ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ [ : . . . : Chain Soul : . . . : ] ]

    ลำดับตอนที่ #4 : [ [ . . . : Chain Soul : . . . ] ] Chapter 4 - คำสาปจากกระแสธาราที่หมุนวน

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 50


    Chapter - - คำสาปจากกระแสธาราที่หมุนวน

     

    ...โชคชะตาไงล่ะ...โซ่ตรวนที่ผูกมัดพันธะแห่งวิญาณเอาไว้

    นั่นคือสรรพเสียงที่แว่วผ่านมากับสายลม...นานมากแล้วที่เจ้าของน้ำเสียงที่ทำให้หัวใจอบอุ่นทุกครั้งยามได้สดับฟัง...จากไปไกลแสนไกล

    เจ้าหญิง...สายลมใดพัดพาท่านจากไป

    ข้าจะนำพาท่านกลับคืน

     

    ศิรา...ทวยเทพแห่งธารา ข้าจะนำพาท่านกลับคืน

    นัยน์ตาสีเข้มเบิกโพลงขึ้นจากความมืดมิด เปิดรับแสงสว่างที่ส้มเข้มจากดวงอาทิตย์กลมโตกำลังจะลาลับขอบฟ้าที่สาดแสงอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มเบือนใบหน้าหลบแสงจ้าที่สาดส่องเข้ามาจนทำให้แสบตา ก่อนจะก้มลงมองข้างตัวเมื่อรู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างขยับไม่ได้ดั่งใจ คิ้วเข้มเหนือนัยน์ตาสีดำลึกล้ำเลิกขึ้นเมื่อเห็นวัตถุโลหะและกลิ่นสนิมที่พันอยู่รอบตัว...มันช่างเหมือน...ภาพในความฝันเมื่อครู่ของเขาไม่มีผิด


                   โซ่ตรวน...พันธะแห่งกระแสเวลาและดวงวิญญาณที่ไม่อาจตัดให้ขาดได้


                    “ฉันพานายมาดูไอ้ตัวประหลาดปากปีจอที่หาดูในงานวัดงานไหนไม่ได้ไง เสียงทรงอำนาจอย่างคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว ศิราเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวร่างระหงที่กำลังขยับปลายเท้าเรียวยาวขึ้นไขว่ห้างแล้ววางข้อศอกลงบนหัวเข่าที่คลุมด้วยชายกระโปรงสีดำยาวระพื้น ดวงหน้าคมสวยจรดปลายคางลงกับหลังมือ นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองร่างของเด็กหนุ่มกึ่งโปร่งใสที่ยืนอยู่ข้างๆ ริมฝีปากบางสีกุหลาบขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำเอาคนมองถึงกับขนลุกอย่างไม่ไว้ใจ


                   “ต...ตัวประหลาดเหรอครับ หญิงสาวพยักหน้ารับคำแล้วเบือนหน้ากลับมาทอดสายตามองดวงอาทิตย์กลมโตเบื้องหน้า ขะที่คนถามได้เพียงยืนค้าง เด็กหนุ่มร่างกึ่งโปร่งใสคล้ายวิญญาณชักฝีเท้าถอยหลัง พลางใช้มือที่กำล้อมรอบโซ่เขรอะสนิมที่ร้อยโยงไว้กับตัวชิงช้าที่หญิงสาวนังอยู่ผลักไกวชิงช้าเบาๆตามคำสั่ง


                    “อีกห้านาที สิบสามวินาที สี่สิบเอ็ดมิลลิวินาที เจ้าตัวประหลาดบ้านั่นก็จะมาแล้วล่ะ เพราะถ้าช้ากว่านั้น ฉันจะไม่ไว้ชีวิตมันแน่ เธอเอ่ยพลางเหยียดนิ้วมือเรียวยาวที่เพิ่งเพนท์ลายผีเสื้อปีกสีดำขลับเคลือบมุกขึ้นมองดูอย่างใจเย็นขัดกับคำพูดจนน่ากลัว


                      “รรันร์... คิ้วเรียวเหนือนัยน์ตาสีฟ้าคู่ลึกลับเลิกขึ้นน้อยๆก่อนจะเบือนหน้าไปตามเสียงเรียก มองดูชายหนุ่มที่กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างโดนมัดไพล่หลังผูกไว้กับเสาโครงเหล็กชิงช้าด้วยโซ่เขรอะสนิม


                   “อ๊ะ! ทวยเทพแห่งธาราตื่นบรรทมซะแล้วซิ

    พูดอะไรของเธอ!” ศิราขึ้นเสียงแล้วขยับตัวไปมาพยายามสลัดโซ่ตรวนที่รัดลึงบนลำตัวออก

    รรันร์ถอนหายใจเสียงแผ่ว ก่อนจะค่อยๆจรดปลายเท้าลงกับพื้นแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ทิ้งชายเสื้อคลุมยาวสีแดงเข้มระพื้นแทบชายกระโปรงทับเสื้อคอสูงสีดำขลิบลวดลายสีทองบนอกเสื้อ เส้นผมสีดำขลับตัดเป็นหน้าม้าระดับคิ้ว ทิ้งแพรผมด้านหลังยาวจรดหัวเข่าพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่านเมื่อเธอขยับเท้าเดินเข้าหาชายหนุ่มด้วยท่วงท่าทรงอำนาจที่ทำเอาร่างกึ่งโปร่งใสของเด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่ไกวชิงช้ารีบผงะตัวหนีเพราะจับสัญญาณอันตรายได้


                      ร่างบอบบางทรุดตัวลงนั่งชันเข่า แขนเรียวยื่นแตะปลายคางคมเข้มแล้วใช้ปลายนิ้วดันให้เงยขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องลึกลงในดวงตาสีดำเข้มของชายหนุ่ม ระลอกคลื่นบางอย่างที่หมุนเวียนอยู่ภายในแตกตัวกระจายออกเป็นวงกลมราวกับผืนน้ำที่สะท้อนเพียงความว่างเปล่า


                      “ศิรา...แม้กระแสธาราในธารสายเดียวกันก็ไม่อาจพัดหวนย้อนกลับมาบรรจบกันได้ นิ้วเรียวยาวไล้ขึ้นจากปลายคางสัมผัสริมฝีปากบางเลยขึ้นไปถึงจมูกโด่งสันแล้วแตะนิ้วทั้งห้าลงบนเปลือกตาที่ปิดลง ศิราเงยใบหน้าขึ้นตามแรงดันจากปลายนิ้วของหญิงสาว


                    “แม้ไม่อาจบรรจบกันได้ แต่ผืนธารานั้นก็ยังอยู่ในสาธารเดียวกัน ชายหนุ่มเปิดเปลือตาขึ้นมองสบนัยน์ตาสีฟ้าล้ำลึกอย่างจริงจัง หญิงสาวถอนหายใจแล้วขยับมือผลักดวงหน้าคมเข้มให้สะบัดหันไปด้านข้าง


                     “ศิรา...นายเข้าใจทุกอย่างแต่ไม่เคยยอมรับ นึกว่ากระแสกาลเวลาจะทำให้นายลืมเลือนเรื่องทั้งหมด นายมันก็แค่พวกหลงงมงายอยู่กับอดีตทั้งๆที่รู้ว่าที่ทำลงไปก็มีแต่เรื่องโง่ๆ ศิราขยับรอยยิ้มรับถ้อยคำเสียดสีของหญิงสาวอย่างคุ้นเคย...เพราะมันก็เป็นคำที่เขาใช้เสียดสีตัวเองอยู่ทุกคราว


                     บางครั้งที่รู้สึกเหมือนกับกาลเวลาเวียนมาบรรจบ...ความรู้สึกเดิมๆมันก็ย้อนกลับมาอีก ความรู้สึกโหยหาถึงใครบางคนที่อยู่ไกลแสนไกล...ใบหน้านั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มแสนหวานและมืออบอุ่นที่เขาไม่อาจลืมเลือน หากแต่เมื่อกาลเวลาที่เวียนมาบรรจบเคลื่อนสวนทางกัน ความรู้สึกนั้นก็หยุดลง

    เป็นแบบนี้มาตลอด...ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจากโลกใบเก่าที่ไร้ซึ่งความทรงจำ

    จะทนอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน...ศิรา มันสนุกนักใช่ไหมที่ได้อยู่กับความทุกข์ทรมานของตัวเองเพื่อตามหาสิ่งที่ดับสูญไปแล้ว มันมีความสุขมากเหรอไงที่ต้องพยายามกับอะไรบางอย่างที่รู้ดีว่ามันไม่มีทางสำเร็จ นายจะทนไปได้นานแค่ไหน รรันร์ผุดลุกขึ้นจากพื้นแล้วสาวเท้าช้าๆเดินกลับไปนั่งที่เดิม


                      “นานแค่ไหนก็ไม่รู้หรอก บางที...อาจจะตลอดชีวิต ฉันยังได้เสียงของเธอ...เสียงของบทเพลงจากกระแสธารา ศิราก้มหน้าลงซึมซับท่วงทำนองที่ดังสะท้อนอยู่ในจิตใจ...อบอุ่นทุกครั้งที่ได้ยิน อบอุ่นที่รู้ว่าความผูกพันของเขากับเจ้าของบทลำนำแห่งสายน้ำนั้นไม่เคยจางหาย


                     “เพ้อมากไปแล้ว...ทวยเทพแห่งธารา รรันร์ลุกขึ้นจากชิงช้าง แล้วเอื้อมมือที่ถูกเสื้อคลุมตัวยาวบดบังยกขึ้นปิดนัยน์ตาสีดำเข้มของชายหนุ่ม เพียงชั่วครู่เขาก็หล่นลงสู่ห้วงนิทรา...จมอยู่กับความฝันที่ไม่มีวันหนีพ้น แม้จะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง


                     เสียงลากเท้าเชื่องช้าดังมาจากด้านหลัง รรันร์ตวัดนัยน์ตาสีฟ้าคู่คมดุหันไปมองแล้วขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน


                      “ไอ้ประหลาด! แกมาช้าไปสามวินาทีสี่สิบหามิลลิวินาที ปล่อยให้เรารอตั้งนานนะ!!” นิ้วเรียวยาวตวัดวาดจิ้มฉึกลงกับหน้าผากของชายหนุ่มที่ความสูงแทบจะเทียบเท่ากัน บรัศว์เหลือบนัยน์ตามองหน้าหญิงสาวแล้วรีบเบือนดวงหน้าหลบ


                      “แกอย่าโดนตัวฉ้านน!! ยัยป้ามหาภัย...แค่สามวิอย่ามาบ่นได้ม่ะ...ฉันก็ติดธุระเป็นเหมือนกันนะ ไม่ได้ว่างมากมาย จะได้หายใจระรานชาวบ้านเขาไปทั่วเหมือนเธอรรันร์พ่นเสียงสบถในลำคอ ก่อนจะเหยียดรอยยิ้มแล้วพรมน้ำเสียงหวานหู


                       “ยุ่งวุ่นวายน่าดูเลยเนอะ...ท่านทายาทายพ่อขุนวนัดร์ ต้องเอาเงินไปขัดดอกเจ้าหนี้ใช้ไหมเนี่ย...วิ่งได้กี่เจ้าแล้วล่ะ ถ้าเงินหมุนไม่ทันมาปรึกษาฉันได้นะ ร่างบางโน้มตัวลงใช้แขนสองข้างเหนี่ยวไหล่ชายหนุ่มแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้ แล้วเหยียดรอยยิ้มเคลือบยาพิษ บรัศว์ยืนนิ่งเพราะนึกคำเถียงไม่ออก ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี พร้อมกับถ้อยคำที่ดังขึ้นในใจอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลานึก


                        ...ต่อให้จนถึงขนาดต้องกินแกลบคลุกเกลือ ฉันไม่มีทางเอาขาตัวเองไปผูกไว้กับกิ่งไม้ใต้หน้าผาหรอก ยืมเงินเธอเหมือนเล่นปืนยากูซ่า...เผลอเมื่อไหร่ก็ถึงตาย ไม่เผลออาจจะแค่พิการทางร่างกายและจิตใจ

    เจอเจ้าหญิงแล้วใช่ไหม?รรันร์ละตัวออกแล้วจับชายกระโปรงยาวเกะกะปลายเท้าขึ้น บรัศว์ส่งเสียงพึมพำในลำคอเป็นเชิงตอบรับ เป็นไงบ้างล่ะ? มือบอบบางไล่เล่นปลายผมตัวเองราวกับไม่ใคร่ใส่ใจในคำตอบ นัยน์ตาสีฟ้าเบือนมองเด็กหนุ่มร่างโปร่งใสที่กำลังเขยิบตัวเข้าใกล้ร่างของศิราที่ถูกมัดอยู่กับเสาแล้วใช้ปลายนิ้วจิ้มๆร่างนั้น ราวกับจะพิสูจน์สัญญาณความมีชีวิต


                     บรัศว์ก้มหน้าลงมองดูพื้นทรายสีเข้มตรงปลายเท้า พร้อมคำถามของเธอที่ยังดังอยู่ในใจ...ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันเป็นความรู้สึกดีใจอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อได้พบเธอ เขามีหน้าที่ปลดปล่อยเธอออกจากพันธะแห่งกาลเวลา แต่บางครั้ง...เขาก็นึกอยากให้กาลเวลามันหมุนเวีนยกลับมาแบบนี้เรื่อยๆ


                    หมุนเวียนกลับมา...เพื่อให้ได้พบเธอ


                    “ว่าไงล่ะ เป็นยังไงบ้าง รรันร์เลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามอีกรอบเมื่อชายหนุ่มยังเงียบ บรัศว์ขยับเสียงถอนหายใจ แล้วกล้ำกลืนความรู้สึกที่แท้จริงลงสู่เบื้องลึก ดวงหน้าคมเข้มเงยขึ้นสบนัยน์ตาสีฟ้าลึกลับที่มองตรงมา


                   “ก็...ยังจานดาวเทียมเหมือนเดิม


                  ผลั๊วะ
    !!!!


                  “แย๊กก!!!” บรัศว์ร้องเสียงหลง เมื่อมือเรียวตวัดเข้ากลางศรีษะด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลจนหน้าแทบทิ่มพื้น รรันร์ปัดมือไปมาเบาๆแล้วสะบัดด้วยความเจ็บ

    กระโหลกหนาชะมัด...ไอ้ตัวประหลาดหน้าลามกเอ๊ย!” รรันร์กระแทกนิ้วลงกับเรือนผมสีเข้มที่ยังไม่เงยขึ้นมา บรัศว์เบือนใบหน้าหนีน้อยๆ พลางมองดูปลายเท้าตัวเองด้วยนัยน์ตาที่ร้อนผ่าว รรันร์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายราวกับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างดี

    ไม่แปลกซะหน่อยถ้าเจ้าหญิงจะจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้...


                   “แปลกซิ...มันหมายถึง... บรัศว์เอ่ยเสียงแผ่วเบา รรันร์ขยับแขนขึ้นกอดอก นัยน์ตาสีฟ้าลึกลับกดมองชายหนุ่มตรงหน้า...ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยออกมาเธอเองก็รู้คำตอบดีอยู่ในใจ เมื่อดวงวิญญาณที่ติดบ่วงพันธะเริ่มหลงลืมเรื่องราวทั้งหมดที่โซ่ตรวนแห่งกาลเวลาพันผูกไว้ นั่นหมายถึง วิญญาณในบ่วงเหล่านั้นกำลังจะดับสูญไปอยู่ในมิติหนึ่งที่ว่างเปล่า...ความว่างเปล่าที่ทุกข์ทรมาน

    มันหมายถึงถ้าเราไม่รีบตัดสินใจจัดการให้จบๆไป แล้วปล่อยไว้นานกว่านี้ยัยเจ้าหญิงนั่นก็จะแก่หงำเหงือกจนกลายเป็นโรคหลงลืมแบบแกแล้วล่ะระราน


                  ผลั๊วะ
    !!!


                    “อ๊ากกก!!” ชายหนุ่ร้องลั่น เพราะมือบางๆที่ตวัดเสยขึ้นอัดกลางแสกหน้าจนเลือดกำเดาพุ่งกระฉูดเพาะแรงกระแทก บรัศว์กุมจมูกโชกเลือดแล้วส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ รรันร์หรี่นัยน์ตามองร่างสูงที่วิ่งพล่านไปมาด้วยความเบื่อหน่าย หญิงสาวค่อยๆย่างเท้ากลับมาที่ชิงช้าตัวเดิมแล้วรวบชายกระโปรงก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้าง เรียกให้เด็กหนุ่มร่างโปร่งใสละนิ้วจากศิราที่โดนมัดไว้ขึ้นมาประจำตำแหน่งไกวชิงช้าต่อ


                    บรัศว์หยุดชะงักพลางใช้แขนเสื้อเช็ดรอยเลือดบนจมูกแล้วพึมพำไม่ได้ศัพท์ นัยน์ตาสีดำขลับเบือนกลับมามองหญิงสาวก่อนจะเดินเข้าไปหา บรัศว์มองดูร่างโปร่งใสของเด็กหนุ่มอายุไม่เกิน15ปีที่อยู่ในสถานะเบ๊ถาวรอย่างเลี่ยงไม่ได้


                   “ยังไม่เลิกเต๊าะอีกเหรอเด็กคนนี้เนี่ย...ปล่อยมันไปเหอะน่า สงสารเด็กมัน บรัศว์บุ้ยหน้าไปยังเด็กหนุ่มที่มีเพียงจิตวิญญาณ จากที่ฟังรรันร์เล่ามาขาดๆเกินๆ ก็ทำให้ได้รู้ว่า เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นจิตที่ถูกแยกออกจากร่างเนื้อด้วยอุบัตติเหตุ และเขาก็หลงลืมเรื่องราวของตัวเองทั้งหมดแม้แต่ชื่อ มีเพียงชื่อที่รรันร์สุ่มเปิดพจนานุกรมให้เป็นคำว่าคนุรุจ วิญญาณอับโชคน่าสงสารสุดแสนจึงต้องได้ชื่อนั้นไปโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้เถียง


                  “อย่ามาอ้าปากกัดคนอื่นโดยที่ยังไม่ดูตัวเองเหอะ ไอ้หัวงู แม้แต่เด็กอนุบาลสองก็ยังไม่เว้น รรันร์สอดแขนขึ้นกอดอก ใบหน้าคมสวยเชิดขึ้นเหยียดมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่วงท่าที่ทำเอาวิญญาณจางๆข้างหลังอยากกระโดดลงหลุมหลบภัยเพราะกลัวเธอจะระเบิด


                   “อย่ามามัวพูดมากได้ไหม! ที่เราเรียกแกมานี่ไม่ใช่จะมาให้แกปล่อยหมาจากฟาร์มในปากมาเดินเล่นหรอกนะ!!” หญิงสาวขึ้นเสียงดักเพราะเห็นบรัศว์ตั้งท่าจะเถียง ชายหนุ่มสงบคำลงเมื่อเห้นนัยน์ตาสีฟ้าจริงจังที่สบกลับมาเป็นประกายอย่างโกรธเกรี้ยว...เอาเข้าจริงเวลายัยนี่โมโหก็น่ากลัวเอาเรื่อง


                   “แล้วเรียกมาทำไมล่ะ บรัศว์เอ่ยถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว...คำตอบที่ตอกย้ำตัวเขาเองอยู่ตลอดเวลา ถึงจะรู้แบบนั้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้...วาระสุดท้ายของพันธะแห่งดวงวิญญาณกำลังจะมาถึงแล้ว ห้วงมิติเวลาที่พันผูกเขาเอาไว้กำลังจะถูกปลดปล่อย...มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี ถ้าหากการปลดปล่อยนั้นมันจะไม่ต้องแลกด้วยดวงวิญญาณอีกหลายดวงที่ติดอยู่ในบ่วงพันธะด้วย


                   “เราขี้เกียจจะพูดอะไรที่แกก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว บรัศว์...ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจซะที แกจะปล่อยให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้เหรอ...หรือว่าจะ...

    ...ก็กำลังคิดอยู่เนี่ย บรัศว์สวนคำขึ้น นัยน์ตาสีดำขลับเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าที่อาบย้อมด้วยสีน้ำเงินเข้มของยามราตรีที่คลืบคลานเข้ามา...ดำมืดไปหมด อีกสักพักก็จะมองไม่เห็นอะไรแล้ว...เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างในจิตใจเขา มันก็ดำมืดไม่แพ้กัน คิดมาตลอดเลยว่าจะทำยังไงดี...คิดอยู่ทุกวินาทีที่ลืมตาตื่น...แม้แต่ตอนนี้ที่เงยหน้าขึ้นแบบนี้ก็ยังคิดอยู่ ชายหนุ่มเอ่ยต่อไปเรื่อยๆราวกับเพ้อ


                   ควรจะ...ทำยังไงดี ปล่อยให้กาลเวลาและกฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญาเป็นตัวกำหนด หรือควรจะฝ่าฝืนโชคชะตานั้น ดวงวิญญาณที่ต้องดับสูญไปเพื่อปลดปล่อยเขาออกจากพันธะก็เป็นเพียงดวงวิญญาณที่ผูกพันกันมาจากต่างมิติ อันที่จริงแล้วก็ไม่เคยรู้จักกันเลย...ควรจะคิดแบบนั้นเพื่อเอาตัวรอด หรือควรจะมองดวงวิญญาณเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม

                   

    ชะตากรรม...ผลจากการกระทำที่กลายเป็น บาปที่ไม่อาจชะล้าง


                    ไม่มีสักทางที่ไม่ต้องสูญเสีย...การได้มาของบางสิ่งบางอย่างต้องแลกกลับด้วยสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกันเสมอ

    บรัศว์ขยับรอยยิ้มขื่นขม...ไม่นึกเลยว่า วิญญาณในชีวิตที่เหมือนจะไร้ค่าของเขา จิตวิญญาณที่ทำให้เขายังหายใจอยู่ในวินาทีนี้ได้...มันจะมีค่ามากมายถึงขนาดต้องแลกด้วยดวงวิญญาณนับร้อยนับพันดวง...มากดเกินไปหรือเปล่า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เชื่อ ว่าเขาเองจะมีค่ามากมายขนาดนั้น


                    “ถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ มันก็ไม่ต่างกับการที่แกจะเลือกทางที่มีแต่ความสูญเสีย...ร่างกายของศิราอาจจะทนอยู่ในสภาพของโลกมนุษย์ได้ไม่นานแล้วล่ะ บรัศว์เบือนหน้ากลับมาแล้วเลิกคิ้วก่อน ก่อนจะหันกลับไปหาชายหนุ่มที่ถูกมัดอยู่กับโครงเหล็ก

    ศิราไม่ใช่มนุษย์...เป็นภูตแห่งธาราประจำดวงวิญญาณของเขา แม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจแต่ก็ต้องทำเพราะเป็นพันธสัญญา...พันธะกลางกระแสธาราที่หมุนวน หรือหากจะพูดให้ถูก มันก็ไม่ต่างจากคำสาป เพราะพันธะนั้นจะผูกมัดทวยเทพแห่งธาราไปจนถึงวันดับสูญ


                     คำสาป...ที่เกิดจากความรัก มันจึงเป็นคำสาปที่เจ้าตัวเต็มใจรับ


                      “ภูตจะอยู่ในมิติของมนุษย์ด้วยร่างกายแบบมนุษย์ไม่ได้หรอกนะ...ก็รู้ดีนี่ว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้ ดวงวิญญาณในมิติอื่นๆก็กำลังทุกข์ทรมาน จะฝืนไปอีกนานแค่ไหนบรัศว์ แกต้องรับผิดชอบเรื่องที่ตัวเองก่อซะที แกน่ะ...ไอ้ประหลาด แกน่ะมัน...ห่วยแตกที่สุดเลย!!!” ร่างบางผุดลุกขึ้นจากชิงช้า จนร่างโปร่งใสของเด็กหนุ่มข้างหลังรีบถลาตัวหนี


                     “ศีล...มองเห็นอะไรในความฝันนะ จะมองเห็นเจ้าหญิงนทีกานต์หรือเปล่าก็ไม่รู้บรัศว์พึมพำเสียงแผ่วเบา นัยน์ตาสีดำขลับจับจ้องใบหน้าคมเข้มที่หลับอย่างสงบนิ่ง...ต้องเห็นอยู่แล้ว ภาพในห้วงความฝันของศิรายังไงก็ต้องมีเธอคนนั้นอยู่แล้ว...นทีกานต์เจ้าหญิงแห่งธาราผู้พันธนาการคำสาป


                       “ร่างกายเขากำลังจะหายไปแล้ว ตอนนี้คงหยิบจับของชิ้นเล็กๆได้ลำบาก ถ้าเขาหายไปต่อหน้าต่อตาคนอื่น จะหาคำอธิบายยังไง?

    งั้นเองเหรอ...มิน่าล่ะ ทุกวันเห็นจดเลคเชอร์ยิบๆ แต่วันนี้มันไม่แตะปากกาเลยสักนิด ทำให้เพื่อนเดือดร้อนจริงๆเลยนะเนี่ย...แล้วฉันจะลอกเลคเชอร์จากใครวะ บรัศว์ขมวดคิ้วแน่นแล้วขยับแขนขึ้นกอดอก เรียกให้ร่างบอบบางพุ่งพรวดเข้ามาหาด้วยความโมโห


                    “มันใช่เรื่องซะที่ไหนเล่า!! ไอ้ปัญญาอ่อนเอ๊ยย!! ตอนนี้ศิราโปร่งใสจนมองทะลุไปถึงรูทวารแล้วนะเฟร้ยย!!!” มือบางตวัดคว้าคอเสื้อชายหนุ่มแล้วตะโกนใส่อย่างลืมมาด


                      ง่ะ...รูทวาร? บรัศว์เลิกคิ้วขึ้นแล้วเบือนหน้ามองร่างที่ถูกมัดอยู่บนพื้น เพราะความมืดของสภาพแวดล้อมข้างๆตัว หากไม่สังเกตก็คงมองไม่ออก ว่าร่างนั้นเจือจางไปมาก


                     “ไหนอ่ะ รูทวาร?


                     ผลั๊วะ
    !!!


                   “โอ๊ยย!!” ร่างสูงโปร่งลอยละลิ่วจากปลายเท้าเรียวยาวที่พุ่งขึ้นอัดเต็มแสกหน้า ก่อนจะร่วงโครมลงกับพื้น ร่างบางสาวเท้าเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงรังศีอำมหิตที่แผ่ซ่าน เท้าเรียวที่โผล่พ้นชายกระโปรงยาวที่ถูกรวบขึ้นกดเหยียบลงบนแผ่นหลังของชายหนุ่มที่นอนหน้าไถลลงกับพื้น


                    “นึกว่าจะกินแค่เด็กกับผู้หญิง นี่ผู้ชายแกยังไม่เว้นเลยเหรอห๊ะ!...แล้วนี่ทวยเทพแห่งอัคคีไม่ได้มาด้วยกันเหรอไง บรัศว์ค่อยๆยันตัวขึ้นแล้วปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออก ชายหนุ่เสยเรือนผมสีดำขลับขึ้นจากนัยน์ตาแล้วหันซ้ายขวามองหาภูตไฟราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×