คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [ [ . . . : Chain Soul : . . . ] ] Chapter 1 - พันธะดวงวิญญาณ
Chapter I - - พันธะดวงวิญญาณ
“มันเป็นโชคชะตา...ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวนับล้านบนท้องนภา เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบที่เจ้ามองเห็นอยู่ได้” เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากชายหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านผ้าคลุมสีดำ ท่ามกลางกลุ่มควันที่ลอยฟุ้งบดบังใบหน้าที่แท้จริง รอบอาณาบริเวณถูกจำกัดแสง จนเห็นได้แค่เพียงมือเจ้าของน้ำเสียงที่วางอยู่เหนือลูกแก้วใส
“ล...แล้ว...จะเกิดอะไรขึ้นกับผมล่ะครับ” น้ำเสียงสั่นๆที่แสดงความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด เรียกให้นัยน์ตาสีดำขลับเงยขึ้นจากผ้าคลุมสบตาคู่ตื่นกลัวนั้นอย่างข่มขวัญ ชายหนุ่มลากมือวนรอบลูกแก้วที่เริ่มเปล่งแสง ก่อนจะแสยะรอยยิ้ม
“ก็บอกแล้ว...ชะตาชีวิตเจ้ามันโคจรอยู่ใต้อิทธิพลของหมู่ดาว...ระวังอันตรายจากของมีคม”
ฉึก!!!
“เย้ยยย!!!!” ชายหนุ่มถลันตัวออกจากตำแหน่งที่นั่งอยู่ เมื่อยังไม่ทันจบประโยคดี จอบอันใหญ่ก็ตกลงมาปักฉึกลงกับพื้น นัยน์ตาตื่นกลัวเงยขึ้นมองใบหน้าที่ซ่อนอยูใต้ผ้าคลุม...แม่นยิ่งกว่าตาเห็น เสียงพูดคุยรอบๆตัวเริ่มดังขึ้นจากกลุ่มคนที่เข้ามาดูการทำนายของ บรัศว์...ทายาทพ่อขุนวนันดร์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในทางไสยศาสตร์
“พอได้แล้ว...คนต่อไปเข้ามาได้” บรัศว์เอื้อมมือจุ่มลงในขันสีดำ ก่อนจะโปรยหยดน้ำใส่ชายหนุ่มที่ถอยตัวออกไปอย่างหวาดกลัว ทันทีที่ ‘เหยื่อ’ รายใหม่สาวเท้าเข้ามา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแล้วชะงักค้างไปครู่
ส...สวย...สวยโคตรๆ
หญิงสาวในชุดเครื่องแบบนักเรียนสีขาวดูเรียบ้อย เส้นผมยาวประบ่ามัดเป็นเปียเดี่ยวหลวมๆ ใบหน้าที่แสดงถึงความวิตกหากแต่ยังน่ารักน่าเอ็นดู นัยน์ตากลมโตจับจ้องเขาอยู่ครู่ ก่อนจะก้มลงมองพื้น บรัศว์เลื่อนลูกแก้วตรงหน้าไปข้างๆ แล้ววางมือประสานบนตัก
“เจอเรื่องร้ายๆมา?” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ ขณะที่หญิงสาวตวัดนัยน์ตาขึ้นมอง แล้วรีบพยักหน้ารับคำ “ของรักหาย?” เขาเอ่ยขึ้นอีก ก่อนจะหยิบเชือกสีขาวที่พันอยู่รอบเทียนขึ้นมา หญิงสาวก้มหน้านิ่ง...ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารัก
ทายาทพ่อขุนวนันดร์ขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะดึงมือบอบบางที่วางบนตักขึ้นมาระดับอกตัวเอง หญิงสาวชะงักน้อยๆ บรัศว์ค่อยบรรจงผูกเชือกสีขาวลงบนข้อมือบาง แล้วพลิกฝ่ามือขาวขึ้นมองดู นิ้วกร้านไล้มือนุ่มเบาๆ ใบหน้าเรียบเฉยภายใต้ผ้าคลุมสีเข้มเงยหน้ามองหญิงสาว
“เดินออกจากที่นี่ไป...ทางซ้ายสองร้อยสิบห้าก้าว เลี้ยวขวาอีกร้อยห้าสิบก้าว จะได้ของที่หายไปคืน” ชายหนุ่มกดนิ้วลงกับฝ่ามือของเธอ โดยที่ไม่ทันรู้ตัวว่าเริ่มทำให้เจ้าของนัยน์ตาคู่ที่แอบมองอยู่ข้างหลังเริ่มออกอาการหมั่นไส้
ฉึก!!!
แว๊กกกก!!! เวรๆๆ พ่อแก้ว แม่แก้ว!! ตาเถรลูกเอ๊ย!! ตามบทจอบมันต้องหล่นครั้งเดียวไม่ใช่เหรอฟ๊ะ!!
ชายหนุ่มนั่งนิ่งอย่างรักษามาด แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้หญิงสาวลูกออกไป เสียงสัญญาณของโรงเรียนที่จะดังทุกๆหนึ่งชั่วโมงบ่งบอกเวลาห้าโมงเย็น เรียกให้ทุกๆคนที่นั่งรอการทำนายต้องกลับออกไปอย่างเสียดาย บรัศว์...ทายาทพ่อขุนวนันดร์ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาเป็นที่สุด
บรัศว์ขยับเสียงถอนหายใจเฮือก นัยน์ตาสีดำขลับมองดูจอบสองอันที่ปักฉึกลงตรงหน้าอย่างสยดสยอง ชายหนุ่มตวัดผ้าคลุมออก แล้วเอื้อมมือลอดผ่านผ้าคลุมหลังฉากเพื่อปิดพัดลมที่พัดตีเอาควันน้ำแข็งแห้งเข้าหน้าเขาจนชาวูบๆอยู่นานสองนาน
“พอเป็นผู้หญิงนี่ จับไม่ปล่อยเลยนะเว้ย !” บรัศว์หันหน้ามองตามชายหนุ่มที่เดินลอดหลังม่านมา แล้วขมวดคิ้วแน่น
“ไอ้ศีล!! แกปล่อยจอบอีท่าไหนฟ๊ะ ถ้าโดนหัวฉันตายห่าขึ้นมาจะว่ายังไง...หัวใจจะวาย ไอ้เวรเอ๊ย...” ศิราไหวไหล่อย่างไม่ส่ใจ ก่อนจะเริ่มลงมือเก็บของ บรัศว์สบถเบาๆลงลำคอ แล้วลุกขึ้นจากพื้น แล้วเหยียดแขนออกอย่างเมื่อยล้า
“เออนี่...ไอ้บรัศว์ ที่แกบอกแม่สาวคนนั้นไปว่าให้เดินไปตามทางแล้วจะเจอของที่หาย จริงเหรอวะ” ศิราม้วนผ้าม่านขึ้นเก็บ ขณะที่คนถูกถามหันกลับมามองแล้วยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ
“มันจะไปเจอได้ไงล่ะ ไอ้บัฟฟาโล่ ออลเครสตรา” ศิราเลิกคิ้วขึ้น ยังไม่ทันได้ถาม คนตรงหน้าก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน “ก็ไอ้ทางที่ฉันบอกน่ะ เดินไปสุดทางมันก็เจอห้องปกครอง ของหายก็ต้องไปหาที่นั่นก่อนดิ” ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ พลางสาวเท้าออกไปยังประตูบานกว้างแล้วผลักมันเปิดออก แสงสว่างยามเย็นทีแสนถวิลหาสาดส่องเข้ามา
ร่างสูงโปร่งหันหน้าเข้าหาสถานที่ทำมาหากินที่เขาพึ่งพามาตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าชีวิตของเขาอยู่ด้วยเงินอันน้อยนิดของพ่อไม่ได้...ขืนเกาะพ่อกิน มีแต่ตายกับตาย แสงแดดสีเข้มจากพระอาทิตย์กลมโตที่กำลังจะลับของฟ้า ส่องให้เห็นป้ายที่ติดอยู่เหนือประตู
ห้องเก็บอุปกรณ์การเกษตร
บรัศว์รีบเบือนหน้าหนีอย่างเบื่อหน่าย มีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ที่จะเข้ามาเตรียมงานไว้ก่อนได้อย่างที่ไม่ต้องมีคนสงสัย งานจอมปลอมหลอกลวงที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก นานวันเข้าก็เริ่มรู้สึกว่ามันสนุกดี...ได้เห็นความงมงายของคน ความศรัทธาพิลึกๆ
“แล้วรู้ได้ไงว่าเธอทำอะไรหาย” ศิราเงยหน้าขึ้นจากเสื่อสานในมือที่ทายาทพ่อขุนวนันดร์เลือกลายเอกกับมือ เพียงเพราะลวดลายบนผืนเสื่อมันให้ความรู้สึก ‘ขลัง’ บรัศว์หมุนตัวกลับเข้ามาสบตาเพื่อนที่นั่งย้อนแสงอยู่ภายใต้ความมืด
“สร้อยคอทองคำขาว ติดจี้รูปหัวใจที่เธอใส่อยู่เป็นประจำมันหายไป” บรัศว์จิ้มนิ้วลงกับอกเสื้อตัวเอง นัยน์ตาสีดำขลับเหม่อมองขึ้นด้านบนราวกับกำลังจะครุ่นคิด
“ช่างสังเกตขนาดนั้นเชียว” ศิราเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ใบหน้าคมเข้มไร้อารมณ์เริ่มส่อแววสงสัยในคำตอบ
“ก็เออซิวะ...ผู้หญิงสวยๆแบบนั้นไม่มองทุกวันก็บ้าแล้ว”
ว่าแล้วเชียว...
“ไม่จริงหรอกมั้ง” ศิราสวนคำอย่างรู้ทัน “แค่แอบมองหน้าอกเธอตอนก้มหยิบของแล้วบังเอิญเห็นมากกว่าใช่ไหม...ไอ้โรคจิต!” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาอย่างหัวเสีย ขณะที่คนฟังยิ้มรับคำต่อว่าอย่างเต็มภาคภูมิ บรัศว์หันหน้ากลับออกไปด้านนอกประตู
“ไอ้ศีล ซื้อถ่านใหม่ด้วยนะเว้ย ไอ้ลูกแก้วบ้านั่นมันเริ่มติดๆดับๆและ” ชายหนุ่มปัดๆมือลงกับเสื้อเครื่องแบบพละศึกษาสีกรมท่าเปรอะเปื้อนฝุ่นของตัวเอง ก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นพาดบ่า แล้วเดินห่างออกไป ศิรารวบรวมเครื่องมือหากินแล้วยัดลงถุงใบใหญ่ ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนไป
บางครั้ง...เขาก็เริ่มจะเชื่อ ว่ามันเป็นโชคชะตา
บรัศว์ ไม่ใช่มนุษย์ที่น่าเสวนาด้วยเลยแม้แต่น้อย ปากที่กวนได้ตั้งแต่อวัยะเบื้องล่างสุดของร่างกายไปจนถึงตับไตไส้พุง ทะลุแกนสมอง ลงกระเพาะออกลำไส้ใหญ่ หากแต่บางสิ่งบางอย่างที่ยังผูกมัดเขาไว้ให้อยู่กับไอ้เพื่อนที่แสนถ่วงความเจริญนี้ต่อไปแทนที่จะได้ก้าวไปสู่แสงสว่าง...บางสิ่งบางอย่างที่คาบเกี่ยวไว้ด้วยห้วงมิติและกาลเวลา
บรัศว์ไม่ใช่คนธรรมดา...โชคชะตากระซิบบอกมาแบบนั้น
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาหลงลืมเรื่องทุกอย่างในชีวิตตัวเองตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เสียงบทลำนำแห่งโชคชะตาก็เริ่มบรรเลง...และหมุนวนจนส่งให้เขามาอยู่ที่นี่ ราวกับเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้
“ขอบคุณครับ” เสียงของเพื่อนข้างหน้า เรียกให้ศิราเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเลิกคิ้วขึ้น มองดูลูกเจ้าขุนวนันดร์ตวัดปากกาเซ็นชื่อลงบนกระดาษสีชมพูของสาวน้อยมัธยมต้นหน้าตาน่ารักนาเอ็นดู ที่เธอคงจะมองลายเซ็นพิลึกพิลั่นนั่นเป็นคาถาลงอาคม ป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ อย่างที่ทุกคนล่ำลือ แต่ที่เธอไม่รู้คือถ้าเอารูปมันไปแปะไว้หน้าประตูบ้านอย่าว่าแต่ผีสาง ภูตจากนรกขุมไหน แม้แต่โจรยังไม่กล้าปล้น
ความหลงงมงายจนคล้ายจะบ้า ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าที่ไอ้ตัวดีมันพูดๆก็เป็นเรื่องทั่วๆไปทั้งนั้น เรื่องทางการเมืองที่บรัศ์มักจะนำมาทำนายได้อย่างแม่นยำก็เพราะแอบอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองรับจ้างส่งทุกเช้า แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นความคิดเพี้ยนๆ มั่วไปเรื่อยแค่วางท่าให้ดูมีหลักการณ์
บางครั้งที่ทำนายสภาพอากาศตลอดทั้งวันได้ถูกต้องก็เพราะไปอาศัยดูรายงานการพยากรณ์อากาศที่ร้านบะหมี่ข้างบ้านเพราะต้องไปรับจ้างช่วยเขาเก็บร้าน
ไม่เห็นมีส่วนใดส่วนหนึ่งในเศษเสี้ยวชีวิต ที่บ่งบอกว่ามันมีอะไรวิเศษณ์ ดูๆก็แค่คนไม่เต็มบาทคนหนึ่งที่ใช้ความเพี้ยนของตัวเองให้เป็นประโยชน์ก็เท่านั้น
บรัศว์เงยหน้าขึ้นยิ้มรับเสียงชื่นชมจากกลุ่มนักเรียนหญิงที่เดินผ่านมา
“ท...ท่านบรัศว์ครับ!” รอยยิ้มสดใสหุบลงพลัน เมื่อเสียงหวานๆนั่น เอ่ยคำลงท้ายของผู้ชาย เด็กหนุ่มร่างเล็กวิ่งตรงมาอย่างรวดเร็วแล้วหยุดลงตรงหน้าเขา พลางหอบหายใจหนักๆ บรัศว์ขมวดคิ้วมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า
ท่านบรัศว์...ไอ้เด็กเวรบรรลัย ถ้าผู้หญิงเรียกจะไม่ว่าอะไรเลยฟ่ะ!
“จำได้ไหมครับ ผมน่ะ...”
“จำไม่ได้” ชายหนุ่มสวนคำทันควัน โดยที่ไม่รอให้คนตรงหน้าพูดจบ...ลูกค้ามากมายตั้งครึ่งค่อนโรงเรียนจะให้จำว่าใครเป็นใครมันคงจะเก่งเกินเทพไปหน่อย...ถ้าเป็นผู้หญิงน่ารักๆ แล้วทิ้งเบอร์ ไว้อาจจะไม่ลืมก็ได้นะ
“อ...เอ่อ...เมื่อสามวันก่อน ท่านบรัศว์บอกว่าบ้านข้างๆบ้านผมจะไฟไหม้...เมื่อคืนนี้บ้านข้างๆไฟไหม้จริงๆครับ!” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดังเรียกให้กลุ่มคนที่เดินสวนไปมาถึงกับหยุดชะงักแล้วรอฟังอย่างอยากรู้อยากเห็น บรัศว์แสยะรอยยิ้ม
“...นั่นเป็นอิทธิพลใต้การโคจรของดวงดาว...ดาวฤกษ์ธาตุไฟเปล่งแสงทับดาวฤกษ์ดวงที่สิบสองในวงแหวนจักราศี ปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ” ศิราชักฝีเท้าแล้วขยับเสียงถอนหายใจ...ไอ้หน้าแป้นแล้นแบบนั้นมันอะไรกันวะนั่น...หรือเพราะซองสีขาวที่เด็กหนุ่มกำลังยื่นให้ เจ้าตัวดีจับๆความหนาของธนบัตรในซองแล้วยิ่งแป้นแล้นใหญ่...เรื่องเงินไม่มีใครเชี่ยวชาญเกินมัน แค่ดมกลิ่นก็รู้แล้วว่าธนบัตรใบละเท่าไหร่ บรัศว์แสร้งตีสีหน้าเรียบเฉยกับเงินในมือ
“จะถือว่านี่เป็นเครื่องเซ่นให้กับเหล่าภูตผู้สถิตอยู่บนทางช้างเผือก...”
นัยน์ตาสีดำขลับกดมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างข่มขวัญ...ว่าแต่...ไอ้ดาวฤกษ์ดวงที่สิบสองนี่มันดาวอะไรฟ๊ะ! มีจริงรึเปล่าเนี่ย รู้งี้ตั้งใจเรียนวิทย์ตั้งแต่อนุบาลสามดีกว่า
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ลาลูกพ่อขุนวนันดร์ที่กำลังจะเริ่มชื่นชมเงินอย่างออกนอกหน้า บรัศว์ขยับรอยยิ้มส่งให้สาวๆกลุ่มใหญ่ข้างๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเร็วๆ เรียกให้คนข้างหลังรีบเดินตาม พอปลอดผู้คนแล้ว จึงดึงเงินในซองขึ้นถูๆกับใบหน้าพร้อมกับโยนกระเป๋าในมือทิ้งลงพื้นอย่างลืมตัว
“กรี๊ดๆๆ โอ๊ย...เงินจ๋าเงิน...รอดตายแล้วว้อยย!!” ชายหนุ่มบรรจงประทับรอยจูบลงกับธนบัตรใบบนสุดอย่างรักใคร่ ขณะที่ศิราสาวเท้าเดินหอบกระเป๋าที่ไอ้ตัวดีโยนทิ้งเอาไว้ติดมือมาด้วย
“รู้ได้ยังไงน่ะ...แกคงไม่ได้ไปเผาบ้านหลังนั้นเองกับมือใช่ไหมวะ” ศิราเบือนนัยน์ตาคู่เฉยชามองคนข้างๆ ที่เริ่มบรรเลงระบำบูชาเทพเจ้าเงินตรา เพราะปลอดสายตาผู้คนไอ้ความบ้าที่กักเก็บมานานจึงถึงคราวระเบิด บรัศว์กระโดดสาวเท้าอย่างร่าเริงอยู่ครู่ ก่อนจะยกเงินในมือขึ้นจูบอีกหลายระลอกจนคนมองเริ่มสะอิดสะเอียนแล้วจึงเก็บใส่กระเป๋า
“นั่นเป็นอิทธิพลของการโคจรแห่งดวงดาว ตามตำนานจักราศีและทางช้างเผือก...”
โครม!!
“แล้วเงินนั่นเงินเซ่นวิญญาณโกโบริเหรอไง...” ศิราเหวี่ยงกระเป๋าในมือฟาดเข้าเต็มหัวจนร่างสูงโปร่งลอยถลาแทบหน้าทิ้มพื้น
“ไอ้บ้า!! โกโบริบ้านพ่อขุนวนันดร์ซิวะ!” บรัศว์ดึงสายกระเป๋าขึ้นพาดบ่า “ก็แค่ไอ้บ้านหลังนั้นมันติดหนี้ยากูซ่าแก๊งค์เดียวกับที่บ้านฉันติดอยู่ อีกสามวันมันก็จะมาเผาบ้านฉันเหมือนกันแหล่ะ แต่ว่า...” ชายหนุ่มชะงักคำ คิ้วเข้มเหนือนัยน์ตาสีดำขลับเลิกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ มือกร้านไล่นิ้วสัมผัสธนบัตรในกระเป๋า “คนอย่างฉันมันไม่มีวันจนตรอกหรอก...ลูกผู้ชายอย่างฉันฆ่าไม่ได้หยามก็ไม่ได้เฟร้ย!!”
แล้วพูดทำเพื่อ?
ศิราเบือนหน้าออกอย่างเบื่อหน่าย เมื่อลูกผู้ชายอย่างมันเริ่มออกอาการบ้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงเงินอย่างคลุ้มคลั่ง...บางครั้งเขาก็เริ่มที่จัคิดว่าไม่ควรเชื่อโชคชะตาเดินตมเส้นทางมาพบมนุษ์ไม่เต็มบาทอย่างมันเลยแม้แต่น้อย ห้วงมิติแห่งกาลเวลาที่หมุนย้อน เม็ดทรายที่เรียกว่าพรหมลิขิตเริ่มหมุนวนกลับทางเก่า
ใกล้ถึงเวลาแล้ว...เส้นด้ายบางๆที่คาบเกี่ยวห้วงเวลาและพันธะของดวงวิญญาณกำลังจะถูกตัดขาด โดยมนุษย์ไม่เต็มบาทตรงหน้า...
“เงินสุดที่ร๊ากกก” ศิราเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของพันธะแห่งดวงวิญญาณอย่างไม่ใคร่แน่ใจ บรัศว์กำธนบัตรให้มือขึ้นระดับดวงหน้า แล้วจ้องเขม้นอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนจะพึมพำเบาๆ “ถ้ายัยป้าจอมระรานนั่น มาเจอฉันในสภาพแบบนี้คงฮากลิ้งแหงๆ”
“นี่...ส่วนแบ่งของฉันล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยท้วงขึ้น เรียกให้บรัศว์ตวัดนัยน์ตามองเขม้น ศิราชะงักฝีเท้าหยุดอย่างอึ้งๆ ไม่นึกว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตจะมีโอกาสได้เห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังอย่างไม่ตอแหลของมันเป็นครั้งแรก...ถ้าเป็นเรื่อง ต่อให้ต้องตายแบบไม่ต้องผุดต้องเกิดมันก็คงยอม ศิรากลืน้ำลายลงคอแล้วปรับสีหน้าเรียบเฉย “อย่างน้อยๆก็ขอเป็นค่าซื้อถ่านไง”
“ถ่านกิ๊กก๊อกสี่ก้อนสิบบาทยังจะคิดตังค์อีกเหรอฟ๊ะ! ไอ้หน้าเลือดเอ๊ย! ไอ้งก!”
ใครงกกันแน่วะเนี่ย
บรัศว์รีบยัดเงินเก็บลงกระเป๋า นัยน์ตาสีดำขลับยังคงจับจ้องเพื่อนข้างๆด้วยท่วงท่าเตรียมพร้อมที่จะพ่นพิษใส่ได้ทุกเมื่อ ร่างสูงค่อยๆสาวเท้าถอยช้าๆ แล้วหันกลับไปมองสถานที่อันคุ้นเคยเบื้องหลัง เพียงเสี้ยววินาที บรัศว์รีบตวัดนัยน์ตากลับมามองเพื่อนอีกครั้งอย่างไม่ไว้ใจ
“แยกกันตรงนี้นะเว้ย ฉันจะเอาเงินไปขัดดอกไอ้ยากูซ่าก่อน เดี๋ยวโดนเผาบ้านจะซวยเอา” ยังไม่ทันจบประโยคดี ทายาทพ่อขุนวนันดร์ก็เก็บเงินใส่กระเป๋าสะพายแล้วดึงลงมากอด ก่อนจะวิ่งเลียบกำแพงออกไปมองดูแล้วคล้ายๆฆาตกรโรคจิตกำลังหลบหนีคดี
นอกจากโรคจิตแล้วยังไม่เต็มบาท
พันธะแห่งดวงวิญญาณ...โซ่ตรวนที่พันผูกห้วงมิติกาลเวลาไว้ด้วยกัน เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าตัวเองเคยได้ยินเรื่องพวกนี้...แต่พอรู้ตัวอีกที ก็โดนบางสิ่งบางอย่างบังคับให้เขาหลงเชื่อในเสียงของโชคชะตา
ศิราก้มหน้าลงมองมือทั้งสองข้างของตัวเองรับรู้ถึงแรงสั่นสะท้านและความเจ็บปวดแปลกๆ ราวกับร่างกายกำลังจะสูญสลายไป...เขาจำอะไรไม่ได้นับตั้งแต่เกิดจนถึงช่วงเวลาที่อายุสิบสาม สี่ปีที่เริ่มต้นความทรงจำครั้งใหม่มีเพียงบรัศว์คนเดียที่เป็นผู้สร้างความทรงจำนั้นขึ้นมา
ไม่ใช่เพียงแค่สร้างความทรงจำ...หากแต่สี่ปีที่เขาดำรงชีวิตแบบไร้ความทรงจำในอดีต บรัศว์กำลังพยายามที่จะลบอดีตทุกสิ่งทุกอย่างของเขาออกไป ไม่พูดถึงและไม่คิดที่จะทำให้เขาฟื้นคืนความทรงจำ เรื่องราวบางอย่างที่หลงลืมไปแล้วและไม่มีวันย้อนกลับมา
ความทรงจำมันมีช่วงเวลาของมัน ตอนนี้แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
ความคิดเห็น