คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฉากที่2 เกาะเมจิเอนิทาสต์50%
“เห็นชายหาดเข้ามาใกล้ๆแล้วๆ”ไดโอนิซิสส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้น ทุกคนหันไปมองทางเกาะด้วยความตื่นเต้นเพราะจะได้เหยียบแผ่นดินใหม่
“แล้วมันจะจอดให้เราลงดีๆไหมค่ะ”วอลเล่เอ่ยถาม ในใจของเธอนั้นเกิดความประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จนโอเชียน่าเริ่มรู้สึกตะหงิดๆกับคำถามแต่ละคำถามของเธอ ที่ชวนให้คิดมากอยู่เรื่อยเลย
“จอดสิ...ไม่งั้นพวกที่มาก่อนจะไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ไง...”โอเชียน่าตอบแทนทุกคนด้วยแววตาเบื่อหน่าย
“ว้าว~ หาดทรายใกล้เข้ามาแล้วๆ...”ไดโอนิซิสยังคงตื่นเต้นและเว้นช่วงการพูดของตนไป และเอ่ยต่อเหมือนเด็กเล่นรถไฟชนกัน“ปัง!”
เรือไม้ลำน้อยลอยลงจอดตรงหาดทรายสีขาวนวลอย่างช้าๆ เมื่อมันจอดสนิทแล้ว ไดโอนิซิสเป็นคนแรกที่โดดลงไปในทะเลตื้น โดยไม่ห่วงว่ากางเกงยีนส์ของตนจะเปียกมากแค่ไหนแล้ววิ่งไปหาฝั่งคนแรก ตามด้วยฮิซัสผู้มีแววตากระตือรือร้นรองลงมาจากไดโอนิซิส เทอร์รี่ วอลเล่ เวเทอร์ และโอเชียน่า ผู้เดินรั้งท้ายสุด
“ฮู้! ที่นี้ทำไงต่อ”ฮิซัสถามขึ้นมาพลางเอามือป้องแสงแดดจากสายตา และหันไปเผชิญหน้ากับหาดทราย ถัดไปคือป่ารกชันตามที่เห็นได้ทั่วไปในหนังคนติดเกาะ
“รอ”โอเชียน่าบอกสั้นๆแล้วเดินไปหาขอนไม้ผุเพื่อนั่งลง
เวลาผ่านไปนานราวกับเป็นชั่วโมง เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ซึ่งโดยมาจากเรือไม้ลำน้อยได้ยืนจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องเรือที่ไม่มีคนบังคับอย่างสนุกสนาน จนกระทั้งเสียงเหล่านี้ต้องเงียบลงไปเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างแหวกใบไม้ในป่ามาหา...
“เสียงอะไรน่ะ”วอลเล่เอ่ยถามด้วยความตกใจ เธอเดินถอยหลังไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่ยืนเกาะกันอยู่ตรงกลางหาดทรายด้วยความกลัว
โอเชียน่าลุกขึ้นมาจากขอนไม้ผุทันที แล้วหันไปมองป่านั้นอย่างไม่ไว้ใจ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ มองป่านั้นด้วยสายตาหวาดระแวง
เสียงแหวกใบไม้ดังมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงถึงว่า สิ่งที่เคลื่อนตัวอยู่กำลังมาหานักเรียนหน้าใหม่กลุ่มนี้ มันไม่ใช่แค่เสียงแหวกใบไม้ใบหญ้าเท่านั้น แต่เสียงเครื่องจักรบางอย่างก็ดังขึ้นด้วย สร้างความสงสัยแก่หมู่นักเรียนเป็นอย่างมาก มันดังมากขึ้นเรื่อยๆ ดังพอๆกับเสียงหัวใจของทุกคนที่ดังขึ้นแข่งขันเพื่อหาผู้ชนะ
โอเชีย่นากลืนน้ำลายไปหลายอึกด้วยความตื่นเต้นปนความหวาดกลัวในจิตใจ เหงื่อเม็ดใหญ่ค่อยๆไหลอาบใบหน้ารูปไข่ จนตอนนี้ดูเหมือนเธอเพิ่งถูกใครบางคนราดน้ำใส่หัวของเธออย่างไรอย่างนั้น ความตื่นเต้น ความกลัว ความหวาดระแวง และความวิตกกังวลนั้นมันคอบคลุมพื้นที่ในจิตใจของโอเชียน่าไปจนหมดสิ้นแล้ว จนกระทั้ง
ฟุบ! เสียงแหวกใบไม้ใบหญ้าดังขึ้นครั้งสุดท้าย ปรากฏถึงรางรถไฟประหลาดที่ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้ทุกๆคน มันยืดตัวมาเรื่อยๆจนกระทั้งมาหยุดกลางวงนักเรียนหน้าใหม่กลุ่มนี้
โอเชียน่ามองเหตุการณ์นี้ด้วยสายตา อึ้ง ทึ่ง แต่ไม่มีเสียว เพราะเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน หลักทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้แม้แต่นิดเดียว เธอมีความรู้สึกว่า...เกาะแห่งนี้ถ้าจะมีอะไรไม่ชอบพามากลเสียแล้ว ตั้งแต่เรือขับเคลื่อนเองได้ รางรถไปยืดตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องเพิ่งแรงงานคนก่อสร้าง
...นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!?...
“ดูสิๆ นั่นโบกี้รถไฟ!”เสียงเด็กนักเรียนคนหนึ่งร้องขึ้นแล้วชี้ไปยังทางที่รางรถไฟได้โผล่ขึ้นมา
ตู้โบกี้รถไฟไม้ขนาดใหญ่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกมาจากป่ารกชัน มันเคลื่อนตัวตามรางรถไฟ จนกระทั่งหยุดลงเมื่อสุดทาง... มันคงจะดูเหมือนตู้โบกี้รถไฟไม้ธรรมดาๆซึ่งมีหน้าต่างบานเล็กหลายบานล้อมรอบ ประตูทางเข้าซึ่งอยู่ข้างหน้า และล้อรถไฟสำหรับเคลื่อนตัวมันเองอีก3ล้อ แต่สิ่งที่ทำให้มันดูไม่เหมือนตู้โบกี้รถไฟธรรมดานั่นก็คือ มันขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งหัวรถจักรขับเคลื่อนแต่อย่างใด! สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจแก่โอเชียน่าเป็นอย่างมากรวมทั้งคนอื่นๆที่สงสัยไม่แพ้กัน
นี่นะหรือ...โอเชียน่าเอ่ยขึ้นในใจ แล้วก็ค่อยๆเดินไปสัมผัสตู้โบกี้รถไฟอย่างช้าๆด้วยความกล้าๆกลัวๆ สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงเครื่องจักร
ฟุบ! เสียงแหวกใบไม้ใบหญ้าดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับตู้โบกี้รถไฟอีก9ตู้ค่อยๆเคลื่อนตัวมาต่อแถวจากตู้แรก มันเว้นระยะจากกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
.
ทุกคนมองมันด้วยแววตาประหลาดใจ ระคนสงสัย ไม่นาน อ. ที่มาด้วยก็ได้นั่งเรือไม้ลำเล็กมาพร้อมกับดีมีน์ซิทัส
“ขึ้นเลยๆ”อ.ชายชราร่างท้วมเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริงตามภาษาคนอารมณ์ดีเป็นนิจ ด้วยความที่ อ. คนนี้นั้นร่างท้วมผสมกับริ้วรอยบนใบหน้าตามกาลเวลา ทำให้เจ้าตัวดูอบอุ่น ใจดี และไว้ใจได้อย่างประหลาด
โอเชียน่ารู้สึกโล่งใจเมื่อมีผู้ใหญ่มาด้วย แต่เธอก็ยังไม่คลายความกังวลว่าทำไมต้องให้พวกเธอเข้าไปในตู้โบกี้ประหลาดนี้ด้วย ในเมื่อมันไม่มีคนบังคับแบบนี้ แล้วอย่างนี้จะให้เด็กนักเรียนตาดำๆอย่างพวกเธอโดยสารได้อย่างไรกัน
เมื่อ อ. ร้างท้วมเห็นว่าเด็กนักเรียนมีท่าทีลังเลเพื่อจะขึ้นตู้โบกี้พวกนี้ เขาจึงแย้มรอยยิ้มออกมาแล้วกล่าวให้ความน่าเชื่อถือของตู้พวกนี้ว่า “ไม่ต้องห่วง ทางโรงเรียนได้มีการพัฒนาการเดินทางด้วยรถไฟให้ดีขึ้น จึงทำให้มันไม่มีเครื่องจักร เนื่องจากเราพัฒนาให้มันเล็กลงจนมองไม่เห็น เช่นเดียวกับเรือลำน้อยที่เราโดยสารมา”
เด็กนักเรียนทุกคนมีสีหน้าดีขึ้นและค่อยๆทยอยกันเข้าไปในตู้โบกี้นี้ ยกเว้นโอเชียน่า เพราะเธออยากจะหัวเราะคิกคักกับเหตุผลของ อ. ท่านนี้จริงๆ เพราะอะไรนะหรอ ก็เพราะว่าถ้ามีการพัฒนาจนมันมองไม่เห็นแล้วละก็ เรื่องแบบนี้มันต้องลงหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์วิทยาศาสตร์แล้วสิ แสดงว่าสิ่งที่ อ. พูดนั้นโกหกทั้งเพ ถึงโอเชียน่าจะคิดแบบนั้น แต่เธอก็กระโดดเข้าไปในตู้โบกี้รถไฟตู้หนึ่ง ซึ่งมีเวทอร์และไดโอนิซิสเข้าไปก่อนแล้ว
“มานี่ๆ”ไดโอนิซิสตะโกนเรียกฝาแฝดผู้พี่ของเธอ ดีมีน์ซิทัสจึงเข้ามาข้างในตู้นี้ เมื่อเข้ามาก็พบกับตู้ไม้ธรรมดาๆ ซึ่งมีเพียงเก้าอี้ไม้ตัวยาวสองตัวถูกวางติดกับกำแพงฝั่งซ้ายและขวา ตัวหนึ่งน่าจะนั่งได้ประมาณ3คน และฝั่งซ้ายก็ถูก ไดโอนิซิส เวเทอร์และโอเชียน่าจับจองไว้เรียบร้อยแล้ว ตัวเขาจึงเข้าไปนั่งฝั่งขวา ตามด้วยเทอร์รี่ที่เดินเข้ามาข้างในตู้นี้ กับวอลเล่ซึ่งตามมาติดๆ
ผ่านไปสักพัก ทุกคนในตู้โบกี้ตู้นี้ไหวตัวเล็กน้อยให้กับตู้ที่กำลังเคลื่อนที่ มันเคลื่อนที่ออกไปจากชายหาดนี้อย่างช้าๆ อย่างเช่นที่มันเคยเคลื่อนตัวมาด้วยความเร็วเช่นนี้ มันผ่านป่าอันรกชัน มุ่งตรงไปยังอาคารเรียนหลังใหญ่ใจกลางเกาะแห่งนี้ โรงเรียนเมจิเอนิทาสต์...
“น่าเบื่อ~”เสียงบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายจากคนขี้เบื่อที่สุดดังขึ้นในรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ไดโอนิซิสเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างได้เพียงแป๊บเดียวก็ต้องชักหน้ากลับมา เนื่องจากข้างนอกนั้นมีแต่ป่ากับป่า!
“ขี้เล่น ขี้เบื่อ อารมณ์ร่าเริงอยู่ตลอดเวลา ตรงตามที่เขาล่ำลือกันเลยนะ ไดโอนิซิส”เสียงจากบุรุษนามเทอร์รี่เอ่ยขึ้น เรียกนัยน์ตาสองสีให้หันไปสบด้วย
“รู้ได้ไงๆ”ไดโอนิซิสเอ่ยถามด้วยความอึ้ง
“ก็เขาล่ำลือกัน”เทอร์รี่ตอบ
โอเชียน่านึกอะไรบางอย่างออกได้จึงรับหันไปหาเวเทอร์ทันที“เออ่...เวเทอร์ มีมือถือไหม”
เวเทอร์เงยหน้านึกแป๊บหนึ่ง แล้วกล่าวตอบโอเชียน่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “มีจ๊ะ”พลางค้นหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายใบน้อย สักพักเธอก็รูดซิบปิดมันเมื่อหาโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กสีขาวเจอ เธอยื่นมันไปให้โอเชียน่าซึ่งรอรับอยู่แล้ว แล้วกล่าวขอบคุณเวเทอร์ไปเบาๆ
โอเชียน่ามองโทรศัพท์มือถือรูปวงกลมเครื่องเล็กสีชมพูด้วยสายตาครุ่นคิด ในตอนนี้เธออยู่ที่เกาะ...แล้วที่เกาะนี้จะมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือให้ไหมนะ โอเชียน่าเลิกคิวสูงเลิกน้อยแล้วเหลือบมองขีดให้สัญญาณอย่างกล้าๆกลัวๆ ขอร้องละ มีสัญญาณทีเถอะ แล้วเธอก็ลอบยิ้มดีใจเมื่อเห็นว่ามันมีสัญญาณให้ ดังนั้นเธอเลยเดินไปหาที่สงบๆในมุมมืดเพื่อโทร.หาคนที่เธอรักยิ่งในชีวิต
ระหว่างที่เดินไปนั้น โอเชียน่าก็โดนกระตุกชายเสื้อ เธอหันไปมองมือที่กระตุกนี้ไล่ไปหาใบหน้าอันคมเข้มของดีมีน์ซิทัส
“เรียกตั้งนาน มันเหม่ออะไรอยู่ครับ”ดีมีน์ซิทัสเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า...”โอเชียน่าตอบกลับเสียงเบา ก็เสียงเบานั้นมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอไปแล้ว แม้ว่าเธอจะตะโกนให้เสียงดังแค่ไหน แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังเบาอยู่ดี
“แล้วนั่นจะไปไหนครับ”ดีมีน์ซิทัสถามอีกครั้ง คราวนี้โอเชียน่าโชว์โทรศัพท์มือถือกลมรีสีชมพูของเวเทอร์ให้ดู ดีมีน์ซิทัสจึงเปล่าชายเสื้อของโอเชียน่าให้เดินไปหามุมเงียบเสียที
โอเชียน่าเหลือบมองช่องบอกสัญญาณอีกครั้ง หวังว่าเมื่อกี้เธอไม่ได้ตาฝาดไป ซึ่งมันก็ยังคงเต็มขีดอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรโอเชียน่ารู้สึกแปลกใจอีกครั้ง ทำไมเกาะนี้ถึงมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือให้นะ ทั้งๆที่ตัวเกาะก็ออกจะอยู่ซะห่างไกล แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เธอก็ได้ลงมือกดเบอร์บ้านของเธอไปเรียบร้อยแล้ว
ตู้ด.... ตู้ด.... เสียงตู้ดดังขึ้น บอกว่าขณะนี้ยังไม่มีคนในบ้านรับสาย หัวใจของโอเชียน่าเต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้นที่จะได้คุยกับแม่ ดังที่เธอได้ให้สัญญาไว้ว่าจะโทร.มาหาเมื่อมาถึงเกาะ
“ฮัลโหล”เสียงปลายสายดังขึ้น ซึ่งเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แม่ของเธอเอง...
“แม่หรอค่ะ...”รู้ทั้งรู้ว่านั่นคือแม่ แต่เธอก็เอ่ยถามไปเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าคนที่โทร.มาคือเธอเอง
“ถึงเกาะแล้วหรอลูก”คุณนายมารีนเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นแฝงความห่วงใย
“ค่ะแม่...”โอเชียน่าตอบรับ
“แม่คิดว่าลูกจะไม่โทร.หาแม่ซะแล้ว เพราะแม่มีอะไรบางอย่างจะบอกลูก ลูกเชื่อเรื่องเวทมนต์ไหม”เสียงปลายสายถามมา แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่คุณนายมารีนเดาได้ว่าลูกสาวคนเดียวของเธอคงกำลังอึ้งอยู่แน่ๆ
“ไม่ค่ะ...”โอเชียน่าตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก็แน่ละ ใครเขาจะไปเชื่อกันง่ายๆ
“รู้ไหม แม่อยากจะบอกลูกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องของเวทมนต์ทั้งสิ้น ขอให้ลูกรับรู้ไว้ว่า ลูกนั้นไม่เหมือนใครในโลกมนุษย์อีกแล้ว ไม่ใช่แค่ลูกเท่านั้นที่ไม่เหมือนใคร แต่เพื่อนๆของลูกทั้งหมด นักเรียนทุกคนที่เรียนในโรงเรียนนี้ทั้งหมด ต่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วทันทีที่ลูกเหยียบย่ำลงบนเรือลำนั้น”
“แม่ไม่รู้ว่าแม่จะเปลี่ยนความคิดของลูกได้รึเปล่า แต่แม่อยากจะบอกลูกเอาไว้ว่า เวทมนต์นั้นมีจริง ลูกนั้นเป็นลูกหลานของ...เฮ้อ~ พ่อมดแม่มดอย่างพ่อกับแม่ ตอนนี้ให้แม่อธิบายอะไรคงอธิบายไม่ถูก ความจริงแม่ก็ไม่เชิงว่าเป็นพวกแม่มดหรอกนะ เอาไว้ว่า เมื่อลูกเริ่มเรียนรู้ในโรงเรียนลูกมากขึ้นเท่าใด ลูกก็จะได้รู้เกี่ยวกับความจริงในสิ่งที่ลูกเป็น”
“แต่จะให้หนูยอมรับง่ายๆเลยหรอค่ะ ของแบบนั้นมัน...โธ่ แม่ค่ะ นี่มันสมัยไหนแล้ว นี่ยุคไฮเทคแล้วนะค่ะ เรื่องพ่อมดแม่มดมันเป็นนิทานหลอกเด็กชัดๆ นี่แม่กำลังอำหนูเล่นใช่ไหม...”โอเชียน่าไม่เคยเถียงแม่เลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้...เธอรับไม่ได้จริงๆ
“ลูก...แม่ก็ไม่รู้ว่าแม่จะอธิบายยังไง ที่แม่ไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่หนูตั้งแต่แรก ก็เพราะกลัวหนูจะเพ้อฝันในตอนเด็กและ...มันก็มีกฎข้อห้ามด้วย...”คุณนายมารีนยังคงอธิบายต่อไป
“จำไว้ว่าเลือกกลาง”จู่ๆแม่ของเธอก็รวบรัดขึ้นมาทันที
“อะไรเลือกกลางค่ะแม่...”โอเชียน่าเอ่ยถามกลับด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่บอก
“เลือกกลางนะลูก...ปัง!”เหมือนโอเชียน่าจะได้ยินเสียงประตูฝั่งนู้นเปิดเสียงดังสนั่น ราวกับทางนั้นมีปัญหาอะไรบางอย่าง
“แม่...เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ...”โอเชียน่าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“กรี๊ด!!!!!!!!!!!!! ตู้ดๆๆๆๆๆๆๆ”เสียงกรีดร้องดังขึ้นแล้วเงียบหายไปพร้อมกับเสียงสัญญาณที่บอกว่าปลายสายได้วางไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเงียบสงบลงเมื่อเธอค่อยๆเอาโทรศัพท์มือถือออกห่างจากใบหู ตอนนี้หัวใจของเธอมันเต้นเร็วแรงอีกครั้งด้วยความตื่นกลัว แม่ของเธอเป็นอะไร?...
“โอเชียน่า...”ดีมีน์ซิทัสเรียกชื่อเธอ หวังจะให้หันหน้ามาคุยกันหน่อย “โอเชียน่า...!”
“คะ ค่ะ”โอเชียน่าสะดุ้งตัวแล้วหันกลับไปหาดีมีน์ซิทัสด้วยแววตาฉงน
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ เห็นเงียบไปอยู่ตั้งนาน”ดีมีน์ซิทัสเอ่ยถาม
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ไม่มี...”โอเชียน่าตอบเสียงแผ่วเบาลงกว่าเดิม เธอค่อยๆเดินไปยังเก้าอี้ด้วยสายตาเลื่อนลอย ราวกับวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว
ท่ามกลางความเงียบ เสียงของวอลเล่ก็เรียกสายตาให้ทุกคนหันไปมอง
“รู้สึกไหมค่ะ ว่าอากาศมันร้อนขึ้น”
“เหมือนกันๆ”เสียงไดโอนิซิสช่วยผสมโรงเห็นด้วย เธอคว้าเอาพัดมาจากไหนก็ไม่รู้มาพัดไล่ความร้อนรอบตัว
ดีมีน์ซิทัสไม่ได้พูดอะไร แต่ขยับเสื้อยืดขึ้นลงๆเพื่อขับไล่ความร้อนชื้นในตัวแล้วเหลือบมองไปรอบตู้เพื่อหาเครื่องทำความร้อนว่าตู้นี้มีไหม เช่นเดียวกับเทอร์รี่
ส่วนโอเชียน่ากับเวเทอร์นั้นก็ยังสบายดี ไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
“รู้สึกว่ามันจะร้อนตั้งแต่ตอนที่เรามาที่เกาะนี้แล้วนะ”เทอร์รี่ออกความเห็น ตอนนี้โอเชียน่าเริ่มรู้สึกสงสารพวกเขาจริงๆ เพราะเห็นเหงื่อตามเสื้อผ้านั้นแล้วก็รู้เลยว่ามันร้อนแค่ไหน
“มันร้อนขนาดนั้นเลยหรอจ๊ะ”เวเทอร์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มากๆ แค่พอจะทำให้เป็นลมได้ อ๋อย~ เวเทอร์ไม่ร้อนเลยหรอ”ไดโอนิซิสผู้ร่าเริ่ง ตอนนี้กลายเป็นลูกหมาตกน้ำนอนซึมอยู่บนตักของเวเทอร์
“ไม่เลยจ๊ะ ออกจะสบาย ลมก็พัดมาเฉื่อยๆนะจ๊ะ”เวเทอร์ตอบแล้วส่งยิ้มหวานให้เจ้าตัวเล็ก
“ดีจังเลยเนอะ”ไดโอนิซิสบ่นงุบงิบแล้วแหงนหน้ามองเพดานตู้โบกี้ไม้เล่น
ขบวนโบกี้รถไฟทั้ง10ตู้ค่อยๆเคลื่อนตัวออกมาจากป่ารกชันสู่พื้นที่โล่งเตียน ซึ่งมีกำแพงหน้าประดับด้วยประตูบานใหญ่ตั้งอยู่ ทันทีที่ขบวนโบกี้รถไฟได้หยุดตัวลง ประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับบุคคลกลุ่มหนึ่งยืนอยู่
โอเชียน่ากระโดดลงจากตู้เสร็จก็หันไปมองประตูบานใหญ่นั้นทันที เธอจึงเห็นคน9คนยืนอยู่ตรงนั้น 3คนแรกนั้นเป็นผู้หญิงอยู่สองกับชายอีกหนึ่ง ผู้หญิงคนแรกยืนอยู่ฝั่งซ้าย เธอคนนี้สวมหมวกทรงสูงแบบแม่มดสีขาว มันปิดบังผมสีน้ำเงินเข้มหยักศกได้เพียงนิดเดียว แล้วสีผมนั้นมันก็ช่างรับกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มเสียจริง แววตาของเธอนั้นดูมุ่งมั่นเอาแต่ใจ แต่เมื่อมองดูใกล้ๆแล้วกลับพบอะไรที่ประหลาดยิ่งกว่านั้น เพราะดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั้นมีม่านตาใหญ่ผิดปกติแทบจะไม่ค่อยเห็นนัยน์ตาขาว เธอคนนี้สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว เดินได้ด้วยสีเทาอ่อนผสมทอง ข้างหลังเธอคนนี้นั้นมีเด็กนักเรียนชายหญิงซึ่งใส่เครื่องแบบของโรงเรียนนี้อย่างเต็มยศด้วยสีโทนสีขาวและเทา
สตรีคนที่สองนั้นสวมผ้าคลุมยาวเหมือนแม่ชี จึงทำให้ไม่ได้เห็นว่าสีผมของเธอคนนี้สีอะไร ส่วนสีของดวงตาก็บอกไม่ได้ เพราะเธอนั้นยิ้มตาหยี่แฝงความอ่อนโยนตลอดเวลา แสดงถึงว่าเธอเป็นคนใจเย็นกว่าสตรีอีกคนเป็นไหนๆ เธอสวมเสื้อคลุมยาวเช่นเดียวกับสตรีข้างตัว แต่ด้ายนั้นเดินด้วยด้ายสีส้ม แดง และสีทองผสมกันไปมาจนผ้านั้นงดงาม ข้างหลังเธอคนนี้มีเด็กนักเรียนชายหญิงสวมเครื่องแบบเต็มยศเช่นเดียวกัน แต่สีเครื่องแบบนั้นเป็นสีโทนร้อนทั้งสิ้น
บุรุษคนสุดท้ายซึ่งยืนอยู่ฝั่งขวา เป็นบุรุษผู้เงียบขรึม เขาแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมเหมือนสองคนแรก เดินได้ด้วยสีเหลืองนวลผสมกับด้ายสีทอง ต่างกันตรงที่เขาไม่ได้สวมหมวกแม่มดหรือผ้าคลุม แต่เขามีเพียงผ้าคาดหน้าผากสีน้ำเงินเข้มออกดำซึ่งตัดกับผมสีน้ำตาลอันยุ่งเหยิงของเขาพอดิบพอดี มันรับกับแววตาสงบนิ่งยากที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่สีน้ำตาล แต่ม่านตาของเขาช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก เพราะมันเป็นขีดเรียวบางเหมือนสัตว์ป่า เด็กนักเรียนชายหญิงที่อยู่ข้างหลังเขานั้นสวมเครื่องแบบนักเรียนเต็มยศเช่นเดียวกับนักเรียนอีก4คน แต่สีผ้านั้นเป็นสีเหลืองอ่อนเหมือนสีพระจันทร์เต็มดวง
พวกเขาทั้ง9ยืนมองเด็กนักเรียนหน้าใหม่ทั้งหมดด้วยท่าทีสงบ จนกระทั้งสตรีผู้สวมหมวกแม่มดได้กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอันดังก้องว่า “มาครบแล้วใช่ไหม งั้นตามฉันมา เป็นแถวสองแถว” นักเรียนหน้าใหม่ทั้งหมดจึงเริ่มก่อตัวตั้งแถวสองแถวด้วยความเงียบ เนื่องจากเกรงกลัวในอำนาจของผู้หญิงคนนั้น
“คิกๆ เจ้าทำให้นักเรียนหน้าใหม่เกรงกลัวแล้วรู้ไหม สเตฟานี่”สตรีผู้สวมผ้าคลุมเอ่ยขึ้นมา
“ก็ดี จะได้ไม่หือให้มากนัก เธอก็น่าจะทำบ้างนะ ไม่ใช่ยิ้มน่าแป้นเป็นแป๊ะยิ้มแบบนั้น จีรีอายา”สเตฟานี่ตอบพลางเชิดหน้า แล้วเดินนำเข้าไปข้างในกำแพงใหญ่ยักษ์นี่ ขนาบข้างกับจีรีอายาและบุรุษผู้เงียบขรึม ตามด้วยกลุ่มนักเรียนที่ใส่ชุดนักเรียนเต็มยศและ เด็กนักเรียนหน้าใหม่...
ความคิดเห็น