ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าชายอัคคีกับวารีแห่งรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #2 : เจ้าชายอัคคีกับวารีแห่งรัตติกาล(ตอนที่2)

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 49




                    ปั้ง!!!!

     

    ร่างบางสะดุ้งตื่นจากความฝันมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง  ดวงตางามชุ่มน้ำตาเบือนไปทางบานประตู

     

    ใหญ่ที่ถูกกระชากแรงจนชนเข้ากับผนังห้อง ร่างใหญ่รีบเร่งสาวเท้าเข้ามาหาเจ้าหญิงน้อย แสงตะเกียงสลัว ส่องให้

     

    เห็นเพียงเสี้ยวหน้าของบุรุษผู้มาเยือน นัยน์ตาสีส้มเบิกกว้าง นางจำชายผู้นี้ได้ดี

     

    "จ....เจ้าพี่เซเกียร์...."หญิงสาวพึมพำเบาๆ นึกสับสนระหว่างความจริงกับความฝัน ร่างตรงหน้าดูเลือน

     

    รางราวเมฆหมอกเพียงไขว่คว้าก็อาจสลายไป


                      "หญิงอาเทียร์....พี่กลับมาแล้ว"ถ้อยอ่อนโยนที่คุ้นเคย หากแต่ย้ำหนักแน่น ให้เจ้าหญิงมั่นใจว่าภาพ

     

    ตรงหน้าไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความฝัน ประกายใสเอ่อคลอเพทายเม็ดงาม ก่อนจะหลั่งรินลงเปียกปอน

     

    แก้มขาว เซเกียร์เช็ดน้ำตาบนดวงหน้างามอย่างเบามือ นัยน์ตาสีส้มองอาจนิ่งสงบแต่ก็ไม่อาจปิดกั้นความจริงที่

     

    เกิดขึ้นได้

     

    ควอร์เรลกำลังจะแตกพ่าย........ความจริงที่ทำให้ชายหนุ่มห่อร่างบางลงในผ้าห่มฝ้ายผืนหนา ก่อนจะอุ้ม

     

    ร่างเจ้าหญิงขึ้นหลัง แล้วรีบร้อนออกจากห้องไป


                       "เจ้าพี่จะพาหญิงไปไหนคะ"อาเทียร์เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจในท่าทีของพี่ชาย หากแต่ดวงหน้า

     

    เคร่งเครียดก็ทำให้หญิงสาวจับเค้าลางไม่ดีได้ภายในใจ

     

    มือบางเอื้อมเกาะกุมบ่าแข็งแรงไว้แน่น ก่อนจะสัมผัสได้ถึงของเหลวสีแดงสดที่ติดมือมา

     

    "เลือด....เจ้าพี่บาดเจ็บหรือคะ"นำเสียงใสอุทานสั่นเครือ เซเกียร์เหลือบมองร่างบนหลังอย่างอ่อนโยน

     

    ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มอบอุ่นอย่างที่เจ้าหญิงน้อยพึงได้รับมาตลอด

     

    "เจ้าหญิงน้อย....พี่ไม่เป็นอะไรหรอกนะ...อย่าห่วงเลย"ถ้อยเรียกหวานหู ที่เขามักจะใช้ตลอดเวลายาม

     

    ต้องการให้เจ้าหญิงเข้มแข็ง เซเกียร์กัดฟันโกหกน้องสาว แม้บาดแผลบนร่างกายจะทวีความเจ็บปวด หากแต่

     

    ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา


                         "ปล่อยหญิงเดินเองดีกว่าค่ะ"อาเทียร์บังคับน้ำเสียงสั่นเครือให้เข้มแข็ง เจ้าชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ

     

    ก่อนจะวางร่างน้องสาวลง แต่มือใหญ่เกาะกุมรอบข้อมือบางไว้แน่น

     

    เซเกียร์พาน้องสาวลัดเลาะลงบันไดเวียนหินอ่อนเกะสลักงดงามผ่านห้องโถงใหญ่ของปราสาทหลังงาม

     

    ที่เขากับน้องสาวเติบโตมาด้วยกัน

     

    ห้องโถงใหญ่ที่เคยอบอุ่นและเงียบสงบ บัดนี้กลับดูสับสนวุ่นวายด้วยร่างของนางกำนัลที่กำลังเร่งรีบ

     

    เก็บข้าวของอย่างอลหม่าน ห่างออกไปที่บานประตูทหารกลุ่มใหญ่ยืนปรึกษากันอยู่เงียบๆ  

     

    ดวงหน้าเคร่งขรึมที่เจ้าหญิงน้อยกลัวนักยามได้เห็น บัดนี้ดูเคร่งเครียดและวิตกกังวล

     

    "องค์ชาย..."นายทหารร่างใหญ่ในชุดรัดกุม ร่างกำยำหุ้มด้วยเกาะเหล็กสีดำสนิท ดูทะนงองอาจ สุขุม

     

    เยือกเย็นท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ดวงหน้าคมคายกระซิบถ้อยคำรายงานเคร่งเครียด เพทายเม็ดงามทรงอำนาจ

     

    สงบนิ่งไปครู่ ราวกับกำลังชั่งใจ สถานการณ์ที่ได้รับฟังนั้นย่ำแย่เกินกว่าที่เขาคิดอยู่มากโข


                    น้ำเสียงเข้มหันไปเอ่ยหนักแน่นกับนายทหารหนุ่มเรียกได้ว่าแทบกระซิบราวกับไม่ต้องการให้ใครได้

     

    ยิน โดยเฉพาะร่างบอบบางที่ยืนอยู่เบื้องหลัง น้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาคู่งามนั้นมีมากพออยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็น

     

    ใดๆที่จะต้องทำให้เจ้าหญิงหนักใจและเสียน้ำตาไปมากกว่านี้อีก

     

    "พระองค์ทรงดำริให้ดีก่อนเถิดกระหม่อม ข้าเกรงว่าเราจะมีเวลาไม่มากพอ"นัยน์ตาคมดุของนายทหาร

     

    หนุ่มเหลือบมองเจ้าหญิงน้อย ราวสายตาของพญาสิงห์มองเหยื่อ


                     "ครู่เดียวเท่านั้นท่านรุสโซว์ข้าทิ้งอาเทียร์ไม่ได้"เสียงเข้มอ่อนกระแสลง อาเทียร์รับรู้ถึงแรงบีบที่ข้อมือ

     

    บาง นัยน์ตาสีเพทายเงยขึ้นมองผู้เป็นพี่ ดวงหน้าเข้มนั้นเลือนรางด้วยหยาดน้ำตาบดบัง มืออีกข้างที่เป็นอิสระ

     

    ยกขึ้นปาดเช็ดหยดน้ำใสบนดงหน้าอ่อนเยาว์  หญิงสาวนึกโทษตัวเองที่อ่อนแออยู่ได้ทุกคราว เซเกียร์รักษาสัญญา

     

    มาโดยตลอด มีเพียงแต่นางที่ไม่เคยห้ามน้ำตาตัวเองได้เสียที

     

    "เช่นนั้นข้าจะอพยพผู้คนไปก่อน ยังมีประชาชนอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือ"เสียงเข้มทรงอำนาจ

     

    เอ่ยกระทบกระทั่ง ก่อนจะรีบเร่งไปปฏิบัติหน้าที่ของตน


                          เซเกียร์นิ่งอยู่ครู่ใหญ่ รับรู้ถึงภาระอันหนักหนามากมายที่วางอยู่บนบ่าประชาชน บ้านเมือง และชีวิต

     

    น้องสาว นัยน์ตาสีเพทายแข็งกร้าวขึ้น ก่อนจะดึงรั้งข้อมือบางให้ออกวิ่งต่อ เจ้าชายหนุ่มเหลือบมองเด็กสาวข้างตัว

     

    ......นางจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร ค่ำคืนนี้เขาก็ต้องมั่นใจว่านางจะปลอดภัย

     

    "มันเกิดอะไรขึ้นเพคะ เจ้าพี่บอกหญิงได้ไหม" เสียงใสกระหืดกระหอบมือบางดึงผ้าห่มฝ้ายที่ยาวระข้อ

     

    เท้าออกจากตัวขึ้นมากอดไว้แนบอกไม่มีเสียงตอบรับจากร่างสูงของพี่ชาย

     

    ฝีเท้าสองคู่หยุดลงภายใต้ความมืดมิด ประตูบานหนาหนักตั้งอยู่ตรงหน้าประตูที่อาเทียร์คุ้นตาดีเพราะ

     

    เคยใช้เป็นที่สัญจรยามหนีออกไปเล่นนอกปราสาทกับผู้เป็นพี่ เซเกียร์หันไปหาร่างเล็กเบื้องหลัง ชายหนุ่มหยิบผ้า

     

    ห่มผืนหนาจากอ้อมกอดนาง แล้วบรรจงวางลงบนไหล่บอบบาง"ข้างนอกอากาศหนาว อาเทียร์ เจ้าห่มผ้าไว้ดีกว่า"


                       เซเกียร์ผลักบานประตูให้เปิดออกลมหนาวจากภายนอกกรีดผิวขาวจนเจ็บแสบ ฝ่าเท้าบางรีบเร่งตาม

     

    พี่ชายให้ทัน "หญิงอาเทียร์....."เจ้าชายหนุ่มหยุดฝีเท้า ก่อนจะถอนหายใจหนักมือดึงผ้าห่มฝ้ายขึ้นคลุมศีรษะ

     

    น้องสาว ป้องกันละอองน้ำค้างไม่ให้ตกต้องผิวบอบบาง

     

    "ฟังพี่ให้ดีนะ"กระแสเสียงเครียดทำให้เจ้าหญิงน้อยไม่อาจสะกดกลั้นหยดน้ำตาได้

     

    "ตอนนี้ทาเซียร์ล้อมเราไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะหนีไปทางใดก็มีแต่พวกมัน" แม้จะเจ็บปวดนัก แต่ท้ายที่สุด

     

    แล้ว เจ้าชายหนุ่มก็ไม่สามารถปิดบังความจริงที่เกิดขึ้นไว้ได้

     

    ควอร์เรลกำลังจะล่มสลาย แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดกำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา โดยที่เจ้าชายหนุ่มไม่

     

    อาจต้านทานได้


                      ดวงหน้างามก้มลงต่ำปล่อยหยดน้ำตาให้ไหลลงสู่ผืนดินชื้น ผืนดินที่นางเหยียบย่างมาตั้งแต่เยาว์วัย

     

    บัดนี้กำลังถูกผู้อื่นรุกราน ทาเซียร์กำลังจะแย่งทุกอย่างจากนางไป ไว้เว้นแม้แต่ชีวิต

     

    "มาเถอะ....อาเทียร์ ไม่ต้องกลัวนะ"เจ้าชายหนุ่มคว้าข้อมือน้องสาว พลางดึงร่างบางให้รีบเร่ง

     

    นัยน์ตาสีเพทายอาจหาญอาศัยอำนาจแสงจันทร์เรืองรองเพ่งมองผ่านความมืดมิด

     

    ราตรีกาลนี้ดูยาวนานกว่าที่ควร ราวกับจะยืดเยื้อเวลาแห่งความเศร้าโศก ให้นานออกไปเรื่อย ไม่จบไม่สิ้น เซเกียร์

     

    นึกอยากตะโกนร่ำร้องต่อเทพแห่งกาลเวลา ให้หยุดทุกอย่างเอาไว้ เพทายคู่แข็งแกร่งนี้เห็นความสูญเสียมามาก

     

    พอแล้วไม่อยากให้สิ่งมีค่าที่สุดต้องสูญไปอีก


                       นัยน์ตาสีส้มเพทายมองฝ่าความมืดมิดอันหน้าอึดอัด ก่อนจะประสานสายตาคู่หนึ่ง ฝีเท้ารีบเร่ง

     

    หยุดชะงัก จนร่างบางที่วิ่งตามมาปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้าง

     

    "ค.....ใครกัน...."เซเกียร์กระชากถ้อยหนัก ร่างสูงโปร่งในความมืดขยับเสียงหัวเราะ

     

     แต่แสงจันทร์อันน้อยนิดไม่อาจทำให้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนนัก


                      "ชีวิตท่านวุ่นวายนัก เจ้าชายเซเกียร์..." นัยน์ตาสีส้มเบิกกว้าง เจ้าชายหนุ่มจำน้ำเสียงห้าวหาญราวเสียง

     

    แห่งความตายนั้นได้ดี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×