ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sinful Prophecy

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่2 สรรพนามเรียกขานคือหายนะ

    • อัปเดตล่าสุด 8 ธ.ค. 48


    ตอนที่2 สรรพนามเรียกขานคือหายนะ









    เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มบางเฉียบ  นัยน์ตาสีดำหรี่เล็กลงอย่างพิเคราะห์  ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร  การกระทำของคนๆนี้ลึกลับซับซ้อนเชื่อมโยงเป็นเงื่อนไข  การแสดงออกของเขาเหมือนการวางรากฐานทางความคิด  ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างลงตัว  ราวกับการมองเห็นความเป็นไปในทุกสิ่ง  แต่ในบุคลิกอันยากจะหยั่งนั้น  ยังคงมีบางอย่างเล็ดลอดออกมา...



    ความลังเล  ชั่งใจ   ความกลัว



    นั่นอาจเป็นเสี้ยวหนึ่งของบุคคลที่เหยียบยืน ณ จุดกึ่งกลางของมนุษย์กับพระเจ้าพึงมี





    โรแรนน์  วอลฮาร์ด  เด็กหนุ่มผิวพรรณดี  หน้าตาหมดจดผิดจากคนจร  ดวงตาสีนิลบอกได้ถึงความมุ่งมั่น เปล่าเปลี่ยว และอ่อนโยนในคราวเดียวกัน  ผมสีน้ำตาลเจือทองยาวเคลียไหล่  ภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มอายุ 16 ปี  จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครๆจะคิดไม่ถึงว่า  เขาคือบุคคลที่ได้รับฉายาของผู้มีดวงตาแห่งพระเจ้า  นักทำนายที่ใช้ไพ่ 1 สำรับ กับมีดอีก 9 เล่มเป็นอาวุธ



    และเหนือสิ่งอื่นใด...  เขาคือผู้ที่มาพร้อมกับความหายนะ!!!





    “ ระ...โรแรนน์  วอลฮาร์ด!!! ”  เสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกจากปากของชายร่างใหญ่  แรงสั่นจากร่างกายอันหวาดกลัวแทบจะปลดพันธนาการจากมีด 8 เล่มที่ตรึงร่างไว้ได้



    เด็กหนุ่มกระชับมีดในมือ  ดวงตาสีนิลหรุบลงต่ำครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถอนใจเบาๆ



    “ รู้รึเปล่า...เรื่องเลวร้ายยิ่งกว่านี้น่ะ? ”



    ชายฉกรรจ์ไม่ตอบ  หรือบางทีเขาอาจมีสติไม่พอที่จะตอบก็เป็นได้  เด็กหนุ่มละใบมีดออกจากคอของชายตรงหน้า  เก็บมีดทั้ง 8 เล่มใส่ไว้ในเสื้อคลุมดังเดิม



    “ หนทางให้เลือกมีอยู่ไม่มากหรอก  จริงมั้ย? ”  เด็กหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม  จริงอยู่ที่เขาพูดกับชายตรงหน้าแต่ดูเหมือนคำพูดนี้เขาจะบอกกับตัวเองเสียมากกว่า  เด็กหนุ่มจัดแจงส่งมีดในมือคืนให้กับชายฉกรรจ์



    ไม่ใช่คำขู่ฆ่า  แต่คงไม่มีใครอยากจะยืดเยื้อการสนทนานี้ต่อไป  การออกห่างให้ไวที่สุดเป็นเรื่องดีอย่างไม่มีทางเลือก  การใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลทองคนนี้จะนำมาซึ่งหายนะ  มันเป็นคำสาป...



    ชายฉกรรจ์ลุกพรวดขึ้นทันทีที่มีดซึ่งตรึงเขาไว้กับกำแพงถูกเก็บออก  เขาตะเกียกตะกายอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาไร้เรี่ยวแรงนี้จะอำนวยได้  ความคิดที่จะรับมีดคืนจากเด็กหนุ่มนั้นยิ่งไม่มี  แน่นอนว่ามันจะไม่จำเป็นอีกแล้วนับจากวินาทีนี้ไป



    มือเล็กๆกระตุกชายเสื้อคลุมสีดำเบาๆ  ระหว่างที่เด็กหนุ่มตัดสินใจเก็บมีดที่เจ้าของไม่ยอมรับคืนเข้าเสื้อคลุมไปพร้อมกับมีดพกอีกเล่มของตนเอง  โรแรนน์ก้มมองเด็กหญิงซึ่งกำชายเสื้อคลุมของเขาซะแน่น  เธอชูผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนเล็กๆให้  เด็กหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจชั่วครู่ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม  เขาย่อตัวลงตามแรงดึง  เด็กหญิงจัดการพันผ้าเช็ดหน้าผืนขาวทับต้นแขน  ปิดรอยขาดวิ่นของเสื้อและเลือดซึ่งซึมเปรอะอยู่  เธอมัดผ้าเป็นปมง่ายๆอย่างที่เด็กคนหนึ่งพอจะทำได้



    เด็กหญิงทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่แล้วก็เงียบไป  หันไปก้มมองรอยร้าวของพื้นอิฐ



    เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้น  ยื่นมือรับฝ่ามือบอบบางของเด็กน้อย  รอยยิ้มใจดีและดวงตาอ่อนโยนของเขาในเวลานี้ลบภาพพจน์ของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ไปจนสิ้น



    “ มาสิ...จะส่งให้ถึงที่เลย ”  



    เด็กหญิงเงยหน้ายิ้มกว้างเต็มที่  แก้มของเธอเจือด้วยสีแดงระเรื่อ  ฝ่ามือน้อยๆกระชับมือของพี่ชายตรงหน้าแน่น  ความประหวั่นที่เคยเกาะกุมจิตใจเมื่อครู่  บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยไออุ่นจากมือที่เอื้อมจับ  พี่ชายคนนี้กำลังทดแทนบางสิ่งที่เด็กน้อยขาดหายไป...











    ห่างออกไปจากตรอกค้าขายราว 2 ช่วงตึก  เป็นชานชาลาเล็กๆ  สร้างจากแผ่นไม้เก่าใกล้ผุ  เพียงพอให้อาศัยบดบังแดดฝนเวลารอรถไฟได้เท่านั้น  รถไฟวิ่งเข้าเทียบชานชาลานี้วันละแค่ 2 ครั้ง  คือช่วงฟ้าสาง  กับเวลาเย็นย่ำเช่นตอนนี้

    เสียงหวีดร้องดังลั่นจากหญิงคนหนึ่งในชานชาลา  เรียกสายตาของคนละแวกนั้นไปยังจุดๆเดียว  ร่างๆหนึ่งอยู่ใต้ล้อเหล็ก  เลือดสีแดงสดสาดเปื้อนพื้นล่างของโบกี้แรก  เศษชิ้นเนื้อกระเด็นหลุดเป็นหย่อมๆเนื่องจากแรงกระชากของรถไฟ  ลากร่างของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนหนึ่งแหลกละเอียดไปตามรางอย่างน่าสยดสยอง



    ...มันคือคำสาป!!!













    ตะวันคล้อยต่ำลงมาบอกเวลาเย็น  แสงสีส้มสาดออกมาทับเส้นขอบฟ้า  อีกไม่กี่ชั่วโมงตลาดก็จะวาย  พ่อค้าแม่ค้าเตรียมตัวเก็บข้าวของใส่ลังไม้และรถเข็น  บ้างก็กระหน่ำลดราคาสินค้าให้หมดวันต่อวันเพื่อจะได้ไม่ลำบากขนกลับ  ดังนั้นแทนที่ผู้คนจะบางตา  กลับเต็มไปด้วยฝูงชนมากมายเดินให้ขวักไขว่  หาซื้อสินค้าราคาถูกกักตุน  ก่อนที่กลุ่มปฏิวัติจะลุกฮือแล้วลุกลามเป็นสงครามดังเช่นเมืองอื่นๆ





    “ ให้ 200 เซนเทม  แต่บอกก่อนนะว่าไม่รับของโจร ”  ชายเจ้าของร้านบอกหลังจากหมุนดูมีดพกทุกซอกทุกมุมจนหนำใจ  



    “ ไม่ได้ขโมยมาแน่ๆครับ  เจ้าของเค้าไม่อยากได้แล้ว ”  เด็กหนุ่มยืนยัน  เขารับเงิน 200 เซนเทมจากเจ้าของร้านมานับ  เหรียญสีเงินและทองสะท้อนแสงวิบวับ



    “ ถ้าอยากได้เงิน  นาฬิกาพกเรือนนั้นได้มากกว่าอีกนะ  เกือบ 6000 เซนเทมเชียวล่ะ ”  ชายเจ้าของร้านเสนอ  ชี้ไปที่นาฬิกาสีเงินซึ่งสวมคอเด็กหนุ่มอยู่    แล้วไล่ไปที่นาฬิกาพกสีทองแบบเดียวกันในมือของเด็กหญิงตัวน้อย  “ เรือนนั้นก็เหมือนกัน ”



    “ ไม่ดีกว่าครับ  ถ้าจะให้ขายมันผมขอทำงานแลกเงินดีกว่า ”



    “ งานเรอะ... ”  ชายเจ้าของร้านทำสีหน้าครุ่นคิด  มองสำรวจเด็กหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า  “ สนใจทำงานที่ร้านฉันมั้ยล่ะ  เงินดีนะ ”



    “ ในร้านนี้เนี่ยนะครับ? ”  โรแรนน์เอ่ยถาม  ทำงานในร้านรับซื้อของเก่าอย่างมากก็แค่พนักงาน  รายได้จะดีตรงไหนกัน



    “ ไม่ใช่ๆ  ฉันหมายถึงทำงานที่หลังร้านฉันต่างหาก ”  เจ้าของร้านแก้ความเข้าใจให้ใหม่



    “ หลังร้าน? ”  เด็กหนุ่มโยกตัวมองประตูหลังร้าน  ถ้าหูไม่ฝาด  เบื้องหลังประตูต้องมีเสียงเพลงดังอึกทึกอยู่เป็นแน่



    “ ก็ร้านเหล้าข้างหลังไง  เป็นหนุ่มเสริฟน่ะสนใจมั้ย  กำลังอยากได้โฮสต์หนุ่มหน้าตาดีๆอยู่พอดีเลย  เดี๋ยวนี้ลูกค้าหญิงก็เยอะซะด้วยสิแต่รองจากพวกทหารนะ  พวกนี้น่ะตัวทำเงินเชียวล่ะ ฮะ ฮะ ฮะ ”  



    ถ้าชายเจ้าของร้านผู้เอื้อเฟื้อคนนี้จะสนใจสิ่งรอบข้างซักหน่อยล่ะก็  เขาจะเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจูงเด็กหญิงตัวเล็กออกจากร้านไปก่อนที่เขาจะพูดจบซะอีก









    ความเงียบเข้าปกคลุมความมืดอีกครั้ง  เหรียญโลหะผสมกระทบกันดังกรุ้งกริ้งในถุงกำมะหยี่ข้างเอวของเด็กหนุ่ม  ได้มาไม่น้อยดีที่เขาไม่ตัดสินใจโยนมีดเล่มนั้นทิ้ง



    โรแรนน์เหลือบตามองเด็กหญิงข้างๆตัว  จะว่าไปเขาก็ยังไม่ได้แนะนำตัวกับเด็กน้อยคนนี้เลย  แถมยังอาสาจะพาไปส่งบ้านทั้งๆที่ไม่ได้ถามทางจากเธออีก  ถึงแม้ว่าถ้าอาศัยความสามารถนิดๆหน่อยๆ  จะพาเธอไปส่งได้ไม่ยากก็เถอะ  อีกอย่างเขายังมีเรื่องอยากถามเธอเกี่ยวกับนาฬิกาสีทองนั่นด้วย



    “ นาฬิกาเรือนนั้นขโมยมางั้นเหรอ? ”  โรแรนน์โพล่งถามออกไป  เป็นคำถามที่ทำให้เด็กน้อยตัวสั่นระริก  นิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะยอมตอบ



    “ ไม่ใช่สักหน่อย...นี่มันเป็นของพี่ชาย  คนพวกนั้นแย่งไปแล้วบอกว่าเป็นของตัวเอง  ทั้งๆที่เป็นของพี่ชาย...ของดูต่างหน้าของพี่ชายแท้ๆ...  ”  เด็กน้อยน้ำตาซึม  เธอยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา  สูดลมหายใจเข้าลึกเลิกร้องไห้  หรือไม่ก็กล้ำกลืนน้ำตาลงไป  



    “ แล้วพี่ชายไปไหนซะล่ะ ”  โรแรนน์ยังคงถามต่อ  ถึงจะดูทำร้ายจิตใจของเธอไปซักหน่อย  แต่ก็เป็นรายละเอียดที่เขาจำเป็นต้องรู้



    “ พี่ชายออกจากบ้านไป 5 ปีแล้ว  บอกว่าจะไปเป็นทหาร... ”  



    เด็กหนุ่มนิ่ง...แค่รู้ว่านาฬิกาเรือนนั้นเป็นของใครก็คงจะเพียงพอแล้ว  ที่เหลือค่อยๆเลียบเคียงถามทีหลังก็คงได้



    “ แล้วเราล่ะ...ชื่ออะไร? ”  โรแรนน์เอ่ยปากถาม  เปลี่ยนเรื่องพูดในทันที



    “ วิโนน่าค่ะ ”  เด็กหญิงตอบโดยไม่สบตาเด็กหนุ่ม  แต่ดูท่าว่าเธอจะรอให้เขาถามชื่ออยู่นานแล้ว



    โรแรนน์ชี้นิ้วไปข้างหน้า  ทางแยกอยู่ห่างจากที่เขายืนไม่ถึง 3 เมตร



    “ วิโนน่า...ทางกลับบ้าน  ไปทางไหนดี? ”  



    เด็กหญิงกลับมายิ้มร่าเริงอีกครั้ง  ความเศร้าที่ปรากฏเมื่อครู่หายไปจนหมด  เธอจับมือพี่ชายข้างๆจูงเลี้ยวไปทางแยกด้านขวา  พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ







    ทั้งสองลัดเลาะตรอกเล็กๆตรอกหนึ่งเข้าไป  ผนังอิฐเปื้อนไปด้วยโคลน  น้ำนองพื้นเฉอะแฉะเพราะท่อน้ำทิ้งเล็กๆ  ตอนนี้โรแรนน์ปล่อยให้เด็กหญิงเป็นฝ่ายเดินนำ  เธอบอกว่าเพียงแค่พ้นผนังตึกสูงนี่ไปก็จะเห็นหลังคาบ้านได้



    ผนังตึกสูงพ้นไปครึ่งสายตา  บ้านหลายหลังตั้งเรียงติดกันเป็นแถบ  หลังคาบ้านหลังสุดท้ายจุดหมายของพวกเขา  บัดนี้เป็นสีแดงเพลิง  ควันสีเทาลอยตลบม้วนวนขึ้นสู่ท้องฟ้ามืดดำ  เปลวไฟแสบตากำลังลามเลียตัวบ้าน  บดบังแสงเหลืองนวลของดวงจันทร์  หยาดน้ำสายเล็กๆระดมสาดยับยั้งไฟ  ผู้คนจากรอบๆทยอยออกมาให้ความช่วยเหลือ...ไฟเพิ่งเริ่มไหม้ได้ไม่นาน



    เด็กหญิงตัวสั่นระริก  เธอกุมนาฬิกาในมือแน่น  ผละวิ่งออกไปจากเด็กหนุ่มข้างๆ  สิ่งที่เห็นเบื้องหลังเงาสั่นไหวของเด็กน้อยคงมีเพียงหยดน้ำตาที่รวยรินเท่านั้น  หยดน้ำตาเม็ดกลมเมื่อต้องแสงของเปลวเพลิงก็ไม่ต่างอะไรกับสะเก็ดไฟเม็ดเล็กๆที่ประทุขึ้น







    เปลวไฟนี้มันทำให้เจ็บปวดลึกไปถึงอดีต...





























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×