คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : งานแรก&ห่วง
บทที่ 2
ยมทูตฝึกหัดสะดุ้งเฮือก เป็นเสียงแรกที่ทำให้ซาเฟียร์ตกใจได้ มันดังสนั่นราวกับระเบิด ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของมนุษย์มากมายและความวุ่นวายเหลือจะคณา ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นเสียงของออนก็ลอยแว่วเข้ามาในโสตประสาท
”นั่นคืองานแรกของเจ้า ซาเฟียร์” สายตาคมกริบจ้องเขม็งไปยังเครื่องบินที่ตอนนี้สภาพไม่ต่างจากเศษเหล็กที่กระจัดกระจาย หมอกสีมัวหลายกลุ่มลอยขึ้นเหนือโศกนาฏกรรมนั้น
”ใครล่ะ ที่ข้าจะต้องช่วย?” สิ้นคำถามเจ้าแมวน้อยก็กระตุกรอยยิ้ม
”เจ้าจะรู้ได้ด้วยตนเอง...” ซาเฟียร์หันสบตากับออนชั่วครู่ก่อนจะดีดตัวไปยังกลุ่มวิญญาณเหล่านั้น นัยน์ตาสีนิลกาฬกวาดมองเหล่าวิญญาณด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ปะปนกันไป เธอเห็นใจ สงสาร สมเพชในความอ่อนแอของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่แสนเปราะบาง
ช่างเป็นช่วงชีวิตที่สั้นยิ่งนัก...
คราบเลือดและเศษเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณ แลดูน่าสะอิดสะเอียน ศพของเด็กชายตัวเล็กไม่ครบชิ้นส่วน จากที่ซาเฟียร์ประมาณดู อายุของเด็กคนนั้นไม่น่าจะเกิน 9 ปี แต่ทว่าตัวเธอสามารถอยู่มาได้หลายสิบปีและอยู่ต่อได้อีกหลายร้อยปีด้วยซ้ำ
วินาทีที่ร่างใสของหญิงสาวคนหนึ่งลอยผ่าน อะไรบางอย่างก็สะดุดใจเสียจนต้องเหลียวตามโดยอัตโนมัติ ลึกลงไปภายใต้ใบหน้าหวานปนโศกนั้นซาเฟียร์มองเห็นร่องรอยแห่งความกังวลได้อย่างชัดเจน ทั้งที่การสังเกตความรู้สึกของผู้คนรอบข้างไม่ใช่สิ่งที่เธอกระทำได้ดีนัก ถ้าจะพูดกันตรงๆซาเฟียร์แทบไม่เคยสนใจคนรอบข้างเสียด้วยซ้ำ
นี่กระมัง... สิ่งที่ออนบอกเธอ
ซาเฟียร์เองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนต้องทำอย่างไร เพราะนี่เป็นงานแรก เธอจึงได้แต่ลอยตามหญิงคนนั้นไปเรื่อยๆ วิญญาณหญิงสาวลอยออกไปอย่างไร้จุดหมาย ทะลุผ่านทุกสิ่งที่ขวางหน้า ภาพในอดีตผุดขึ้นมาราวหับภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำโดยปราศจากเสียง
ภาพตัวเธอเองตอนกำลังตั้งครรภ์ลูกสาวคนเดียว - ตอนที่เธอได้เห็นใบหน้าน่ารักนั่นเป็นครั้งแรก - ตอนที่เด็กคนนั้นเริ่มคลาน - ภาพทุกอย่างโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆเหมือนจะไม่มีวันจบ - ลูกสาวของเธอโตขึ้นพร้อมความร่าเริงแจ่มใสและความอ่อนโยน...
นัยน์ตาสีนิลกาฬเรืองแสงอ่อนๆ... สิ่งที่วิญญาณตนนั้นเห็น คือสิ่งที่ซาเฟียร์เห็น
“นั่นคือห่วงของเจ้าเหรอ” ซาเฟียร์เปรยแผ่วเบาแต่ก็พอจะทำให้หญิงคนนั้นหันหน้ามาสบตาแล้วพยักหน้าเบา
”ลูกสาวฉัน... เธอต้องอยู่คนเดียว” หลุบนัยน์ตาลงต่ำแล้วเงยมองไปยังฟ้าไกลสุดสายตา “อย่าให้เธอเดียวดาย...” เสียงอ่อนโยนว่าราวขอร้อง ยมทูตสาวพยักหน้าเบาๆ
”อย่าห่วงเลย.. นำทางข้าไปสิ”
ในที่สุดโนเอลก็กลับถึงร้านกาแฟที่เธอแสนรัก ภายในร้านปิดไฟเงียบเชียบ ซึ่งก็สมควรจะเป็นเช่นนั้น เมื่อมันไม่มีใครอาศัยอยู่ เด็กสาวไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไร้เสียงก่อนจะลงล็อคกลอนที่ประตูกระจกนั้น
เงียบเกินไป...
เธอเพิ่งจะเคยรู้จัก ‘ความวังเวงเมื่อต้องอยู่คนเดียว’ ดังนั้นจึงหาทางแก้ไขโดยให้เสียงจากโทรทัศน์กลบความเงียบนั้นให้สิ้น เมื่อเปิดแล้วก็หายเข้าไปหลังร้านเพื่อหาอะไรมาทานเป็นของว่าง
“ กิ๊ง ก่อง” เสียงกริ่งดังขึ้น ทำให้โนเอลชะโงกหน้าออกมาจากห้องครัว
ใครกันนะ?
ผ้ากันเปื้อนถูกถอดออกพร้อมกับร่างบางที่เดินออกมาโดยถือแก้วกาแฟหอมกรุ่นและของว่างง่ายๆอย่างโรลช็อคโกแล็ต เจ้าของบ้านวางของเหล่านั้นไว้บนเคาท์เตอร์แล้วตรงรี่เข้าไปไขกุญแจเปิดประตูให้ผู้มาเยือน....
“จ๊ะเอ๋!!” เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกระโดดแผล่วเข้ามาในร้าน โนเอลเผลอถอยหลังไปก้าวก่อนเอ็ดเพื่อนตัวป่วน
“เล่นเป็นเด็กๆไปได้” เมื่อโดนเอ็ดเจ้าตัวก็หน้างอ ลงไปนั่งยองๆแล้วบ่นงุงิบ จับใจความได้ประมาณว่า ‘คิดว่าเหงาก็เลยอุตส่าห์มาหา ดันมาดุกันอีก’ โนเอลจึงยิ้มบางพลางชวนให้เพื่อนสาวเข้ามานั่งในร้านก่อน แต่ทว่าคนงอนก็ยังงอนไม่หาย เด็กสาวผมแดงจึงงัดไม้ตายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ใช้ได้ผลกับลัดดาเสมอ
“โรลช็อคโกแลตรออยู่ข้างใน ไม่อยากทานก็ตามใจน้า”
“อืมมม อร่อย.. นี่แหละรสชาติของชีวิต!!” ลัดดาว่า แต่โนเอลหัวเราะ
“ทำเว่อไปได้”
“เฮ่ ไม่ได้เว่อนา กลั่นออกมาจากความรู้สึกของกระเพาะอาหารเลยล่ะ” ลัดดาหันควับมาเถียง ก่อนตามด้วยคำถาม “นี่โนเอล วันนี้ไม่เปิดร้านเหรอ” โนเอลเดินลงมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับลัดดา ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เด็กสาวยกแก้วนมเย็นขึ้นดื่ม
“ถึงตอนเย็นๆจะมีลูกค้าเยอะก็เถอะ”
แต่ว่าวันนี้น่ะ ไม่มีอารมณ์ทำอะไรให้ใครกินหรอก...
ประโยคหลังเพียงแต่อยู่ในใจมิได้เอื้อนเอ่ยไปให้เพื่อนสาวได้ยิน เห็นแบบนี้แต่ลัดดาเป็นพวกชอบเดือดร้อนแทนคนอื่น เธอไม่อยากให้ลัดดาไม่สบายใจ... หรืออีกนัยหนึ่ง ยังไม่อยากได้เพื่อนคนนี้มานอนเป็นเพื่อนเนื่องจากกลัวเธอเหงา
ถ้าเธอเอ่ยปากว่าเหงา ลัดดาจะทำแบบนั้นจริงๆนะ...
“โนเอล” เสียงเรียกที่ทำให้เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีมรกตมองไปยังผู้เอ่ยนามเหมือนจะตั้งคำถาม
“ชื่อโนเอลนี่แปลว่าอะไรนะ?” ลัดดายกแก้วขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยต่อ “เหมือนว่าเคยรู้ แต่จำไม่ได้แล้วแฮะ”
“ Noel..” เจ้าของชื่อเอ่ยนามตนเองเบาราวกระซิบให้สายลมยลยิน พลัน.. เสียงบางเบาของใครคนหนึ่งก็แว่วเข้าหู
” Noel แปลว่า Christmas... เพราะลูกสาวแม่เกิดในคืนวันคริสต์มาสไงล่ะ ”
วันนี้.. วันคริสต์มาสนี่นะ
พรึบ!!
ไฟในร้านดับไป ทิ้งไว้เพียงความมืด โนเอลกระชากใบหน้าของตนขึ้นมองรอบด้านเพื่อจะพบกับเงาดำลางๆที่ประตูทางเข้าออก นัยน์ตาคู่สวยมีแววตระหนกก่อนร้องเรียกเพื่อนที่ควรจะอยู่ข้างๆกัน
“ลัดดา!!” แต่ก่อนที่จะได้ส่งคำถามออกไป มือของใครคนหนึ่งก็เอื้อมขึ้นปิดตา สร้างความตกใจยิ่งแก่เด็กสาวที่ระลึกได้ว่า ตอนให้ลัดดาเข้ามาเธอไม่ล็อคประตู
.
.
.
.
.
.
.
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์!!!” เสียงของคนหลายคนประสานขึ้นพร้อมเพรียง มือที่ปิดตาค่อยๆคลายออก... ในสายตาของเธอ แสงเปลวเทียนบนปอนด์เค้กช่างสว่างไสวเหลือเกิน โนเอลตะลึงจนพูดไม่ออก กลุ่มเพื่อนในห้องมาจัดงานวันเกิดให้เธอ?
“พูดไม่ออกเลยเหรอยะ” เพื่อนสนิทเจ้าของแผนการแซวขึ้นพร้อมฉีกยิ้มกว้างและหัวเราะร่า แน่นอนว่าเพื่อนคนอื่นก็หัวเราะตามๆกันไป แต่ละคนส่งของขวัญเล็กๆน้อยๆให้เด็กสาว
“ เอ้านี่... สมุดจดของเธอหมดแล้วใช่ไหมล่ะ” สมุดโน้ตจากเอม สาวหมวยช่างฝัน
“ช็อคโกแล็ตยี่ห้อนี้แพงนา กินให้อร่อย (แต่อย่าลืมแบ่ง!?)” ห่อสีเงินๆถูกยื่นให้โดนเปิ้ล เพื่อนตัวน้อย เปิ้ลคนนี้ตัวเล็กที่สุดในห้องเลย
“อ่ะ.. ” แผ่นเสียงเพลงที่คนนิยมเปิดกันในวันคริสต์มาสมาจากคีน สาวห้าวที่พูดน้อยแต่ต่อยหนัก และสุดท้ายก็คือ ลัดดาเพื่อสนิทที่สุด เธอให้พวงกุญแจกรอบรูปเล็กจิ๋วที่ใส่รูปของเธอกับโนเอลเอาไว้
“แต่ยังไม่หมดน้า~” ลัดดาว่า โนเอลเลิกคิ้ว
นอกจากนี้แล้วยังจะมีใครอีกล่ะ? ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม เจ้าของเรือนผมสีทองก็เฉลยพร้อมผายมือไปทางบานประตูทางเข้า ประกาศอย่างขี้เล่น
“ยังมีใครอีกคนที่เป็นเจ้าของเค้กก้อนโตชิ้นนี้ด้วย”
เด็กหนุ่มในชุดไปรเวทสีเข้ม เดินเข้ามาเหมือนรอคิวอยู่แล้ว ผมสีเข้มถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าดูดีส่งยิ้มมาให้เจ้าของวันเกิดอย่างคุ้นเคยกันพอสมควร ร่างสูงก้าวเข้ามาหาโนเอลอย่างผึ่งผาย
ดวงตาสีมรกตของโนเอลสบกับนัยน์ตาสีม่วงขุ่นชั่วครู่ก่อนหลุบลงมองพื้นร้าน เจ้าของเรือนผมแดงกลืนก้อนเหนียวๆที่คอลงไปอย่างยากลำบาก ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มขึ้นมาทั้งๆที่ในใจอยากกระโดดบีบคอลัดดาที่ยิ้มเริงร่าอยู่ข้างๆ
ให้ตาย...
“หวัดดีครับ... โนเอล” ทักทายอย่างสุภาพและตามมาด้วยการมอบช่อดอกไม้ในมือ โนเอลรับไว้ตามมารยาทที่ดี คำขอบคุณแทบไม่พ้นคอของเด็กสาว จึงเป็นได้แค่เสียงพึมพำ แล้วความเงียบก็โรยตัว...
“เอ่อ...” ลัดดาเห็นบรรยากาศอึดอัดแล้วก็พยายามดำเนินเรื่องต่อ “เรามาเป่าเค้กกันดีกว่ามา อย่าลืมอธิฐานนะโนเอล”
แล้วเพลงแฮปปีเบิร์ดเดย์ก็กลายเป็นเพลงประสานเสียงโดยคนกลุ่มเล็กๆ คืนที่โนเอลคาดว่าจะเงียบเหงาก็สดใสครื้นเครง เช่นเดียวกันกับบรรยากาศนอกประตูบานใส ไฟสีต่างๆที่ถูกพันรอบต้นคริสต์มาสกระพริบเป็นจังหวะ แม้นเสียงรอบข้างจะดังมากมายเพียงใด แต่หากเงี่ยหูฟังให้ดี... ก็จะได้ยินเสียงแห่งความสุขกระซิบแผ่วเบา...
... เช่นเดียวกับเสียงแห่งความโศกเศร้าที่คร่ำครวญ...
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา... เพื่อนๆของเธอกลับไปหมดแล้วทิ้งไว้แต่จานที่เปื้อนครีมเค้กกับแก้วน้ำห้าหกใบ เด็กสาวเก็บจานขึ้นมาทีละใบทีละใบอย่างประณีตก่อนจะเดินเข้าไปในครัว โดยไม่ลืมแวะเปิดโทรทัศน์เพื่อปัดเป่าความเงียบงัน
ยังเหลือแก้วน้ำอีก...
เจ้าของบ้านเดินกลับออกมาอีกครั้ง เธอเหลียวมองผู้ประกาศข่าวในจอแก้วที่ทำหน้าตาเรียบเฉยไปพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจากโต๊ะ
“ตำรวจยังคงทำการสอบสวนสาเหตุของการระเบิดในครั้งนี้ต่อไป เบื้องต้นคาดว่า เป็นความเสื่อมสภาพของเครื่องบิน
” ถึงตรงนี้คิ้วเรียวขมวดและรับฟังข่าวอย่างตั้งใจ
ความเสื่อมสภาพของเครื่องบิน? ระเบิด?
“ทั้งนี้... แรงระเบิดมีมากพอจะทำให้ไฟล์บิน OP 289ไม่มีผู้รอดชีวิต...”
เสียงแก้วใสๆแตกกระจายก็ดังขึ้น เด็กสาวเผลอปล่อยแก้วในมือร่วงหล่นเมื่อได้ฟังข่าว น้ำใสๆไหลลงจากดวงตาทันที!!
บางที... บางทีเธออาจจะฟังผิดเอง นั่นต้องไม่ใช่ไฟล์บินของแม่สิ!
ต้องไม่ใช่แน่ๆ!!
ร่างบางทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ มือเรียวกำแน่นก่อนจะยกขึ้นปิดหน้า แล้วเสียงสะอื้นก็ดังผะแผ่วแทรกไปกับเสียงของโฆษณา...
เด็กคนนั้นเอง...
ซาเฟียร์คิด เมื่อได้เห็นร่างน้อยที่ทรุดลงกับพื้นโดยไม่กลัวว่าแก้วจะบาดตัว วิญญาณตรงหน้าเธอลอยไปทั่วเมือง ตั้งแต่สถานที่เกิด บ้านที่เติบโตไปจนถึงห้างที่เคยไปเที่ยวก่อนจะมาสิ้นสุดลง ณ ร้านกาแฟแห่งนี้
สถานที่ที่มีห่วง...
“โนเอล...” วิญญาณบางใสของนาราแม่ของโนเอลเอ่ยขึ้นหลังจากลอยทะลุเข้ามาในร้าน
เด็กสาวสะบัดหน้าขึ้นมาทางต้นเสียงทันที เมื่อได้เห็นบุพการีน้ำก็ยิ่งพาลไหลมากขึ้น นัยน์ตาคู่สวยนั้นดูจะทั้งตระหนกและดีใจระคนกัน
ร่างของแม่บางใสเหมือนวิญญาณที่เคยเห็น...
.
.
เป็นไปไม่ได้!!
“แม่
” โนเอลลุกพรวดก่อนจะเดินเข้ามาช้าๆ “แม่!!” เด็กสาวเรียกย้ำอีกครั้งก่อนจะโถมร่างเข้ากอดเหมือนที่เคยทำประจำ แต่ทว่า.. สิ่งที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นการที่เธอไม่สามารถแตะต้องแม่ได้ และนั่นยิ่งย้ำให้เธอแน่ใจว่า เธอฟังไม่ผิด...
ถึงตรงนี้เธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายหญิงสาวชุดดำและแมวตัวน้อย
“อยู่กับลูกสาวฉันที อย่าปล่อยให้เธอเดียวดาย...”
เสียงร้องขอของนาราทำเอาเจ้าแมวน้อยตาโต แต่ก่อนที่จะได้ทักท้วงอะไรออกไป ยมทูตฝึกหัดก็พยักหน้าตกลงพร้อมให้คำสัญญา
“ได้... ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเดียวดาย” ถ้าออนไม่ได้หูฝาดไป เขารู้สึกถึงความอ่อนโยนในน้ำเสียงนั้น สิ้นคำพูดของซาเฟียร์ แสงสีขาวนวลตาก็สว่างจ้าขึ้นเป็นลำสู่ฟ้าเบื้องบน วิญญาณบางของนาราก็ลอยขึ้นไปตามลำแสงนั้นโดยไม่ลืมที่จะหันกลับมายิ้มให้ลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย
”เฮ้!! “ เจ้าแมวดำส่งเสียงประท้วง คำขอครั้งสุดท้ายของวิญญาณกับการตกปากรับคำของยมทูตถือเป็นสัตย์สาบานที่ไม่ว่าใครจะละเมิดมิได้ และสัญญานั่น เท่ากับว่าซาเฟียร์จะต้องอยู่ที่นี่ ต้องดูแลยัยเด็กหัวแดงที่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังตรงนั้น! และแน่นอนว่าเขาเองก็ต้องจมปลักอยู่ที่นี่เช่นกัน!!
ให้ตายเถอะ!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า.. ซาเฟียร์มองเด็กสาวอย่างเก็บงำความคิด ส่วนออนก็เดินไปเดินมาอย่างที่เขาทำประจำเมื่อเกิดอาการหงุดหงิด เสียงสะอื้นเริ่มแผ่วลง และในที่สุดเด็กสาวก็นั่งนิ่ง นั่นทำให้ออนเหลือบมอง
คงไม่ใช่ว่าร้องไห้จนขาดใจตายไปแล้วหรอกนะ?
แต่ในขณะที่กำลังสงสัย เด็กสาวก็เงยหน้ามองคนแปลกหน้าทั้งสองคน ไม่สิ... คนแปลกหน้าหนึ่งคนกับแมวดำอีกหนึ่งตัวต่างหาก
“พวกคุณอีกแล้ว...” เสียงกระซิบแผ่วเบาเต็มไปด้วยความเศร้า “คุณเป็นใครกันคะ” เด็กสาวถามคำถามนี้โดยไม่มองหน้าซาเฟียร์ด้วยซ้ำ ยมทูตฝึกหัดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบคำถาม
”ยมทูต” เสียงเรียบ แต่โนเอลเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยทวนความคิดในใจอย่างเลื่อนลอย
” คุณฆ่าแม่ฉันเหรอ?” โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายตอบ โนเอลก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“คุณฆ่าแม่ฉันทำไมกัน!!”
ซาเฟียร์เพียงแต่นิ่งเฉย ไม่ได้ตอบคำถามนั้น และอาการนั้นก็ทำให้เด็กสาวผมเพลิงถามย้ำอีกครั้ง
“ซาเฟียร์ไม่ได้ฆ่าแม่ของเธอ และไม่เคยฆ่าใครด้วย ” เสียงเย็นดังมาจากออน แต่เด็กสาวก็เอ่ยต่ออย่างไม่สนใจคำพูดของแมวดำ หยาดน้ำตาเริ่มไหลรินอีกครั้ง
”แต่แม่ของฉันตาย แม่ของฉันตายเพราะเจอพวกคุณ! ถ้าพวกคุณไม่มาแม่ของฉันคงไม่ตาย!!” ความเศร้าโศกทำให้โนเอลกลายเป็นคนไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ซาเฟียร์ขมวดคิ้ว
แหงล่ะ! ถ้าไม่ถึงคาด เธอจะมาทำไม
”ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเสียใจ แต่ว่าพวกเราน่ะ มาเพียงเพื่อนำทางวิญญาณไปสู่ดินแดนแห่งนั้น ไม่ได้มาเพื่อฆ่าใคร” หญิงสาวผมดำถอนหายใจเล็กน้อย เธอขมวดคิ้วอีกครั้งพร้อมนึกหาคำพูดปลอบใจ
“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ในเมื่อแม่ของเจ้าไปดีแล้ว ทำไมเจ้าไม่ดีใจ” (สาบานได้ว่านี่คือคำพูดปลอบใจ!!)
คำพูดที่ตรงทะลุโลกของซาเฟียร์ทำเอาเด็กสาวอึ้ง ส่วนเจ้าแมวดำแทบกุมขมับ
เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่า ถ้าเป็น ‘อีกคน’ ก็คงจะดี หน้าตาอย่างนั้นคงรู้จักการพูดจาถนอมน้ำใจคนมากกว่าซาเฟียร์ ไม่สิ.. ไม่ว่าใครก็ถนอมน้ำใจคนเป็นมากกว่าซาเฟียร์ทั้งนั้น (อาจจะยกเว้นเขาคนหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น)
จะว่าไป.. นี่ก็ได้เวลาแล้ว
“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ในเมื่อแม่ของเจ้าไปดีแล้ว ทำไมเจ้าไม่ดีใจ”
โนเอลกัดริมฝีปากอิ่มของตนจนช้ำเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น แม่ไม่อยู่แล้ว... เธอไม่มีวันได้รับรอยยิ้มที่อบอุ่นจากแม่อีกแล้ว ไม่มีวันได้ยินเสียงเรียกที่อ่อนโยนอีกแล้ว ถึงอย่างนั้น ผู้หญิงตรงหน้าเธอบอกให้เธอดีใจ!
ให้ดีใจเหรอ...? จะให้ดีใจได้อย่างไร!!
10/03/50
แอบดีใจเล็กน้อยที่ยังมีคนแวะมาอ่าน =w=
อีก 15 วันจะสอบแล้ว~~
หายไปนานมากกก คงมาอัพได้ไม่บ่อยนะคะ เพราะว่ากำลังเตรียมสอบเข้าม.4 ขอโทษจริงนะคะ
ความคิดเห็น