คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [ [ . . . : Chain Soul : . . . ] ] Chapter 6 - บทโทษทัณฑ์แห่งโชคชะตา
Chapter III - - บทโทษทัณฑ์แห่งโชคชะตา
“คุณพี่สาว!!”
“อ๊ะ!” ยูคิเมะอุทานเสียงแผ่ว เผลอปล่อยแอปเปิ้ลลูกสีแดงในมือหล่นลงพื้น นัยน์ตาสีเข้มหันหลบดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่แต่งแต้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ยื่นเข้ามาใกล้เธอจนปลายจมูกแทบจะชนกัน เด็กสาวเลื่อนเก้าอี้ออกห่าง ขณะที่เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือของเธอ
“ฟุยุ...จิจิบอกว่าห้ามนั่งบนโต๊ะ มันไม่เรียบร้อย” ฟุยุกะตีสีหน้าเบื่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงมานั่งบนเตียงกว้างที่วางอยู่ข้างๆ เด็กสาวนชุดนอนตัวยาวลายการ์ตูนแมวสีฟ้าทิ้งตัวลงนอนเงียบอยู่ครู่ แล้วพลิกตัวไปมา ยูคิมะเลื่อนเก้าอี้กลับไปนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วหันกลับไปมองใบหน้าของน้องสาวที่นอนมองเธออยู่ ยูคิมะรีบเบือนดวงหน้ากลับ เพราะนัยน์ตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น คล้ายกับจะ ‘รู้’ อะไรบางอย่าง
“จิจิอีกแล้ว ท่านพ่อบอกว่าอยู่เมืองไทยต้องพูดภาษาไทย เพราะเป็นภาษาประจำชาติ” ฟุยุกะย้อนคำด้วยสำเนียงแปลกๆ นัยน์ตายังคงจับจ้องพี่สาวที่นั่งก้มหน้าด้วยประกายร่าเริงจัด เด็กสาวพลิกตัวกลับมานอนคว่ำแล้วยิ้มระรื่นจนเห็นลักยิ้มที่สองข้างแก้ม “วันนี้มีอะไรดีๆเหรอยูกิ ดูสดชื่นจังนะ”
ยูคิเมะเลิกคิ้วขึ้น แล้วเอียงคอมองน้องสาว “สดชื่น? เปล่าซะหน่อย ก็ปรกติดีนี่...อ๊ะ! ฟุยุทำสีผมอีกแล้ว” ฟุยุกะรับยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเอง เป็นเชิงบอกให้เธอหยุดพูด ยูคิเมะขมวดคิ้วมองผมเปียกชื้นของน้องสาวที่ถูกซอยสั้นระดับบ่าทิ้งหน้าม้าปิดระถึงนัยน์ตาย้อมสีขาวแซมกับสีดำทั่วทั้งหัว
“อย่าพูดไปซิ! เดี๋ยวท่านพ่อได้ยินล่ะซวยแย่ อุตส่าห์แอบไปทำเงียบๆ...ก็ช่วงนี้ปิดเทอมนี่น่า...เดี๋ยวเปิดเทอมก็จะไม่ได้ทำแล้ว” ฟุยุกะตวัดผ้าห่มผืนหน้าขึ้นคลุมผมตัวเองแล้วรวบชายขึ้นปิดถึงลำคอ
“เปิดเทอมนี้ฟุยุจะกลับญี่ปุ่นเหรอ...ทำไมไม่มาเรียนที่นี่ด้วยกันล่ะ” เด็กสาวบนเตียงขยับตัวขึ้นนั่ง แล้วทำแก้มพองอย่างขัดใจ เมื่อยูคิเมะก้มลงหยิบแอปเปิ้ลจากพื้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดหนังสือวรรณคดีภาษาไทยออกมาอ่าน
“อย่าพูดเหมือนมันง่ายซิ...ฟุยุเขียนตัวหนังสือภาษาไทยเก่งเหมือนยูกิซะที่ไหนล่ะ ยูกินั่นแหล่ะ คิดยังไงถึงย้ายมาเรียนที่นี่ ถ้าอยู่ที่ญี่ปุ่นตอนนี้คงอยู่ที่อิสุแล้ว ทนไม่ได้ฟุยุจะให้พี่อากิมารับ ยูกิไปด้วยกันไหม” ฟุยุกะเบือนนัยน์ตามองปฏิทินที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะเขียนหนังสือ
“เวลาปิดเทอมเหมือนกันที่ไหนล่ะ...เดือนสิงหาที่นี่ยังต้องเรียนหนังสืออยู่ พี่อากิระก็เรียนพิเศษมารับไม่ได้หรอก” ฟุยุกะถอนหายใจแล้วทิ้งตัวเอนลงนอนกับที่นอนนุ่มแรงๆ
“โหย! เวลาปิดเทอมฤดูร้อนอันแสนมีค่า ต้องจบลงอย่างน่าเบื่อแบบนี้เหรอเนี่ย!” ยูคิเมะเบือนนัยน์ตามองน้องสาวอย่างไม่พอใจ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
“พูดแบบนั้นไม่ดีเลยนะ...เรามาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณย่าไม่ใช่เหรอ ถ้าท่านได้ยินจะเสียใจนะ” ฟุยุกะทำแก้มพองแล้วมุดตัวลงในผ้าห่มก่อนจะยกหมอนขึ้นปิดหู
“คุณย่าเองยังบอกเลยว่า ถ้าฟุยุอยู่ที่นี่นานๆแล้วเบื่อก็กลับไปญี่ปุ่นบ้าง เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วง”
“ก็ขี้โรคนี่นา” ยูคิเมะวางมือขยี้หมอนกดศีรษะน้องสาว ฟุยุกะดิ้นไปมาแล้วดันหมอนออกพลางหอบหายใจ แล้วทำหน้ามุ่ย ยูคิมะขยับเสียงหัวเราะเบาๆ มือบางรวบเส้นผมสีดำขลับยาวแล้วขมวดมัดรวบไว้ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ พลางเปิดหนังสือเล่มเดิม ฟุยุกะถลาตัวตามไป ก่อนจะก้มลงมอง แล้วสะดุดตากับแอปเปิ้ลที่วางอยู่ตรงหน้า
“เอ๋...จริงซิ มัวแต่พูดเรื่องอื่นเลยลืมไปเลย ว่าวันนี้ยูกิต้องไปเจออะไรดีๆมาแน่เลย อ๊ะ! หรือจะเป็นหนุ่มหล่อที่โรงเรียน หนุ่มไทยน่ารักใช่ม้า...พี่อากิยังชอบสาวไทยนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันเลย” ฟุยุกะ เลิกคิ้วขึ้นแล้วอมยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็บอกว่าไม่มีไง” ยูคิเมะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะอุทานเสียงแผ่ว เมื่อมือของน้องสาวพุ่งเฉียดใบหน้าคว้าหยิบแอปเปิ้ลไปถือไว้ “เอาคืนมานะฟุยุ!” ร่างบางถลาออกห่างอย่างคล่องแคล่ว พลางยกแอปเปิ้ลลูกกลมในมือขึ้นมองดูแล้วขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ยูคิเมะผุดลุกขึ้น พลางสาวเท้าเข้าไปหา แต่น้องสาวก็วิ่งพรวดพราดขึ้นไปบนเตียง แล้วหัวเราะเริงร่าเป็นเชิงหยอกล้อ
“ไอ้เจ้านี่มันมีความสำคัญอะไรกับยูกิขนาดนั้นน้า...ฟุยุเห็นยูกินั่งเหม่อมองไปยิ้มไปอยู่เรื่อยเลยไม่ใช่เหรอ อ๊ะ! อย่ามาเถียงว่าไม่จริง ฟุยุแอบดูอยู่” เด็กสาวรีบเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันเมื่อเห็นผู้เป็นพี่อ้าปากจะเถียง ยูคิเมะเงียบลงขณะที่ฟุยุกะเดาะแอปเปิ้ลในมือเล่น
“นี่...บอกมาเถอะน่า...ยูกิปิดบังอะไรอยู่” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ ยูคิเมะขบริมฝีปากพลางครุ่นคิด รู้ดีว่าอะไรที่น้องสาวเธออยากรู้แล้ว ถ้าไม่รู้ให้ได้ตามที่เจ้าต้องการก็จะไม่ยอมเลิกราเป็นอันขาด ความเอาแต่ใจที่เธอคุ้นเคยดีตั้งแต่ยังเด็ก...สุดท้ายเธอจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้
“ก็ได้...บอกก็ได้ แต่เอาคืนมาก่อน แล้วนั่งลงด้วย ไม่ชอบให้เหยียบที่นอน” ยูคิเมะทำเสียงดุ เรียกเสียงหัวเราะเริงร่ของน้องสาว ฟุยุกะส่งแอปเปิ้ลยัดใส่มือพี่สาวแล้วนั่งขัดสมาธิพลางรวบผ้าห่มขึ้นคลุมแล้วเอียงคอมองราวกับจะย้ำคำถาม
“เขาชื่อบรัศว์...” พูดได้แค่นั้นก็เป็นอันต้องหยุดกระทันหัน เพราะฟุยุกะทำตาลุกวาวราวกับกำลังฟังเรื่องที่แปลกปะหลดที่สุดในโลก เด็กสาวพึมพำชื่อนั้นแผ่วเบาอยู่สองสาครั้ง แล้วจึงพุ่งเข้าดึงพี่สาวมากอดไว้แน่น
“ผู้ชายเหรอยูกิ! ยูกิแอบชอบเขาใช่ไหมล่ะ!! ดีใจจังเลย...ก็ยูกิเรียนโรงเรียนหญิงล้วนตั้งนานแล้วยังไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนอีก นึกว่ายูกิจะไม่ชอบผู้ชายซะแล้ว...ดีใจๆๆ” เสียงใสตะโกนอย่างเริงร่าพลางถูใบหน้าไปมากับต้นแขนของพี่สาว
“นี่! เงียบน่า...” ยูคิเมะผละกร่างเล็กๆออก แล้วรีบตวัดมือปิดริมฝีปากที่ขยับพูดไม่หยุด “คุณย่าหลับอยู่ห้องข้างๆ เสียงดังเดี๋ยวท่านก็นอนไม่หลับหรอก...หยุดหัวเราะนะ! ไม่งั้นเราจะไม่พูดต่อแล้ว!” ฟุยุกะเงียบลงทันควันมีเพียงนัยน์ตาคู่เจ้าเล่ห์ที่ยังเป็นประกาย ยูคิเมะถอนหายใจแล้วค่อยๆลดมือลง
“เล่าต่อสิ...เขาเป็นคนยังไงเหรอ น่ารักไหม...นิสัยดีหรือเปล่า ว่าแต่ว่า...ยูกิเจอเขาที่ไหนเหรอ” ยูคิเมะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ขณะที่ฟุยุกะรีบถลาเข้ามาใกล้แล้วเลิกคิ้วขึ้น...ยูคิเมะหันสบตาน้องสาวแล้วรีบเบือนหน้าหนี บางครั้งเธอก็ปฏิเสธไมได้ว่าออกจะ ‘เกลียด’ สายตาที่มองราวกับ ‘รู้’ ทะลุลงไปถึงจิตใจเธอ
“ว่าไงล่ะยูกิ...เล่าต่อซิ...เล่าซิๆ” มือบางคว้าท่อนแขนขาวในชุดนอนสีขาวตัวใหญ่แล้วเขย่าแรงๆ ยูคิเมะถอนหายใจ...ไม่ใช่เพียงเพราะความเอาแต่ใจของน้องสาว แต่เธอเองก็ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไร บรัศว์เป็นคนอย่างไรเธอยังไม่รู้เลยแม้แต่น้อย...ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย
จะให้พูดออกไปได้ยังไง...ว่าผู้ชายที่เธอมองสบตาด้วยในวินาทีแรก ก็รู้สึกราวกับว่ารู้จักกันมาชั่วชีวิต...พูดแบบนั้นออกไป ฟุยุกะคงไม่เชื่อ แต่ความรู้สึกมันเป็นแบบนั้นจริงๆ และเธอก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเพาะอะไร รู้เพียงว่าเขาช่างคล้าย...กับใครสักคนที่จมอยู่ในห้วงความฝันของเธอ ใครสักคนที่เคยยื่นมือช่วยเหลือเธอ และโอบกอดเธออย่างอบอุ่น...หากแต่ว่า ‘ใครสักคน’ นั้น เป็นเพียงความฝัน
เจ้าชาย...แห่งโลกนิทรา
วินาทีแรกที่พบเขา...มันรู้สึกเหมือน ความฝันถูกปลุกขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริง เจ้าชายคนนั้น...ลุกขึ้นมาอยู่เคียงข้างเธอ และจะอยู่ด้วยกัน...ตลอดไป
“ยูกิ!! เหม่ออีกแล้วนะ! คนไม่รักษาสัญญา!! ไหนว่าจะบอกไง” ร่างบางสะดุ้งเฮือก เมื่ออยู่ๆน้องสาวตัวดีก็แผดเสียงลั่น ยูคิเมะรีบแตะมือลงกับริมฝีปากแล้วส่งเสียงบอกให้เธอเงียบ ฟุยุกะทิ้งตัวลงนั่งกับที่นอนนุ่ม แก้มขาวๆพองออก คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างขัดใจ
“ก็...เราก็ไม่รู้...เพิ่งเคยเจอกันวันนี้วันแรก” ยูคิเมะพึมพำพลางก้มหน้าลงจนฟุยุกะต้องเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เพื่อจะฟังให้ถนัด “แล้วอีกอย่างนะฟุยุ คุณบรัศว์ก็ไม่ได้ชอบเราด้วย หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” เธอตัดบทแล้วดึงไหมที่รัดขมวดผมออก ทิ้งเรือนผมสีดำขลับยาวจรดหัวเข่า เธอลุกขึ้นจากที่นอนแล้วกดปิดโคมไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะล้มตัวลงนอน
“แต่ยูกิชอบเขาใช่ไหมล่ะ” ฟุยุกะซุกตัวลงผ้าห่มข้างๆพี่สาวแล้วขยับรอยยิ้มเริงร่าอยู่ในความมืด มือเล็กๆไล่เส้นผมนุ่มของพี่สาวเบาๆ ตอนยังเป็นเด็กเธอจำได้ว่าทั้งเธอและพี่สาวร่างกายอ่อนแอ...ที่ยูคิเมะไว้ผมยาวเพราะมีความเชื่อว่าเป็นการแก้เคล็ด
เธอปฏิเสธที่จะทำตาม ในขณะที่ยูคิเมะขัดคำสั่งไม่เป็น และดูเหมือนมันจะได้ผล เพราะพี่สาวแข็งแรงขึ้นมาก แต่เธอยังคงอ่อนแอเหมือนเดิม...แต่ความเข้มแข็งสำหรับเธอมันไม่ได้จำเป็นอะไร ในเมื่อรอบข้างนั้นมีคนที่คอยปกป้องเธออยู่ตลอดเวลา
ทั้งพี่ชาย...พี่สาว...และยังใครบางคนที่เธอรู้สึกได้
ความผูกพันอันเลื่อนลอย เบาบางราวอากาศธาตแต่ก็หนักแน่นพอที่จะทำให้เธอรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่จริง
“ใช่รึเปล่า...ยูกิ” ฟุยุกะเอ่ยซ้ำอีกครั้งเมื่อพี่สาวยังเงียบ
“ก็...น่าจะใช่แบบนั้นนะ” ตอบออกไป ยูคิเมะก็ได้แต่เบือนหน้าหันหนีไปทางอื่นแม้ว่ารอบข้างจะมืดจนมองไม่เห็นหน้ากัน แต่เธอก็กลัวว่าความร้อนที่ไหววูบอยู่มันจะส่งผ่านไปถึงคนข้างๆ เพียงแค่นึกถึง...ความรู้สึกโหวงๆแปลกๆมันก็เกะกุมจิตใจ
“บิงโก!” ฟุยุกะตะโกนอย่างเริงร่า แล้วพลิกตัวตามพี่สาว มือเล็กๆเขย่าไหล่บางเบาๆ “สู้ๆนะยูกิ เดี๋ยวฟุยุจะช่วยยูกิเอง แต่...ต้องให้ฟุยุได้พบกับเขาซะก่อนนะ...เอ่...ชื่ออะไรนะ” ฟุยุกะลดเสียงลงอย่างครุ่นคิด คราวจะหันไปถาม พอเห็นยูคิเมะที่นอนหันหลังให้ เธอก็เงียบลง
เป็นครั้งแรก...ที่รู้สึกได้ว่ายูคิเมะรักใครเข้าจริงๆ เธอไม่รู้สึกแปลกใจแต่กลับอยากรู้
ว่าโชคชะตาที่พัดพาผู้ชายคนนั้นเข้ามาจะคิดเล่นตลกอะไร
บางที...การพบกันของยูคิเมะและคนๆนั้นอาจจะไม่ใช่เพียงพรหมลิขิต
แต่เป็น...บทโทษทัณฑ์แห่งโชคชะตา
ภายใต้ม่านหมอกที่เวียนวนปิดบังหนทางเบื้องหน้า ร่างบางเหลียวมองรอบตัวอย่างตื่นกลัว นัยน์ตาสีดำขลับหันไปด้านหลังที่เธอคิดว่าได้ยนเสียงฝีเท้าของใครบางคน หากแต่เมื่อหันกลับไปแล้ว เสียงนั้นก็กลับมาดังอยู่เบื้องหน้า จนสุดท้ายก็หาต้นตอของเสียงไม่พบ
เธอหยุดเดิน...แล้วเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า มือของใครสักคนยื่นส่งมาให้...เพียงแต่เขาอยู่ไกลเกินจะเอื้อมถึง ทั้งใบหน้ายังโดนบดบังด้วยม่านหมอก เห็นเพียงรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า...รอยยิ้มที่อ่อนโยนราวกับจะตราตรึงอยู่ในจิตใจเธอ
“หยุดก่อนได้ไหมคะ” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือ...พยายามไขว่คว้ามือนั้นไว้ แต่กลับโดนหมอกควันบดบัง เมื่อลืมตาอีกที...ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหลือเพียงความว่างเปล่า...ไม่มีมือคู่นั้น และรอยยิ้มอบอุ่นอีกแล้ว ทิ้งไว้เพียงควมรู้สึกอบอุ่นที่สัมผัมได้
เพียงสัมผัส...แต่ไม่อาจไขว่คว้า
ปัง! ปัง! ปัง!
“โกเม้ง...อาโกคร้าบบบ!!” มือกร้านทุบลงกับบานประตูเก่าที่ถูกปิดสนิทพลางตะโกนเรียก เสียงตอบรับสำเนียงแปลกดังขึ้น หากแต่ผู้มาเยือนก็ยังคงรัวประตูต่อ “โก!! เร็วเด๊! ตาเหม่งคร้าบบ!”
“เออๆๆ...เดี๋ยวซี่ๆ...” เสียงถอดสลักประตูดังขึ้นก่อนจะเปิดออก ให้เห็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วน เส้นผมน้อยๆเบาบางอยู่รอบๆ ทิ้งรอยเว้าโหว่ตรงกลางกระหม่อมให้คนมองเรียก ‘ตาเหม่ง’ แทนชื่อโกเม้ง ดวงตาคู่เล็กยิบหยีแบบชาวจีนเพ่งมองชายหนุ่มตรงหน้า
“อาไรวะห๊ะ! ไอ้นี่ไม่หลับไม่นอง...มาเคาะโป๊กๆมีอะไรวะ” บรัศว์ล้วงมือขยุกขยิกลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเศษกระดาษยับยู่ยี่ขึ้นมาส่งให้
“พ่อขุนเอาลิเวอร์พูลสองหนึ่ง” บรัศว์เอ่ยอย่างเซ็งจัดพลางอ้าปากหาวแล้วเสยเส้นผมจนยุ่งเหยิง “เอ้า...มองไรอ่ะโก เร็วๆดิ ง่วง” บรัสว์เร่ง เมื่อเห็นคนตรงหน้ายังยืนงง
“ลิเวอร์พูลบ้างพ่อขุนวนันดร์ซิวะ! ไอ้ตี๋เอ๊ย นี่มันจะตีห้าเลี้ยว ไม่รับเว้ย ไปๆ...กลับบ้างไปนองป่ะ”
“ห๊า! ตีห้าอะไรโก...มั่วแล้ว อัลไซเมอร์กำเริบเหรอไง เพิ่งจะ...” บรัศว์เหลียวมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างป้ายบอกชื่อร้านขายก๋วยเตี๋ยวโกเม้งแล้วอ้าปากค้าง “เฮ้ย! ตีห้าแล้วเรอะ!”
“ก็ใช่อ่ะดิ...ลื้อละเมอหรือยังไม่ตื่งห๊ะ ไอ้ตี๋”
“ฉิบหายและโก...พ่อด่าแน่เลย ไปแล้วนะ” บรัศว์ยกมือไหว้ลาโกเม้งเร็วๆ ทีหนึ่งแล้วรีบดึงกระเป๋าสะพายขึ้นบนไหล่ ก้าวห่างออกไปได้ครึ่งเดียว บรัศว์ก็ชักเท้าถอยหลังกลับมาแล้วหมุนตัวกลับ “เออโก...ไหนๆก็มาและ ขอเตี๋ยวเป็ดชามดิ หิวสุดๆเลย นะๆๆ นะคร้าบบบ”
บรัศว์ทำหน้าออดอ้อนแล้วโน้มตัวลงถูหน้ากับต้นแขนอวบอ้วน พลางใช้สองมือนวดประจบ จนโกเม้งต้องสะบัดแขนออกอย่างรำคาญจัด
“ไอ้นี่! อั๊วยังไม่ทังเปิกร้านเลยนะว้อย”
“โหย...โก ถ้าปล่อยบรัศว์เดินๆกลับบ้านแล้วเป็นลมตายตาโกจะรับผิดชอบไหม! ถ้าบรัศว์ตายแล้วใครจะส่งโพยหวยให้พ่อ โกคิดบ้างป่ะ! ถ้าไม่มีบรัศว์แล้วใครมันจะซื้อก๋วยเตี๋ยวให้พ่อ ใครมันจะมานั่งล้างจานมือเปื่อยให้โกห๊า!! คิดมั่งเด๊! ตาเหม่งเอ๊ยยย มีสมองไว้ให้กั้นหู ให้เหม่งมันปกคลุมอย่างเดียวเหรอไง!!”
“หือ...เดี๋ยวอั๊วถีบไส้ปลิ้น” จบคำท่อนขาอ้วนๆของโกเม้งก็ถีบผลัวะลงกับร่างสูงเต็มแรงจะกระเด็นถลาหน้าทิ่มพื้น บรัศว์โอดครวญเบาๆ
สมแล้วที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อขุนวนันดร์ ความสามารถในการส่งลูกถีบเร็วเหนือเสียงเหมือนกันไม่มีผิด เรียนจากสำนักเดียวกันเหรอไงฟ๊ะ !
“แค่กๆ...โอย...ไส้ไม่ทันปลิ้นแล้วโก...แต่กระเพาะจะกระเด็นออกปากก่อน” บรัศว์เอียงตัวลงนอนดิ้นพลาดๆกับพื้นแล้วโอดครวญราวกับโดนรถบรรทุกสิบล้อเสยเข้าเต็มที่ โกเม้งสาวเท้าเข้าไปใกล้ทายาทพ่อขุนวนันดร์ที่นอนกลิ้งเกลือกเหมือนโดนข้าวสารเสกอยู่ตรงหน้าแล้วพูดเสียงดัง
“อาหมิงมังหั่งผักเสร็จรึยังวะ...จะทำก๋วยเตี๋ยวให้หมากิง” บรัศว์ลุกพรวดขึ้นจากพื้นแล้วปัดฝุ่นบนเสื้ออกพลางขยับรอยยิมเริงร่า แล้วเดินกอดคอร่างอ้วนท้วนที่เตี้ยกว่าเข้าไปในร้าน แล้วจับจองพื้นที่นั่งอย่างถือวิสาสะเต็มที่
“หมี่ไม่งอกนะโก เอากลับบ้านที่นึงด้วย”
“เออเว้ย! จ่ายก็ไม่จาย ยังจะมากเรื่อง” โกเม้งบ่นอุบอิบพลางเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน ทิ้งให้ลูกค้าคนเดียวนั่งคอยอยู่ด้านนอก บรัศว์เหลียวมองโต๊ะเก้าอี้อีกไม่กี่ชุดในร้านเล็กๆที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้ แล้วมองเลยเข้าไปถึงหลังร้านที่เปิดไฟสว่าง ได้ยินเสียงโกเม้งคุยกับลูกสาวแว่วมา แล้วจึงหันหน้ากลับมาที่โต๊ะ
“กัลป์...เฮ้ย ! เป็นไรรึเปล่าวะ!” บรัศว์ล้วงหยิบกระปุกใสออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดฝาออก อากาศธาตภายในรวมตัวกันเป็นความร้อนจางๆ แล้วกลายสภาพเป็นภูตไฟตัวเล็กเท่าฝ่ามือกำลังนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนปากกระปุก ที่แขนขวามีรอยกรงเล็บขนาดใหญ่เป็นแผลลึกปากแผลเป็นสีคล้ำเข้มจากพิษที่มากับบาดแผล เลือดสีเข้มไหลลงถึงปลายนิ้ว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ใส่ใจมัน
“ฉันจะเวียนหัวตายเพราะแกเขย่าไอ้กระป๋องนั่นนะ แล้วแกมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวสบายใจเฉิบ ไอ้บ้าเอ๊ย!!” เสียงเล็กๆโวยลั่น ก่อนจะถลาตัวขึ้นแล้วจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง บรัศว์ใช้ปลายนิ้วดันหัวร่างเล็กๆให้กลับไปนั่งที่เดิม กัลป์ดิ้นไปมา แต่ก็ยอมกลับไปที่เดิมแต่โดยดี
“เอาผ้าพันแผลออกทำไม” กัลป์สะบัดหน้าหนีแล้วขยับแขนขึ้นกอดอก “แกจะบ้าเหรอไง ไอ้ปีศาจตัวนั้นมันมีพิษนะ” คำพูดที่ทำเอาบุตรพระเพลิงสติขาดผึง มือเล็กๆตบลงบนขอบกระปุกแล้วสะบัดอย่างเจ็บปวด ร่างเล็กๆลุกพรวดขึ้นด้วยความโกรธเคือง
“แกก็รู้นี่! แล้วทำไมตอนนั้นแกเอาตัวฉันเข้าไปบังวะ! ไอ้เพื่อนสารเลว ทำไมฉันต้องมาเดือดร้อนแกด้วย ทำไมฉันต้องซวยเพราะแกประจำเลยวะ!” กัลป์รัวคำพูด แล้วหยุดหอบหายใจหนักๆ มือข้างซ้ายกดลงบนแผลที่ต้นแขนอีกข้าง แล้วทิ้งตัวลงยืนบนโต๊ะไม้
“ใครเอาตัวแกบัง แกถลามาบังฉันเองไม่ใช่เหรอไง” บรัศว์เถียงขึ้นเสียง เมื่อเห็นกัลป์ทำตาลุกวาวชายหนุ่มก็สะกดเสียงตัวเองลงเพราะรู้สาเหตุที่บุตรพระเพลิงโกรธเคือง
“ห่วยแตกจริงๆนะบรัศว์ พอไม่มีไอ้ศิราแล้ว แกก็เหมือนลูกหมาที่ขาด้วน” ถ้อยคำนั้นกระแทกเข้ากล้างจิตใจคนฟังอย่างรุนแรงจนรู้สึกชา...เพราะมันก็เป็นคำพูดที่ติดอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา ‘ชยาชลทร’ สมบัติแห่งห้วงธารา ธนูธาตน้ำที่มีเขาเป็นผู้ได้รับสืบทอด แต่มีเพียงทวยเทพแห่งธาราผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถมองพลังอำนาจที่จะใช้มันให้กับใครได้
เมื่อไม่มีศิราธนูชยาชลทรก็ไม่มีความหมาย
“ทำอะไรไม่ได้ซะอย่าง แค่กินก๋วยเตี๋ยวก็ลำบากแล้ว” กัลป์ยังพูดต่อไม่หยุด ไม่สนแม้แต่คนข้างๆจะเงียบไปนานแล้ว แม้จะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากทุกถ้อยคำที่เขาตอกย้ำ แต่บุตรแห่งพระเพลิงก้ยังเลือกที่จะตอกย้ำมันต่อไป...ยิ่งเจ็บเข้าไปฝังรากลึกสุดๆก็ยิ่งดี
นัยน์ตาสีแดงเพลิงหันมองใบหน้าคมเข้มที่ก้มลงต่ำ นัยน์ตาสีดำขลับสงบนิ่ง ดื่มด่ำความเจ็บปวดจากถ้อยคำ แทบจะนึกไม่ออกเลยว่า...ครั้งหนึ่งในต่างมิติ ไอ้คนๆนี้เคยเป็นนักล่าวิญญาณเลือดเย็นและหยิ่งผยองทระนงตัวเป็นที่สุด
บรัศว์ถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อกัลป์เงียบเสียงลง...นัยน์ตาสีดำขลับหันมองร่างเล็กๆและแผลใหม่สดที่ยังเรียกเลือดอยู่บนแขนของบุตรพระเพลิง...แผลที่เกิดจากความโกรธแค้นของเศษเสี้ยววิญาญเร่ร่อน...โกรธแค้นคนที่เคยเข่นฆ่าพวกขาอย่างโหดเหี้ยม คนๆนั้น...คือเขา
แม้จะต่างมิติ...แต่ความผิดนั้นก็ยังคงติดตัวอยู่ และอาจจะไม่มีวันชดใช้ได้หมด
โทษทัณฑ์แห่งโชคชะตา และจิตวิญญาณที่หลงอยู่ในโซ่ตรวนผูกมัด
“บรัศว์...” ชายหนุ่มเบือนหน้าไปตามเสียงเรียกหลังจากที่ความเงียบโรยตัวอยูนาน กลิ่นหอมคุ้นลอยแตะจมูก จนทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าหิวใจจะขาดแค่ไหน...บรัศว์หันสบนัยน์ตาเลื่อนลอยของกัลป์แล้วรู้สึกใจหายวูบ ร่างจางๆนั้นคล้ายจะหมดเรี่ยวแรง ดวงหน้าซีดเซียวลงจนเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรรึเปล่า...กัลป์” บรัศว์ถารัวเร็วอย่างกังวล ยิ่งเห็นมันส่ายหน้าไปมาบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรก็ยิ่งกังวลหนัก...ปากบอกว่าไม่เป็นไรแล้วไอ้มือสั่นๆ กับสายตาเลื่อนลอยแปลกๆนั่นมันอะไร
“ส....สวย...ใครอ่ะ”
??
บรัศว์เลิกคิ้วขึ้น กำลังจะถามย้ำอีกรอบ เพราะกลัวไอ้ภูตไฟจะดับมอดไปซะก่อน แต่เมื่ออาหารในชามและถุงที่สั่งไว้มาวางลงตรงหน้าแล้วได้เงยหน้าขึ้นมองคนเสริฟ์ บรัศว์ก็เลิกคิดที่จะถามอาการมันต่อ เพราะไอ้ที่มันเป็นอยู่เรียกว่า ‘อาการหัวงูกำเริบ’
“ทำไมวันนี้พี่มาแต่เช้าเลยล่ะ” เด็กสาวร่างเล็ก ผิวขาวใบหน้าสะสวยขยับรอยยิ้มให้เขาจนนัยน์ตาเล็กๆปิดลง เซี่ยหมิงเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างๆออกแล้วนั่งลง แต่ก็มองไม่เห็นภูตไฟที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ...ตำแหน่งมันช่าง...เหมาะเจาะ เห็นกัลป์ถลึงตามองไล่จากใบหน้าสวยๆลงมาอยู่ที่ใต้ลำคอของเด็กสาวแล้วมันให้อยากเรียกรถดับเพลิงมาฉีดน้ำดับความหื่นของมัน
“พี่บรัศว์ไม่สบายรึเปล่าจ๊ะ...ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เด็กสาวขยับตัวขึ้น แล้วเอื้อมมือเย็นๆมาแตะหน้าผากเขาโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตำแหน่งที่ไอ้ภูตหัวงูเกงกองเล็งอยู่นั้นโน้มลงตรงหน้ามันพอดี
“อุ่ก!” กัลป์อุทานลงลำคอแล้วยกสองมือขึ้นปิดจมูกราวกับกลัวว่างูเกงกองบนหัวมันจะไหลลงมาแล้วพุ่งออกจมูกพร้อมกับเลือดหื่น บรัศว์รีบรั้งมือเธอแล้วดันร่างเล็กให้กลับไปนั่งที่เดิม
“ป...เปล่า...ก็สบายดี ทำไมวันนี้เราตื่นเช้าจัง” บรัศว์เปิดกล่องอะลูมิเนียมแล้วหยิบตะเกียบไม้ขึ้นกระแทกปลายลงกับโต๊ะเพื่อจัดให้มันเท่ากัน แล้วลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
“ก็ต้องไปเรียนนี่” คำพูดที่ทำเอาเส้นหมี่แทบพุ่งพรวดออกจากปาก โรงเรียน...โรงเรียน! ทำไมลืมไปได้!! เซี่ยหมิงสะดุ้งเมื่ออยู่ๆบรัศว์ก็ยกชามก๋วยเตี๋ยวซดรวดเดียวลงท้องหมดทั้งชาม เธอจ้องมองบรัศว์วางชามลงกับโต๊ะอย่างอึ้งๆ...แม้จะพอรู้อยู่บ้างว่าไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะสามารถถึงขนาดนี้
“พี่ไปก่อนนะ...เออ...บอกป๊าด้วยว่า วันหลังจะมากินฟรีอีก” บรัศว์ยกหลังมือเช็ดริมฝีปาก แล้วเอื้อมคว้าถุงก๋วยเตี๋ยว แล้ววิ่งออกนอกร้านไป กัลป์ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ แล้วขยับตัวตามไปพลางเหลียวมองเด็กสาวที่ยังนั่งอยู่อย่างเสียดาย
“บรัศว์!! ไอ้บรัศว์!! จะรีบไปตามควายที่ไหนฟ๊ะ!” กัลป์โวยเสียงหนัก แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนบ่า
“วันนี้มันมีสอบว้อย! ฉันยังไม่ได้จดโพยเลย แล้วก็ยังไม่ได้ไปส่งหนังสือพิมพ์ด้วย ตายๆๆ สายโคตรๆ” บรัศวิ่งผ่านซอยเล็กๆไม่กี่ซอยก่อนจะถึงบ้านของตัวเอง เขาแขวนถุงพลาสติกไว้บนป้าย ‘สำนักลูกพ่อขุนวนันดร์’ แล้วโบกมือเรียกรถจักรยานยนต์รับจ้าง
กัลป์ถอนหายใจยาว...รับรู้ถึงสายลมแรงๆที่ตีปะทะหน้าใบหน้าเมื่อรถจักรยานยนต์เคลื่อนตัวออก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าชีวิตมนุษยืมันจะอยู่ภายใต้อิธิพลของกาลเวลาขนาดนี้...หรือนี้จะเป็นโทษทัณฑ์แห่งโชคชะตาอีกบทหนึ่ง
เมื่อไหร่จะจบลง...โทษทัณฑ์นั้น เมื่อไหร่จะชดใช้ได้หมด
ความคิดเห็น