คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [ [ . . . : Chain Soul : . . . ] ] Chapter 7 - ปลดปล่อย I
Chapter IV ปลดปล่อย
เพียงสายนทีที่อ่อนโยนและแววตาที่คุ้นเคย...
นัยน์ตาสีเข้มทอดมองถนนที่เต็มไปด้วยรถยนต์เบียดเสียดพอๆกับผู้คนบนทางเท้า ฝั่งตรงข้ามที่ถูกกั้นด้วยถนนสองสาย คือจุดหมายปลายทาง...แต่เขากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างที่ทำมาตลอด เด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนแบบเดียวกับเขาหันมองเขาราวกับเห็นอะไรบางอย่างที่ ‘ผิดปรกติ’ แต่แล้วก็เดินขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามฝั่งและเขาโรงเรียน
ยังเช้าอยู่มากแต่รถกลับแน่นขนัด ผู้คนที่เดินวนไปมาอย่างเร่งรีบไม่ต่างกันก็มากพอที่จะทำให้เขาถอนหายใจอย่างอึดอัด ทั้งๆที่เป็นแบบนี้ทุกเช้าแต่วันนี้มันกลับต่างออกไป
วันที่ความทรงจำของเขาถูกปลดปล่อย
“มาแล้วววว!! มาแล้วๆๆๆ!!” เสียงตะโกนโหวกแหวกโวยวายดังมาก่อนตัวทำเอาชายหนุ่มยิ่งถอนใจหนักขึ้นด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนที่เจ้าของร่างสูงที่เพิ่งวิ่งลงจากรถประจำทางมาจะกระโดดข้ามรั้วเหล็กล้อเลื่อนสีแดงสลับขาวที่กั้นอยู่ระหว่างถนนใหญ่กับทางเท้า แล้วชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างจงใจ
“โอ๊ะ!” บรัศว์อุทานเสียงซื่อเมื่อเห็นเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมต้นเสียหลักเกือบจะล้ม อ้อมแขนแข็งแรงก็โอบร่างเล็กๆไว้ พลางโน้มตัวลงตามจนใบหน้าอยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ
ศิราที่มองดูอยู่ห่างๆแทบอยากจะกระโดดถีบมันกระเด็นไปที่ถนนใหญ่แล้วให้รถรรทุกสิบล้อสักแปดคันทับมันแบนติดถนน
“คุณบรัศว์...” เสียงหวานอุทานเบาๆ นัยน์ตากลมโตที่เบิกค้างอย่างตกใจเมื่อครู่ค่อยๆหรี่ปรือลงเมื่อได้เห็นใบหน้าคมเข้มนั้นชัดเจน นัยน์ตาสีเข้มดำขลับดูสดใสหากแต่ลึกลับราวกับกุมความลับของโลกทั้งใบ ดูมีเสน่ห์ลึกซึ้งจนน่าค้นหา จมูกโด่งสันเหนือริมฝีปากบางหยักได้รูป
บรัศว์ดันร่างบางให้ยืนตั้งหลักได้ เมื่อเห็นสาวๆกลุ่มใหญ่เดินเข้ามา เด็กสาวพึมพำขอบคุณเบาๆ ขณะที่ไอ้ตัวดียืนทำเหมือนจะหล่อแล้วพูดคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มหู ทำเอาผู้หญิงในบริเวณนั้นตกอยู่ในอาการเดียวกันคือเคลิ้มฝัน
ท...เทพบุตรลงมาจุติเพื่อโปรดมนุษย์แท้ๆ
ศิราถอนหายใจเฮือก...ราวกับได้ยินเสียงในใจของเด็กสาว นึกเวทนาที่สาวน้อยเห็นนั้นมันเป็นเพียงเทพบุตรจำลอง ไม่ได้เห็นร่างจริงของมันที่แม้แต่แมงมุมทาลันทูล่ามีหัวเป็นกิ้งกือเต้นระบำฮาวายผสมสามช่าได้ยังอายในความทุเรศ
บรัศว์หัวเราะทรงเสน่ห์พลางโบกมือลาสาวๆที่เดินข้ามสะพานไป แล้วจึงเดินตัวปลิวมาหาเพื่อนอย่างอารมณ์ดีจนเรียกได้ว่าแทบจะถึงขั้นวิกลจริต
“ศีลจ๋า...ซื้อถ่านมารึเปล่าค้าบ...” บรัศว์เอ่ยเสียงหวานเพราะยังอารมณ์ดีอยู่
“ไม่ได้ซื้อ ! ไม่มีตังค์ !” ศิราตอบกลับไปห้วนๆ ทำเอานัยน์ตาสีดำขลับเบิกค้าง ความอารมณ์ดีเมื่อครู่ไหววูบหายวับไปราวโดนคลื่นทะเลซัดสาด
“ไอ้บ้า! แค่ถ่านสี่ก้อนสิบบาท ต่อราคาเหลือสองก้อนสี่บาทห้าสิบได้แกยังงกอีกเหรอวะ! อะไรจะไม่มีปัญญาซื้อขนาดนั้น!”
ถ้อยคำที่ตอบกลับมาอย่างฉุนเฉียวทำเอานัยน์ตาสีเข้มของศิราวาวโรจน์อย่างโกรธเคือง ใบหน้าคมเข้มหันสบคนข้างๆ บรัศว์ชะงักค้างเมื่ออยู่ๆนัยน์ตาคู่นั้นก็แลดูเป็นสีน้ำเงินเข้มจัด ทั้งยังหมุนวนแตกเป็นคลื่นคล้ายผิวน้ำยามโดนกระทบ กระไอเย็นเยือกที่พุ่งผ่านนัยนืตาคู่นั้นทำเอาขนลูกซู่
“ถ้ามีปัญญามากนักก็ไปซื้อเองซิวะ!” ชั่วครู่ในนัยน์ตาคู่นั้นกลับมาเป็นสีดำเข้มดังเดิม...แต่คล้ายบรรยากาศรอบข้างยังคงเย็นเยียบ ถ้อยคำของรรันร์แว่วเข้าหูอย่างที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว...
ภูตจะอยู่ในมิติของมนุษย์ด้วยร่างกายแบบมนุษย์ไม่ได้หรอกนะ...ร่างกายเขากำลังจะหายไปแล้ว ตอนนี้คงหยิบจับของชิ้นเล็กๆได้ลำบาก ถ้าเขาหายไปต่อหน้าต่อตาคนอื่น จะหาคำอธิบายยังไง?
ที่ไม่ซื้อถ่านมาให้อาจจะเป็นเพราะ...บรัศว์เลื่อนนัยน์ตาลงมาจับจ้องร่างสูงโปร่งนั้นตั้งแต่ปลายผมจรดเท้า...ศิรามองดูเหมือนมนุษย์ปรกติ หากแต่เขารู้ดีมาตลอดว่าตัวตนที่แท้จริงของศิราคือใคร ทายาทแห่งวารีผูสืบทอดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่ดูแลรักษา ‘ธนูชยาชลธร’ อันเป็นสิ่งเดียวที่สืบทอดความสัมพันธ์ระหว่างโลกแห่งวารีและพระเพลิง
บรัศว์สาวเท้าเข้าประชิดร่างสูง แล้ววางมือตัวเองทาบลงบนมือเย็นๆ ก่อนจะยกมันขึ้นส่องกับแดดอ่อนๆในยามเช้า...ผิวกร้านแดดนั้นเจือจางลงไปมาก หากแต่ยังจับกระแสพลังได้ บรัศว์ใช้อีกมือหนึ่งแตะลงที่ปลายนิ้วเรียวแล้วไล่ลงมาถึงข้อมือ
“บรัศว์...” ศิรากดเสียงลงต่ำ บรัศว์นิ่งเงียบราวกับสัมผัสเสียงในใจนั้นได้ คงจะรู้สึกอึดอัด...กับอดีตของตัวเองที่เลือนหายไปเพราะคำสาป ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกมืดๆที่ไม่ว่ามองไปทางใดก็ไม่พบเจอสิ่งใด มันเจ็บปวดและทุกข์ทนเกินกว่าจะรับได้
“ฉันเข้าใจ” บรัศว์พยายามทำน้ำเสียงเรียบเฉยแต่มันกลับสั่นเครือ...คำสาปนั้นเขาเองมีส่วนผิดอยู่เต็มที่ หากไม่มีเขาสักคน...บางทีเรื่องแบบนั้นอาจจะไม่มีวันเกิดขึ้น
“บรัศว์...แกรู้ตัว...งั้นเหรอ”
“อืม...ฉันรู้ว่ามันทำใจลำบาก ฉันเอง...ก็ไม่อยากจะคิดถึงมัน” บรัศว์สวนคำขึ้นเพราะไม่อยากได้ยินถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจตัวเอง เขาหนีมันมาตลอดและถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหนีตลอดไป
“แน่ใจแล้ว?” แน่ใจ...ทำไมเขาถึงต้องลังเลหากจะยอมรับในความผิด เพียงสิ่งเดียที่เขาทำไม่ได้ คือแก้ไขความผิดพลาดครั้งนั้นและไม่ทำมันผิดอีก
“ฉันรู้มาตลอดศิรา...เพียงแค่ไม่พูดออกไป ขอแค่แกจะเข้าใจ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ” จบคำศิราก็กระตุกมือตัวเองออกแล้วล่นถอยห่างไปหลายเมตร...บรัศว์มองตามไปอย่างไม่คิดจะห้ามเพราะรู้ว่าเพื่อนต้องโกรธ ศิรายืนชั่งใจอยู่ครู่แล้วจึงเอ่ยออกมาในที่สุด
“ฉันดีใจนะที่แกรู้ตัวเอง และแน่ใจขนาดนั้น...สังคมสมัยนี้เขาไม่รังเกียจเรื่องพวกนี้กันแล้วอย่าคิดมาก ฉันเข้าใจ แต่ฉันยังรับไม่ได้ว่ะ ถ้าแกจะเป็นเกย์ก็อย่ามาปรึกษาฉันเลยนะ ไปล่ะ...” จบประโยคยาวๆที่เจ้าตัวคนพูดน้อยไม่ค่อยได้ร่ายบ่อยนัก ชายหนุ่มก็หมุนตัวแล้วซอยเท้าวิ่งขึ้นบันไดสะพานลอยหายลับไปอย่างรวดเร็ว
บรัศว์ยืนนิ่งอยู่ครู่ ก่อนจะแปลความนั้นออก
“เฮ้ย !! แกว่าฉันเป็นเกย์เรอะ !” บรัศว์ตะโกนอย่างลืมคิดไปว่ารอบข้างมีผู้คนยืนอยู่ ทั้งเด็กผู้หญิงในดรงเรียน คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง แม้แต่แม่ค้าขายไก่ปิ้งยังหันมาจับจ้องเขาเป็นตาเดียวเพียงเพราะคำต้องห้ามของผู้ชาย ที่เผลอพูดดังไปนิดเดียวเท่านั้น
นิดเดียวจริงๆ...แค่ได้ยินไปถึงอีกฟากถนนแค่นั้นเอง
“พูดกันคนละเรื่องแล้วเฟร้ย!!” บรัศว์ตะโกนโวยวายแล้ววิ่งตามเพื่อนขึ้นสะพายลอยไป นัยน์ตาสีดำขลับมองเห็นแผ่นหลังที่นำห่างออกไปเกือบถึงอีกฟาก...อะไรบางอย่างทำให้เขาไม่แน่ใจ
ศิราไม่เข้าใจจริงๆเพราะยังจำอะไรไม่ได้ หรือจงใจจะเปลี่ยนเรื่อง
ความทรงจำนั้นอาจจะกลับมาแล้ว...แต่ทำไมเจ้าตัวยังทำเป็นไม่รู้
บรัศว์ขมวดคิ้วพอนึกถพึงเรื่องที่มันเฉไฉไปได้อย่างคิดไม่ถึง...ล้อเล่นแรงเกินไปแล้วนะเว้ย !
บรัศว์จรดปลายเท้าข้ามผ่านพ้นขอบประตูโรงเรียนแล้วแทบจะทรุดฮวบอย่างหมดเรี่ยวแรง กว่าจะวิ่งข้ามสะพานลอยตามมาทัน เทพวารีก็ปลิวมาถึงหน้าประตูโรงเรียนก่อน ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก พลางเหลือบตามองศิราที่ยังคงใบหน้าเฉยชาไว้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อ แม้จะต้องวิ่งข้ามสะพานลอย และวิ่งต่อจากหน้าปากทางเข้ามาถึงประตูโรงเรียนเกือบหนึ่งกิโลเมตร
เป็นเทพนี่ดีชะมัด...ค่ารถก็ไม่ต้องเสีย กะจังหวะเหมาะๆ แว๊บไปไหนมาไหนก็ได้
ว่าแต่...เราจะวิ่งตามมันมาทำไมฟ๊ะ !
“ศีล...” บรัศว์เอ่ยเสียงแผ่วเพราะยังหอบอยู่ ร่างสูงโน้มลงพลางเอื้อมมือแตะบ่าเพื่อนที่กำลังจะเดินล่วงหน้า ศิราเบือนใบหน้ากลับมามองอยู่ครู่ แล้วเลิกคิ้วขึ้น “แก...จำได้แล้วงั้นเหรอ ความทรงจำกลับคืนมาแล้วใช่ไหม” ศิราเบือนหน้าออกแล้วขยับรอยยิ้มที่ทำให้ดวงหน้าคมเข้มนั้นดูแปลกออกไปเมื่อมีรอยยิ้มประดับ
“ว่างั้นก็ได้ล่ะมั้ง”
บรัศว์อ้าปากค้างเมื่อชายหนุ่มปริปากยอมรับ บรัศว์สาวเท้าวนรอบๆร่างสูงใหญ่นั้น...ร่างกายที่ยังโปร่งแสงอยู่เล็กน้อยแต่เพราะมีเสื้อผ้าปกปิดหากไม่สังเกตให้ดีจึงมองไม่เห็น ในดวงตาสีดำเข้มนั้นมีละอองคลื่นที่กระจายตัวเป็นวงกลมบางๆคล้ายผิวน้ำยามโดนกระทบ บางสิ่งบางอย่างที่แปลกออกไป...คล้ายกับว่ามีคลื่นพลังอีกสายหนึ่งที่แทรกซ้อนเข้ามา
พลังแห่งพระเพลิง
“กัลป์!” บรัศว์อุทาน แล้วเหลียวมองข้างตัวราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอยู่ๆ ร่างเล็กจ้อยของภูตเพลิงที่นั่งอยู่บนบ่าหายไปโดยไม่ทันรู้ตัว ชายหนุ่มเหลียวมองไปข้างหลังบนพื้น แล้วกวาดตามองเลยออกไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ศิราหลุดเสียงหัวเราะ
“ตายอยู่กลางถนนแล้วมั้ง ไอ้เด็กสติไม่สมประกอบนั่นน่ะ” ศิราเลิกคิ้วขึ้น บรัศว์ยังคงเหลียวมองหาบุตรแห่งพระเพลิงพร้อมกับความหนาวยะเยือกชวนเสียวสันหลังวูบๆ...ศิราเป็นทายาทแห่งวารีที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ บางครั้งเย็นยะเยือก สงบนิ่ง บางครั้งกลับเชี่ยวกราดกวาดทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้าให้เหลือเพียงซากได้ในพริบตา...เป็นอารมณ์แปรปรวนที่ตามไม่ทันสิ้นดี
ถึงจะมีพันธะผูกพันกัน เพราะศิราเป็นถึงทวยเทพผู้ปกป้องอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และบรัศว์เป็นผู้อยู่ใต้การควบคุมอำนาจในการถือครองอาวุธนั้นตามคำสั่งของเจ้าหญิงนทีกานต์ เป็นความผูกพันลุ่มๆดอนๆ เพราะเส้นทางที่ยาวไกลที่ต้องร่วมทางกับเทพหยิ่งผยองและมนุษย์ปากเปราะ
เวลาที่ผ่านไป คล้ายจะกระเทาะเอาความผยองนั้นให้ลดลงเพราะโดนเชื้อบ้าของมนุษย์เข้าไป ทำเอาปากคอเราะร้ายตามไปด้วยอย่างที่เจ้าตัวก็นึกไม่ออกว่าไปซึมซับมันตอนไหน
“บ้าน่า...จะเป็นไปได้ไง ถึงยัยระรานจะบอกว่า พลังตรงข้ามจะทำให้ความทรงจำนายกลับมาได้ แต่เมื่อคืนกัลป์ก็อยู่กับฉันตลอด” จบคำ ศิราก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วสาวเท้าออกห่าง
“เมื่อคืน?” บรัศว์ตระครุบมือปิดปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลุดคำพูดชวนจินตนาการณ์ออกไป
“เฮ้ย ! ไม่ใช่แบบนั้น ศีล...ขอร้อง ฉันไม่ได้เล่นด้วยนะเว้ย !” ศิราหัวเราะลงลำคอ แล้วสาวเท้าเดินอย่างไม่ใส่ใจท่าทีร้อนลนนั้น...บรัศว์เคยเป็นนักฆ่าในต่างมิติ แต่ความเลือดเย็นเมื่อครั้งเก่าก่อนนั้น...มันลบเลือนหายไปตามกาลเวลาที่ผันแปร มีเพียงความผิดที่ยังคงอยู่
“เมื่อคืนฉันอยู่ที่ห้องสมุดกับรรันร์” บรัศว์เบิกนัยน์ตาค้างและตวัดมองคนข้างๆ
‘ห้องสมุด’ ที่พูดถึงนั้น เป็นห้องที่เก็บรวบรวมความทรงจำของดวงวิญญาณทุกดวงไว้ เรียกว่าเป็น ‘แกนกลางแห่งเส้นทางอันเป็นนิรันดร์’ โดยมีรรันร์...ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ดูแล
“ห้องสมุดนั่นใช้เก็บความจำของมนุษย์ แต่ของนายมันจะไปมีได้ยังไง” ศิราขยับเสียงถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ร่างสูงยังคงสาวเท้าเดินต่อเรื่อยๆอย่างไม่ใส่ใจ... “นายคงไม่ได้...” บรัศว์ชะงักคำแล้วยืนค้าง เมื่อเห็นคนตรงหน้ายังเดินต่อไปหยุดชายหนุ่มจึงรีบเร่งฝีเท้าตามไปดักหน้า
“คงไมได้ไปหานทีกานต์ถึงที่นั่นหรอกนะ” เพราะชื่อนั้นทำให้นัยน์ตาสีดำเข้มไหววูบแล้วกลับมาแข็งกร้าวอย่างรวดเร็ว บรัศว์มองสบนัยน์ตายังอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว เกือบจะในเสี้ยววินาทีที่ศิรารับรู้ถึงสายตาในแบบของ ‘นักฆ่า’
“ฉันจะเอาปัญญาที่ไหนไปพบท่านหญิงนทีกานต์ ถ้าปากมันว่างมากนักก็รีบๆหาอะไรยัดให้เข้าหัวกลวงๆของนายดีกว่านะบรัศว์ ชั่วโมงแรกมีสอบ หวังว่าคงยังไม่ลืม” จบคำร่างสูงโปร่งนั้นก็เดินห่างออกไป บรัศว์ยืนค้างด้วยอารมณ์หลายๆอย่างปะปนกัน
ทำไม...เหรือเพราะความทรงจำกลับคืนมาแล้ว ความเวิ้งว้างในดวงตาคู่นั้นไม่ได้ลดลง หากแต่เพิ่มมากขึ้นเมื่อได้รับรู้ถึงความเป็นไปที่แท้จริงของตัวเอง...ชีวิตที่อยู่มาโดยไม่มีความทรงจำ แล้ววันหนึ่งก็ต้องรับรู้เรื่องแปลกประหลาดทั้งหมด ต้องแบกรับความรู้สึกเดิมๆเอาไว้...มันหนักหนาสาหัสแค่ไหนกัน
“อย่ามาทำเป็นหล่อเป็นเท่ห์ไปหน่อยเลย ทวยเทพแห่งธารา เราก็หวังเหมือนกันว่าเจ้าจะยังไม่ลืม ว่าทำไมไอ้หัวกลวงๆก้นรั่วของเจ้าดันจำเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของตัวเองได้” ศิราหยุดฝีเท้าลงอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มเหยียดรอยยิ้ม เมื่อเจ้าของน้ำเสียงเกือบจะเกรี้ยวกราดนั้นปรากฎตัวขึ้นมาพร้อมกับละอองควันสีแดงเข้ม
“กัลป์!” บรัศว์หลุดเสียงอุทานก่อนจะยกมือปิดริมฝีปากแล้วหันมองผู้คนรอบๆที่ไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นราชาแห่งพระเพลิงที่ลอยอยู่เบื้องหน้าของศิรา...ไมได้คิดไปเอง แต่รู้สึกว่าวันนี้ศิรามันดึงดูดสายตาผู้หญิงได้มากกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะวันนี้ใบหน้าสงบราบเรียบเงียบเฉียบนั้นมีรอยขุ่นเคืองจัดจนดูแปลกตา
เพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าความโกรธมันทำให้ฟีโรโมนแพร่กระจายได้
“ถ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำมันใหญ่หลวงนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเราเคยสร้างไว้ให้แก่โลกโลกันต์ของเจ้า...ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือบุตรแห่งพระเพลิง” ศิราเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ บรัศว์เลื่อนตัวเข้าไปใกล้ช้าๆอย่างระมัดระวังเมื่อจับสัมผัสรังศีอาฆาตแค้นของทั้งคู่ได้
เคยได้ยินผ่านๆหูมาว่า ทั้งสองโลกที่อยู่กันคนละด้าน เคยมีบุญคุณที่ทายาทรุ่นหลังจำเป็นต้องระลึกถึง โดยเฉพาะเมื่อ...องค์รักษ์และธนูศักดิ์สิทธิ์ของโลกธาราถูกมอบหมายให้เป็นอาวุธที่ใช้ปกป้องดูแลเจ้าหญิงแห่งโลกพระเพลิง
“นั่นคือคำพูดที่เจ้าใช้พูดกับผู้มีพระคุณเหรอไง”
“แล้วแน่ใจหรือว่าที่เจ้าพูดมา ก็เป็นคำพูดที่ใช้พูดกับทายาทผู้มีพระคุณ” กัลป์กำมือแน่นจนร่างเล็กสั่นสะท้าน ในดวงตาสีเพลิงเปล่งประกายราวกับมีพายุเพลิงลุกโหมอยู่ภายใน ศิรายังคงนิ่งเฉย หากแต่บรรยากาศรอบกายกลับเย็นยะเยือก
“อดีตมันจะเป็นยังไงเราไม่สนหรอกนะ...แต่เพราะวินาทีนี้เจ้าติดหนี้บุณคุณเรา ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“ฮ...เฮ้...พอเถอะน่า ทั้งสองคนแหล่ะ” บรัศว์พึมพำเสียงแผ่วพยายามจะให้มันฟังดูหนักแน่น แต่สิ่งที่ได้รับตอยกลับมามีเพียงความว่างเปล่า กัลป์เหลือบตามองเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วจึงขยับรอยยิ้มราวกับคิดอะไรขึ้นได้ บรัศว์เบิกนัยน์ตาค้างเมื่อมองความคิดนั้นออก
“เพราะเจ้าเป็นแบบนี้ไงศิรา เจ้าหญิงนทีกานต์จึงเลือกไอ้หมอนี่มากกว่าเจ้า”
“กัลป์” บรัศว์หลุดเสียงอุทานเพื่อสั่งให้ราชาพระเพลิงหยุดคำพูดนั้น กัลป์เพียงแต่ยกมุมปากยิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยของศิราขมวดมุ่นอย่างขุ่นเคือง
“เพราะเจ้ามันเห็นแก่ตัวถือดี และคิดเป็นใหญ่ ถ้าอยู่ในร่างมนุษย์แบบไม่มีความทรงจำเจ้ายังน่ารักกว่าแต่ก่อนเยอะนะศิรา บางทีเจ้าหญิงอาจจะชอบแบบนั้นมากกว่าก็ได้นะ” ศิราเงียบเสียงลงราวกับคำพูดนั้นมันเป็นคมมีดที่กรีดแทงทะลุจิตใจย้ำเข้าที่บาดแผลเดิม...ลึกเข้าไปทุกที
เจ็บปวด...มากขึ้นทุกที
นัยน์ตาสีแดงเข้มคู่นั้นเป็นประกายอย่างเยาะเย้ย...เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด เมื่อมันถูกเอ่ยออกมาจากปากคนอื่นดังเข้าสู่โสตประสาทตัวเอง ก็ยากที่จะลบเลือน...ความผิดใหญ่หลวงที่หลงรักเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ ทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงผู้รับใช้มันยังไม่เจ็บปวดเท่า...เธอกลับเลือกคนที่มอบหัวใจให้คนอื่นไปแล้ว
“ถ้าเจ้าหัดทำตัวดีๆบางทีนะ บางที...เจ้าหญิงนทีกานต์...”
“พอได้แล้ว!” ศิราตะโกนเสียงดัง ก่อนจะคว้ามือรวบลำคอเล็กๆ กัลป์หัวเราะเริงร่าแล้วแตกสลายกลายเป็นกลุ่มควันกระจายอยู่รอบชายหนุ่ม แล้ววมตัวกลับเป็นร่างเดิมอีกครั้ง ศิราหันกลับไปมองแล้วขยับเสียงถอนหายใจอย่างพยายามข่มอารมณ์ “อยากให้ทำอะไร...ว่ามา แล้วหยุดพูดเรื่องนั้นซะ”
กัลป์เหยียดริมฝีปากอย่างพึงพอใจ ทวยเทพแห่งธารา...ผู้มีความเข้มแข็งและอ่อนโยนราวละอองน้ำ หากแต่เชี่ยวกราดน่าหวั่นเกรง มีจุดอ่อนอยู่ใกล้ตัวที่สุด...คือจิตใจที่เปราะบาง จี้ให้โดนจุดทุกอย่างก็จบ เพราะรู้จักมานานไม่รู้ก็ต้องรู้...แม้มันจะเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ของวงศ์ตระกูล แต่ก็คุ้มค่าเมื่อได้ทวยเทพแห่งธารามาอยู่ภายใต้อำนาจ
“เอ...ทำอะไรดีน้า...ยังคิดไม่ออกซะด้วยซิ ฉันไปหาที่นอนสักพักดีกว่า ฝากดูแลลิ่วล้อของฉันด้วยนะ” กัลป์อ้าปากหาวแล้บิดขี้เกียจเบาๆ ก่อนจะสลายกลายเป็นกลุ่มควัน
“ลิ่วล้อ...ฉันเหรอวะ” บรัศว์จิ้มนิ้วลงกับจมูกตัวเองพลางหันไปทางศิรา ชายหนุ่มส่งเสียงสบถแผ่วๆ แล้วหันเดินจากไป “เฮ้ย ! เดี๋ยว...ฉันเป็นลิ่วล้อของมันตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ” บรัศว์มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปอย่างรวดเร็วแล้วรีบสาเท้าเดินตาม
ต่อจากนี้...จะต้องเจ็บปวดอีกมากเท่าไหร่ เมื่อความทรงจำถูกปลดปล่อย แต่เวลากำลังจะหมดลง วังวนพันธะที่หมุนวนจนสุดทางและจะดับสูญ เหลือเพียงเศษเสี้ยวเร่ร่อนที่หนักอึ้งด้วยความอับจนหนทาง ความรู้สึกผิดที่ตราตรึงเขาไว้ในโลกที่เวลาเป็นนิรันดร์
เพียงแค่มองย้อนกลับไป...ก็รู้สึกเจ็บจนร่างกายชินชา
“เดี๋ยว...ศีล” ศิราไม่ตอบรับคำแต่ทำแค่เพียงชะลอฝีเท้าลง บรัศว์วิ่งไปยืนข้างแล้วกระแทกกระเป๋าใส่ไหล่เพื่อนเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ “ที่ว่าจำได้แล้วน่ะ จำได้แค่ไหนเหรอ...” ศิราเหยียดริมฝีปากยิ้มจนนัยน์ตาสีเข้มแทบจะปิด บรัศว์ยิ้มตามพอเห็นว่ามันอารมณ์ดี
“จำได้ถึงขนาดว่านายไปยืนฉี่รดบ่อน้ำพุสุดที่รักของท่านพ่อแล้วโดนจับห้อยหัวลงมาจากหน้าผาเลยล่ะ ยังจำได้อีกนะว่า ท่านพ่อเอาหัวนายจุ่มลงน้ำทุกๆสามสิบวินาทีน่ะ” ศิรายิ้มส่งอีกรอบแล้วสาวเท้าเดินห่างออกไป บรัศว์ยืนค้างทำคอตกเมื่อนึกถึงความทรงจำที่แสนเลวร้าย
...ไอ้เรื่องพวกนั้นไม่ต้องจำก็ได้
ความคิดเห็น