คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : +...Dark Paradise...+ Act.1 [บาปแห่งพระผู้เป็นเจ้า - I ]
+...Dark Paradise...+ Act.1
‘พระผู้เป็นเจ้า...หากพระองค์จะทรงเมตตา ความทุกข์อันเป็นนิรันดร์เฉกเช่นนี้ ลูกจะหลุดพ้นได้อย่างไร’
“ขอจงจุติสู่อ้อมแขนของพระองค์ ในพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระจิต อาเมน” สิ้นน้ำเสียงสวดภาวนาที่พึมพำอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาที่เบิกโพลงในความมืดอย่างตื่นกลัวไม่มีแม้โอกาสที่จะหันมองใบหน้าของผู้อยู่ด้านหลัง กระบอกปืนจ่อเข้าหลังท้ายทอย นิ้วเรียวเหนี่ยวไกปืนอย่างเยือกเย็น
เปรี้ยง !
ร่างนั้นทรุดลงกับพื้นทันทีที่ลูกตะกั่วพวยพุ่งออกจากลำกล้องฝังเข้ากลางศีรษะความร้อนเพียงวูบเดียวที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งร่าง ก่อนที่ทุกสิ่งจะดับสูญ
“ไป!!” เสียงตะโกนให้สัญญาณดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของนายตำรวจกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากที่ซ่อนแล้วบุกเข้าสู่โกดังเก็บของที่ซ่อนอยู่ใต้ความมืด หญิงสาวสอดปืนเก็บเข้าซองแล้วรีบวิ่งหนีเสียงปืนซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างตำรวจและกลุ่มค้ายาเสพติดที่ดังสะท้อนโสตประสาท
ท่ามกลางความมืด ปลายเท้าเรียวในรองเท้าหุ้มส้นสูงสีดำขลับวิ่งย่ำแอ่งน้ำและเศษขยะสกปรก หยาดน้ำตาที่ไหลรินคลอสองข้างแก้มอย่างไร้เรี่ยวแรง...เธอเพียงแค่อยากจะหนี หนีจากทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่โลกอีกใบที่ว่างเปล่า
ไปสู่จุดหมายปลายทางที่มีเพียงความว่างเปล่า
“ไม่เลวนี่ซิสเตอร์เซลิเนีย”
กว่าจะรู้ตัวอีกทีร่างกายของเธอก็ถูกรวบด้วยอ้อมแขนแข็งแรง นัยน์ตาคู่คมกริบตวัดหันไปมองผู้พูดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ยิ่งเห็นใบหน้ายิ้มแย้มในชุดราชการแล้วยิ่งทำให้เธออยากสะบัดกระสุนสังเวยอีกหนึ่งชีวิตให้ดับดิ้นในค่ำคืนนี้
“เพราะคุณทีเดียว...งานของเราจึงสะดวกขึ้นมาก ทำไมไม่มาเป็นสายสืบอาชีพซะเลยล่ะซิสเตอร์ รายได้ไม่น้อยเลยนะ” ตำรวจหนุ่มหลิ่วตาลงมองหญิงสาวรูปร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อรัดรูปสีดำสั้นเจียนมองเห็นเอวองค์โค้งมน และกระโปรงหนังสีเดียวกันยาวเพียงฝ่ามือ ใบหน้าสะสวยภายใต้เครื่องสำอางและเรือนผมสีน้ำตาลแดงเพลิงยาวคลอเคลียบ่าบอบบางขาวผ่อง
หากไม่รู้จักกันมาก่อน เขาก็คงไม่คิดว่าเธอเป็นนักบวช
เซลิเนียผลักร่างสูงใหญ่ออกแล้วสาวเท้าถอยหลังเล็กน้อย เธอปาดเช็ดหยดน้ำตาด้วยหลังมือ ริมฝีปากบางที่ถูกเติมแต่งด้วยสีจัดจ้านเหยียดรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็นค่ะผู้หมวด ฉันไม่ชอบทำอะไรตามคำสั่งคนอื่นนอกเหนือจากความพึงพอใจของตัวเอง” จบคำร่างบอบบางก็หมุนตัวเดินหนี ชายหนุ่มจึงตรงเข้ามาคว้าข้อมือเธอไว้ เซลิเนียกระชากมือออกทันที ด้วยแววตาขยะแขยง
“ผมไปส่งที่โบสถ์ดีกว่านะซิสเตอร์ ดึกมากแล้ว” ผู้หมวดหนุ่มพยายามทำน้ำเสียงให้อ่อนโยนลง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือประกายนัยน์ตาหยามเหยียด
“ขอบคุณในความกรุณา แต่ฉันว่าผู้หมวดไปอยู่รอเอาหน้าระหว่างที่ลูกน้องของคุณกำลังถล่มรังยาเสพติดดีกว่าค่ะ” เซลิเนียจับจ้องปฏิกิริยาของชายหนุ่มตรงหน้า นึกขยะแขยงกับรอยยิ้มกึ่งภาคภูมิใจของผู้หมวดหนุ่ม เธอรีบหันหลังให้เขาแล้วสาวเท้าเดินจากไปเร็วๆ
ออกจากตรอกแคบซึ่งเป็นชุมชนแออัดขึ้นชื่อเรื่องแหล่งมั่วสุมสิ่งเสพติด อีกฟากของถนนเป็นโบสถ์ไม้เก่าแก่ชั้นเดียวในอาณาเขตพื้นที่กว้างราวห้าสิบตารางวา แสงไฟที่เห็นผ่านบานหน้าตากที่ติดกระจกสีทำให้เธอรู้ได้ว่าคาเธสยังอดหลับอดนอนคอยการกลับมาของเธออยู่
เซลิเนียสูดลมหายใจลึก นัยน์ตาคู่งดงามหลับลง...โบสถ์เซนต์ ฮาเวน เป็นที่พักอาศัยหนึ่งเดียวของเธอตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกใบนี้ ครั้งหนึ่ง ณ ที่นั่นเคยมีผู้ที่เปรียบเสมือนกับแม่ และ ‘เขา’ คนนั้นที่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่จำความได้
นัยน์ตาสีเข้มเปิดปรือขึ้น แสงไฟสว่างผ่านวูบตัดหน้าไปพร้อมกับรถยนต์คันหรูหราที่พุ่งผ่าน ร่างบางย่างเท้าเหยียบพื้นถนนแล้วข้ามไปอีกฟาก สาวเท้าข้ามผ่านสนามหญ้าเล็กล้อมทางเดินที่โรยกรวดหยาบๆทอดเข้าสู่ประตูโบสถ์
แสงสว่างนุ่มนวลตาลอดออกมาทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก เซลิเนียผลักมันปิดกลับเบาๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลหันมองร่างบอบบางในชุดคลุมสีขาวที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าแท่นพระรูปตรึงกางเขน มือทั้งสองข้างประกบกันอยู่ระหว่างอกริมฝีปากพึมพำบทสวดแผ่วเบา
แท่นพิธีที่ชำรุดทรุดโทรมทำให้หญิงสาวนึกถึงเงินทุนกองสุดท้ายที่คิดจะเก็บไว้ซ่อมแซมโบสถ์ เก้าอี้ตัวยาวเรียงรายอยู่ตรงหน้าท่ามกลางแสงไฟมืดสลัว ครั้งหนึ่งเธอเคยอยู่ที่นี่อย่างอบอุ่นและปลอดภัย แต่ตอนนี้ โบสถ์กำลังจะถูกกลุ่มค้ายาเสพติดยึดครองไว้เป็นที่เก็บคลังสินค้า
เพราะเป็นเพียงโบสถ์เก่าๆ ในชนบทดิบเถื่อนหน่วยงานรัฐจึงไม่อยากสิ้นเปลืองพลังงานลงมาสอดส่องดูแล ถ้าหากมันเป็นปัญหาเกะกะมากนัก สุดท้ายแล้วคงต้องโดนรื้อถอน...เธอกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเหตุนี้ เพราะบ้านหลังเดียวในชีวิตกำลังจะถูกทำลาย
เซลิเนียยืนรอจนใบหน้าใต้ผ้าคลุมสีขาวเงยขึ้นมองแท่นพระรูปด้วยนัยน์ตาสีฟ้าครามสงบนิ่งเนิ่นนาน ร่างบอบบางในเครื่องแบบนักบวชค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับจัดกลีบกระโปรงตัวเองให้เรียบร้อย ทันทีที่คาเธสหันมาเห็นเธอ มือเรียวบางก็ยกขึ้นปิดริมฝีปากตัวเองอย่างตกใจ
“เซลิเนีย ฉันเป็นห่วงแทบแย่” หญิงสาวปลดเสื้อคลุมตัวเองออก สาวเท้าเร็วๆผ่านแถวเก้าอี้ไม้มาหาเธอ ก่อนจะห่มเสื้อคลุมรอบไหล่บอบบางแล้วโผกอดเธอแน่น “พอแล้วได้ไหม...อย่าออกไปทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนั้นอีก”
“มันจำเป็น” น้ำเสียงแผ่วเบาดังรอดริมฝีปากบาง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพยายามอย่างยิ่งที่จะสงบนิ่ง คาเธสไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจากเธอ...ที่จำเป็นต้องยืนหยัดเคียงข้างโดยอ่อนแอไม่ได้ “เธอไม่อยากให้ที่นี่โดนพวกนั้นยึดไปใช่ไหม แล้วก็คงไม่อยากให้ตำรวจรื้อโบสถ์ของเราด้วย”
“แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอตายนะ!” คาเธสขึ้นเสียง มือสองข้างรวบคอเสื้อคลุมที่เซลิเนียสวมใส่อยู่แล้วกำแน่นจนขึ้นข้อ นัยน์ตาสีฟ้าเงยเต็มรื้อหยาดน้ำตาที่ไหลอาบข้างแก้มเงยขึ้นสบนัยน์ตาคมดุด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน ทั้งโกรธเคือง ห่วงใยและเศร้าหมอง
“ความตายมันน่ากลัวที่ไหนกัน คาเธส” เซลิเนียเกลี่ยนิ้วเช็ดหยดน้ำตาบนแก้มคนตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะดันร่างบางออก แล้วหมุนตัวเดินหนีห่างจากเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ทำให้เธอรู้สึกรวดร้าว นัยน์ตาสีเข้มทอดมองเส้นทางเดินยาวที่อยู่หลังบานประตูใหญ่ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเข้ามาท่ามกลางความเงียบงันแห่งราตรี
...ความตายมันน่ากลัวเพียงแค่ยามที่มันพรากทุกสิ่งอันเป็นที่รักไป แล้วสำหรับเธอ...ที่หลงอยู่ในความน่าพรั่นพรึงแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา ยังจะกลัวความตายอีกทำไม
พระผู้เป็นเจ้า...หากพระองค์จะทรงเมตตา ช่วยนำพาสิ่งนั้นมาสู่ลูกด้วยเถิด...
‘พระผู้เป็นเจ้า...หากพระองค์จะทรงเมตตา ตอนนี้ผมเข้าใกล้หนทางอันนำมาซึ่งคำตอบแล้วหรือยัง’
ชายหนุ่มได้ยินน้ำเสียงที่ดังร่ำร้องภายใต้จิตใจอันว้าวุ่นของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า แสงไฟสีส้มสลัวจากตะเกียงดวงเล็กที่ถูกวางอยู่มุมห้องหม่นลงราวกับครุ่นคิดหาคำตอบในความเงียบ ใบหน้าขาวซีดใต้หมวกคลุมสีเข้มกดลงนอนทับแขนของตัวเองที่ซ้อนกันอยู่บนเคาน์เตอร์ไม้ รู้สึกวิงเวียนกับกลิ่นแอลกอฮอลล์จากแก้วเครื่องดื่มสีใสที่วางอยู่ตรงหน้า
เสียงฝีเท้าที่สะท้อนตามทางเดินที่ถอดยาวอยู่เบื้องนอก ทำให้นัยน์ตาสีดำขลับของชายหนุ่มเหลียวมองตาม ก่อนจะพบชายแก่รูปร่างอ้วนท้วนด้านหลังเคาน์เตอร์ยาวที่เดินตรงมาจากประตูด้านในมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะโยนถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงส่งให้
มือขาวข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบมันลากเข้ามาใกล้โดยไม่เงยหน้าขึ้น มีเพียงสายตาที่มองตามมือตัวเอง เขาเขย่าปากถุงเทของข้างในออกมา มันเป็นเหรียญทองคำสลักลายกุหลาบ ปลายนิ้วเรียวค่อยๆเขี่ยเหรียญออกมาวางแล้วไล่นับ
“ทำไมมีแค่สี่ล่ะ ต้องเป็นแปดซิ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเรียบ นัยน์ตาสีดำขลับเหลือบขึ้นมองชายชราที่ทำหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ
“ทีหลังจะทำงานก็หัดดูวันเวลาบ้างซิวะ ไม่รู้เหรอไงว่าใบประกาศจับหมดอายุน่ะมันได้ค่าหัวแค่ครึ่งเดียว” มืออวบอ้วนหยิบแก้วใบใสขึ้นมาเช็ดถู ขณะที่ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วกลั้นเสียงหัวเราะขื่นขม ซบใบหน้าลงกับแขนตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ พลางพึมพำในลำคอ
“หมดอายุ...หึหึหึ...หมดอายุ ไอ้โจรกระจอกบ้านนอกที่ทำให้ฉันต้องถ่อขึ้นไปถึงยอดเขาเพื่อช่วยมันพรวนดินฝิ่นอยู่เป็นเดือนกว่ามันจะตายใจจนหลอกล่อมาให้ตำรวจได้...ที่แท้มันก็แค่โจรหมดอายุ...ไอ้บ้าเอ๊ย! ทำไมซวยงี้วะ!!” ร่างสูงลุกพรวดขึ้นจากพื้น หยิบแก้วข้างตัวขึ้นเทเครื่องดื่มสีใสลงลำคอรวดเดียวหมดแล้วทรุดฮวบลงนั่งที่เดิม แขนเรียวบางยกขึ้นเท้าคางพลางบ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์
“รับเงินแล้วก็รีบๆไปซะ อ่านป้ายหน้าร้านไม่ออกเหรอไงว่าปิดแล้วน่ะ”
นัยน์ตาเรียวคมสีดำขลับตวัดขึ้นมองคนพูดด้วยความขุ่นเคืองกับเงินที่ไม่คุ้มค่าหัว ก่อนจะออกปากต่อรอง “เพิ่มอีกสองไม่ได้เหรอ มีแค่สี่เหรียญแล้วผมจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง...สองอาทิตย์ก็หมดแล้ว”
“สี่เหรียญน่ะ แลกเงินได้ตั้งแปดร้อยโซรี ใช้ชีวิตอยู่แบบคนปรกติไม่กินเหล้าเมายา สองเดือนยังอยู่ได้เลยย่ะ !” น้ำเสียงใสเคยคุ้นหูแหวใส่ ก่อนที่เจ้าของร่างบอบบางในชุดหนังสีดำจะมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับยื่นเอกสารประทับตราราชการส่งให้ชายชราร่างอ้วน
“เจอเธออีกแล้วเหรอเนี่ย”
“ฉันเรล่า ไม่ใช่ ‘เธออีกแล้ว’ จำใส่สมองทึบๆของนายบ้างซิ อลิทส์ อ๊ะ!ขอบคุณนะคะลุง” เรล่าถอดหมวกใบใหญ่ออกวางข้างๆแล้วยื่นสองมือไปรับแก้วนมอุ่นๆใบโตกลับมาจิบน้อยๆ พลางทอดสายตาสีน้ำทะเลมองดูร่างอ้วนท้วนที่กวาดนัยน์ตาสำรวจเอกสารเร็วๆหนึ่งที แล้วเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน
อลิทส์พยายามเหลือบสายตามองเอกสารราชการที่วางอยู่ตรงหน้าหญิงสาว เมื่อใบหน้าสะสวยตวัดหันมา ชายหนุ่มก็แสร้งก้มลงมองแก้วเหล้าในมือตัวเอง เรล่าหัวเราะเสียงแผ่ว ก่อนจะคว้ากระดาษตรงหน้าปาใส่ร่างสูง อลิทส์คว้ามันได้ทันก่อนจะปลิวตกพื้น นัยน์ตาสีดำขลับกวาดมองมันอย่างรวดเร็วหาจำนวนเงินค่าหัวแล้วร้องเสียงลั่น
“ยี่สิบ!!พระเจ้าช่วย นี่เธอเอาลูกซองไปจ่อหัวคนประทับตรามาใช่ไหมเนี่ย !” ชายหนุ่มโยนกระดาษแผ่นบางไปข้างหลัง ใช้มือข้างหนึ่งกุมศีรษะดึงทึ้งผมตัวเอง มืออีกข้างตวัดชี้จ่อกลางจมูกหญิงสาวด้วยความตกใจ ในค่าตอบแทนที่สูงลิบห่างจากเขาหลายเท่าตัว
ทั้งที่อยู่กลุ่มเดียวกันแท้ๆ แต่มีเพียงเขาที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ เห็นทีอาชีพล่าค่าหัวจะไม่ใช่งานที่เหมาะกับเขานัก
เรล่ายิ้มกริ่มพลางปัดมือที่จ่อกลางใบหน้าเธอออก แล้วหมุนตัวเท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์ จิบนมอุ่นๆแก้วโตอย่างสบายอารมณ์ อลิทส์เหล่มองเธออย่างสยดสยอง...เรล่าเป็นนักล่าค่าหัวที่โด่งดังในเมือง แม้จะมีเพียงน้อยคนที่เคยได้เห็นตัวเป็นๆของเธอ แต่สำหรับชื่อนั้นไม่มีใครไม่คุ้นหู เพราะหลังจากเสร็จงานเธอมักจะทิ้งชื่อตัวเองไว้บนร่างของศพ
กลิ่นเลือดจางๆยังติดอยู่ที่ร่างกาย อลิทส์นิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจ...เพิ่งฆ่าคนมาหมาดๆแต่แล้วก็มานั่งจิบนมสบายอารมณ์ ทำเหมือนชีวิตที่ตัวเองสังเวยไปเป็นเหมือนเศษขยะ ต่างจากตัวเขา กว่าจะทำใจฆ่าใครได้สักคนมันต้องใช้เวลานานนัก
อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ ถึงได้ทำอาชีพแบบนี้ไม่รุ่ง เพราะเขาศรัทธาต่อชีวิตมากเกินไปจนไม่อาจพรากพามันไปจากใครได้ ศรัทธาในชีวิตคนอื่น เหมือนกับศรัทธาในชีวิตตัวเอง...สิ่งเดียวที่เขาอยากจะวิงวอนโดยไม่ขออะไรอีก คือการมีชีวิตอยู่
การได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสได้ถึงลมหายใจอบอุ่นของตัวเองนั้น มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาปรารถนาให้มันยั่งยืน...เพียงแต่ สักวันมันก็ต้องผ่านพ้นไป และเขาได้เพียงภาวนาว่ามันจะไม่ใช่เร็ววันนี้ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เขายังสนุกสนานกับการมีชีวิต
“รับไปเลยแม่หนู” ชายร่างอ้วนเดินอุ้ยอ้ายออกมาจากหลังร้านแล้ววางถุงผ้ากำมะหยี่สองใบลงมาวางตรงหน้า เรล่าหยิบมันขึ้นมาเดาะเล่นทีละถุงคาดคะเนน้ำหนักแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ ร่างบางโค้งศีรษะลงน้อยๆเป็นเชิงบอกขอบคุณแล้วจิบนมจากขอบแก้วใบโตต่ออย่างไม่รีบร้อน
“เชอะ...ทีผู้หญิงละทำเสียงหวานนะลุง แล้วนี่ลุงปิดร้านแล้วไม่ใช่เหรอไง” อลิทส์เขย่าแก้วของตัวเองเบาๆ เสียงน้ำแข็งก้อนเล็กกระทบเนื้อแก้วเรียกให้ชายอ้วนตวัดนัยน์ตาหันมามองอย่างวางมาด
“รู้นี่...ว่าปิดร้านแล้ว”
“จะไม่รู้ได้ไงก็ป้ายมันแปะไว้หน้าร้าน” คิ้วเรียวเหนือนัยน์ตาสีดำขลับเลิกขึ้นมองคนตรงหน้า
“รู้แล้วก็ไสหัวไปซิ” นิ้วอวบๆชี้ไปที่ประตูทางออก อลิทส์ทำตาโต แล้วตบเคาน์เตอร์ไม้ดังปัง! แต่ตัวเจ้าของร้านเหล้าไม่รู้สึกสะทกสะท้านด้วยคุ้นเคยดี
“แล้วยัยนี่ล่ะ!” ใบหน้าคมเข้มสะบัดหันไปหาหญิงสาวที่จิบนมในแก้ว พลางพึมพำร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ เมื่อถูกเอ่ยถึง เรล่าจึงชะงักน้อยๆ แล้วช้อนนัยน์ตาสีน้ำทะเลขึ้นมองเขาอย่างไร้เดียงสา อลิทส์เห็นแล้วคันมือคันไม้อยากควักลูกตาเธอออกมากลิ้งเล่น เพราะมันเป็นนัยน์ตาคู่เดียวกันที่เคยทำให้เขาหลงเสน่ห์เธอเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนั้นเขามองเธอเป็นราวกับเทพธิดาในวงการล่าค่าหัวที่เป็นดั่งขุมนรก แต่ตอนนี้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่...เรล่าเปรียบเสมือนบุตรีแห่งความตายผู้มาพร้อมกับกระสุนปืน กลิ่นคาวเลือด และความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“ก็เห็นอยู่ว่าหนูเรล่ายังดื่มไม่หมด” มืออวบทุบเคาน์เตอร์ดังปังใหญ่คืนไปบ้าง อลิทส์ทิ้งตัวลงนั่งอย่างขุ่นเคือง ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวหนึ่งเดียวในร้าน ชายชราส่ายหน้าไปมาน้อยๆแล้วเหยียดสายตามองเขาอย่างหยามๆ “ราเอล นายแพ้ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวแบบนี้น่าจะละอายบ้างนะ”
“ว่าไงนะ” อลิทส์ย้อนเสียงถาม แก้วน้ำในมือถูกบีบแน่นจนสั่นสะท้าน ชายแก่แสร้งทำสีหน้าแปลกใจก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะ ร่างอ้วนเก็บแก้วน้ำขึ้นจัดเรียงบนตู้พลางบ่นพึมพำไปด้วย
“หากระโปรงมาใส่เถอะนะ ไอ้หนุ่มเอ๊ย...” ว่าพลางปิดตู้ด้านหลังแล้วเช็ดมือลวกๆก่อนจะเดินกลับเข้าไปเก็บของที่หลังร้าน ทิ้งให้อลิทส์พ่นสบถคำหยาบไล่หลังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรล่าดื่มนมอีกอึกใหญ่ พลางใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก แล้วขยับตัวขึ้นยืน
“จะไปแล้วเหรอ” อลิทส์ถามพอเป็นพิธีแม้ว่าใจจริงจะไม่ได้สนนักว่าเธอจะอยู่หรือจะไป เรล่าส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะย่างเท้าไปหยุดอยู่ด้านข้างชายหนุ่มแล้วจับไหล่เขาให้หันมามองสบตาเธอ อลิทส์ทำได้เพียงเงยหน้ามองเธอเงียบๆ อะไรบางอย่างในดวงตาสีน้ำทะเลงดงามที่สะกดเขาไว้จนละสายตาไปไหนไม่ได้
“ฉันเห็น อลิทส์...เห็นความเจ็บปวดที่นายต้องเผชิญ” มือบางรูดผ้าคลุมของร่างสูงออกแล้วโยนมันลงไปกับพื้น เหลือเพียงเสื้อยืนแขนยาวปิดถึงข้อนิ้วขาดวิ่นสีขาวมอซอ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจเครื่องแต่งกายมากนัก
“เธอ...เฮ้ย!!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง เมื่อเรล่าตวัดดึงชายเสื้อของเขาขึ้น แล้วถอดมันออกทางศีรษะเหลือเพียงแขนสองข้างที่ยังอยู่ในแขนเสื้อ “เธอจะข่มขืนฉันใช่ไหม ยัยผู้หญิงโรคจิต อย่า ฉันไม่ยอมนะ!!” อลิทส์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเหวี่ยงเสื้อยืดของตัวเองออกจากแขนทิ้งลงพื้น
หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่...เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่เธอได้เห็นรอยแผลบนแผ่นหลังเขา แต่ก็พอจะรู้ได้ว่ามันเลวร้ายกว่าเดิมไปมาก ยิ่งเห็นคนตรงหน้าทำท่าทีกลบเกลื่อนราวกับตัวเองยังสบายดี มันยิ่งทำให้เธอทรมานใจ เรล่าก้มลงหยิบเสื้อคลุมสีดำของชายหนุ่มขึ้นมาจากพื้นแล้วปาใส่ใบหน้าคมคายเต็มแรง
“ใส่ซะ! ไอ้วิปริต มันอุบาว์ทเกินจะทน !”
“เธอเป็นคนถอดเองนะ !” อลิทส์ร้องโวยวายก่อนจะก้มลงเก็บเสื้อของตัวเองขึ้นมาสวมใส่ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เรล่าค่อยสาวเท้ากลับไปนั่งที่เดิมแล้วดื่มนมที่พร่องไปครึ่งแก้วต่อ อลิทส์ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเธอพลางตีสีหน้าเริงร่า ริมฝีปากบางอ้าออกเตรียมจะเอ่ยอะไร แต่มือของเรล่าก็แตะประกบปิดปากเขาไว้ก่อน
“ไม่ต้องพูด ฉันรำคาญ ให้ฉันพูดก่อนตอนนี้นายมีหน้าที่ฟัง ฟังให้ดี เข้าใจ?”
อลิทส์รีบพยักหน้ารับเร็วๆ เมื่อเห็นนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่ปรายมามองอย่างดุร้ายราวกับเป็นสัญญาณเตือนให้เขาเงียบไว้ถ้าหากยังห่วงใยสวัสดิภาพชีวิตตัวเอง
“ฉันได้อะไรดีๆมา” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหนังเข้ารูป แล้วหยิบแผ่นกระดาษยับยู่ออกมา เนื้อกระดาษที่เก่าเปื่อยยุ่ยออกสีเหลือง ข้อความที่เขียนด้วยตัวหนังสือสีดำซีดๆอย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับประทับตราไม้กางเขนไขว้ซ้อนทับลวดหนามและกุหลาบดอกเดียวตรงกลางหัวกระดาษ
“อะไรน่ะ รับจ้างฆ่าใครอีกเหรอไง” อลิทส์รับกระดาษมาถือไว้อย่างเบามือ นัยน์ตาเรียวเงยขึ้นมองใบหน้าหญิงสาวที่บุ้ยใบ้ลงไปเป็นเชิงบอกให้เขาก้มลงอ่าน อลิทส์กวาดตามองเร็วๆรอบหนึ่ง เพื่อหาตัวเลขที่อาจจะบอกจำนวนเงินค่าจ้าง เมื่อไม่เห็นข้อความใดที่เข้าเค้าว่าจะเป็นค่าเงิน เขาจึงส่งกระดาษคืนให้เธอแล้วไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ตาบ้า ฉันเห็นความโลภแผ่ขยายออกมาจากหัวนายเลยนะ อ่านดีๆก่อนซิ!”
“ก็มันไม่เห็นมีอะไรนี่นา...รัตติกาลแห่งแดนสุขาวดี...อะไรเนี่ย โฆษณาหนังเหรอไง” อลิทส์นิ่วหน้าขมวดคิ้ว แล้วหยิบกระดาษแผ่นเก่าขึ้นมาอ่านผ่านๆอีกรอบ “ตามหาธิดา...เอ่อ...ธิดาแห่งซาร์เบียน รางวัลสำหรับผู้ชนะ คือพรจากพระผู้เป็นเจ้าหนึ่งข้อ น่าสนใจนี่ ของคณะไหน แสดงเมื่อไหร่น่ะ ถ้าเธอเลี้ยงฉันจะไปดูเป็นเพื่อนก็ได้นะ”
“ไอ้ทึ่มหัวผักกาดเอ๊ย” เรล่าหันเบือนหน้าไปสบถเบาๆ ก่อนจะกระชากกระดาษเข้ามาหาตัว หันทางข้อความจ่อใส่ใบหน้าคมเข้มจนปลายจมูกโด่งสันแทบทิ่มลงกับเนื้อกระดาษ “ประกาศฉบับนี้ฉันได้มาจากเพื่อนที่เป็นสายสืบราชการลับอยู่ในรอลเดน เพราะฉะนั้นนี่เป็นข่าวจากทางราชการไม่มีทางบิดเบือนเด็ดขาด”
“อืมๆ แล้วยังไงล่ะ” อลิทส์เท้าคางมองใบหน้าจริงจังของหญิงสาวแล้วพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ เรล่าดูภายนอกอาจจะเหมือนนักล่าค่าหัวบ้าเลือดธรรมดาในสายตาคนอื่น แต่เบื้องหลังนั้นยังมีความลับอีกมาก จนบางครั้งเขายังแอบสงสัยถึง ‘เพื่อน’ ที่เรล่ายกมาอ้าง ว่าแท้จริงแล้วนั่นอาจจะเป็นตัวเธอเอง เพราะแม้แต่กองโจรที่เป็นนักโทษฉกรรจ์ลับของทางการเรล่ายังไปล่าหัวตัดหน้าตำรวจมาได้อย่างไม่เกรงใจ
“ธิดาแห่งซาร์เบียน หมายถึงเจ้าหญิงลูดมิลลา ธิดาของกษัตริย์ซาร์เบียน” เรล่าวางกระดาษลงกับเคาน์เตอร์ไม้ แล้วชี้ข้อความในบรรทัดกลางให้ดู อลิทส์ก้มหน้าลงอ่านตามแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ เรล่าทำได้เพียงถอนหายใจแล้วเริ่มอธิบายต่อ “แผ่นดินอูรานอสได้ชื่อว่าแดนสุขาวดีสีดำ เพราะเป็นเกาะกลางทะเลที่มีเมฆหมอกคอยปกคลุมอยู่ตลอดเวลา แล้วยังเป็นเมืองแห่งมรสุม พายุพัดผ่านเป็นว่าเล่นบางครั้งฝนก็ตกไม่ขาดสายกินเวลานานเป็นเดือน”
“เอ่อ เดี๋ยวนะ” อลิทส์ยกมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นเชิงขออนุญาต นัยน์ตาคู่งามของหญิงสาวตวัดมามองก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ “แล้วเธอจะมาร่ายภูมิประเทศของเมืองบ้านนอกที่ไหนไม่รู้ให้ฉันฟังทำไมไม่ทราบ” อลิทส์ประสานมือสองข้างไว้ใต้คางแล้ววางข้อศอกลงกับเคาน์เตอร์ไม้ นัยน์ตาสีดำขลับเหล่มองหญิงสาวข้างๆพยายามตีสีหน้าใสซื่อ
เรล่าขยับข้อนิ้วกำมือแน่นแล้วคลายออกพลางสั่งเตือนห้ามไม่ให้ตัวเองเผลอล้วงหยิบปืนสั้นที่สอดอยู่ข้างเข็มขัดมาเป่าหัวนักล่าหนุ่มให้ดับอนาถคามือ ริมฝีปากบางพยายามฝืนยิ้ม แล้วเลื่อนนิ้วลงไปชี้ประโยคบรรทัดล่าง อลิทส์ก้มหน้าลงมองตามแล้วทวนอ่านประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ
“รางวัลสำหรับผู้ชนะคือพรจากพระผู้เป็นเจ้าหนึ่งข้อ” อลิทส์เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย คิ้วเรียวเหนือนัยน์ตาสีดำขลับเลิกขึ้น
“เขาเล่ากันมาว่าเจ้าหญิงลูดมิลลาหายสาปสูญระหว่างประพาสต่างเมือง จากการคาดเดาเรือที่ประทับและขบวนประพาสของเจ้าหญิงอาจจะถูกกลุ่มโจรสลัดอสูรเพลิงจับตัวไป ยิ่งกว่านั้น จอมเวทนักปราชญ์ที่สิงสถิตอยู่ในน่านน้ำอูรานอสยังออกปากเองว่าเรื่องนี้สมควรกระจายข่าวเพื่อให้อัศวินทั้งหลายเดินทางมาช่วยเหลือ”
เรล่านิ่งเงียบไป ขณะที่คนฟังยังทำหน้างุนงงไม่เข้าใจกับเรื่องราวที่หญิงสาวพูดนัก
“เธอต้องการจะพูดอะไรเนี่ย”
“นายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสิบ ยี่สิบปีหรือไง อลิทส์” เรล่าตัดสินใจพูดออกไป...ถ้อยคำที่ส่งผลต่อชายหนุ่มอย่างชะงัก ใบหน้าคมเข้มนิ่งไปคล้ายกับไม่รับรู้ถึงสิ่งใดในโลก นัยน์ตาที่ทอประกายเริงร่าอยู่เมื่อครู่พลันเย็นเยือก
“อลิทส์ ฉันคิดว่ามันช่วยนายได้ น่าจะลองดูไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงเรียบง่ายของเรล่าดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทที่ยังรู้สึกชา ชายหนุ่มหันใบหน้าไปมองหญิงสาวช้าๆ ริมฝีปากบางอ้าออกราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีน้ำเสียงรอดออกมา
“ถ้าจะอยู่นานกว่านี้ ก็ช่วยปิดร้านแล้วเอากุญแจไปวางไว้ใต้กระถางต้นไม้ฝั่งซ้ายสุดทีนะ” ร่างอ้วนท้วนของชายชราเจ้าของร้านเดินออกมา พร้อมกับใช้กุญแจโลหะเคาะลงบนเคาน์เตอร์ไม้รัวเร็ว ทำให้เรล่าต้องฉุดข้อมือชายหนุ่มข้างๆขึ้น แล้วเดินออกจากร้านไปอย่างจำใจ
ถนนข้างทางยามค่ำคืนในช่วงเวลาที่เกือบจะย่างเข้าวันใหม่นั้นเงียบสงบ และมืดมิดมีเพียงแสงจากตะเกียงดวงเล็กบนหัวเสาริมทางที่มีไว้ส่องให้เห็นทางเป็นพักๆ แอ่งน้ำขังที่กระจายอยู่บนพื้น เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเม็ดฝนที่โหมกระหน่ำต่อเนื่องเพิ่งจะขาดสายไป
เรล่าเหลือบมองร่างสูงข้างๆ ที่สาวเท้าเดินอย่างเลื่อนลอยคล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง หญิงสาวขมวดคิ้วแน่นกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ เธอรู้จักกับเขาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเดินทางสายนักล่า ทุกเรื่องในชีวิตเพียงยี่สิบปีของเขาถูกถ่ายทอดออกมาหมดนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้า
อลิทส์เป็นโรคประจำตัวที่ไม่มีทางรักษาหายขาดได้ เขาเคยบอกกับเธอว่ามันเป็นโรคร้ายที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และบั่นทอนลมหายใจของเขาลงทุกๆปี เธอไม่เคยเห็นอาการของโรคนั้นอย่างชัดเจน มีเพียงความเจ็บปวดทรมานที่ชายหนุ่มแสดงออกมาทางสีหน้าในบางครั้ง
แต่จากสิ่งที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองนั้น ทำให้เธอรู้...อลิทส์ไม่ได้พูดความจริงเสมอ รอยแผลใหญ่รูปไม้กางเขนที่กลางหลังของเขาที่เธอบังเอิญได้เห็นครั้งแรกแล้วคิดว่ามันเป็นเพียงบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ แต่ยิ่งนานวันบาดแผลที่ควรจะสมานตัวกลับยิ่งสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆราวกับมีมีดที่มองไม่เห็นคอยกรีดซ้ำๆอยู่ตลอดเวลา
โรคประจำตัวของเขา...กลายเป็นสิ่งประหลาดที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลก คล้ายกับร่างกายที่ยืนอยู่ตรงนี้ เป็นภาชนะรองรับบาปแห่งพระผู้เป็นเจ้า
“นายจะไปไหม อลิทส์ ฉันจะได้ให้เพื่อนหาแผนที่...”
“ฉันไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงหรอก” อลิทส์สวนคำขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ ริมฝีปากบางกระตุกรอยยิ้มแล้วหันมองใบหน้าเธอด้วยแววตาสดใส “ใครจะมีอำนาจทัดเทียมพระเจ้า เที่ยวให้พรใครตามใจชอบได้ยังไงเล่า เธอโดนหลอกแล้ว” มือขาวซีดเอื้อมออกไปขยี้ผมยาวของเรล่า ร่างบางเบี่ยงตัวออก เดินขึ้นไปดักหน้าอลิทส์ สาวเท้าถอยหลังไปแล้วเอ่ยต่อ
“แล้วนายรู้รึเปล่า ว่าอูรานอสยังคงอยู่ได้ยังไงทั้งๆที่มีเมฆปกคลุมอยู่แบบนั้นตลอดทั้งวัน แล้วยังลมพายุ มรสุมอีก เพราะที่นั่นมีข่ายมนต์ของจอมเวทท่านนั้นอยู่ยังไงล่ะ...นั่นแหล่ะ เหตุผลที่จะลองเสี่ยง จอมเวทนั่นมีอำนาจเทียบได้กับพระเจ้า” เรล่าพยายามทำน้ำเสียงตื่นเต้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ชายหนุ่มทำเพียงแค่ดันศีรษะเธอที่เกะกะให้ออกไปพ้นๆทางที่เขาจะเดิน
“ถ้าจอมเวทนั่นเก่งขนาดนั้น ทำไมไม่ไปช่วยเจ้าหญิงเองล่ะ หรือเป็นตาแก่เมาเรือ ขี้ตกใจกระต่ายตื่นตูม” อลิทส์ส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นเรล่าทำแก้มพองเป็นเชิงบอกว่าขัดใจ ร่างบางเดินไปดักหน้าเขาอีกครั้ง แล้วพยายามจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น
“จอมเวทแห่งอูรานอสติดต่อกับกษัตริย์ซาร์เบียนผ่านทางกระจกมิติที่จะได้ยินเพียงแค่เสียงเท่านั้น ไม่เคยมีใครมองเห็นตัว มหัศจรรย์ใช่ไหมล่ะ อลิทส์ เฮ้ ! ฟังกันหน่อยซิ” เรล่าขึ้นเสียง เมื่อชายหนุ่มขยับหมวกคลุมลงเลื่อนปิดถึงนัยน์ตาแล้วสาวเท้าเดินนำหน้าไปเร็วๆ มือบางเอื้อมคว้าชายเสื้อเขาไว้แล้วเอ่ยรัวเร็ว
“ฉันไม่อยากสูญเสียนายไป ขอร้องเถอะ”
อลิทส์ถอนหายใจเสียงหนักหน่วง สองเท้าที่หนักอึ้งจนก้าวไม่ออกทำได้เพียงยืนอยู่ในท่าเดิม...คำพูดนั้นมันเสียดแทงทะลุเข้าสู่ใจกลางความรู้สึก ตัวเขาเองก็เหมือนกัน ไม่อยากจะสูญเสียชีวิตนี้ไป แม้ว่ามันจะต้องเผชิญกับความทุกข์ กับความเจ็บปวด แต่เขาก้ยังพอใจกับโลกใบนี้
พอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สัมผัส...จนไม่อยากจากไป
“ไปเถอะนะ อลิทส์ ฉันจะไปด้วย” เรล่ากระตุกชายเสื้อเขาแรงๆ น้ำเสียงเว้าวอนที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยทำให้ชายหนุ่มเริ่มโอนอ่อน...ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องของเธอเลยแท้ๆ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับชีวิตเขา แต่เธอกลับเป็นฝ่ายเดือดร้อนแทน
นัยน์ตาสีดำขลับปิดลง ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ แล้วตัดสินใจอย่างเด็ดขาดภายใต้จิตใจอันสั่นไหวของตัวเอง
“ไม่”
ร่างสูงสาวเท้าเดินต่อ ปล่อยให้หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่ คำตอบรับที่ยังดังก้องอยู่ในหูเป็นประกาศิตสุดท้ายที่ยื่นแก่เธอ เขาเดินจากไปโดยไม่หันมามอง แผ่นหลังกว้างเหยียดตรงที่ค่อยๆไกลห่างออกไปทีละก้าวราวกับพยายามจะบอกเธอว่า ให้ออกไปห่างๆเรื่องของเขา
“อลิทส์...” เรล่าเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านั้น มือบางกำแน่นวางลงข้างลำตัวมันสั่นสะท้านยากจะควบคุม หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ความโกรธเคืองที่แล่นปรี่ขึ้นมาแทนที่ ขอบตาร้อนผ่าวแค่ไหน มันเทียบกับความขุ่นข้องที่ผุดขึ้นมาไม่ได้
“จำไว้นะ! ไอ้โง่หัวผักกาดจำไว้ให้ดี! จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย !” เรล่าก้มลงถอดรองเท้าหนังส้นแหลมของตัวเองแล้วปาออกไปเต็มแรง มันปลิวคว้างเข้าปะทะเต็มหลังศีรษะแม่นยำราวกับจับวาง ร่างสูงที่กำลังก้าวอาดๆอย่างสง่างามถึงกับถลาไปข้างหน้า
“โอ้ย!!” อลิทส์ร้องลั่น มือลูบคลำส่วนที่โดนรองเท้ากระแทก ใบหน้าคมเข้มตวัดหันมาหาคนข้างหลัง คิ้วเรียวขมวดแน่น แล้วก้มลงเก็บรองเท้าบนพื้นโยนส่งกลับคืนให้เจ้าของ ริมฝีปากบางยิ้มอย่างเริงร่า “ฉันไม่ตายก่อนเธอหรอก สัญญา...” อลิทส์ชูนิ้วก้อยส่งให้เธอ แล้วโบกมือน้อยๆ ก่อนจะวิ่งหายลับไปในความมืด
ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและพันธะที่พัดผ่านเข้ามาก่อนจะล่องลอยจากไป
ความคิดเห็น