คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [ [ . . . : Chain Soul : . . . ] ] Chapter 2 - การกลับมาของเจ้าหญิงแห่งเหมันต์ I
Chapter 2 - การกลับมาของเจ้าหญิงแห่งเหมันต์
บรัศว์ผลักบานประตูรั้วไม้เตี้ยๆ ที่แกะสลักลวดลายของเทพอัปสรบนขอบประตู ชายหนุ่มสอดแทรกนัยน์ตามองดูม่านมูลี่ที่ขึงปิดบานประตูกว้างภายในตัวบ้าน...เงียบอีกแล้ว พักหลังๆมานี่ที่บ้านจะเงียบอยู่เรื่อย บรัศว์สลัดรองเท้านักเรียนออกแล้วใช้เท้าเขี่ยๆมันให้วางเข้าที่
ป้ายเหนือประตูบานใหญ่เขียนด้วยอักษรสีทองบนแผ่นไม้ที่แกะสลักเป็นลายกนก
สำนักลูกพ่อขุนวนันดร์
กลิ่นควันธูปอบอวลมาจากภายใน ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมนั้นอย่งคุ้นเคย ก่อนจะเหลียวมองรอบพื้นบ้าน มันสะอาดจนแปลกตา...สะอาดมาหลายวันจนเขาเริ่มกังวลใจ สะอาดเพราะภายในสำนักโหราศาสตร์ของพ่อร้างผู้คนจนแม้แต่ฝุ่นยังไม่อยากจับจองพื้นที่
บรัศว์แหวกผ้าม่านมู่ลี่ออก แล้วเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน อากาศเย็นๆและน่าอึดอัดจากควันธูปที่ลอยโขมง เปลวเทียนสุกสว่างตั้งอยู่รายล้อม ส่องให้เห็นบุรุษบนที่นั่งซึ่งยกขึ้นสูงจากพื้น รอบข้างเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่เขาคุ้นตาดีตั้งแต่เด็กจนโต
“พ่อๆ” บรัศว์เอ่ยเรียก ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ดวงหน้าคมเข้มก้มลงมองพ่อใกล้ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นจ่อใต้จมูกเต็มรื้อหนวดเคราเพื่อพิสูจน์สัญญาณความมีชีวิต ชายหนุ่มขยับเสียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะใช้ปลายเท้าเขี่ยปลั๊กใต้ที่นั่งเพื่อปิดพัดลมที่พัดโหมควันธูปจากหลังม่าน “ลูกศิษย์ไปหมดแล้ว พ่อตื่นได้แล้ว”
“สมเด็จพ่อคร๊าบบบ ตื่นเถอะคร๊าบบ”
“หุบปากซะ ข้ากำลังนั่งทางในติดต่อกับท่านขุนไตรเทพา ไอ้ทายาทเลี้ยงเสียข้าวสุกอย่างเจ้าข้าไม่อยากจะเสวนา” พ่อขุนวนันดร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงวางประสานกันอยู่บนตัก นัยน์ตาที่เริ่มมีริ้วรอยหลับลงอย่างสงบนิ่ง
“ง่ะ...พ่อง่า...ยังงอนอยู่อีกเหรอเนี่ย...ก็เมื่อวานมันติดธุระเลยต้องไปนอนบ้านเพื่อน ไม่ได้กลับบ้านคืนเดียว ไม่เป็นไรหรอกน่า...”
โป๊ก!!
“ชิชะไอ้ลูกเวร ให้มันรู้ซะบ้างว่าพ่อมันเป็นห่วง ไอ้บ้านี่เล่นหายเงียบไปไม่บอกไม่กล่าว เดี๋ยวพระบิดาก็เผ่นกบาลให้หรอก” พ่อขุนวนันดร์โยนขันน้ำมนต์ที่เพิ่งประเคนใส่หัวลูกชายลงกับพื้นแล้วหันซ้ายหันขวาหาอุปกรณ์เสริม เรียกให้ผู้เป็นลูกรีบถลาตัวลงมากอดแขนพ่อ แล้วถูไถใบหน้าลงอย่างอ้อนส้นเท้า
“โหย...พระเดชพระคุณท่านสมเสร็จ เอ๊ย! สมเด็จพ่อ ทำเป็นพูด รู้หรอกน่าที่โกรธเนี่ยเพราะบรัศว์ไม่อยู่แล้วไม่ใครเอาโพยหวยไปส่งร้านเจ๊ตุ๊กให้ใช่ไหมล่ะ วันนี้หวยออกด้วยนี่...” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากแขนพ่อพลางหันมองปฏิทินที่แขวนอยู่บนเชิงเทียนข้างผนัง ขุนวนันดร์ตบเข่าดังฉาดใหญ่จนชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก
“เออซิวะ!! อุตส่าห์ได้เลขเด็ดมาจากท่านไตรเทพา...เอ็งนี่ทำเสียเรื่องหมด ไอ้ลูกล้างผลาญ” บรัศว์รีบละตัวออก เมื่อผู้เป็นพ่อขยับเข่าขึ้นตั้งท่าจะประเคนฝ่าเท้าใส่ลูกบังเกิดเกล้าอย่างไร้ไยดี
“ถ้ามั่นใจว่ามันจะถูกทำไมพ่อไม่ไปส่งเองซะล่ะ ไกลนิดไกลหน่อย ยืมซาเล้งอาโกไปก็ได้”
โครม!!
“เย้ยย!!” บรัศว์เบี่ยงตัวปลายเท้าที่พุ่งเสยเฉียดแสกหน้า ก่อนที่มัดก้านมะยมจะตามมาปะทะเข้าเสยปลายคางอย่างแม่นยำตามด้วยขันน้ำมนต์ที่ลอยละลิ่วไปไกลถึงหน้าประตู “อะไรเนี่ยพ่อ...” ชายหนุ่มถลาตัวออกแล้วลูบผมตัวเองให้เข้าทรง
“ยังมีหน้ามาพูด...ขุนวนันดร์อย่างข้าเนี่ยนะจะมาขี่ซาเล้งส่งโพยหวย ไม่มีทางเว้ย!”
“จะอดตายอยู่แล้วยังมาทำเป็นหยิ่ง...แล้วหวยน่ะเล่นเข้าไป ถูกกินทุกงวด” บรัศว์เถียงกลับ แล้วรีบถลันตัวออกห่างรัศมีการทำลายล้างของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วคว้าหยิบซองสีขาวขึ้นมาจากกระเป๋าสะพาย พาให้อารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้เป็นพ่อสงบลงอย่างฉับพลัน
“อร๊างงงง เงินๆๆๆ” พ่อขุนวนันดร์ทำตาเป็นประกายแล้วพุ่งฉิวเข้าคว้าซองในมือลูกชาย อ้าแขนกอดร่างสูงใหญ่อย่างรักใคร่ “สมเป็นลูกพ่อจริงๆให้ตายซิ...บรัศว์เอ๋ย...เทพยดาแห่งฟ้าดินส่งเจ้ามาเกิดจริงๆ” บรัศว์อุทานเสียงหลงเมื่อผู้เป็นพ่อยัดเงินเข้ากับอกเสื้อตัวเองด้วยความเร็วเหนือแสง
“เฮ้ย!! ไม่ได้ๆ พ่ออันนั้นหักไว้เป็นค่าเช่าบ้าน เดี๋ยวไอ้ยักษ์นั่นก็มาเผาบ้านเราหรอก” ชายหนุ่มรีบดึงเงินจากเสื้อพ่อ แล้วคว้าธนบัตรข้างในมาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเอง ก่อนจะยัดซองเปล่าๆใส่มือพ่อที่นั่งทำตาปริบๆอย่างงุนงง
“อ้าว...ไม่ได้เอามาก๊งหรอกเหรอเนี่ย”
“ก๊งบ้าอะไรเล่า!! พ่ออยากกินอะไรจดๆไว้เลย เดี๋ยวทำบุญใส่บาตรไปให้” ชายหนุ่มเอ่ย พลางตรวจดูซองในมือผู้เป็นพ่ออีกทีว่ามีเงินหลงเหลืออยู่รึเปล่า
“ไอ้บ้า...ยังไม่ตายเฟร้ย...ไอ้ลูกเหลือขอไปตายซะป๊ายยย!!”
“หว๊า!!!” บรัศว์รีบถลันตัวขึนจากพื้น เมื่อพ่อขุนวนันดร์ปรี๊ดแตกคว้าหยิบพระขรรค์ลงอาคมขึ้นเงื้อ ชายหนุ่มรีบสาวเท้าขึ้นบันได แล้วผลุบเข้าไปในห้องด้านในสุดอย่างรวดเร็ว ร่างสูงเอนหลังพิงประตูพลางขยับเสียงถอนหายใจยาว
บรัศว์หันซ้ายขวามองห้องส่วนตัวขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยข้าวของวางเกะกะ บนที่นอนที่ปูวางลงกับพื้น กองพะเนินด้วยหนังสือเรื่องลี้ลับที่คุ้นเคย หลังสือเรียนและตำราคาถาต่างๆนานาที่เปิดอ่านจนแทบจะท่องได้...พอถึงเวลาอ่านหนังสือสอบทีไร ทำไมมันไม่เห็นจำได้เหมือนตอนอ่านภาษาพิลึกกึกกือนั่นสักนิด
เสียงขลุกขลักดังขึ้นจากมุมห้องเรียกให้ชายหนุ่มหันไปมอง
“ปล่อยฉันออกไปไอ้บ้าเอ๊ย!!” เสียงเล็กๆอู้อี้ราวกับถูกบี้แบนดังขึ้นตาม บรัศว์เอียงคอมองต้นเสียงแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ร่างสูงสาวเท้าช้าๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างฟูกที่นอน บรัศว์เอื้อมมือปัดกองหนังสือระเกะระกะออก ทำให้กระปุกใสๆข้างใต้กลิ้งกลุกๆออกมา
“โอ๊ยๆๆ เวียนหัวเฟร้ย!! ไอ้เด็กบ้า ปล่อยฉัน!!!” บรัศว์คว้ากระปุกแก้วกลมๆขึ้นมองระดับสายตา กระไอสีแดงจางๆที่ลอยวนอยู่ภายในราวกับหมอกควันฟุ้งตัวขึ้นราวกับกำลังแสดงความโกรธเกรี้ยว ชายหนุ่มขยับถอนหายใจแล้วเปิดฝากระปุกออกก่อนจะโยนลงพื้นอย่างไร้ไยดี
“โอ๊ย!! ไอ้เด็กสันหลังหวะ ไอ้ป่วยทางจิต! ชอบสร้างความเดือดร้อน ไอ้เด็กมีปัญหาแต่ไร้ปัญญา!!” กระไอสีแดงฟุ้งตัวขึ้นจากปากกระปุกขณะที่เสียงเล็กๆยังคงดำเนินการด่าทอต่อไป กลุ่มควันค่อยโรยตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างของเด็กหนุ่มอายุไม่เกิน14ปี นัยน์ตาสีพระเพลิงสดตัดกับเรือนผมสีดำขลับ หากแต่เข้ากันได้ดีกับเสื้อคลุมสีแดงเข้มยาวลากพื้นทับเสื้อแขนยาวสีขาวที่ใส่ไว้ข้างใน
บรัศว์เอียงคอมองเด็กหนุ่มที่ผุดลุกขึ้นจากพื้นแล้วหอบน้อยๆเพราะลืมหายใจ เจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงขยับแขนขึ้นกอดอกแล้วพ่นเสียงสบถใส่เบาๆ
“ให้มันรู้เรื่องหน่อยไอ้เด็กโลกาวินาศ ฉันอายุมากกว่านายตั้งสามปีนะ” บรัศม์เอื้อมมือจิ้มหน้าผากเด็กหนุ่มแรงๆ จนร่างเล็กรีบสะบัดตัวออก แล้วใช้แขนเสื้อตัวยาวถูหน้าผากอย่างเกือบจะขยะแขยง “บ้าชะมัด...ทำไมพันธะกาลเวลาคราวนี้ถึงหมดฤทธิ์เร็วจังนะ”
นัยน์ตาสีเพลิงเบิกกว้าง ดวงหน้าคมเข้มตวัดหันมองชายหนุ่ม มือบางๆตวัดคว้าคอเสื้อร่างสูงอย่างเกรี้ยวกราด “แกนี่เอง ที่จับฉันยัดห้วงมิติอยู่ตั้งล้านปีแสง ไอ้โรคจิต! ชอบทรมาน กักขัง หน่วงเหนี่ยว ปล้นฆ่า ชิงทรัพย์ ข่มขืน ไอ้บ้าเอ๊ย!!” เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปด้านข้าง เปลวเพลิงที่ไหลออกมาจากอากาศรวมตัวกันเป็นกริชเล่มสีแดงยาวกว่าหนึ่งข้อศอก มือบางเงื้อมันขึ้นเหนือหัว ขณะที่นัยน์ตาสีดำขลับมองกริชเพลิงนั้นอย่างเฉยชา
“ฉันไปข่มขืนแกตั้งแต่เมื่อไหร่ฟ๊ะ!! แล้วล้านปีแสงบ้านพ่อขุนวนันดร์เด่ะ! แกอยู่ในนั้นแค่มิติเดียวเองนะเฟร้ย!! เทียบๆกันแล้วฉันใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี่ทรมานกว่าแกเยอะนะ ฝนก็ตก แดดก็ร้อน รถก็ติด เศรษฐกิจตกสะเก็ด คอลัปชั่นระงม แล้วไอ้พวกโจรภาคใต้อีก วันๆนึงฉันเสี่ยงตายนะ ยังมีหน้ามาด่ากันอีกเหรอวะ!!”
บรัศว์ยกมือขึ้นแตะกริชเพลิง เรียกกระไอสีน้ำเงินเข้มที่กลืนหมอกควันสีแดงจนเหลือเพียงฝุ่นบางๆ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีเพลิงจับจ้องคนตรงหน้าอย่างเคียดแค้น บรัศว์ขยับมือออกแล้วคว้าข้อเสื้อโยนโครมร่างเล็กลงไปนอนกองอยู่ข้างประตูห้อง
“ไม่อยากพูดมากนักหรอกนะ แต่มิติกาลเวลามันเวียนมาถึงแล้ว ถึงคราวนี้ออกจะผิดปรกติไปหน่อย” บรัศว์เงียบไปครู่แล้วก้มหน้าลง ราวกับกำลังพยายามทบทวนเรื่องบางเรื่องและภาพที่ยังสะท้อนอยู่ในห้วงคำนึงทุกครั้งยามหลับตา
ต้องเจอกับยัยนั่นอีกแล้วซินะ...ถึงจะบอกว่าไม่อยากเจอก็เถอะ
“เฮ้ย!!” บรัศว์สะดุ้งเฮือกเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบนัยน์ตาสีแดงเพลิงที่ยื่นเข้ามาใกล้จนมองเห็นวงแหวนไฟที่หมุนวนอยู่รอบนัยน์ตาข้างซ้ายของเด็กหนุ่ม บรัศว์ถลาตัวออกขณะที่ฝ่ายตรงข้าวก็ทำแบบเดียวกัน คิ้วเข้มขมวดมุ่น เมื่อนัยน์ตาของเด็กหนุ่มหรี่ลงมองเขาอย่างคาดคั้นแกมไม่ไว้ใจ “ไม่ต้องมองแบบนั้นเลยว้อย!! ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่คิดอะไรกับยัยนั่นหรอก”
เรือนคิ้วเข้มเหนือนัยน์ตาสีเพลิงเลิกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ เด็กหนุ่มแสยะรอยยิ้มที่มุมปาก ร่างสูงโปร่งค่อยๆเจือจางลงกลายเป็นหมอกควันสีแดง แล้วรวมกลับเป็นร่างๆเดิมหากแต่ย่อขนาดลงเหลือตัวเล็กเพียงฝ่ามือ ร่างเล็กลอยขึ้นเหนือพื้น มีกระไอควันสีแดงลอยตามติดอยู่ที่ปลายเท้า เด็กหนุ่มลากควันสีแดงวนรอบดวงหน้าคมเข้มที่เงยขึ้นมองเขาด้วยนัยน์ตาตื่นตระหนก
“ฉันรู้หรอกน่า...บรัศว์ ก็เจ้าหญิงน่ารักออกจะตาย” ร่างเล็กๆนั่งลงบนไหล่ของบรัศว์แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด “เพราะอย่างนั้นนะ...นายก็จงอยู่บนพื้น เป็นหมาขี้เรื้อนเห่าดาวเทียมต่อไปเถอะ” เด็กหนุ่มแตะมือเล็กๆลงบนบ่าเป็นเชิงปลอบใจ
“เชอะ...ดาวเทียม อะไรจะสูงส่งปานนั้น ถ้าบอกว่ายัยนั่นแบนเหมือนจานดาวเทียมก็จะไม่เถียงเลย...แต่ก็นะ...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน จะเจริญเติบโตรึยังหว่า...” บรัศว์ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากตัวเองแล้วพึมพำถ้อยคำไม่ได้ศัพท์ นัยน์ตาสีเพลิงเขม้นมองดวงหน้าคมเข้มที่เคร่งเครียด แล้ว...
ผลั้วะ!
“โอ๊ย!! เจ็บนะเฟร้ย!!” บรัศว์ยกมือขึ้นกุมจมูก เมื่อร่างเล็กๆสะบัดตัวเหวี่ยงปลายเท้าใส่เข้าเต็มดั้งจมูกโด่งสันจนแทบยุบ มือกร้านยกขึ้นมองระดับดวงหน้า แล้วใช้หลังมือถูๆรอยเลือดที่ไหลพรากเต็มหน้า ร่างเล็กๆสีเพลิงลอยออกมาเหยียบยืนบนอากาศระดับดวงหน้า
“อย่าบังอาจมาทำหน้าหื่นเวลาพูดถึงเจ้าหญิงนะเว้ย ! ถ้าแกคิดอะไรลามกจกเปรตเหมือนหน้าแก ฉันไม่ให้อภัยแน่...ฉันจะประกาศศักดิ์ศรีแห่งความเป็นองค์รักษ์ และราชาแห่งพระเพลิงให้แกดู!!” นิ้วเล็กห้อมล้อมด้วยเปลวเพลิงชี้ออกมาเบื้องหน้าจนแทบจะทิ่มโดนปลายจมูกชื้นเลือด บรัศว์ละตัวหนีเมื่อเปลวเพลิงที่วูบๆอยู่ใกล้ๆใบหน้าเริ่มขยับเข้ามาประชิด
“ถ้าจำไม่ผิด แกมันแค่ลูกกระจ๊อกของยัยนั่นไม่ใช่เหรอ แถมเวลาเจอยัยป้ามหาภัยทีไร แกก็หมดมู้ดราชาทุกทีแหล่ะ” บรัศว์ขยับแขนขึ้นกอดอก แล้วมองดูราชาแห่งอัคคีที่กำลังสยายแขนทั้งสองออกไปด้านข้างแล้วบินลอยละล่องไปรอบห้อง ทิ้งเปลวเพลิงสีแดงเข้มเหลือบฟ้าจางๆลอยตามปลายเท้าไป ร่างเล็กกระโดดหมุนตีลังกาอย่างเริงร่า ถ้ามองไม่ผิดไป...บนใบหน้าของเจ้านั่นติดจะแดงๆคล้ายเขินอายอยู่ด้วยซ้ำ
พูดถึงยัยระรานทีไร...ไฟพุ่งออกหัวเป็นงูเกงกองทุกทีเลยว่ะ...นี่ขนาดแค่พูดถึง ถ้ายัยป้านั่นมาเองตัวเป็นๆจากงูเกงกองคงกลายเป็นอนาคอนด้าขีปนาวุธ
“พอและๆ ไอ้กัลป์ ไอ้หน้าหม้อ ถ้าเป็นคนอื่นก็ยังพอเข้าใจนะ แต่ยัยป้าจอมระรานนั่นมีอะไรน่าหลงใหลวะ” ราชาพระเพลิงหยุดการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะดีดตัวขึ้นยืนกลางอากาศ นิ้วเรียวเล็กห้อมล้อมเปลวเพลิงชี้ออกมาเบื้องหน้า
“ท่านหญิงรรันร์คือผู้ทรงเสน่ห์อันแสนล้ำลึกที่สายตาหมาขี้เรื้อนอย่างแกไม่อาจมองเห็นได้”
“ถ้าเป็นหมาขี้เรื้อนแล้วไม่ต้องมองเห็นเสน่ห์มหาปะลัยนั่น ก็ยอมเป็นไปตลอดชาติอ่ะ” บรัศว์บ่นพึมพำแล้วนิ่งเงียบลงอย่างหนักใจ...กัลป์ บุตรแห่งทวยเทพอัคคี หรือก็แค่ไอ้เด็กเหลือขอที่ประกาศตัวว่าเป็น ‘ศัตรู’ กับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พันธะกาลเวลาเริ่มหมุนวน จนมันหมุนกลับมาบรรจบกันแล้วหลายต่อหลายรอบ ไอ้เด็กสีเพลิงก็ยังคงความเป็น ‘ศัตรู’ ได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ
“ฉันอยากเจอท่านหญิงอ่ะ” กัลป์ขยับแขนขึ้นกอดอก นัยน์ตาสีแดงเพลิงกดมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านล่างอย่างใคร่พอใจ ก่อนที่ร่างเล็กๆจะถลาล่อนลงเกาะที่บ่าพลางกลืนน้ำลายลงคอ แล้วดัดจริตทำเสียงหวานอย่างออดอ้อน “บรัศว์พาไปหาหน่อยดิ...นะๆ...นะคร๊าบ”
บรัศว์สบถเสียงลั่น เมื่อร่างเล็กๆไต่ขึ้นข้างหูแล้วถูไถใบหน้าใส่แก้มเขาด้วยท่วงท่าที่น่าขยะแขยงสุดแสน บรัศว์ยั้งมือตัวเองไว้ได้ทันก่อนที่มือข้างนั้นจะจับไอ้ราชาพระเพลิงตัวกระจ้อยโยนใส่อ่างปลา
“รู้แล้วๆ รู้แล้วเฟร้ย!! ยังไงวันนี้ก็ต้องได้เจออยู่แล้ว ปล่อยฉ้านน!!!”
“อร๊างงง ท่านหญิงของข้าน้อย” กัลป์ประทับริมฝีปากเล็กๆลงกับแก้มของบรัศว์ จนเจ้าตัวตีสีหน้ารังเกียจ เด็กหนุ่มถลาขึ้นสู่ห้วงอากาศแล้วบินวนไปวนมารอบๆ ทิ้งเปลวเพลิงที่พุ่งเป็นสายออกจาปลายเท้า
บรัศว์เงยหน้าขึ้นมองราชาพระเพลิงแล้วถอนหายใจเหนื่อยหน่าย...ยิ่งนับวันมันยิ่งบ้าบอขึ้นทุกที นึกไม่ถึงว่ามันในตอนนี้กับมันในตอนที่อยู่อีกห้วงมิติหนึ่งจะเป็นตัวเดียวกันจริงๆ พลังของทายาทแห่งพระเพลิงที่แทบจะนึกไม่ออกว่าความร้ายกาจของมันทั้งหมดถูกเก็บงำไว้ใต้กำมือของภูตแห่งไฟปัญญาอ่อนตรงหน้า
พลังยิ่งใหญ่อหังการนั่น แทบจะไร้ความหมาย เพราะกัลป์ไม่เคยใช้มันเพื่อใคร นอกจากกับ ‘เจ้าหญิง’ ที่เจ้าตัวสาบานไว้ว่าจะปกป้องชั่วชีวิต...ปกป้อง...แบบไร้สาเหตุ จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ ว่า ‘เจ้าหญิง’ กับบุตรแห่งพระเพลิงมีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน ถึงแม้กัลป์จะปากไม่น่าเอ็นดู แถมยังเปราะยิ่งกว่าไม่ผุโดนปลวกแทะ แต่กับเรื่องของ ‘เจ้าหญิง’ แล้ว ปากมันหนักจนไม่สักยังอาย
“วันนี้ก็จะได้เจอเจ้าหญิงแล้วซินะ” กัลป์พึมพำเสียงเบา หากแต่ก็ดังพอที่จะเรียกให้บรัศว์เงยหน้าขึ้นมองอย่างอึ้งๆ ร่างเล็กห้อมล้อมเปลวเพลิงเคลื่อนตัวลงจาบนเพดานใบหน้าคมเข้มจริงจังจนคนมองเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจ “จะได้เจอทั้งเจ้าหญิงทั้งท่านหญิงรรันย์...อร๊างงง มีความสุขยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดอีกนะเนี่ย” ความจริงจังเมื่อครุหายวับไปกับอากาศธาตุ กัลป์ยกมือขึ้นแตะใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของตัวเอง แล้วบิดไปมาอย่างเขินอายด้วยท่วงท่าที่ทำให้บรัศว์อยากยิบไบกอนเขียวมาฉีดมันให้น้ำลายฟูมปากตาย
“น่ารำคาญชะมัดเลย...หายบ้าแล้วก็ตามมานะ” บรัศว์เหวี่ยงบานประตูเปิด แล้วสาวเท้าออกไปนอกห้อง ก่อนจะกระแทกปิดโครมใหญ่ ร่างสูงสาวเท้าลงบันไดเร็วๆ แล้วอ้อมเข้าไปยังครัวด้านหลังสุดของตัวบ้าน บรัศว์เอื้อมหยิบผลไม้สีแดงสองลูกขึ้นมาถือไว้ในมือ นัยน์ตาสีดำขลับก้มมองมันอยู่ชั่วครู่
ยัยนั่นชอบแอปเปิ้ล...ยัยผลไม้ลิซึ่ม ช่วยไม่ได้ เอาไปเซ่นสักใบแล้วกัน
บรัศว์ยัดแอปเปิ้ลสองลูกเข้ากระเป๋าสะพาย แล้วหมุนตัวกลับไปหาประตูทางออก
“เย้ยย!!” ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เมื่อสิ่งที่จ่อรออยู่เทียบปลายจมูกคือเปลวเพลิงร้อนวูบที่พุ่งออกมาจากนัยน์ตาข้างซ้าย ของภูตแห่งพระเพลิง ในมือเล็กๆถือกริชสีแดงเข้มจ่อเข้ากลางลำคอเขา “ไอ้บ้า! เล่นอะไรฟ๊ะเนี่ย แกจะรอบวิสามัญฆาตกรรมฉันเหรอ!!”
“ไหนแกบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าหญิงไง” กัลป์กดปลายกริชสีเพลิงเข้ากับดั้งจมูกโด่งสัน บรัศว์ชักฝีเท้าหนีน้อยๆ แล้วเถียงกลับทันควัน
“แค่เอาผลไม้ไปเซ่นนี่ต้องคิดอะไรด้วยเหรอวะ ไอ้เด็กจิตวิปลาสเอ๊ย!!” บรัศว์ดีดนิ้วใส่ร่างเล็กๆจนลอยละลิ่วปะทะกำแพง แล้วรีบสาวเท้าเร็วๆออกจากห้องครัว ทิ้งให้กัลป์สบถไล่หลัง เด็กหนุ่มถลาร่างขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งตัวทะลุกำแพงตามไป
บรัศว์ขยับเสียงถอนหายใจ แล้วชะงักฝีเท้าเพื่อหันมองบุรุษในชุดสีขาวที่นั่งอยู่บนแท่นพิธีบริเวณห้องโถงกลาง กลิ่นควันธูปคุ้นจมูกลอยฟุ้งพอๆกับหมอกควันสีขาวที่โดนพัดลมจากหลังม่านพัดโหม บรัศว์ละสายตาออกอย่างเบื่อหน่าย กี่ครั้งแล้วที่เขาบอกให้พ่อเลิกทำอาชีพหลอกลวงไม่ได้ความ
เกลียด...เกลียดไอ้ข้อแลกเปลี่ยนแบบนี้จะแย่แล้ว...พลังที่เขาไม่เคยต้องการ มันแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต การมองเห็นอนาคตของคนอื่น แลกกับอนาคตของผู้เป็นแม่ที่ต้องจบสิ้นลงตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิด...การเป็นเจ้าของพันธะแห่งกาลเวลา แลกกับการถูกกักขังอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
และการกักขังนั้นมันก็ส่งผลไปถึงวิญาณดวงอื่นๆที่มีความเกี่ยวโยงกันไม่ว่าจะมิติใดมิติหนึ่ง กลายเป็นพันธะแห่งดวงวิญญาณ...หน้าที่เดียวของเขาตอนนี้ คือปลดปล่อยทุกดวงวิญญาณออกจากพันธะแห่งกาลเวลาที่เขาเป็นคนสานมันจนยุ่งเหยิง
“พ่อ...บรัศว์ออกไปข้างนอกนะ กลับดึกๆ เดี๋ยวซื้อก๋วยเตี๋ยวเรือมาฝาก เอาป่ะ...” บรัศว์คลานเข่าเข้าไปใกล้ที่นั่งของพ่อช้าๆ ขณะที่พ่อขุนวนันดร์ส่งเสียงตอบรับเบาๆ นัยน์ตาที่เริ่มมีริ้วรอยยังคงพริ้มหลับอย่างที่เคยทำในท่วงท่าสงบนิ่ง ที่ทำท่านิ่งได้แนบเนียนก็เพราะบางทีก็แอบงีบหลับ
บรัศว์ถอนหายใจเบาๆ แล้วถอยตัวออกไป ก่อนที่จะโดนเสียงของพ่อรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวๆ บรัศว์...ผ่านร้านไอ้โกฝากแทงลิเวอร์พูลสองลูกครึ่งด้วยนะ...เมื่อกี้ขุนเจอร์ราร์ดมาบอกข้าว่า คืนนี้หงส์แดงจะผงาดปีก” ขุนวันนดร์เอ่ยด้วยความสงบนิ่ง ขณะที่บรัศว์ขยี้เส้นผมตัวเองอย่างเครียดจัด
“อีกและ...ขุนเจอร์ราดร์พูดงี้ทุกทีอ่ะ...ผงาดปีกสลัดเห็บล่ะไม่ว่า คราวที่แล้ว ขุนเบนิเตซก็ทำแป้วไปทีแล้วนะพ่อ ยังไม่เข็ดอีก”
“เหอะน่า...คราวนี้รับรองว่าชัวร์” บรัศว์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วหันกลับไปหาภูตไฟที่บินตามมาข้างหลังพลางพยักหน้าเร็วๆเป็นเชิงเรียก กัลป์บินละลิ่วผ่านม่านหมอกควันธูปไปโดนที่ขุนวันนดร์ไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็น
แสงอาทิตย์ยามย่ำค่ำเปล่งประกายสีส้มจ้าอาบขอบฟ้าให้เป็นสีส้มเข้มไล่ขึ้นไปถึงปุยเมฆกลางท้องฟ้าที่กำลังจะเข้าสู่ยามราตรี บรัศว์รีบสาวเท้าเร็วๆอย่างเร่งรีบ นัยน์ตาสีดำขลับเงยขึ้นมองนาฬิกาที่ติดอยู่เหนือป้ายร้านขายของข้างบ้านอย่างคุ้นเคย แล้วรีบสาวเท้าต่อ
“นี่...จะรีบอะไรนักหนาฟ๊ะ” กัลป์บินฉิวแหวกอากาศแล้วทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าดิกๆบนไหล่ของชายหนุ่มจนบรัศว์นึกอยากจะขยับนิ้วดีดมันให้กลิ้งลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำ
“หุบปากไปซะไอ้บรรลัยกัลป์สันตโลกาวินาศ ชาวบ้านชาวช่องเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนบ้าเดินพูดอยู่คนเดียว” บรัศว์ใช้ปลายนิ้วเขี่ยร่างเล็กๆให้กระเด็นออกไป กัลป์ขยับตัวบินขึ้นด้านบนแล้วมุ่นคิ้วลงอย่างขัดใจ
“เมื่อไหร่จะได้เจอท่านหญิงอ่ะ”
“ถ้าแกไม่พูดมากจนฉันอยากเอายาขัดส้วมกรอกปากจนตาย เร็วๆนี้ก็ได้เจอยัยป้านั่นแน่” บรัศว์กระซิบเสียงหนัก นัยน์ตาสีดำขลับมองตรงไปเบื้องหน้าบนถนนที่รายล้อมดเวยผู้คนมากมาย...ท่ามกลางเวลากาลที่เวียนหมุนไปเรื่อยๆ แทบไม่มีใครจะใส่ใจมัน
กาลเวลาที่พ้นผ่านไปแล้ว...ไม่มีใครคิดหวนถึงมันอีก นอกเสียจากเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น มันยากจะลืม
ความทรงจำที่เลวร้าย...ทำไมถึงชอบจดจำกันนัก
ความคิดเห็น