คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [ [ . . . : Chain Soul : . . . ] ] Chapter 3 - การกลับมาของเจ้าหญิงแห่งเหมันต์II
ชายหนุ่มหันหน้ามองสวนสาธารณะข้างๆที่เต็มไปด้วยเสียงของเด็กเล็กๆและผู้คนที่มาเดินเล่นยามเย็น ความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดที่บ่งบอกให้เขารู้ ถึงเงาของลางสังหรณ์
ตุ้บ!
“อ๊ะ!!” บรัศว์หยุดชะงักฝีเท้า เมื่อร่างบอบบางสูงเพียงระดับอกที่เดินสวนมาเดินชนเขาจนล้มลงไปกองกับพื้น “โอ๊ย...เจ็บ” นัยน์ตาสีดำขลับก้มลงมองดูเจ้าของเสียงใสอย่างเฉยชา เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนนานาชาติมีชื่อเสียงในเมือง เธอค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นแล้วปัดฝุ่นบนกระโปรงลายสก็อตสีดำคลุมเข่าของตัวเองออก เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวเก็บชายไว้ใต้กระโปรงอย่างเรียบร้อย เนคไทสีดำทิ้งปลายเกือบจรดขอบกระโปรงระดับเอว
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ฉันคิดอะไรเพลินๆ ไม่ทันระวัง” เด็กสาวปัดฝุ่นบนเสื้อเชิ้ตตัวเองออก แล้วเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยนัยน์ตากลมโตสีดำ ร่างบางชะงักไปครู่ มือบางชักขึ้นปิดริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัว ร่างสูงยืนย้อนแสงอาทิตย์ทำให้มองเห็นใบหน้าคมคายนั้นเพีงเสี้ยวเดียวที่โดนแสงแดดส่องถึง...แค่นั้นก็เพียงพอ
แค่นั้น...เธอก็จำเขาได้ดี
“คุณ...” เด็กสาวลดมือลงพลางเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก นัยน์ตากลมโตเงยขึ้นมองร่างที่สูงกว่าเธอมากอย่างตกตะลึง รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่ระรัวขึ้นจนตัวเองยังนึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน...โชคชะตา...เริ่มขับบทลำนำบทใหม่แล้ว “เรา...เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าคะ”
เธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจ บรัศว์ถอนหายใจน้อยๆ พลางตีสีหน้าเย็นชาอย่างสุดความสามารถ แล้วขยับแขนขึ้นกอดอก ขณะที่ภูตแห่งไฟข้างๆกำลังพึมพำถ้อยคำบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ ได้ยินแว่วๆเพียงแค่คำที่ใกล้เคียงคล้ายๆคำว่า ‘เจ้าหญิง’
“คงอย่างนั้นแหล่ะมั้ง...ฉันถึงได้ไม่ไปที่นั่นอีกไง” บรัศว์กดน้ำเสียงเรียบเฉย ที่ทำให้เด็กสาวลดมือลง นัยน์ตากลมโตสีดำขลับหลุบมองพื้นคล้ายกับผิดหวัง
“เอ่อ...ขอโทษด้วยค่ะ ฉันอาจจะจำคนผิดไป” มือบางขยับกระเป๋าสะพายข้างบนไหล่ให้เข้าที่ ก่อนจะปัดเส้นผมที่ระปรกดวงหน้าขึ้น ทำให้บรัศว์เพิ่งได้สังเกต...เธอผมยาวมากถึงขนาดที่ถูกมัดรวบสูงยังทิ้งปลายยาวจรดหัวเข่า ทิ้งปอยผมด้านหน้าที่ถูกตัดคลอระดับบ่า ปอยผมด้านหลังยาวจรดเอว และหน้าม้าสั้นๆระดับคิ้วรับกับดวงหน้าหวาน จมูกเล็กๆเชิดรั้ง และริมฝีปากบางราวกลีบกุหลาบ
ความงดงาม...ที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่ติ น่าแปลกที่ภูตแห่งไฟไม่ออกอาการพ่นไฟออกทางหัวเหมือนทุกครั้งที่เจอคนที่ ‘โดน’ เพียงเพราะว่า...กัลป์ก็จับสัมผัสได้เช่นเดียวกับเขา ผู้หญิงตรงหน้า มีห้วงพันธะเวลาที่คล้ายๆกันกักขังอยู่ เพียงแต่เธออาจจะเพิ่งรู้ตัว
“เปล่า...เธอไม่ได้จำผิดหรอก” บรัศว์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบงันระหว่างทั้งคู่โรยตัวอยู่นาน เสียงรอบข้างหมดความหมายลงเพราะเขาไม่คิดที่จะใส่ใจฟัง มีเพียงบทลำนำแห่งพันธะและกาลเวลาที่บรรเลงเป็นท่วงทำนองแผ่วเบาแสดงถึงการเริ่มต้น “ชื่อเธอมีความหมายดีนะ” บรัศว์เปลี่ยนเรื่องอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ เรียกให้เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองดูเขา
“คะ?”
“ที่ว่าความหมายดีก็เพราะเป็นความหมายเดียวกันหมด ทั้งชื่อจริงชื่อเล่น แล้วก็ชื่อต่างภาษา ธิดาแห่งขุนเขาหิมาลัย...คุณปู่ตั้งให้ซินะ นคนันทินี” บรัศว์ขยับรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะทำได้ ร่างสูงสาวเท้าออกไปยังสวนสาธารณะ แล้วก้มลงหยิบกิ่งไม้ยาวๆติดมือมาด้วย
“ทำไมรู้ล่ะคะ” นัยน์ตาสีดำขลับกลมโตเบิกค้างอย่างตื่นตกใจ ร่างบอบบางเดินตามเขาไป ขณะที่บรัศว์จรดปลายไม้ลงกับพื้นทรายแล้วลากไม้เขียนตัวหนังสือลงไป
“เธอก็คงมีปัญหาเรื่องชื่อ...ไม่ค่อยมีใครเขียนชื่อเอถูกใช่ไหมล่ะ ก็แน่ซิ...ชื่อยาวแบบนั้นนี่นา...ฉันเองก็เหมือนกัน...นคนันทินีธิดาจากขุนเขาหิมาลัย บุตรีแห่งเหมัตน์ ยูคิเมะก็เจ้าหญิงแห่งหิมะ ยูกิก็แปลว่าหิมะ...อยากให้ฉันเรียกว่าอะไรล่ะ” บรัศว์เงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่ยืนนิ่งงันอย่างตกใจ ยูคิเมะใช้ฝ่ามือแตะดวงแก้มตัวเองก่อนจะเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วขยับรอยยิ้มอ่อนหวาน
“ชื่อภาษาไทยนั่นฉันเองก็ยังสะกดไม่ค่อยถูกเลยค่ะ เพราะคุณปู่เพิ่งตั้งให้ก่อนที่ท่านจะเสียไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ฉันเลยต้องมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นเพื่อนคุณย่า ไม่อยากให้ท่านอยู่คนเดียวน่ะค่ะ” บรัศว์เบือนหน้าออกจากรอยยิ้มของเธอแล้วส่งเสียงตอบรับในลำคอ
“แบบนั้นเอง...เธอเองก็มีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนซินะ” ยูคิเมะเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ใคร่เข้าใจ...บรัศว์ก้มลงแล้วใช้ไม้ปาดลบตัวหนังสือบนพื้นทรายออกแล้วเขียนคำใหม่ลงไปแทน
เธอต้องเผชิญกับข้อแลกเปลี่ยนแบบเดียวกับที่เขาเผชิญ...พันธะกาลเวลาที่เธอเข้ามาพัวพันต้องแลกกับชีวิตของคนที่ตัวเองรัก หลายครั้งที่เขาคิดเสมอว่ามันไม่ยุติธรรม...ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เพียงแต่มัน...ไม่มีหนทางใดให้เลือก
“เอ่อ...ถ้าไม่รังเกียจเรียกยูกิก็ได้ค่ะ คุณพ่อท่านเป็นคนไทย แต่คุณแม่เป็นคนญี่ปุ่น ฉันก็อยู่ที่ญี่ปุ่นมาตลอดเลย” ยูคิเมะปลดกระเป๋าบนไหล่ออก แล้วโอบกอดมันไว้ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนชิงช้าข้างๆปลายเท้าเรียวยาวสวมด้วยรองเท้าหนังสีดำ และถุงเท้าสีขาวยาวเกือบถึงหัวเข่า เธอรวบปลายผมทั้งสองข้างมาไว้ข้างหน้าแล้วใช้นิ้วไล่เล่นเส้นผมตัวเองเบาๆ นัยน์ตาสีดำขลับกลมโตเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เดินมานั่งบนชิงช้าข้างๆเธอ
...อะไรบางอย่างที่สั่งให้เธอรู้สึกเชื่อใจ ความอบอุ่นราวกับถูกสายลมโอบอุ้นที่ไหววูบเข้ามา...เขาไม่ใช่คนแปลกตา แต่เป็นคนที่คุ้นเคย แม้จะไม่อาจแน่ใจได้ว่าเคยพบเจอกันมาก่อน แต่ราวกับชีวิตนี้ทั้งชีวิต เธออาจจะกำลังพบคำตอบที่ถามตัวเองมาตลอด...คำตอบอยู่ข้างๆตัวเธอแล้ว คำตอบของหัวใจเธอ...คือเขา
“ชื่อฉันเขียนแบบนี้นะ ถ้าเป็นเธอจะอ่านว่ายังไง” ยูคิเมะสะบัดดวงหน้าหวานแรงๆขับไล่ความคิดในหัวออกไป...จะเป็นไปด้ยังไง ผู้ชายที่เพิ่งพบกันเพียงไม่กี่นาทีก่อน จะรู้สึกเหมือนกับว่ารู้จักกันมาชั่วชีวิตได้ยังไง เด็กสาวหลับตาแน่นอยู่ครู่ แล้วจึงก้มหน้าลงมองตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนพื้นทราย
“ฉันอ่านภาษาไทยไม่ค่อยได้นะคะ...เอ่อ...อ่านว่า...บรัด...รึเปล่าคะ”
“อือๆ...ใครๆก็อ่านแบบนั้นแหล่ะ แต่ที่จริงแล้ว...” บรัศว์พยักหน้ารับแล้วเขียนคำอ่านของชื่อตัวเองลงบนพื้น “ชื่อฉันต้องอ่านแบบนี้...แยกกัน บะ หรัด แบบนี้ต่างหากล่ะ แต่ก็นะ...พ่อยังเรียกว่าบรัดเลย คงมีแต่ยัยป้ามหาภัยคนเดียวนั่นแหล่ะที่เรียกถูก”
“คุณป้าเหรอคะ? แสดงว่าสนิทกันมากเลยใช่ไหมคะ ถึงได้อ่านชื่อถูก” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ ที่ทำเอาคนข้างๆอยากเอาหัวมุดลงกับพื้นด้วยความสยองรูหู
“ไม่สนิทกันเท่าไหร่หรอก...ก็แค่รู้ไส้รู้พุงทะลุตับปอดม้ามใหญ่ลำไส้เล็กกันหมดแล้วแค่นั้นแหล่ะ” บรัศว์ตอบเสียงเครียด จะว่าเรียกชื่อเขาได้ถูกมันก็ไม่ใช่ เพราะตั้งแต่จำความได้ยัยป้าจอมระรานนั่นก็ไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อดีๆเลยสักครั้ง พอๆกับที่เขาเรียกเธอด้วยชื่อแปลกๆที่สรรหามา
“เจ้าหญิง...จริงๆเหรอเนี่ย” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังอยู่ข้างหู บรัศว์สูดลมหายใจลึกๆ...รับรู้ถึงอาการตกใจอย่างสุดขีดของภูตแห่งไฟที่ลอยคลอเคลียอยู่ข้างๆเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ยูคิเมะตั้งแต่เมื่อครู่ เพราะเด็กสาวไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นเขาแม้เพียงเปลวไฟและอุณหภูมิความร้อนเธอก็ยังจับไม่ได้ ในสายตาของ ‘เจ้าหญิง’ ตอนนี้ ...เขาไร้ตัวตน
“บรัศว์...คุณน่ะ...เอ่อ เป็นลูกของคุณวนันดร์ใช่หรือเปล่าคะ” ยูคิเมะเอ่ยขึ้นอย่างติดขัดราวกับชั่งใจ บรัศว์หันหน้ามองเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะพยักหน้ารับ พลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้...
“มีเรื่องแปลกๆงั้นเหรอ...แปลกแบบที่เธอเองก็ไม่แน่ใจ” นัยน์ตากลมโตเบิกค้างอีกรอบอย่างตื่นตกใจ...เธอสบนัยน์ตาคู่เฉยชาลึกลับคู่นั้นแล้วรีบก้มลงหลบ เหมือนกับว่า...เขาอ่านใจเธอออก เหมือนกับว่าเขารู้เรื่องทถุกอย่างในชีวิตของเธอ รอยยิ้มของเขา...คล้ายกับจะปิดซ่อนความลับของโลกทั้งใบเอาไว้
เจออะไรมามากงั้นเหรอ...เขาเหมือนกับเรา...ใช้รอยยิ้มเพื่อเป็นหน้ากากปิดบังบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจ
บรัศว์เป็นแบนั้นซินะ...และเพราะเป็นแบบนั้นเราถึงเชื่อใจเขา เพราะเราก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ยูคิเมะเงยหน้าขึ้น เมื่อร่างสูงข้างๆผุดลุกขึ้นจากชิงช้า ทิ้งให้แผ่นกระดานที่โยงร้อยด้วยโซ่ทั้งสองข้างแกว่งไกวไปมาตามแรงที่ชายหนุ่มขยับตัวออกไป เด็กสาวลุกขึ้นตามแต่ยังไม่ทันได้ขยับเท้า คนตรงหน้าก็หยุดลงซะก่อน เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายโดยที่ไม่หันกลับมามอง
“ขอโทษทีนะ...วันนี้ฉันไม่ว่าง ถ้าทิ้งเบอร์หรือที่อยู่ไว้ก็จะติดต่อไป”
“เอ๋...ร...รู้เหรอคะ...ว่าฉันจะพูดเรื่องอะไร” ยูคิเมะประสานมือขึ้นระดับอก ร่างบางวิ่งขึ้นมายืนขวางหน้าเขาไว้ ดวงหน้าหวานที่ฉายแววตื่นตระหนกมองเขาอย่างกระวนกระวายท่ามกลางแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายที่กำลังจะลาลับไป
“รู้ซิ...มันเป็นอิทธิพลภายใต้การโคจรของดวงดาวตามวงล้อแห่งโชคชะตา” บรัศว์หลุดปากออกไปด้วยความเคยชินก่อนจะห้ามตัวเองทัน...ลืมไปซะสนิทเลยว่าไอ้เรื่องอิทธิพลการโคจรของดวงดาว วงล้อโชคชะตาจักราศี ทางช้างเผือก กาแลกซี่ที่เอ็มเจ็ดสิบแปดอะไรนั่นมันเป็นมุกหากิน ไม่มีจริงในโลก
“อย่างนั้นที่เขาว่าสำนักโหราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก็เป็นที่บ้านคุณงั้นเหรอคะ”
“อ...อืม...คงงั้นมั้ง” บรัศว์ตอบรับอย่างไม่ใคร่แน่ใจ
มีชื่อเสียง...ว่าแต่ ‘เขา’ ที่ว่านี่เป็นใครฟ๊ะ บรรดาซี้เก่าเพื่อนๆของพ่อที่ทำอาชีพคล้ายๆกันแล้วโปรโมทกันเองกินกันเองรึเปล่า
“วันนี้ฉันไม่ว่างนะ...ไปก่อนล่ะ” บรัศว์โบกมือลาเด็กสาวทั้งๆที่ยังหันหลังให้ ก่อนจะหยุดชะงักแล้วล้วงมือหยิบแอปเปิ้ลในกระเป๋านักเรียนโยนส่งให้เธอ ยูคิเมะรับแอปเปิลแล้วเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินจากไปท่ามกลางผู้คนในเมืองที่รีบเร่งกลับบ้าน
“เดี๋ยวค่ะ! บรัศว์!” เสียงใสๆตะโดนเรียกให้ชายหนุ่มหยุดชะงักฝีเท้า...ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มจางๆ
และแล้ว...เธอก็ต้องยอมรับซะทีว่าเธอขาดฉันไม่ได้ ‘เจ้าหญิง’
“ฉันจะบอกคุณว่า...ถ้าคุณ เอ่อ...พอจะมีเงินแล้วก็รีบๆเอาไปจ่ายเถอะนะคะ คุณพ่อกำลังจะปิดบัญชีรายชื่อที่ติดแบล็กลิตส์แล้ว ฉันตามหาคุณมานานแล้ว เพราะเห็นว่ามีบัญชีรายชื่อของคุณอยู่ในแบล็กลิตส์ของคุณพ่อน่ะ” ยูคิเมะประสานมือที่ถือแอปเปิ้ลไว้ระดับอก ขณะที่ร่างสูงข้างหน้ายังยืนค้างราวกับถูกสาดโครมด้วยน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ
“ห๊าาาาา!!!!??? ยูกิ...นี่เธอ...เธอ...” บรัศว์ชักฝีเท้าถอยหนีเด็กสาวอย่างลืมมาด มือกร้านยกขึ้นปิดริมฝีปากตัวเองแล้วพินิจดูเค้าโครงใบหน้าของเธอให้ชัดเจนเป็นครั้งแรก...ค...คล้ายๆแฮะ ถึงจะไม่เหมือนแต่ก็ใกล้เคียง “เธอเป็นลูกยากูซ่าแก๊งนั้นเหรอเนี่ยย!!?”
“ยากูซ่า?” ยูคิเมะเลิกคิ้วขึ้นแล้วขยับรอยยิ้ม “อืม...จะว่าแบบนั้นก็คงไม่ผิดนักหรอกค่ะ คุณพ่อท่านเป็นคนดุแล้วก็เข้มงวดมากเลย”
“ไม่ใช่แค่นั้นซิเฟร้ยย!! ยัยน้ำแข็งไส ไอ้ยากูซ่าหน้าเลือดนั้นขูดรีดเข้าเนื้อขนหน้าแข้งสักเส้นยังไม่ให้เหลือเลยนะ...ม...ไม่อยากจะเชื่อเลย ตาลุงหนวดโหดสุดแสนนั่นเป็นพ่อเธอเหรอเนี่ย” บรัศว์ชักฝีเท้าถอยหนีอีกครึ่งก้าวเมื่อเห็นว่าทายาทยากูซ่ายังคงแย้มรอยยิ้มอ่อนหวานแล้วพยักหน้าตอบรับ
“ป...ไปที่ชอบๆเถอะ อย่าตามาหลอกมาหลอนฉันเลย...ก...กลัวแล้วคร้าบ...ย...อย่าตามมาน๊า!!!” บรัศว์ตะโกนเสีงลั่นก่อนจะถลันตัววิ่งออกไป ยูคิเมะอุทานเสียงแผ่วเบาเมื่อร่างสูงสะดุดขาตัวเองล้มโครมลงกับพื้น บรัศว์นิ่งไปครู่ก่อนจะผุดลุกขึ้นแล้วหันมองเธอ ชายหนุ่มขยับแขนขึ้นปาดน้ำตา
“บอกว่าอย่าตามม๊า!!!” ร่างสูงรีบลุกพรวดขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งหายลับไป ยูคิเมะชะงักคำที่กำลังจะตะโกนเรียกเขาเมื่อเห็นว่าบรัศว์วิ่งหายไปไกลเกินสายตาแล้ว...หากแต่ที่ยังอยู่ใกล้เพียงสายตามอง เพียงแค่เธอก็ไม่อาจมองเห็น
“ไม่ได้ตามไปซะหน่อย...เป็นอะไรมากรึเปล่านะ” นัยน์ตากลมโตชะเง้อมองตามคนที่วิ่งหายไปแล้ว ก่อนจะหันกลับมาก้มลงมองดูแอปเปิ้ลในมือตัวเอง ริมฝีปากบางขยับรอยยิ้มหวาน...รู้สึกคุ้นเคยจนแปลกประหลาด คล้ายๆกับว่า...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเคยส่งมันให้กับเธอ
“เจ้าหญิง...” น้ำเสียงพึมพำอย่างแผ่วแทบไม่พ้นลำคอดังขึ้นจากร่างเล็กๆโปร่งใสที่ลอยอยู่กลางอากาศ วงล้อรูปร่างคล้ายเปลวเพลิงหมุนวนอยู่รอบปลายเท้า นัยน์ตาคู่สีเพลิงเข้มเลื่อนลอยลงเมื่อมองดูร่างบอบบางของเด็กสาวเดินจากไป ทำไม...ทำไมเจ้าหญิงถึงมองไม่เห็นเขา
เสียงบทลำนำแห่งโชคชะตาและพันธะดวงวิญญาณที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น กำลังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด...พันธะแห่งเวลากาลที่เวียบหมุนย้อนกลับมาอีกครั้งราวกับสายลมที่เพียงไหววูบผ่านไป...หากแต่ถ้าเป็นสายลม...มันคงไม่ย้อนกลับมา
“เจ้าหญิง...ข้าจะปกป้องท่านไว้ ด้วยชีวิตทั้งหมดที่ข้ามี...มันคือพันธะที่ข้าเคยเอ่ยแก่ท่านเอาไว้ จนวันนี้ข้าก็ยังเต็มใจที่จะเอ่ยถ้อยคำนั้นอยู่...ขอเพียงท่านต้องการ”
ได้ยินไหม...เสียงนั่นไงล่ะ บุตรีแห่งขุนเขาหิมาลัย เสียงลำนำแห่งโชคชะตาที่เจ้าไม่อาจหลุดพ้น
ความคิดเห็น