คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : +...Dark Paradise...+ Act.2 [บาปแห่งพระผู้เป็นเจ้า - II ]
หากจะต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้ก็ขอให้ร่างกายนี้สูญสลายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ...
“เซลิเนีย!!” นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเบิกโพลงขึ้นท่ามกลางแสงสว่างจ้าสีขาว มือบางยกขึ้นบังแสงที่แยงตาจนรู้สึกแสบ เสียงเรียกที่เคยคุ้นหูยังดังอย่างต่อเนื่องอย่างไร้ทิศทาง เธอเหลียวซ้ายขวาอย่างเป็นกังวล สองขาก้าวเข้าไปตามต้นตอแต่แล้วเสียงเรียกนั้นก็ไกลออกไปอีกราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
“อลิทส์!!” เธอกรีดเสียงร้อง แล้วหยุดยืนกับที่ พร้อมกับมองไปรอบๆตัวที่มีเพียงความว่างเปล่าสีขาวโพลนกว้างไกล “อลิทส์ เธออยู่ที่ไหนน่ะ!” เซลิเนียตะโกนร้องแล้วสาวเท้าวิ่งไปตามเส้นทางที่มองไม่เห็น สัมผัสอากาศธาตที่รายล้อมอยู่รอบตัวโดยไม่อาจมองเห็นเจ้าของน้ำเสียงนั้นได้
“เซลิเนีย...”
ร่างบางทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย น้ำตาที่ไหลพรั่งพรูลงมาไม่อาจห้ามได้ เสียงนั้นแผ่วจางลงไปอย่างอ่อนโยน เซลิเนียปาดเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะก้าวขาต่อ...มันหมดไปนานแล้วไม่ใช่หรือ...เรี่ยวแรงในการขับเคลื่อนชีวิตของเธอ มันหมดไปแล้วตั้งแต่อลิทส์จากไป
“พอทีเถอะ...ฉันอยากจะตามเธอไป เธออยู่ที่ไหน อลิทส์” มือบางปาดหยดน้ำตาบนใบหน้าออก เสียงสะอื้นที่ดังรอดริมฝีปากและไหล่ทั้งสองทั่นสะท้าน คล้ายถูกอ้อแขนเย็นเยียบของใครบางคนมาโอบกอดไว้ เซลิเนียเงยขึ้นมองดูความขาวโพลนตรงหน้า
“อลิทส์?” อะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ความว่างเปล่า ร่างบางผุดลุกขึ้นจากพื้นด้วยสองขาที่ไร้เรี่ยวแรง เท้าหนักอึ้งฝืนเดินไปข้างหน้า พื้นสีขาวสว่างค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด ของเหลวกลิ่นคาวไหลท่วมขึ้นมาถึงข้อเท้า นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง มือสีแดงเลือดผุดขึ้นมายึดข้อเท้าเธอไว้แน่น
“อลิทส์!!” หญิงสาวกรีดเสียงพยายามจะดึงเท้าตัวเองออกจากมือสีเลือด และแล้วใบหน้าที่เธอปรารถนาก็ปรากฏขึ้นจากหยดเลือดที่ค่อยๆรวมตัวกัน รอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าขาวซีดส่งมาหาเธอ เซลิเนียอยากจะกรีดร้องแต่ทำไม่ได้ มือเปรอะเปื้อนเลือดคละคลุ้งกลิ่นคาวเอื้อมออกมาข้างหน้า ร่างกายของเขาพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว
“อะ...!” ร่างบอบบางสั่นกระตุก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง มือสีเลือดนั้นกระแทกเข้ากลางลำตัวเธอเสียบทะลุผ่านหัวใจถึงแผ่นหลัง มันไม่เจ็บปวดแต่กลับรู้สึกร้อนวูบราวกับร่างกายกำลังโดนเผาไหม้ ใบหน้าคมเข้มเปรอะเปื้อนเลือดก้มมาจนชิดติดใบหน้าเธอ
ใกล้จนเธอมองเห็นทุกเส้นประสาทในดวงตาแดงก่ำคู่นั้น รอยยิ้มที่แสยะออก พร้อมกับมือข้างเดิมที่กระชากออกจากตัวเองอย่างรุนแรง!
“อลิทส์!!”
ร่างบอบบางลุกพรวดขึ้นจากฟูกที่นอนนุ่มๆ มือบางสองข้างยกขึ้นสัมผัสต้นคอตัวเองที่รู้สึกแสบร้อน นัยน์ตายังคงเบิกค้างและหอบหายใจหนักๆ ควาหวาดกลัวแทรกซึมอยู่ในทุกอณูความรู้สึก เซลิเนียลดมือลงแตะแผ่นอกตัวเองที่ยังรู้สึกร้อนวูบ
ฝัน...
เธอแตะมือลงกับใบหน้าของตัวเอง พยายามคิดทบทวนภาพที่ซ้อนทับเข้ามาในหัว เพียงแค่ฝันไปเท่านั้น...นัยน์ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมองฟูกข้างๆที่ว่างเปล่า ผ้าคลุมถูกดึงจนตึง ผ้าห่มผืนหนาพับเก็บเรียบร้อย ขณะที่เจ้าของที่นอนนั้นคงจะออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า
เซลิเนียลุกขึ้นยืน แล้วมองไปรอบห้องนอนคุ้นตา กรอบรูปเล็กๆที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ซึ่งไม่ได้ใช้งานมานาน รูปของกลุ่มเด็กๆที่เคยอยู่ที่นี่และตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปประจำโบสถ์ตามเมืองต่างๆ ตรงกลางกลุ่มเด็กๆเหล่านั้น เป็นร่างผอมของหญิงสาวในชุดนักบวชสีขาวดูสง่างาม เซลิเนียส่งยิ้มให้เธอแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาด้วยจิตใจที่สงบลงกว่าครึ่ง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณแม่ซาห์นา”
ใบหน้ายิ้มแย้มที่มองตอบกลับมาราวกับจะทักทายเธอเช่นกัน เมื่อมองเลื่อนลงมาแล้วก็เป็นรูปของเด็กชายคนหนึ่ง ใบหน้าใสซื่อแม้ไม่มีรอยยิ้มแต่ก็น่าเอ็นดูนัก...อลิทส์ เด็กชายหนึ่งในสามคนที่ซาห์นารับเลี้ยงดู ความผูกพันที่เกินกว่าความรัก แม้ว่าเขาจะจากไปนานแล้วแต่เธอก็ยังคิดถึง
‘ฉันจะไม่ตายก่อนเธอหรอก เซลิเนีย...สัญญา’
น้ำเสียงร่าเริงที่ยังดังก้องอยู่ในหูของเธอ แม้ว่าร่างกายของคนพูดนั้นจะนอนอยู่บนเตียงในชุดคนไข้ นัยน์ตาสีดำขลับที่มองเธออย่างอ่อนโยน และจริงจังในคำมั่นสัญญานั้น...แต่แล้วมันก็พังทลายลง ไม่ว่าอลิทส์จะรู้สึกอย่างไรที่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเธอไม่ได้
แต่สำหรับเธอแล้ว...มันเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินจะรับไหว
ใบหน้าสะสวยละจากรูปภาพบนโต๊ะไม้ หันไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำ...มือบางเอื้อมออกไปสัมผัสสายน้ำเย็นๆที่ไหลรินจากฝักบัวสูงลงกระทบผิวเนื้อขับไล่ความร้อนเมื่อครู่ออกไปจนหมดสิ้น แม้ในใจยังนึกหวั่นและภาพนั้นยังติดตา
เซลิเนียมองดูมือตัวเองผ่านสายน้ำอย่างเลื่อนลอย...มือคู่นี้มันสกปรกเหลือเกิน กี่หยาดหยดเลือดและชีวิตที่ต้องจบลง แม้ว่าชีวิตพวกนั้นจะเลวทรามและที่เธอทำไปเพราะเหตุจำเป็น เพียงแต่การฆ่าคนเป็นบาป...คำสอนของแม่ราห์นาเอ่ยไว้เช่นนั้นอยู่เสมอ
นัยน์ตาสีเข้มหลับลงแล้วเงยใบหน้าขึ้นรับสายน้ำแรงๆ พยายามที่จะลืมให้หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง...โลกใบนี้กับเธอไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอีก เพียงสิ่งเดียวที่ยังเหนี่ยวรั้งเธอไม่ให้ดำดิ่งลงสู่ความตาย คือเซนต์ ฮาเวน และคาเธสเพื่อนเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่
ถ้าเธอจากไป แล้วคาเธสผู้อ่อนแอจะอยู่คนเดียวบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ได้อย่างไร
เซิลเนียเอื้อมมือไปปิดน้ำ แล้วหยิบเครื่องแบบมาสวมใส่ เธอก้าวเท้าออกจากห้องน้ำพร้อมกับติดกระดุมคอของเสื้อตัวในไว้ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมแขนยาวอีกตัวมาสวมใส่ ร่างบางยืนอยู่หน้ากระจกเงา มองดูเครื่องแบบซิสเตอร์สีขาว
ชุดกระโปรงตัวยาวติดกระดุมข้างเลยลงไปคลุมปิดถึงเข่า ปลายกระโปรงฟูพองเล็กน้อยขอบเป็นสีน้ำเงินเข้ม สวมทับกระโปรงขลิบลูกไม้ชั้นใน บนอกเสื้อมีปกสีน้ำเงินประดับตราไม้กางเขนสีเงิน มือบางหันไปหยิบไม้กางเขนประจำตัวที่ร้อยสายด้วยลูกแก้วสีใสมาสวมสะพายข้าง
เธอแปรงเส้นผมสีน้ำตาลแดงยาวคลอบ่าให้เข้าทรงแล้วคลุมทับด้วยหมวกสีขาวที่มีระบายปิดใบหน้าด้านข้าง หญิงสาวเลื่อนลิ้นชักด้านล่างสุดของโต๊ะไม้ออก แล้วหยิบมีดเล่มยาวราวหนึ่งศอกขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจช้าๆ แล้วซ่อนมันไว้ที่เข็มขัดข้างต้นขาขวา เธอเลื่อนมือลึกเข้าไปอีกสัมผัสปืนสั้นกระบอกสีดำสนิทแล้วหยิบมันขึ้นมาซ่อนไว้ใต้เสื้อคลุมที่ข้างเอว
...มันกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเธอ ที่ถูกกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดหมายหัวในฐานะสายสืบของตำรวจ
เซลิเนียจัดปกคอเสื้อและหมวกคลุมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้องนอน ไปตามทางเดินยาวที่ปูด้วยไม้ปาร์เก้ขัดมันสะอาดเอี่ยม เพราะหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่อาศัยอยู่ที่นี่รักความสะอาดพอๆกับการได้ทำอาหารอร่อย
เซลิเนียเปิดประตูบานใหญ่ที่ประดับด้วยกระจกสีออก ใบหน้าหันไปมองแท่นพระรูปตรึงกางเขนที่อยู่ด้านหน้าสุด ตั้งใจจะไปสวดภาวนาเช่นทุกวัน แต่แล้วสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวในเครื่องแบบเดียวกันจากทางหน้าต่างบานใหญ่
เซลิเนียเปิดประตูใหญ่ออกแล้วเดินออกไปหาคาเธสที่ยืนคุยอยู่กับเด็กหญิงหาบเร่ที่เดินผ่านมา เมื่อเด็กหญิงหันมาเห็นเธอใบหน้าอ่อนเยาว์นันก็ชะงักอย่างตกใจ ฝืนยิ้มน้อยๆแล้วกล่าวลาอย่างรวบรัด คาเธสโบกมือส่งให้เด็กหญิงด้วยรอยยิ้มแม้จะรู้สึกไม่ชอบใจกับท่าทีนั้นเท่าไรนัก
“ตื่นสายเชียว เซลี่ ฉันออกไปตลาดมาแล้วล่ะ” คาเธสชูตะกร้าใส่ของสดในมือขึ้นให้เธอดู เซลิเนียยิ้มรับเจื่อนๆ นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลไหววูบลงอย่างอ่อนล้า จนคาเธสที่ร่าเริงถึงกับหุบยิ้มลง “เป็นอะไรรึเปล่า ยังง่วงอยู่เหรอ เซลิเนีย” มือบางโบกไปมาตรงหน้าเพื่อน เซลิเนียส่ายหน้าน้อยๆแล้วขยับรอยยิ้มเบาบาง
“เปล่า...มา ฉันช่วยถือนะ” เซลิเนียดึงตะกร้าในมือเล็กมาถือไว้เมื่อเห็นร่างบางทำท่าจะปฏิเสธ
“เดี๋ยวก่อน เซลี่ มือเธอไปโดนอะไรมาน่ะ” คาเธสดึงมือข้าง้ายของเธอขึ้นมามองดูรอยแผลขอบเรียบคล้ายถูกของมีคมกรีดที่ข้อมือลากยาวเกือบวนรอบ เซลิเนียพยายามทีจะดึงมือออก แต่คาเธสยื้อมือเธอไว้แล้วพลิกหงายขึ้น ตำแหน่งเส้นเลือดถูกกรีดเป็นรอยชัดเจน แต่เหมือนเธอจะยั้งมีดไว้ไม่ให้มันลึกลงไปจนตัดโดนเส้นเลือด คาเธสเบิกนัยน์ตาสีฟ้ากว้างเงยหน้าขึ้นจับจ้องใบหน้าขาวซีดของเพื่อนสาว
“เซลิเนีย” เธอสะกดน้ำเสียงเรียกชื่อคนตรงหน้าออกมาอย่างยากลำบาก เซลิเนียดึงมือตัวเองออกแล้วซ่อนมันไว้ข้างหลัง ใบหน้าสะสวยเบือนออกไปด้านข้าง นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลหลุบลงต่ำริมฝีปากบางเม้มแน่นไม่คิดจะเอ่ยแก้ตัวใดๆ
...เธอพยายามแล้ว ที่จะจบชีวิตตัวเอง พยายามจะอ้อนวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้าโอบอุ้มเธอสู่หัตถ์ของพระองค์ เธอร่ำร้องไห้กับแม่ซาห์นาที่เคาพรักเพื่อให้ท่านอภัยแก่การกระทำอันโง่เขลาของเธอ แต่แล้วเธอก็ยังลาจากโลกใบนี้ไปไม่ได้
“เซลิเนีย...เธอจะทิ้งฉันไปเหมือนคุณแม่ เหมือนอลิทส์ เหมือนทุกๆคน เธอ...” คาเธสยกมือขึ้นปิดริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงสะอื้น มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลรินลงมา เซลิเนียยืนนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยกลัวจะห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้ ยิ่งได้ยินชื่อนั้นดังเข้ามาในหัว...มันยิ่งให้รู้สึกรวดร้าว
“ทำไมล่ะ...ทุกอย่างมันเริ่มใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ เธอไม่ได้จบสิ้น เธอยังมีชีวิต มีฉัน...มีโลกใบนี้”
“พอเถอะ!” เซลิเนียกรีดเสียงที่ทำให้คาเธสหยุดชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลตวัดขึ้นจับจ้องใบหน้าหวานด้วยความโกรธเคือง “ฉันหลงคิดไปเองว่าเธอจะเข้าใจฉัน ฉันมันจบสิ้นไปแล้ว ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว โลกใบนี้ไม่ใช่ที่ของฉัน!”
“แต่เธอ...!”
“ว...เหวอ!!”
เสียงร้องตะโกนดังลั่นกลบเสียงของคาเธสที่กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างให้หยุดชะงัก ก่อนที่เสียงสิ่งของมีน้ำหนักพอสมควรจะหล่นกระทบพื้น เรียกให้เซลิเนียรีบผลุนผลันออกจากประตูรั้วไปข้างนอกแล้วหันซ้ายขวาหาเจ้าของเสียง
ทันทีที่ก้าวออกจากประตูรั้ว ก็พบกับกองผ้าสีดำที่นอนจมอยู่ในกองลังไม้ข้างต้นโอ๊คใหญ่ และเศษใบไม้ที่ปลิวว่อน คาเธสก้าเท้าตามออกมาดูแล้วหลุดเสียงอุทานอย่างตกใจ เธอสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆเมื่อเห็นร่างนั้นขยับตัว
“โอย...” ร่างสูงดีดตัวลุกพรวดขึ้นแล้วถีบลังไม้ที่เกะกะปลายเท้าให้พ้นทาง มันกระเด็นเฉียดร่างบางของคาเธสไปเพียงคืบ ทำเอาหญิงสาวหยุดฝีเท้าแล้วตัดสินใจถอยออกไปยืนดูอยู่ห่างๆ เซลิเนียเลื่อนมือลงหยิบมีดเล่มยาวที่ซ่อนอยู่ข้างขาขึ้นมาถือไว้แน่น
“ออกมานะ!” หญิงสาวส่งเสียงตวาดออกไป พร้อมกับชี้ปลายมีดแหลมคมไปทางร่างสูงโปร่งในเสื้อคลุมสีดำที่ยกมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้มาเพื่อทำอันตราย มือขาวเลื่อนผ้าคลุมหน้าออก นัยน์ตาสีดำขลับที่เจือประกายกลัวเกรง แม้ริมฝีปากบางที่ยิ้มเริงร่า
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ เห็นซิสเตอร์คุยกันอยู่ผมถึงไม่อยากเข้าไปรบกวน ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ เอ่อ...วางมีดหน่อยได้ไหม มันเสียวพิลึกๆนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อน ร่างสูงโปร่งค่อยๆสาวเท้าออกมาจากกองไม้ สองมือยังคงยกค้างไว้
“มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เซลิเนียดันร่างบางของคาเธสให้หลบไปอยู่ข้างหลัง มือยังกำมีดไว้โดยหันปลายเข้าหาชายหนุ่ม
“มาได้ยังไงผมก็ยังสงสัยอยู่ครับ รู้ว่าเมื่อคืนเดินร่อนๆมาทั้งคืนเลย หิวจะตายอยู่แล้ว มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบครับ แต่รู้ว่านานพอที่จะได้ยินซิสเตอร์คุยกัน ผมไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ แค่นั่งฟังเฉยๆเท่านั้นเอง ไม่ได้แอบเลย”
“นั่งฟังเฉยๆ แล้วทำไมต้องปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ด้วย” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเบือนไปมองต้นโอ๊คใหญ่ ชายหนุ่มหันมองตามแล้วหัวเราะเสียงแผ่วพยายามกลบเกลื่อน ร่างสูงสาวเท้าเข้าใกล้ปลายมีดคมกริบอย่างเชื่องช้า รู้สึกหนาวยะเยือกกับสายตาที่มองเขม้นตรงมา
“ก็เสียงน่ารัก เลยอยากเห็น...”
“อย่ามาล้อเล่นกับฉัน!” เซลิเนียตวาดใส่ กระทุ้งปลายมีดเข้าหา ร่างสูงกระโดดถอยหลังแล้วร้องโวยวายไม่เป็นภาษา
“เหวอ!! ย...อย่า!! ก็ได้ๆ ผมแอบดูอยู่ ผมมาตามหาคน ที่นี่ใช่เซนต์ ฮาเวนหรือเปล่า” ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ เหลือบนัยน์ตามองมือบางที่ถือมีดอย่างหวาดๆ เซลิเนียขมวดคิ้วยุ่ง แล้วพินิจดูบุคลิกภายนอกของเขาอย่างถี่ถ้วนเป็นครั้งแรก...ชายหนุ่มรูปร่างสูงบอบบางในเสื้อยืดสีขาวแขนยาว กับกางเกงหนังสีดำ ใบหน้าขาวซีดเซียวติดจะใสซื่อและกำลังหวาดหวั่น นัยน์ตาสีดำขลับ และเส้นผมหยักศกสีเดียวกันยาวคลอข้างแก้ม
ดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา...แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็สั่งให้เธอไม่ไว้ใจ
เซลิเนียสูดลมหายใจลึกแล้วเชิงปลายคางขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“ไม่ใช่”
“ใช่ค่ะ”
นัยน์ตาของหญิงสาวทั้งสองหันมองสบกันโดยไม่ต้องนัดหมาย เมื่อได้ยินเสียงของอีกคนที่ต่างฝ่ายต่างพูดขึ้นในเวลาเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง เพียงแค่ความหมายต่างกันลิบลับ เซลิเนียทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพยายามส่งสายตาสั่งให้คนข้างๆเงียบ คาเธสเลิกคิ้วขึ้นแล้วประกบสองมือไว้หว่างอก
“ที่นี่เซนต์ ฮาเวนค่ะ มีธุระอะไรหรือ อ๊ะ!” คาเธสสาวเท้าถอยหลัง เมื่อเซลิเนียฉุดข้อมือเธอแล้วก้าวขึ้นมายืนข้างหน้าแทน มีดในมืออีกข้างยกขึ้นจ่อระดับลำคอคนตรงหน้า ชายหนุ่มแสร้งตีสีหน้าตกใจแล้วชูมือสองข้างขึ้นสูง
“ย...อย่าเล่นของมีคมซิครับ ถ้าที่นี่คือเซนต์ ฮาเวน ผมจะมาตามหาคน” จบคำ มีดคมกริบก็ขยับเลื่อนขึ้นสู่ซอกคอขาว ขยับเพียงนิดคมมีดก็เฉือนเอาผิวเนื้อบริเวณลำคอจนเกิดรอยแผลบาง ร่างสูงสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาจับจ้องลึกลงสู่ดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า...มองเห็นความเวิ้งว้างในจิตใจที่ว่างเปล่า
“ฉันบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง”
“ผมมาตามหาคุณแม่ซาห์นา ขอพบได้ไหม เดี๋ยวเดียวก็จะกลับแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยรัวเร็ว ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น มีดที่จ่ออยู่ข้างลำคอก็หลุดหล่นจากมือบาง เขารับมันไว้ด้วยสองมืออย่างทุลักทุเลพยายามไม่ให้มือตัวเองโดนบาด ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวสองคนที่ทำสีหน้าตื่นตกใจ
ริมฝีปากบางยิ้มระเรื่อ แล้วโค้งตัวลงอย่างสุภาพ “ผมอลิทส์ ราเอลครับ”
“อลิทส์” คาเธสยกสองมือขึ้นปิดริมฝีปากแล้วอุทานออกมาเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มได้ยิน นัยน์ตาสีดำขลับหันมองหญิงสาวแล้วกระตุกมุมปากยิ้มน้อยๆ ดวงหน้าเอียงไปด้านข้างราวกับจะถาม คาเธสยิ้มตอบรับ เธอลดสองมือลงแตะแผ่นอก “ค่ะ...ชื่อเหมือนกับ...”
“คาเธส!” เซลิเนียกดน้ำเสียงหนัก ร่างบอบบางของคาเธสสะดุ้งเฮือก แล้วก้มหน้าพึมพำต่อประโยคด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“ฉันหมายถึงชื่อของคุณมีความหมายที่ดีน่ะค่ะ”
“จริงเหรอ” อลิทส์เลิกคิ้วขึ้นสูง น้ำเสียงทุ้มนุ่มแสดงถึงความสงสัย คาเธสขยับรอยยิ้มหวานแล้วพยักหน้ารับเร็วๆ “ผมไม่เคยรู้ความหมายของชื่อตัวเองเลย คนที่เลี้ยงผมตอนเด็กๆเป็นคนตั้งให้น่ะครับ ว่าแต่...มันมีความหมายว่าอะไร”
“อลิทส์ หมายถึงความร่าเริงสดใสค่ะ”
“จริงเหรอ...ดีจริงๆด้วย ไม่เคยรู้ก่อนเลยนะ”
เซลิเนียขยับแขนขึ้นกอดอกมองดูเพื่อนสาวของเธอและชายหนุ่มแปลกหน้ายืนคุยกันด้วยรอยยิ้มแล้วเสียงหัวเราะ แม้จะยังไม่ปักใจเชื่อเต็มที่ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่จากท่าทีและ ‘ธุระ’ ของเขากลับทำให้เธอรู้สึกสงสัย ใบหน้าของเขาดูร่าเริงก็จริงอยู่...แต่ในดวงตาคู่นั้นเธอเห็นถึงอะไรหลายๆอย่างที่ปะปนกัน ความทุกข์ทรมาน...เสียงกรีดร้องที่เศร้าหมอง
“ถ้ามีธุระกับที่นี่ก็เข้ามาซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะปิดประตูแล้ว” เซลิเนียเดินอ้อมรั้วแล้วผลักประตูเปิดออกกว้างเป็นเชิงเชื้อเชิญ ก่อนจะก้าวนำไปโดยไม่หันมาสนใจอีก
“แล้วชื่อของซิสเตอร์แปลว่าอะไรหรือครับ” อลิทส์ก้มเก็บเสื้อคลุมของตัวเองมาถือไว้ในอ้อมแขนหันไปพูดกับหญิงสาวข้างๆ ขณะที่เดินตามเซลิเนียเข้าสู่ทางเดินหน้าประตูโบสถ์ คาเธสยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แปลว่าหญิงรับใช้ค่ะ”
อลิทส์นิ่งเงียบไป ความสงสัยที่ว่าทำไมเธอจึงดูลำบากใจกระจ่างขึ้นทันที เธออาจจะคิดอยู่...ว่าชื่อตัวเองฟังความหมายแล้วช่างรู้สึกต่ำต้อย แต่เขากลับไม่คิดแบบนั้น
“เป็นความหมายที่ดูเข้มแข็งและซื่อสัตย์ดีนะครับ” เขาเอ่ยออกมาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ที่คนข้างๆสัมผัสได้ คาเธสหัวเราะเบาๆไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากใคร ความหมายในชื่อของเธอนอกจากแม่ซาห์นาและเซลิเนียแล้ว ไม่มีใครรู้ความหมาย ไม่มีใครเคยเอ่ยปากชมว่มันไพเราะหรือมีความหมายเลิศเลอนอกจากชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ ความรู้สึกดีใจมันเอ่อล้นขึ้นมาจนต้องเอ่ยกลบเกลื่อน
“ไม่หรอกค่ะ ชื่อของเซลิเนียซิ มีความหมายดี”
คนถูกอ้างอิงถึงทำหูทวนลมแล้วเปิดประตูใหญ่ ก้าวเข้าสู่ตัวโบสถ์ ยังได้ยินเสียงชายแปลกหน้าดังรอดเข้าขณะที่เจ้าตัวสาวเท้าตามมาช้าๆอย่างไม่รีบร้อน
“แปลว่า ความศรัทธา น่ะค่ะ”
“ยิ่งใหญ่จัง...” อลิทส์ลอบเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังบาง เหมือนเธอจะรู้สึกตัวจึงควัดนัยน์ตาคมดุสีน้ำตาลหันมา นักล่าหนุ่มสะดุ้ง แล้วแสร้งหันมองหน้าต่างบานใหญ่ที่ประดับกระจกสีสะท้อนประกายแสงแดดยามเช้าอย่างงดงาม ส่องให้เห็นลวดลายภาพวาดมือบนผนังโบสถ์ที่บรรจงสร้างขึ้นอย่างประณีตทุกลายละเอียด
อลิทส์ไล่สายตาจากโต๊ะตัวยาวขึ้นไปถึงหน้าแท่นพิธี และพระรูปตรึงกางเขนสลักจากหินอ่อนมีร่องรอยปริร้าว สวยงามราวกับสรวงสวรรค์...อลิทส์ได้ยินเสียงในใจของตัวเองเอ่ยออกมาเช่นนั้น บนสวรรค์คงจะงดงามแบบนี้...แต่มือของเขาที่เคยสร้างความชั่ว อาจจะดึงเขาลงสู่ห้วงนรกยามที่ต้องตายจากโลกนี้ไป
เพียงภาชนะที่รองรับบาปจากพระผู้เป็นเจ้า...อุ้งหัตถ์แห่งพระองค์ไม่ต้อนรับเขา
“นายมีธุระอะไรกับแม่ซาห์นา บอกมาเดี๋ยวนี้” เสียงหนักแน่นของเซลิเนียดึงให้เขาหลุดจากห้วงคำนึงนรกสวรรค์กลับลงมาสู่โบสถ์เซนต์ ฮาเวน และนัยน์ตาเรียวคมดุของหญิงสาวที่จับจ้องเขาเขม้น อลิทส์ส่งรอยยิ้มออกไปปูทาง สองมือประสานกันอย่างสุภาพแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“ผมขอพบกับคุณแม่ซาห์นาก่อน แล้วจะแจ้งธุระแก่คุณแม่เองได้ไหมครับ”
เหมือนซิสเตอร์สาวจะไม่ได้ใส่ใจรอยยิ้มของเขานัก เซลิเนียเบือนใบหน้าออกหันมองพระรูปตรึงกางเขนด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าวแล้วโพล่งออกมาด้วยเสียงหนักแน่นพยายามบังคับไม่ให้สั่นเครือ
“คุณแม่ท่านเสียแล้ว...เมื่อห้าปีก่อน”
ชายหนุ่มชะงักค้างไปทันที นัยน์ตาสีดำขลับเบิกค้างอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะหันมองคาเธสที่ยืนอยู่ข้างๆ สบนัยน์ตาเศร้าหมองของเธอที่พยักหน้ารับเบาๆแล้วจึงมั่นใจว่าคราวนี้เซลิเนียพูดความจริง ความรู้สึกสูญสิ้นเรี่ยวแรงถาโถมเข้าใส่จนแทบพยุงตัวไว้ไม่ได้
“ต้องขออภัยอย่างยิ่งเลยนะครับ ที่ไม่เคยทราบข้อมูลนี้มาก่อน อย่างนั้นผมคงมาเสียเที่ยว” อลิทส์โค้งตัวลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแท่นพระรูป นัยน์ตาสีดำขลับพริ้มหลับพึมพำบทสวดเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะหน้าผากลากลงสู่แผ่นอกและบ่าสองข้าง
ทันทีที่ลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยก็แทรกซึมขึ้นมาจากแผ่นหลัง ความเจ็บปวดของคมมีดที่กรีดซ้ำลงบนรอยแผลบาดลึกถึงกระดูกสันหลัง มันรวดร้าวคล้ายร่างกานจะถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ ของเหลวอุ่นที่ไหลซึมลงมาแสบร้อนเข้าไปถึงในจิตใจ
อลิทส์เบือนใบหน้าซ่อนความเจ็บปวด แต่กระนั้นซิสเตอร์สาวทั้งสองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปรกติ ขณะที่เซลิเนียพยายามนิ่งแล้วมองหาของที่จะเป็นอาวุธได้เผื่อจำเป็นต้องป้องกันตัว คาเธสก็แตะที่บ่าพยุงร่างสูงไว้
“อลิทส์ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่ดีเลย” คาเธสเลื่อนมือลงไปสัมผัสแผ่นหลังเขา แล้วกรีดเสียงร้องอย่างตกใจ อลิทส์ผลักเธอออกห่าง เซลิเนียรีบวิ่งตรงเข้ามาดึงข้อมือของเพื่อนสาวทันที “เลือด...คุณบาดเจ็บ” คาเธสก้มลงมองเลือดที่ฝ่ามือตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่สั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด
อลิทส์กัดริมฝีปากแน่น แล้วส่ายหน้าช้าๆ ชายหนุ่มสาวเท้าเดินมาข้างหน้าไม่กี่ก้าวแล้วยื่นมีดเล่มยาวที่อยู่ใต้เสื้อคลุมในอ้อมแขนส่งคืนให้เซลิเนีย มองดูมือสั่นๆที่ยื่นออกมารับมันกลับแล้วอมยิ้มบางๆ ชายหนุ่มตวัดเสื้อคลุมขึ้นสวม ตั้งท่าจะเดินออกไปแต่ซิสเตอร์สาวรั้งชายเสื้อเขาเอาไว้
“เดี๋ยว” เซลิเนียขมวดคิ้วยุ่ง จับชายเสื้อคลุมแน่นแล้วตวัดมันออกโดยแรง รอยเลือดที่แผ่นหลังชายหนุ่มมันซึมผ่านเนื้อผ้าเป็นรูปร่างของไม้กางเขน...เธอมองอย่างแปลกใจ ความสงสัยที่ยังเคลืองแคลงในใจไม่จางหายสั่งให้เธอเอ่ยออกไปโดยไม่ยั้งคิด “คุณมีธุระอะไรกับคุณแม่ บอกกับฉันได้ไหม ถ้าช่วยได้ฉันก็อยากจะช่วย”
อลิทส์ยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่ววูบ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆพลางส่งยิ้มให้ซิสเตอร์สาว ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวขาจากไป มือเล็กๆของคาเธสก็ตรงเข้ามาช่วยดึงชายเสื้อเขาไว้อีกแรง
“อย่างน้อยขอให้ได้ช่วยทำแผลได้ไหมคะ ทราบว่าคุณยังไม่ได้ทานอะไร อยู่ทานมื้อเช้าก็ยังดี”
“ช่างเถอะ...คาเธส” เซลิเนียดึงมือเพื่อนสาวแล้วดันให้เธอถอยออกห่างจากชายแปลกหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องนักล่าหนุ่มอย่างจริงจัง “ถ้าไม่อยากรับความช่วยเหลือทางเราก็ไม่รั้งไว้ให้ลำบากใจหรอก ช่วยเดินไปตายไกลๆโบสถ์ด้วยล่ะ”
ตาย...ถ้อยคำที่เสียดแทงโสตประสาท อลิทส์ข่มความโกรธเคืองไว้ภายใต้รอยยิ้มเฉยชา
“อย่าไปฟังนะคะ เซลิเนีย เธอพูดแรงเกินไปแล้ว” คาเธสหันไปพูดใส่เพื่อนข้างๆแล้วหันมาดึงเสื้อชายหนุ่มไว้แน่น นัยน์ตารื้อหยาดน้ำอย่างห่วงใย “ฟังฉัน...ขอร้องเถอะค่ะ อย่าออกเดินทั้งๆที่บาดเจ็บเลยนะคะ”
“คาเธสฉันบอกให้หยุดไง” เซลิเนียยื้อยุดมือบางของเพื่อนไว้ คาเธสสบัดตัวออกพยายามจะผลักเธอ แต่มือกลับพลาดไปเกี่ยวโดนสายลูกปัดร้อยไม้กางเขนสะพายข้างจนมันขาด ไม้กางเขนขนาดเท่าฝ่ามือที่ร้อยอยู่ในสายลูกปัดหล่นลงสู่พื้น อลิทส์เบิกนัยน์ตาค้างเมื่อมองเห็นลายละเอียดงดงามนั้น
“ตายแล้ว” คาเธสร้องอย่างตกใจแล้วก้มลงเก็บไม้กางเขนของเซลิเนียขึ้นมาเกาะกุมไว้ที่หว่างอก นัยน์ตาสีฟ้ากลมโตเงยขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของด้วยความเสียขวัญ “...ฉันขอโทษ”
เซลิเนียยื่นมือออกไปหวังจะหยิบไม้กางเขนของตัวเองคืนมา หากแต่มือของชายหนุ่มแปลกหน้ากลับดึงฉวยมันไปก่อน เซลิเนียหันมองอย่างตื่นตกใจแล้วตรงเข้ากระชากไม้กางเขนกลับมาถือไว้อย่างหวงแหน อลิทส์สาวเท้าถอยหลังด้วยความตกใจไม้แพ้กัน
“ผม...แต่ เอ่อ...” อลิทส์อึกอักไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร จึงตัดสินใจปลดเสื้อคลุมของตัวเองออก รวมทั้งเสื้อยืดสีขาวออกจากตัว
“ทำอะไรน่ะ!!” เซลิเนียกรีดเสียงร้องแล้วดันร่างของเพื่อนก้าวถอยหลังไปพร้อมกัน มือบางอีกข้างกำมีดคมกริบไว้แน่น อลิทส์ทิ้งเสื้อสีขาวลงข้างตัวแล้วขยับรอยยิ้มให้เธอเล็กน้อย
“จะให้ดู ‘ธุระ’ ที่ว่าไงล่ะครับ” ร่างสูงหมุนตัวหันแผ่นหลังให้ซิสเตอร์สาว รอยแผลรูปไม้กางเขน ปลายด้านบนลากยาวเกือบถึงลำคอ สองด้านข้างยาวสุดความกว้างของแผ่นหลัง ปลายด้านล่างทิ้งตัวลงจนถึงบั้นเอว ลวดลายคล้ายใบหน้าให้ผ้าคลุมถูกสลักไว้ตรงกลางไม้กางเขน มีสัญลักษณ์คล้ายดาบยาวไขว้อยู่ตรงรอยต่อ แผลฉกรรจ์ลึกลากเป็นลวดลายชัดเจน เลือดสีแดงคล้ำที่รินไหลไม่หยุดตัดกับผิวขาวซีด
คาเธสยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองแล้วเบือนใบหน้าหนีหันมองเซลิเนียที่ทำสีหน้าตื่นตกใจ “แผลของเขาเหมือนกับ...โรซาริโอของเธอ”
เซลิเนียก้มลงมองไม้กางเขนในมือ กำมันไว้แน่นแล้วสูดลมหายใจลึก อลิทส์ค่อยๆหันกลับมาแล้วคว้าเสื้อของตัวเองมาสวม นัยนืตาสีดำขลับมองหญิงสาวราวกับจะเร่งรัดให้เธอเอ่ยอะไรบออกมาบ้าง เซลิเนียยืนนิ่งแล้วตัดสินใจเบือนใบหน้าหนีอย่างเฉยชา
“อันที่จริง ผมถูกคณะยิปซีเรร่อนเก็บไปเลี้ยง แผลนี่ติดตัวตั้งแต่เกิด มันไม่หาย และอาการแย่ลงกว่าเดิมทุกวัน แม่...เอ่อ...คนที่เก็บผมมาเลี้ยง บอกกับผมไว้นานแล้วว่าคุณแม่ซาห์นาที่โบสถ์เซนต์ ฮาเวนอาจจะช่วยเหลือผมได้ เมื่อหลายปีก่อนผมจึงออกจากคณะเดินทางมาเพื่อตามหา จนรู้ว่าเซนต์ ฮาเวน อยู่ที่อันดอร์ลานี่ แต่มาตอนนี้มันก็สายไปแล้ว”
อลิทส์ก้มใบหน้าหลบแววตาเฉยชาอย่างสิ้นหวัง...มือขาวขยุ้มเสื้อคลุมสีดำของตัวเองแน่น ความเงียบที่ครอบคลุมอยู่เนิ่นนานจนน่าอึดอัด สุดท้ายเอไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายขอตัว ร่างสูงโค้งตัวลงเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ขยับเท้าก้าวออกไป จมูกก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลกๆ
“กลิ่นอะไรน่ะ” คาเธสเป็นคนเอ่ยถามขึ้นทำให้อลิทส์รับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง นัยน์ตาสีดำขลับหันไปมองซิสเตอร์สาวทั้งสองที่เหลียวมองหน้าหลังหาที่มาของกลิ่นหวานฉุนๆที่ลอยคละคลุ้ง
“คล้ายๆ...เหล้ารัมขาว กับ...” เซลิเนียเอ่ยออกมาเบาๆ อลิทส์สูดลมหายใจลึก แล้วเบิกนัยน์ตาค้าง
“ดินปืน!? ออกไปข้างนอกเร็ว!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง แล้วฉุดข้อมือหญิงสาวทั้งสอง เซลิเนียรีบสะบัดมือออกเต็มแรง แล้วดึงคาเธสไว้ อลิทส์หันมาตวาดด้วยน้ำเสียงกร้าว “ออกไปข้างนอก!! มีคนคิดจะ...”
ตูม !
เสียงกึกก้องพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกท่วมขึ้นมาจากแท่นพระรูปดังขึ้นต่อถ้อยคำที่เหลือของนักล่าหนุ่มได้เป็นอย่างดี คาเธสกรีดร้อง อลิทส์ทุ่มร่างผลักเธอให้ก้มลงกับพื้นหลบเศษกระจกที่กระเทาะตัวแตกออกเรียงทีละบานร่วงกราวลงมาสู่เบื้องล่าง
“ออกไปเร็ว!!” อลิทส์ผุดลุกขึ้นแล้วห่มเสื้อคลุมตัวเองลงกับร่างสั่นเทาของซิสเตอร์สาวแล้วอุ้มเธอไว้ ก่อนจะวิ่งออกไป ชายหนุ่มชะงักเท้าหันกลับไปมองเซลิเนียในชุดขาวเปรอะเปื้อนสีแดงเลือดเป็นหย่อม นัยน์ตาเบิกค้างเงยขึ้นมองด้านบน อลิทส์เงยหน้ามองตาม พระรูปตรึงกางเขนหินอ่อนที่ถูกแรงระเบิดอัดกระแทกปริแตกกำลังทรุดตัวลง
“ซิสเตอร์!!” อลิทส์ตะโกนร้อง แล้ววิ่งไปคว้าข้อมือของเธอทัน ก่อนที่รูปสลักใหญ่โตจะทรุกลงมา เศษหินอ่อนกระจัดกระจายกระเด็นเต็มพื้น เสียงระเบิดอีกละลอกดังตามมา จนโบสถ์ทั้งหลังที่ทำจากไม้สั่นสะเทือนเพราะรับแรงระเบิดไม่ไหว
เศษไม้ลุกท่วมเปลวเพลิงหล่นลงมาจากหลังคา ตกลงตรงบริเวณโต๊ะไม้ที่เป็นเชื้อไฟ ทำให้มันลุกโหมหนักขึ้นลามไปทั่ว ภาพวาดบนฝาผนังโดนไฟลุกลามทิ้งไว้เพียงรอยไหม้เกรียมและควันหนาทึบสีเทาจนมองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป
ความร้อนมันแผดเผาทั้งบนผิวเนื้อและจิตใจที่แห้งผากไหม้เกรียมเป็นผุยผงไม่เหลือชิ้นดี
อลิทส์ดึงซิสเตอร์สาวออกมานอกบริเวณ แล้ววางร่างของคาเธสลงข้างตัว มือบางของเธอประกบปิดริมฝีปากไว้แน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กรีดเสียงร้อง หยดน้ำตาที่ไหลรินลงเต็มสองข้างแก้มบ่งบอกความรู้สึกของเธอได้เป็นอย่างดี
เซลิเนียก้าวเท้าออกไปข้างหน้า นัยน์ตาสีตาลเข้มเงยขึ้นมองตัวโบสถ์ที่ลุกไหม้ด้วยเปลเพลิงสีส้มเข้มไหวพะยาบตามแรงลมคล้ายกำลังเริงระบำเยาะเย้ยเธอ กลิ่นเลือดจางๆและหยดน้ำอุ่นที่ไหลรินจากหน้าผากสู่แก้ม มันไม่เจ้บปวด...เท่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
กางเขนใหญ่บนหลังคาโบสถ์หักโค่นลงมาพร้อมกับถูกเปลวไฟกลืนกินเหลือเพียงเถ้าถ่าน
มือบางกำแน่นจนสั่นสะท้าน พยายามสะกดกล้นน้ำตาแห่งความเสียใจและโกรธเคืองไว้ภายใน เซลิเนียตวัดใบหน้าไปหาชายหนุ่มแปลกหน้า แล้วล้วงหยิบปืนสั้นขึ้นมาจ่อระดับใบหน้า ข้อนิ้วบางเสียดลงกับไกปืนเตรียมลั่นกระสุน
“ฟังผม ! ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ! อย่า ! ซิสเตอร์!” อลิทส์ตะโกนแข่งกับเสียงปะทุของเปลวเพลิง
“เซลิเนีย !”
เปรี้ยง !!
กระสุนพุ่งแหวกอากาศออกจากปากกระบอกปืนกระบอกอื่นที่ไม่ใช่ของเธอ!...เซลิเนียได้ยินเสียงดังลั่นนั้นเต็มสองหู รับรู้ถึงแรงกระแทกของร่างหนึ่งที่พุ่งเข้ามาผลักเธอจากด้านหลัง เสียงกระสุดฝังลงเสียดกับผิวเนื้อ เลือดอุ่นรินไหลเปรอะเปื้อนร่างกายของเธอ
เธอไม่ได้ยิง...นัยน์ตาสีน้ำตาลก้มลงมองปืนในมือตัวเอง เงยขึ้นมองอลิทส์ที่เบิกนัยน์ตาค้าง ใช่...เธอไม่ได้ยิง เพราะถ้าเสียงนั้นเป็นกระสุนของเธอ เจ้าหนุ่มแปลกหน้านั่นคงไม่ยืนอยู่ได้แบบนี้...แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ท่ามกลางโสตประสาทที่อื้ออึงเธอได้ยินเสียงที่ตะโกนดังชัดเจน
“ซิสเตอร์!”
เธอเงยหน้ามองร่างสูงของชายแปลกหน้าที่พุ่งตรงเข้ามาหา ไม่ใช่...เข้าวิ่งเลยไปที่ด้านหลังเธอแล้วโอบอุ้มร่างของหญิงสาวนชุดขาวไว้...รอยเลือดที่แผ่นอกเยื้องไปทางซ้าย รอยเลือดที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาให้จิตใจ
เซลิเนียทรุดตัวลงกับพื้นไม่กล้าหันไปมอง หยดน้ำตาหลั่งรินลงมาโดยไม่อาจห้าม ใครจะเป็นคนยิง...เธอไม่สน ใครที่วางระเบิดบ้านที่รักของเธอ เธอไม่ใส่ใจ ใครจะเกลียดชังเธอยังไงก็ช่าง...แต่เพียงสิ่งเดียวในตอนนี้ คือให้ผู้หญิงคนนั้นปลอดภัย
“หยุดนะเว้ย!!”
เสียงของอลิทส์ตะโกนกรีดร้องดังเข้ามาในโสตประสาท เซลิเนียหันไปมองร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วเห็นเขาดึงมีดเล่มสั้นประมาณสองคืบออกมาจากเข็มขัดหนังข้างต้นขา คมมีดเป็นสีดำขลับกลมกลืนกับสีกางเกงหนังของเขา เพียงเสี้ยววินาทีที่มือข้างนั้นขว้างมีดครบกริบออกไป
ฉึก!
เสียงคมมีดปักเข้าที่หลังคอของร่างที่วิ่งอยู่ไม่ไกลท่ามกลางควันสีทึบที่ช่วยอำพรางจนแทบมองไม่เห็นตัว ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น ตามด้วยกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กระโดดออกมาจากที่ซ่อนตรงเข้ามาดูศพของเพื่อน แล้วยืนรออยู่ตรงนั้น อลิทส์วิ่งเข้าไปทันทีโดยไม่รอช้า
เสียงเอะอะโวยวายของชาวบ้านแถวนั้นดังขึ้นมาพร้อมกับถังน้ำที่ถือกันมาคนละใบ ทำให้กลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หมอกควันวิ่งกระจายตัวหนีหายไป อลิทส์ที่วิ่งตามเข้าไปหยุดอยู่แค่ครึ่งทางเพราะควันสีทึบที่จับตัวแน่นจนมองอะไรไม่เห็น
เซลิเนียช้อนประคองร่างบางของคาเธสมางไว้บนตัก มือขาวเกลี่ยเส้นผมที่ปรกนัยน์ตาเธอออก แล้วเกาะกุมมือขาวซีดเย็นเฉียบไว้แน่น...นัยน์ตาคู่สีฟ้าของคาเธสเบิกค้างเหลือบหันมามองเธอแล้วจึงค่อยๆหรี่ปรือลง ริมฝีปากบางราวกับจะขยับรอยยิ้ม แล้วทุกสิ่งก็ดับมืด
“คาเธส” เซลิเนียกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาสั่นเครือ แล้วกอดร่างบางของเพื่อนไว้แน่น ควันหนาทึบสลายตัวกระจายหายไปจากสายน้ำที่ชาวบ้านช่วยกันสาดเข้าใส่ดับเปลวเพลิงร้อนระอุเมื่อครู่ให้เหลือเพียงเศษเถ้าถ่านไหม้ดำ
“ซิสเตอร์”
เสียงของใครบางคนดังขึ้นข้างหูเธอ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงพบว่าเขาคือราฟาหมอประจำโรงพยาบาลในเมืองที่มักจะแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ ราฟาแตะนิ้วลงกับข้างลำคอของซิสเตอร์สาว ใช้นิ้วมือขยับหนังตาเธอแล้วก้มมองดูปฏิกิริยาตอบสนองก่อนจะถอนหายใจหนักแล้วเบือนหน้าออก
“คุณหมอ...”
“เธอเสียชีวิตแล้ว” เสียงของราฟาที่ดังสิ้นสุดลงเป็นเสียงสุดท้าย ชาวบ้านที่ยืนอยู่ในบริเณนั้นต่างนิ่งเงียบ มีเพียงแค่เสียงร่ำร้องไห้ของเซลิเนียที่ดังสะท้อนอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน ราฟาถอยหลังออกไปยืนข้างๆ ถอดหมวกออกวางไว้ระดับอก แล้วก้มศีรษะพึมพำบทสวดเช่นเดียวกับที่ชาวบ้านที่มุงดูอยู่รอบๆ
“ซิสเตอร์!”
คนถูกเรียกไม่ได้หันไป แม้กลุ่มของชาวบ้านมามุงดูจะแหวกออกเป็นวงกว้างบ้างก็กรีดเสียงร้องด้วยความตกใจ อลิทส์เดินเข้ามาด้วยเสื้อผ้าที่เปื้อนเขม่าควันและรอยเลือด ในมือลากคอเสื้อศพของชายหนุ่มคนหนึ่งติดมือมาด้วย เขาโยนมันลงตรงหน้าเธอแล้วคุกเข่าลงจับไหล่บางสองข้างไว้
“มันอยู่นี่ซิสเตอร์ มือปืนคนนั้น ซิสเตอร์รู้จักมันใช่ไหม”
“ไม่! ฉันไม่รู้ ออกไปนะ ออกไปเดี๋ยวนี้!!” เซลิเนียยกมือขึ้นปิดหูตัวเองแล้วซบใบหน้าลงกอดร่างบอบบางในอ้อมแขนแน่น ร่ำร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด เสียงแผ่วเบาเรียกชื่อคาเธสซ้ำๆจนแผ่วจางไปเหลือเพียงไหล่บางที่สั่นกระตุกด้วยแรงสะอื้น
“ซิสเตอร์” อลิทส์พึมพำเสียงแผ่ว มือข้างหนึ่งยื่นออกไปจะแตะตัวเธอ แต่มือของหมอราฟาก็ตบลงกับบ่าของเขาเป็นเชิงห้าม
“ถ้าอยากรู้อะไร เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังเองนะพ่อหนุ่ม” ราฟาดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นอย่างเลื่อนลอย อลิทส์ก้มใบหน้านิ่งขอบตาร้อนผ่าวมันหลั่งรินหยาดน้ำตาลงมาด้วยความเจ็บปวดสุดหัวใจ ราฟาหันไปหาหญิงสาวร่างท้วมคนหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พาซิสเตอร์ไปที่โรงพยาบาลทีนะ เราต้องทำแผลให้เธอ”
อลิทส์เหลียวหลังไปมองหญิง่างท้วมกับชาวบ้านอีกสามคนที่พยายามพยุงเซลิเนียขึ้นยืน ก่อนที่ชายหนุ่มร่างใหญ่อีกคนจะเข้ามาอุ้มคาเธสขึ้นจากพื้น...
นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเข้มที่เหม่อลอยเบือนมาสบตาเขาเพียงชั่วครู่ แค่เสี้ยววินาทีหนึ่งไหลเวียนผ่าน แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากนัยน์ตาคู่นั้น...มันว่างเปล่าราวสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง ว่างเปล่าไม่ต่างจากซากศพไร้วิญญาณและลมหายใจ เหน็บหนาวและเวิ้งว้าง...เหมือนกับชีวิตของเขา
ความคิดเห็น