ้งควันสีขาวเป็นสายราวกับลูกอุกกาบาตที่เผาไหม้ไม่หมด พร้อมกับน้ำเสียงคุ้นหูของภูตผู้นำพาความเจ็บตัวมาเยือนทุกครั้งเมื่อที่พบหน้า รรันร์ถลาตัวเข้าใช้แผ่นหลังของชายหนุ่มข้างๆเป็นที่กำบังแล้วผลักให้เขาเป็นคนรับชะตากรรม
“เฮ้ยยย!!! อ...ไอ้...ไอ้! แย๊กกก!!!”
โป๊ก!! โครม!!
เสียงของแข็งกระแทกของแข็งไม่แพ้กันดังจากศีรษะเล็กๆของภูตแห่งไฟที่หล่นตุ้บลงใส่อีกฝ่ายอย่างแม่นยำราวกับจับวาง ร่างเล็กๆไถลครูดลงจนล้มโครมลงไปกับพื้นทั้งคู่ ที่สำคัญไอ้ตัวเล็กกว่ามันดันใช้สองมือจับใบหน้าเขาไว้แล้วประทับจูบอย่างน่าขยะแขยงมากที่สุดเท่าที่ชีวิตสิบเจ็ดปีของทายาทพ่อขุนวนันดร์เคยพบเจอ
“ฮุ!! แหวะ!! ไอ้...ไอ้...!!” บรัศว์ใช้ปลายเท้าวาดร่างเล็กปลิววือไปสุดแรง ก่อนจะใช้หลังมือปาดเช็ดริมฝีปากตัวเอง นัยน์ตาสีดำขลับปริ่มๆน้ำตาด้วยความเจ็บปวด หน้าผากใต้เรือนผมสีเข้มช้ำจนปูดบวม “ยี้!!! ไอ้เด็กสัตโลกาวินาศ ไอ้ๆ...ไอ้ความซวยเดลิเวอร์รี่! ไอ้!...ไอ้ป่วยทางจิต ชอบทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจ ไอ้...ไอ้ โอ๊ย! นึกไม่ออกเว้ย!!!” บรัศว์ตะโกนรัวเป็นชุดใส่ร่างเล็กๆที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น ก่อนจะหยิบก้อนหินใกล้ๆมือเหวี่ยงใส่ร่างนั้นเต็มแรง
“อ๊า!!!” กัลป์อุทานเสียงใสซื่อก่อนจะพุ่งตัวขึ้นหลบก้อนหินที่บินเฉียดข้างแก้มไปเพียงอากาศกั้น นัยน์ตาสีแดงเข้มตวัดหันมองชายหนุ่มข้างหลังที่ส่งประกายอาฆาตแค้นกลับมา ทันทีที่หางตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนความขุ่นเคืองแทบจะเขมือบหัวอีกฝ่ายก็ดับวูบลงแทนที่ด้วยน้ำตาเป็นหยดๆที่ไหลรินลงมาดับเพลิงที่ลุกท่วมทั้งตัวไปจนหมดสิ้น ร่างเล็กสุดฮวบลงนั่งกับพื้น สองมือโอบกอดเข่าตัวเองไว้แล้วกดใบหน้าลง
“ฮ...ฮึก! ...บรัศว์...ฉันเจ็บนะ แค่ล้อเล่นเองทำไมต้องเล่นแรงด้วยง่ะ....ฮือออ”
บรัศว์อ้าปากค้างนึกอยากหาถังดับเพลิงผสมไบกอนเขียวมาฉีดไอ้เด็กไฟให้ตกหลุมยาฆ่าแมลงตาย พร้อมกับยัดลงชักโครกแปะผ้ายันต์ไม่ให้มันผุดขึ้นมาได้ตลอดชีวิต ไอ้ตัวดีช้อนสายตาเต็มรื้อน้ำตาอย่างน่าสงสารขึ้นมองสบนัยน์ตาหญิงสาวข้างๆราวกับของความเห็นใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าคู่กรณี เรียวฟันงามๆ และเขี้ยวเล็กๆกัดริมฝีปากตัวเองแล้วปล่อยเสียงสะอื้นด้วยความวอนท์ทูส้นเท้าอย่างรุนแรง
“บรัศว์! เมื่อคืนนายยังเอ็นดูฉันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ...”
เฮือก!
คำพูดของมัน...น่าสะดุ้งเฮือกแล้ววิ่งหนีไปให้ลิงกัดตายที่ยอดเขาสามมุก เถียงไม่ออก...ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะเถียง แต่มันทุเรศเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด...ถ้าจะให้บรรยายคำว่าทุเรศออกมาได้เป็นคำๆเดียวแทนหมื่นแสนล้านคำพูดก็อยากจะบรรยายอยู่...ว่าแต่ไอ้สายตาชิ้งๆปิ๊งปั๊งเป็นหมีควายเห็นปลาแซลมอนตีกรรเชียงทวนน้ำนั่นมันหมายถึงอะไร ?
“อ...ไอ้ประหลาด” เสียงสั่นเครือของหญิงสาวร่างบอบบางที่ค่อยๆถอยตัวออกห่างเขา ดึงสติที่ลอยไปหาจ่าฝูงลิงถึงเขาสามมุกให้กระเด็นกลับมาที่เดิม นัยน์ตาสีฟ้าที่มองสบกลับมาเป็นประกายประหลาด “รู้จักกันมาตั้งสิบเจ็ดปีเพิ่งรู้ว่าแกเป็น...เป็น....”
“อ๊ากกกกก!!!!” เสียงกรีดร้องดังลั่นจากปากของภูตไฟน้อยๆที่บินฉิวขึ้นมาจากพื้นแล้วใช้ปลายเท้าตวัดเตะทายาทพ่อขุนวนันดร์ให้หลบทาง เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มร่างเล็กลุกโชนอยู่ครู่ก่อนจะดับมอดลงทิ้งเพียงร่างเล็กๆเพียงฝ่ามือของภูตน้อยตนเดิมที่บินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
“ไม่ใช่นะขอร๊าบบ...ถึงบรัศว์มันจะเป็น แต่ข้าน้อยไม่ได้เป็นนะขอรับ...ท่านหญิงกรุณาอย่ามองผิด”
เป็น?...เป็นอะไร? โยนมาแบบนี้...ทำไมไม่ฆ่ากันให้ตายเลยล่ะฟ๊ะ!!!
บรัศว์โวยวายอยู่ในใจเพราะยังพูดไม่ออก ราวกับกล่องเสียงลืมหน้าที่ตัวเองไปเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นมันก็ไม่ยอมทำงานอีกเลย
“ไอ้ทุเรศ! เลิกเล่นแล้ว” เสียงสบถเบาๆดังจากปากทายาทพ่อคุณวนัดร์ก่อนที่ความเงียบจะโรยตัว...กัลป์ค่อยๆเบือนนัยน์ตาสีพระเพลิงเข้มหันไปมองร่างของชายหนุ่มที่ถูกมัดอยู่กับโครงชิงช้างด้านหลัง เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับสะดุดนัยน์ตาเข้ากับร่างโปร่งใสคล้ายวิญญาณของคนุรุจที่ยืนอยู่ข้างๆซะก่อน
“ใครอ่ะ?” กัลป์หันกลับมาหาบรัศว์พลางเอียงคอถาม ร่างเล็กๆลอยพุ่งเข้าไปหาวิญญาณของเด็กหนุ่มอย่างไม่รอคำตอบ แล้วบินวนรอบๆตัวคล้ายกับจะสำรวจ กัลป์ทำจมูกฟุดฟิดเข้าใกล้ ขณะที่วิญญาณเคราะห์ร้ายพยายามหันหนีอย่างสุดความสามารถ “ทำไมมีกลิ่นของท่านหญิงรรันร์ด้วย”
บรัศว์พ่นหัวเราะพรืดเมื่อได้ยินหญิงสาวข้างๆหลุดคำสบถแผ่วเบา
“เด็กนั่นเป็นกิ๊กของป้าระรานน่ะ...แกหายไปซะนานป้าเลยจะเลี้ยงต้อยเด็ก” บรัศว์โพล่งออกไปด้วยความปากไว ก่อนจะชักฝีเท้าถอยหลัง เมื่อจับสัมผัสอัตรายสุดขั้นออกมาจากคนข้างๆ นัยน์ตาสีเพลิงของภูตไฟเบิกโพลงขึ้น ก่อนจะจับจ้องใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเหยียดหยาม
“หล่อไม่ถึงครึ่งของฉันเลยอ่ะ!” บรัศว์ตีสีหน้าสะอิดสะเอียนเต็มที่ ขณะที่กัลป์สะบัดหน้าหนีจากวิญญาณเด็กหนุ่มแล้วกอดอกแน่น “จำไว้นะไอ้หนู...นายกับฉันมันคนละระดับกัน ถ้าคิดจะมาเทียบเคียงรัศมีของฉัน มันเร็วไปร้อยล้านปีแสงเว้ย!”
ใครเขาอยากจะเทียบเคียงรัศมีแกไม่ทราบ...
“นั่นซิน้า...ก็กัลป์น่ารักที่สุดแล้วนี่น่า...เน๊อะ...” ก่อนจะบรัศว์จะขยับมือเหวี่ยงภูตไฟให้ลอยตกน้ำ รรันร์ก็ฉีกยิ้มละลายหัวใจก่อนจะประกบมือไว้ระดับแก้ม เพียงคำว่า ‘น่ารัก’ ของเธอ เรียกให้ร่างเล็กๆลอยคว้างอยู่กลางอากาศราวกับตกอยู่ในภวังค์ความฝัน
“ท่านหญิงขอร๊าบบ!! พูดแบบนั้นข้าน้อยก็เขินแย่...” กัลป์บิดไปมา ก่อนจะพุ่งถลาร่างลงหาหญิงสาว อ้อมแขนเล็กๆอ้าออกคล้ายจะโอบกอด ก่อนจะสะดุดกึก เมื่อรรันร์ยกปลายนิ้วเรียวยาวดันจมูกของเด็กหนุ่มไว้ให้หยุดชะงักกลางอากาศ
“เอาเป็นว่า...วันหลังจะพูดให้ฟังอีกเยอะๆเลยดีไหมล่ะ” กัลป์พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงตอบรับ บรัศว์ยกมือขึ้นปิดปากด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียนเต็มที่ เมื่อเห็นประกายวิ๊งวั๊บในดวงตาของมันก็เดาได้ไม่ยากนัก...ติดกับดักป้าแก่ๆซะแล้ว
ถึงจะขยะแขยงรูหู...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารรันร์เป็นคนหนึ่งเดียวที่จับทางไอ้ภูตไฟหัวงูนั้นได้อยู่หมัด
“ตอนนี้มีเรื่องอยากให้นายช่วย...ช่วยทีนะ” กัลป์พยักหน้ารับคำรัวเร็วจนบรัศว์อ้าปากค้าง...ไม่คิดว่ากัลป์จะยอมรับฟังคำขอความช่วยเหลือจากใครซะด้วยซ้ำ...แต่กลับรรันร์นี่...มันอาจจะเป็นข้อยกเว้นที่เหนือความคาดหมายของเขาไป
“ชิ! จับมันขังห้วงมิติตั้งนานไม่เห็นเชื่อง ยัยป้าใช้ยาเสน่ห์ยี่ห้อไหนฟ๊ะ!” บรัศว์บ่นพึมพำ ก่อนจะมองดู รรันร์อธิบายเรื่องที่ต้องการให้ช่วย ไอ้เด็กไฟพยักหน้ารับหงึกหงักโดยที่เขาไม่คิดว่ามันจะฟังคำขอนั้นรู้เรื่องซะด้วยซ้ำ...เรื่องราวเดิมๆที่เขาเบื่อหน่ายที่จะสนใจมัน พันธะดวงวิญญาณแห่งกาลเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
“เพราะฉะนั้น...ถึงต้องเป็นหน้าที่ของกัลป์ที่จะทำให้ทวยเทพแห่งธาราฝืนคืนความทรงจำไงล่ะ” บุรุษที่สามที่โผล่มาทำให้รัศมีวิ๊งวั๊บของกัลป์หยุดชะงักลงพลัน เขาเงยหน้าขึ้นมองท่านหญิงแล้วเลิกคิ้วขึ้นราวกับจะถามย้ำ รรันร์พยักหน้ารับ ทำให้นัยน์ตาสีเพลิงตวัดหันไปมองร่างที่ถูกมัดอยู่กับโครงชิงช้า
“ข้าน้อยจำเป็นต้องช่วยเจ้านี่เหรอขอรับ”
“ใช่” กัลป์ชะงักค้างกับคำตอบรับที่สวนควับขึ้นอย่างมาดมั่น...ช่วย...ถ้าจำไม่ผิด เจ้านี่มันเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตลอด แค่ต้องช่วยศัตรูก็แปลกแล้ว แต่ที่แปลกยิ่งกว่า...ทำไมไอ้หมอนี่ถึงได้หมดสภาพแบบนี้ได้ ทั้งที่ปรกติแล้วออกจะหยิ่งขั้นเทพแท้ๆ
คงเป็นเพราะผลของคำสาป...จากเจ้าหญิงนทีกานต์
“ถึกเป็นกระซู่ กูปรี โคไพร ควายป่าขนาดนั้น...ยังต้องให้เด็กหนุ่มผู้บอบบางปานจะแตกหักอย่างข้าน้อยไปช่วยเหลืออีกหรือขอรับ” กัลป์ตีสีหน้าซื่อ แล้วเอียงคอถามหญิงสาว บรรยากาศรอบข้างถึงกับชะงักค้างด้วยความอึ้ง...รรันร์ขยับเสียงหัวเราะเจื่อนๆ อย่างนึกคำพูดต่อไปไม่ออก
“ดูๆไปนายมันก็กระทิงตกมันดีๆนี่เองไม่ใช่เหรอ...กัลป์” เสียงเข้ม เอ่ยทำลายความเงียบ ทดแทนด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโหมขึ้นมา เมื่อคนฟังเห็นหน้าคนพูด...นัยน์ตาล้ำลึกราวกระแสน้ำหมุนนเงยขึ้นจากเรือนผมที่ปกปิดใบหน้า
กัลป์ทำแก้มพองลมอย่างขัดใจ ร่างเล็กเพียงฝ่ามือห้อมล้อมเปลวเพลิง ก่อนจะกลับคืนเป็นร่างของเด็กหนุ่ม มือบอบบางปัดชายเสื้อคลุมสีแดงเข้มยาวเกะกะปลายเท้าให้พ้นทาง ก่อนจะก้าวอาดๆเข้าไปหาศิราที่ถูกมัดอยู่บนพื้น ร่างเล็กตวัดตัวลงนั่ง ใบหน้าคมเข้มบูดบึ้งจัดยื่นเข้าใกล้
“พูดให้ฟังชัดๆอีกทีซิ” ศิราเบือนใบหน้าหนี นัยน์ตาเข้มหรี่ปรือแล้วขยับเสียงหัวเราะ
“ตั้งแต่เรียนในโลกมนุษย์มา ยังไม่มีตำราไหนเคยบอกว่า กระทิงป่าหูหนวกนะ” กัลป์ผุดลุกขึ้นจากพื้น ชั่วครู่ที่เปลวจากนัยน์ตาคู่นั้นลุกโหมขึ้นแทบจะหลอมละลายบรรยากาศ
“ทั้งๆที่นายกำลังต้องการความช่วยเหลือจากฉันแท้ๆ ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้เหรอไง!” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นคนตรงหน้ายังสงบนิ่งก็ยิ่งขัดใจ...ศิราหลับตาลงราวกับไม่ได้รับฟังคำพูดนั้น สายลมแผ่วเบาที่พวยพุ่งเป็นสายก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นน้ำสีฟ้าใส ตวัดตัวโซ่ตรวนบนร่างกายเขาจนขาดสะบั้น ร่างสูงเหยียดตัวขึ้นยืน แล้วปัดฝุ่นบนชายเสื้อนักเรียนเบาๆ
“เฮ้ย!” บรัศว์อุทานเสียงซื่อขัดบรรยากาศตึงเครียด ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าใกล้ศิราช้าๆ แล้วมองขึ้นลงอย่างสำรวจ บรัศว์ถอนหายใจเฮือก แล้วขยับมือขึ้นแตะๆลงบนต้นแขนเย็นเยียบนั้นเบาๆแล้วรีบดึงมืออก เมื่อจุดที่แตะโดนนั้นกระจายตัวเป็นวงคล้ายผิวน้ำที่โดนกระทบ
“ฟื้นคืนแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหล่ะ...” บรัศว์เบือนนัยน์ตากลับไปมองตามน้ำเสียงทรงอำนาจ รรันร์จับจ้องดวงตาคู่สงบนิ่ง “นั่นอาจจะเป็นเพราะพันธะเวลาที่บรรจบกลับมาพอดี แต่พอมันเคลื่อนตัวออกไป...ความทรงจำของทวยเทพแห่งธาราก็ยังลอยคว้างอยูกลางกระแสน้ำ”
บรัศว์มองดูนัยน์ตาสงบนิ่งสองคู่ที่มองสบกันอยู่ ประกายความท้าทายที่เกือบจะใกล้เคียงกันราวกับสื่ออะไรบางอย่างถึงกันอยู่...กัลป์เองก็ดูจะแปลออก บุตรแห่งพระเพลิงสงบลง มีเพียงเปลวเพลิงที่ร้อนระอุเผาผลาญ รู้สึกเหมือน...โดนทอดทิ้ง พอไอ้พวกพูดภาษาคนไม่เป็นภาษาคนมายืนคุยกันแล้ว อะไรๆมันดูน่าปวดหัวไปหมด
บรัศว์เบือนนัยน์ตามองวิญญาณเด็กหนุ่มที่ยืนห่างออกไปไกลเกือบห้าสิบเมตร ก่อนจะเดินเข้าไปหา เพราะขี้เกียจยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมที่จับสัมผัสของมนุษย์ไม่ได้
“พันธะกาลเวลาตอนนี้เหมือนโซ่ตรวนที่พันกันยุ่งเหยิง...ดวงวิญญาณที่ติดอยู่ในโซ่ตรวนนั้น...”
บรัศว์แว่วเสียงของหญิงสาวดังมา พลางเงี่ยหูฟังแม้จะเกลียดแสนเกลียดเวลาที่เธอพร่ำพูดเรื่องพวกนี้ให้ฟัง...มันเจ็บปวดเหมือนโดนตอกย้ำ กับโซ่ตรวนที่ตัวเองเป็นคนเรียงร้อย
“น่ารำคาญชะมัด!” บรัศว์สบถเบาๆ แล้วง้างปลายเท้าเตะก้อนหินที่วางเกะกะนัยน์ตาเต็มแรง โดยไม่ทันเห็นวิญญาณของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“อ๊า!” คนุรุจร้อง แล้วยกมือขึ้นปิดศีรษะ เมื่อก้อนหินปลิววือลอดผ่านร่างกายเขาไป เด็กหนุ่มลดมือลงราวกับเพิ่งนึกได้ว่า แม้แต่อากาศยังลอดผ่านร่างกายที่เป็นเพียงกลุ่มพลังงานของเขาได้ คนุรุจขยับเสียงถอนหายใจแล้วแตะมือลงอกตัวเองอย่างโล่งใจ “นึกว่าจะตายซะแล้ว”
บรัศว์เลิกคิ้วขึ้นมองวิญญาณเด็กหนุ่ม “นายตายไปแล้ว จะตายสักอีกกี่ครั้งฟ๊ะ! ถึงยัยระรานจะบอกว่านายยังไม่ตาย แค่วิญญาณกระเด็นหลุดแล้วกลับร่างไม่ได้ แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้วใช่ไหมล่ะ”
คนุรุจสะดุ้งเฮือก แล้วเงียบลงอย่างสลดใจ...ตายไปแล้ว...เขาไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ร่างเล็กค่อยทรุดตัวลงนั่ง แล้วใช้ปลายนิ้วเขี่ยๆทรายบนพื้น แม้ว่าพยายามเท่าไหร่ แต่เขาก็หยิบจับเม็ดทรายเหล่านั้นไม่ได้ สายลมที่ไหววูบพัดเอากรวดทรายละเอียดให้ปลิวผ่านร่างกายเขาไป เด็กหนุ่มขยับตัวหลบเมื่อบรัศว์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
“นายน่ะ...เชื่อเรื่องของพันธะดวงวิญญาณไหม” บรัศว์พึมพำเบาๆ แล้วไล่ปลายนิ้วเขี่ยเม็ดทราย คนุรุจเงยดวงหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่ใคร่เข้าใจ...ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูขุ่นมัวเมื่อมองผ่านร่างโปร่งใสของวิญญาณเด็กหนุ่ม ม่านเมฆบางๆกระจายตัวอยู่ เปิดแผ่นฟ้ายามราตรีให้เขาได้มองเห็นความมืดมิดอย่างชัดเจน
“พันธะ?” คนุรุจทวนคำพลางเลิกคิ้วขึ้น มองมือของบรัศว์ที่กวาดเม็ดทรายเป็นลวดลาย แล้วยกปลายนิ้วตัวเองขึ้นมองดูอย่างเสียงดายที่มันทำแบบนั้นไม่ได้
“ก็ที่ว่าดวงวิญญาณทุกดวงมีพันธะที่ผูกพันกันอยู่ไงล่ะ...หมายถึง พรหมลิขิตน่ะ บางทีแล้วที่นายต้องกลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนมันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาอยู่แล้วก็ได้” บรัศว์ถูมือลงกับชายเสื้อปัดเม็ดทรายออกแล้วหันมองใบหน้าเด็กหนุ่มด้วยดวงตาเฉยชา
“ผมจำเรื่องตอนเป็นมนุษย์ไม่ได้...แต่ถ้าถามตอนนี้ ผมก็คงต้องบอกว่าเชื่อแล้วล่ะครับ”
“แล้ว...ถ้าเกิดว่า พันธะนั้นมันไม่ใช่ความผูกพันแต่เป็น...ความเกลียดชังล่ะ...” บรัศว์เอ่ยอย่างเลื่อนลอย เรียกให้นัยน์ตาของเด็กหนุ่มเงยขึ้นมองสบเขา...ความเกลียดชัง ในดวงตาคู่นั้น คนุรุจสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดมากมายที่เวียนวนอยู่ราวกับเป็น...ดวงตาที่ต้องทนแบบรับความเกลียดชัง
“ถึงเป็นแบบนั้น...ก็ยังเรียกว่าเป็นความผูกพันล่ะมั้งครับ ผูกพันกันด้วยความเกลียดชัง...เอ่อ...หมายถึง ถึงจะเกลียด แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้คำนึงถึงกันเสมอไม่ใช่เหรอครับ” บรัศว์ถอนหายใจเฮือก คนุรุจรีบหยุดคำพูดตัวเอง หลังจากที่พยายามอธิบายความหมายของคำพูดตัวเองอยู่นาน แต่ยิ่งพูด แม้แต่ตัวเขาเองก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“นั่นซินะ...ถึงจะเกลียด แต่ก็คงเรียกว่าผูกพันได้...ถ้าฉันคิดแบบนี้แล้ว พวกเขาจะคิดแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า” บรัศว์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิด ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นแตะกลุ่มควันสีดำที่ลอยวนผ่านใบหน้าเขา ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆอีกรอบก่อนจะผุดลุกขึ้น จนวิญญาณข้างๆสะดุ้ง
“นายนี่มันมองโลกในแง่ดีชะมัดเลยว่ะไอ้ขนุน”
“ห๊า?...ขนุน...ผมชื่อคนุรุจนะครับ!”
บรัศว์ขยับรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะเดินห่างออกไปที่ถนนใหญ่ โดยที่ไม่หันกลับไปสนใจบทสนทนาที่ฟังไม่รู้เรื่องอีก...ที่มันดังอยู่ในหัวตอนนี้ คือคำถาม...ถ้าความเกลียดชังก็เรียกว่าเป็นความผูกพัน...สายลมหนาวเย็นวูบหนึ่งที่เวียนผ่านกระทบใบหน้า ราวกับทำให้ใบหน้าของใครบางคนปรากฏขึ้นมาจากเบื้องลึกของจิตใจ
จนถึงตอนนี้...เธอจะยังอยากผูกพันกับฉันอยู่หรือเปล่า นทีกานต์
ความคิดเห็น