คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1 ~ หนึ่งจุดหักเห
Chapter 1
" พี่ชาย...จริงเหรอคะที่ว่าพี่ชายจะมาสอนปีสี่น่ะ "
เสียงใสๆที่ปนความแก่นแก้วร้องทักขึ้น หยุดจังหวะการก้าวเดินของชายหนุ่มที่กำลังสืบเท้าอย่างฉับไวชนิดไม่สนใจใครได้อย่างชะงัด รัชตะหันกลับมาสบตากับผู้ถามโดยไม่มีร่องรอยของความเร่งรีบเมื่อครู่ระบายอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย
" ครับ...คุณท่านอยากให้..."
" พี่ชายอยู่ใกล้ๆไอใช่มั้ยล่ะ คุณพ่อนี่ล่ะก็นะ...ทั้งๆที่พี่ชายอยากไปเรียนต่อที่มิวนิคแท้ๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ " ไอยเรศมีสีหน้าขัดใจเช่นเดียวกันกับเสียงที่เปล่งออกมา รัชตะมองดูเสี้ยวหน้าผู้อ่อนเยาว์กว่าด้วยความรู้สึกเอ็นดู หน้าตาตอนโมโหเนี่ย...ไม่เคยผิดไปจากเดิมเลยสักนิด
เวลาที่ผ่านไปเปลี่ยนไอยเรศจากเด็กหญิงตัวน้อยผู้เอาแต่ใจให้กลายเป็นหญิงสาวผู้งดงาม...ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและสิ่งที่อยู่ภายใน ผมสีดำขลับหยักศกน้อยๆที่เคยปล่อยให้ยุ่งเหยิงกระเซิงบัดนี้กลับยาวสลวยจรดกลางหลัง ใบหน้ามอมแมมของเด็กแสนซนบัดนี้ถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดีตามประสาหญิงสาววัยสะพรั่งเช่นนี้ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูราวกับสาวน้อยไร้เดียงสาทำให้คนทั่วไปล้วนคิดว่าเธอเองก็เป็นแค่ผู้หญิงสวยใสไร้สมองที่หาได้เกลื่อนกลาดทั่วไปในสมัยนี้ ทว่าคนที่ได้รู้จักใกล้ชิดเธอยิ่งขึ้นล้วนเข้าใจว่าสิ่งที่ตนคิดในตอนแรกนั้นผิดอย่างมหันต์ ความเฉลียวฉลาดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทำให้ผู้ประสบพบเจอประหลาดใจแกมทึ่งได้เสมอ อีกทั้งต่อหน้าผู้ใหญ่เธอยังวางตัวสุขุมและดูเป็นผู้ใหญ่สมเป็นทายาทคนเดียวของโรงพยาบาลใหญ่แห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
น้อยคนนักที่จะได้เห็นสีหน้ากระเง้ากระงอดของเธอเช่นยามนี้ และหนึ่งในคนที่เธอแสดงอารมณ์ความรู้สึกด้วยอย่างไม่ปิดบังคือผู้ที่ถูกเรียกว่า ' พี่ชาย ' นั่นเอง
รัชตะกลายมาเป็นผู้คุ้มกันของไอยเรศอย่างเต็มตัว ตารางชีวิตทุกกระเบียดนิ้วของเขากำหนดว่าต้องทำเพื่อ " เธอ " เท่านั้น เริ่มจากการเข้าโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่เขาได้รับหน้าที่คนคุ้มกันฝึกหัดตั้งแต่ระดับประถม มัธยม จนกระทั่งระดับมหาวิทยาลัยเขาก็ต้องเข้าคณะที่เธอต้องเข้าเรียนในอนาคตรวมถึงคอยให้การช่วยเหลือเรื่องเรียนและเรื่องที่มหา'ลัยด้วย ถึงคณะที่คุณท่านผู้เป็นเจ้าของโรงพยาบาลหมายมั่นปั้นมือให้เธอเรียนจะเป็นถึงคณะแพทยศาสตร์มีอัตราการแข่งขันสูงลิ่วแต่มันสมองระดับเขาก็สอบผ่านเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดของรุ่นนั้น การเรียนแพทย์ไม่ใช่ทางที่เขาชอบที่สุดก็จริงแต่มันก็ไม่เป็นการฝืนใจนักเมื่อเขาคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นการทำเพื่อเธอ จนวันนี้เขาผ่านชีวิต 6 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยมาได้ 2 ปีแล้วและมีโครงการไปศึกษาต่อเฉพาะทางที่เยอรมัน ทว่าโครงการนั้นก็ต้องมีอันล้มพับไปเมื่อคุณท่านเรียกเขามาพบและบอกว่าจะบรรจุให้เขาเป็นอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์เพื่อจะได้ดูแลไอยเรศอย่างใกล้ชิด และขณะที่เขาจะไปรายงานตัวกับคณบดีก็มาพบกับเธอเข้าเสียก่อน
" ไม่เป็นไรหรอกครับ...มันเป็นหน้าที่ของคนคุ้มกันอย่างผมอยู่แล้ว ท่านอุตส่าห์ส่งเสียเด็กกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างผมให้เรียนมาจนจบ ถึงขั้นนี้แล้วผมก็ต้องตอบแทนท่านบ้างล่ะครับ " รัชตะตอบเลี่ยงๆ ทว่าก็ชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูเซียวไปถนัดตา
" ไอบอกแล้วไงคะว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก " หญิงสาวเม้มปากแน่นอย่างพยายามสะกดอารมณ์ซึ่งนับว่าเธอทำได้ดีทีเดียว มิเช่นนั้นคงหลุดปากพูดอะไรออกไปมากมายกว่านี้ เธอไม่อยากให้รัชตะทำแบบนี้ ทำทุกอย่างตามใจคุณพ่อโดยมีเธอเป็นต้นเหตุ เธอรู้ว่าเขารักการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในฐานะแพทย์มากกว่าการเป็นอาจารย์รึผู้คุ้มกันไม่รู้กี่เท่า
" ขอโทษครับ "
เกิดความเงียบครอบคลุมบุคคลทั้งสองชั่วครู่ก่อนจะถูกขัดจังหวะโดยผู้มาเยือนที่รัชตะไม่เคยเห็นหน้า ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งร้องเรียกชื่อไอยเรศมาแต่ไกล เครื่องแบบนักศึกษาของเขาตรงตามระเบียบก็จริงแต่ที่ขัดตารัชตะคือรอยลิปสติกจางๆที่ปกคอเสื้อและสายตากะหลิ้มกะเหลี่ยที่มองมายังไอยเรศนั่นต่างหาก ถึงสีหน้าจะยังคงนิ่งเฉยแต่ดูเหมือนกระแสความไม่พอใจของเขาจะเจือไปกับบรรยากาศรอบข้างจนหญิงสาวข้างตัวหันมาอธิบายสีหน้าละห้อย ขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองเรื่อยๆ
" ญาติของเพื่อนที่คณะน่ะค่ะ " ยังไม่ทันจะพูดได้จบชายแปลกหน้าก็สืบเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกับถือโอกาสยกมือซ้ายของไอยเรศมาจุมพิตอย่างถือวิสาสะ หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีควันพุ่งออกจากหูของคนคุ้มกัน เธอยิ้มเจื่อนๆให้ผู้กระทำก่อนจะแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกันอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง
" พี่รัชตะคะนี่คุณพงศ์พันธุ์เรียนอยู่คณะวิศวะสาขาคอมพิวเตอร์ค่ะเป็นญาติของเพื่อนที่คณะของไอ...คุณพงศ์คะนี่พี่รัชตะ " ประโยคสุดท้ายของเธอแทบถูกกลืนลงลำคอไปเมื่อรู้สึกถึงไอละอองบางอย่างที่ระเหยออกมาจากตัวรัชตะ ' พี่ชายกำลังโกรธ ' หญิงสาวคิดและได้แต่ส่งยิ้มไปให้ทั้งสองคน พงศ์พันธุ์ยกมือไหว้อย่างเสียมิได้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่า ทว่าท่าทางของเขาไม่ได้แสดงอาการเคารพเหมือนมือที่ไหว้อยู่นั่น ส่วนพี่ชายที่เธอนึกเกรงทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆ
" บอกกี่ครั้งแล้วครับว่าอย่าเรียกผมว่าคุณ เราเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนอื่นคนไกล..." พงศ์พันธุ์เอ่ยพลางขยับมาแทรกกลางระหว่างไอยเรศกับรัชตะ มือข้างที่ถนัดฉวยมือข้างที่ว่างของหญิงสาวมากุมไว้อีกครั้ง ไอยเรศเหลือบไปมองพี่ชายของเธออย่างหวาดๆ ท่าทางเขาพร้อมจะกระโดดขย้ำคอนายนี่เสียวินาทีใดวินาทีหนึ่งเลย
" เอ่อ...ไอเพียงแต่คิดว่าเราเพิ่งจะรู้จักกัน " ไอยเรศบอกปัดพลางดึงมือของตัวเองออกมาอย่างยากเย็นเพราะมือปลาหมึกของอีกฝ่ายคอยเกาะเกี่ยวเอาไว้แน่น และแล้วพี่ชายแสนเงียบข้างตัวเธอก็สติแตก...ปัดมือปลาหมึกออกทันควันก่อนจะจับนายพงศ์พันธุ์ทุ่มลงกับพื้นในเวลาไม่กี่วินาที! ฝ่ายถูกกระทำมีท่าทีแปลกใจระคนตกใจอยู่มาก ไม่นานความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธ...ไอ้หมอนี่เป็นใครกันทำไมไอยเรศถึงไม่ยอมแนะนำอะไรไปมากกว่าชื่อ แถมสาวน้อยต้นเหตุยังไม่ยอมเข้ามาช่วยพยุงเขาที่นอนเจ็บอยู่สักนิดซ้ำยังแอบไปยืนข้างหลังหมอนั่นแต่โดยดีอีกต่างหาก ไหนใครว่าไอยเรศเป็นคุณหนูที่แสนจะไร้เดียงสาใครจะจีบก็แค่มือไวใจเร็วหน่อยไง...ไม่เห็นจะมีใครบอกเลยว่ามีบอดี้การ์ดหน้ายักษ์อยู่ข้างๆแบบนี้
" ไอ้หน้าจืดนี่เป็นใครครับไอ แล้วถือสิทธิอะไรมาทำกับผมแบบนี้ " พงศ์พันธุ์กัดฟันถามหลังจากยันตัวลุกขึ้นได้แล้ว ไอยเรศยังคงยืนนิ่งเงียบ สีหน้าเรียบเฉยราวกับรูปสลักจนเขาชักนึกเกรง
" ผมเป็นใครไม่สำคัญ แต่คุณไม่มีสิทธิมายุ่มย่ามกับคุณไอยเรศไม่ว่าด้วยเหตุผลใดทั้งนั้น " รัชตะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ พงศ์พันธุ์กัดฟันหาคำตอบโต้
" ขอโทษด้วยนะคะ แต่ถ้าคิดจะใช้กำลังล่ะก็คุณไปเถอะค่ะ เพราะคุณไม่มีทางสู้พี่รัชตะได้ " ไอยเรศเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาแปลกใจอย่างยิ่งทว่าก็ยอมผละออกไปโดยดีทั้งๆที่ในใจมีคำถามวุ่นวายไปหมด ขณะที่เขาเดินห่างจากทั้งสองไปได้ระยะประมาณ 10 เมตรก็มีนักศึกษาหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเรียนคณะแพทย์วิ่งสวนไปด้วยท่าทางเร่งรีบ ก่อนจะได้ยินเสียงอันคุ้นหูร้องเรียก...
" อาจารย์รัชตะ..."
อาจารย์รัชตะ?...พงศ์พันธุ์ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างงุนงง ไอ้หน้าอ่อนนี่เป็นอาจารย์? เขาหยุดเดินพลางแอบชำเลืองมองเรื่องหน้าสนใจที่อยู่ห่างไปอีก 10 เมตร
" คุณวรวิชญ์ ไม่เห็นหรือว่าผมกำลังคุยธุระอยู่ ถ้ามีเรื่องอะไรให้ไปพบที่ห้องพักอาจารย์ที่คณะ " น้ำเสียงของเขาฟังดูสุขุมปราศจากรอยกราดเกรี้ยวเช่นเมื่อครู่ จนทำให้คนแอบฟังอดประหลาดใจไม่ได้
" ปะ...เปล่าครับ คือ...ท่านคณบดีท่านให้มาตาม..." วรวิชญ์รู้สึกว่าตัวเองตัวหดลงเหลือเท่าเด็กสามขวบ ถึงอาจารย์รัชตะจะดุแค่ไหนแต่ในชั่วโมงเล็คเชอร์เขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชนิดตัวเป็นๆขนาดนี้นี่นา
" ผมก็กำลังจะไปหลังจากคุยธุระกับคุณไอยเรศเสร็จ ไปบอกท่านอย่างนั้นก็แล้วกัน " รัชตะสั่งแล้วลูกศิษย์คนขยัน วรวิชญ์รับคำแล้วก็วิ่งปร๋อกลับไปทางเดิมจนแทบจะชนกับพงศ์พันธุ์ที่รีบชิ่งหนีเหมือนกัน ชายหนุ่มมองตามก่อนจะถอนหายใจลึกยาว...
" เมื่อครู่นี้มันอะไรกันครับ แล้วจะให้ผมรายงานคุณท่านว่ายังไง " น้ำเสียงผู้ถามไม่ได้แฝงแววแห่งอำนาจเหมือนเมื่อครู่แต่ก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวหดเล็กลงเหมือนอายุสามขวบเช่นเดียวกัน
" คุณพงศ์พันธุ์เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนที่คณะน่ะค่ะ เราเจอกันโดยบังเอิญแล้วเขาก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับไอมาบ้างว่า..." ไอยเรศปล่อยให้พี่ชายของเธอทำความเข้าใจกับประโยคที่เหลือ รัชตะนิ่วหน้า...เขานึกสงสัยยิ่งนักว่าทำไมไม่มีใครมองรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอออก
" เอาล่ะ...เรื่องคราวนี้ผมยกให้ละกันนะครับ แล้วขอร้องคุณหนูไว้เลยว่าอย่าหาเรื่องให้ผมถูกคุณท่านต่อว่าอีก " รัชตะเอ่ยก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อจะไปพบกับคณบดีตามที่ได้นัดไว้ แต่คำพูดประโยคต่อมาของหญิงสาวก็หยุดเขาไว้อีกครั้ง
" ไอดีใจนะคะที่พี่ชายจะได้มาสอนไอ นึกถึงตอนที่พี่ชายติวให้ตอนไอสอบเข้ามหา'ลัยจัง " หญิงสาวเอ่ย รอยยิ้มสดใสที่อาบบนใบหน้างดงามเจือกระแสบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดในใจ ชายหนุ่มหันกลับมาหาเธออีกครั้งด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
" คุณหนูจำความหมายของชื่อตัวเองได้ไหมครับ " เขาถามเสียงเรียบยังความประหลาดใจแก่อีกฝ่ายยิ่งนัก
" ได้สิคะ...ก็พี่ชายย้ำตั้งหลายรอบเพราะคำนี้ชอบเป็นตัวลวงในข้อสอบ ไอยเรศก็หมายถึงช้างไงคะ...ความหมายก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือใคร " หญิงสาวนึกขวยเขินอย่างประหลาดกับความหมายของชื่อที่ผู้เป็นพ่อตั้งให้ จนต้องหลบตาไม่กล้าจ้องหน้าอีกฝ่าย ทว่าชายหนุ่มเบื้องหน้ายังมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
" พี่ชายเป็นอะไรคะ ยังโกรธไออยู่เหรอ " หญิงสาวนึกประหลาดใจกับสีหน้าเรียบเฉยผิดปกติของอีกฝ่าย ทว่ารัชตะยังคงไม่ตอบคำถามใดก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
" แล้วความหมายของคำว่ารัชตะล่ะครับ " ชายหนุ่มถามสีหน้านิ่ง พยายามไม่สนใจสีหน้าแปลกใจเป็นล้นพ้นของอีกฝ่ายที่นึกสงสัยว่าเขาคิดอะไรถึงมาเล่นถามความหมายคำศัพท์ในเวลาแบบนี้
" ก็...รัชหมายถึงฝุ่นธุลี ส่วนตะมาจากคำว่าอมตะที่แปลว่าตลอดกาล ไอก็ต้องจำได้สิคะเพราะเป็นชื่อของพี่ชาย " ไอยเรศยังคงไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาต้องการสื่อตอนนี้ รัชตะมุ่นหัวคิ้วก่อนจะหลับตาลงชั่วครู่
" เพราะงั้นรัชตะเลยหมายถึงเป็นฝุ่นตลอดไป...โดยความหมายก็คือให้เจียมตัวยังไงล่ะครับ..." สิ้นเสียงเอ่ยชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินไปอีกทางราวกับไม่สนใจหญิงสาวที่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้นอีกเลย
............................................................................................................................
" รัชตะ...เดี๋ยวมาพบฉันที่ห้องทำงานด้วยนะ " เสียงเอ่ยเข้มนั้นดังมาจากปฐวีที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ เย็นนี้ไอยเรศไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย บนโต๊ะอาหารอันกว้างใหญ่นี้จึงมีเพียงเขา ปฐวี และภมรร่วมโต๊ะด้วยเท่านั้น ซ้ำร้ายเมื่อปฐวีเอ่ยประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นเลยพาลทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอึมครึมลงทันตา
" คุณท่านมีเรื่องอะไรคุยกับผมที่นี่เลยก็ได้นี่ครับ " รัชตะเอ่ยอย่างเกรงใจ อีกฝ่ายเงียบไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ่อนลง
" ไปหาที่ห้องทำงานนั่นแหละ...ดีแล้ว " เมื่อได้ยินเจตนาชัดของผู้เป็นนายรัชตะจึงไม่ได้เอ่ยขัดอีกต่อไป
" ไปว่าอะไรน้องเขาเข้าอีกล่ะ ยัยไอถึงได้ร้องห่มร้องไห้กลับมาขนาดนั้น "
ปฐวีเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวแล้วปิดประตู ทำเอารัชตะตั้งตัวไม่ติด ชายหนุ่มนิ่งไปนิดก่อนจะเลือกคำตอบที่ตนพอจะตอบได้
" มีผู้ชายท่าทางเจ้าชู้มายุ่มย่ามกับคุณหนู แต่ผมก็จัดการไปเรียบร้อยแล้วครับ " คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้ปัญหากระจ่างขึ้นมาเสียทีเดียว ปฐวีจ้องคนตอบกลับด้วยสายตาคาดคั้นความจริงตามประสาคนเป็นพ่อที่เป็นห่วงลูกสาว
" ยัยไอพูดถึงเรื่องความหมายของชื่ออะไรด้วย...โมโหฉันใหญ่ที่ตั้งชื่อแบบนั้นให้เธอ " ปฐวีเอ่ยเสียงเข้มขึ้น ดวงตาคมปลาบของชายผู้ทรงอำนาจยังคงจ้องตรงมาอย่างไม่ลดละ
" ผมเองก็ไม่ได้ไม่ชอบชื่อนี้นะครับ...มันเหมาะกับคนที่มีฐานะแค่คนคุ้มกันอย่างผมที่สุดแล้ว " น้ำเสียงที่ตอบกลับมาทำให้จิตใจของปฐวีไหววูบอย่างประหลาดพลางจ้องมองคนตรงหน้าราวกับไม่เคยมองเขาให้ชัดถนัดตา...
" เอาล่ะ...ช่างเถอะ เธอเองก็ไปโอ๋ยัยไอซะให้พอ ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไง...ได้ยินว่าข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน " ปฐวีว่าพลางโบกมือราวกับต้องการให้เรื่องแบบนี้จบลงเสียที ขณะที่มืออีกข้างถูกยกขึ้นมาใช้กุมขมับ
" ครับ...ขอโทษที่ทำให้คุณท่านต้องไม่สบายใจ " คราวนี้เสียงที่ตอบกลับมานั้นยากที่จะเดาอารมณ์ได้
" แล้วเรื่องที่ฉันเคยบอกให้เธอไปคิด..." ปฐวีเกริ่นเรื่องที่รบกวนจิตใจเขาอีกเรื่อง ทว่าอีกฝ่ายขัดขึ้นโดยที่เขายังไม่ทันพูดจบเสียด้วยซ้ำ
" ผมว่ามันไม่สมควรหรอกครับ...คุณท่านกลับไปคิดใหม่จะดีกว่า แล้วถ้าไม่มีอะไรผมก็ขอตัว " สิ้นเสียงเอ่ยร่างสมส่วนของรัชตะก็สืบเท้าออกจากห้องไป ปฐวีถอนหายใจยาว...เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าการตัดสินใจที่คิดว่าถูกต้องไปหมดของตน แท้จริงแล้วมีข้อผิดพลาดมากมายขนาดนี้...มากมายจริงๆ
............................................................................................................................
เสียงเคาะประตูสามครั้งอย่างเป็นจังหวะอันเกินจะคุ้นเคยนั้นส่งผลให้หญิงสาวที่ซุกตัวเองลงกับกองผ้าห่มขยับตัวเล็กน้อย ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนแต่อย่างใด จนกระทั่งน้ำเสียงอ่อนโยนจะดังลอดมาให้ได้ยินหลังจากการเคาะประตูครั้งที่สอง
" คุณหนู...เปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ ผมเอาข้าวต้มร้อนๆมาให้ " น้ำเสียงนั้นเจือกระแสความห่วงใยแตกต่างจากที่ได้ยินตอนกลางวันนั้นอย่างลิบลับ หญิงสาวเผลอตัวขว้างหมอนไปใส่ประตูขณะเอ่ยตอบ
" ไอไม่หิว "
" ไม่หิวก็ต้องทานนะครับ...ถึงคุณหนูไม่สนใจผมแต่ต้องเป็นห่วงสุขภาพตัวเองนะครับ " น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นแฝงกระแสเว้าวอนจนทำให้เธอเกือบใจอ่อน...แต่มันไม่ง่ายนักหรอก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังเงียบรัชตะจึงกลั้นใจจะใช้วิธีสุดท้าย
" เปิดประตูนะครับ...ถือซะว่าพี่ขอร้อง..."
ผัวะ!!
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบหญิงสาวก็ผลุนผลันมาเปิดประตูให้ก่อนร่างบางๆนั้นจะสาวเท้ากลับไปที่กองผ้าห่มแล้วซุกตัวลงไปเหมือนเดิม รัชตะส่ายหน้าน้อยๆราวกับระอาใจก่อนจะกดสวิตซ์ไฟเปิด
" ผมวางข้าวต้มไว้ตรงนี้นะครับ ถ้ายังไง..."
" ไอไม่กิน " เสียงใสๆกระชากตอบก่อนที่เขาจะทันพูดจบด้วยซ้ำ รัชตะมุ่นหัวคิ้วก่อนจะตัดสินใจใช้วิธีเดิม
" ไม่สบายตรงไหน...พี่ป้อนให้มั้ย "
" ใจร้ายๆๆๆๆ พี่ชายใจร้าย " จู่ๆร่างบางที่ซุกอยู่ในผ้าห่มกลับผุดลุกขึ้นมาซบลงกับแผ่นอกกว้างพลางรัวกำปั้นน้อยๆทุบตีราวกับอัดอั้นมานาน ร่างบางค่อยๆสั่นเทิ้ม ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งจนกระทั่งรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่ซึมผ่านเสื้อเชิ้ตของเขาเข้ามาจนเปียกชุ่ม
" ร้องไห้มากๆไม่ดีต่อสุขภาพ แถมพรุ่งนี้เช้าตื่นมาตาบวมไม่สวยเอานะครับ "
" ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้ามันก็บวมอยู่แล้ว " เสียงเอ่ยแกมประชดดังอู้อี้ผ่านเสียงสะอื้น ก่อนไอยเรศจะผละตัวออกจากอกกว้างของ ' พี่ชาย ' โดยที่อารมณ์โกรธกรุ่นไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มพินิจใบหน้าเธอยามนี้ก็ต้องใจหายเมื่อเห็นดวงตาบวมช้ำแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ริมฝีปากบางก็มีร่องรอยถูกผู้เป็นเจ้าของขบกัดไว้จนห้อเลือด แก้มเนียนใสบัดนี้มีรอยช้ำแกมถลอกเป็นทางยาวที่เกิดจากการเช็ดน้ำตาแรงๆ พอเห็นยามนี้คำพูดต่างๆนานาที่เตรียมไว้จะดุน้องสาวแสนดื้อก็ถูกกลืนลงคอไปอย่างไม่ยากเย็น
" ไอบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก...ไอไม่เคยคิดว่าพี่ชายเป็นคนต่ำต้อยอะไรอย่างนั้น "
" ผมขอโทษ..."
" ไอไม่อยากฟัง ! " หญิงสาวกรีดเสียงแหลม รัชตะเชื่อว่าตอนนี้ไอยเรศคงสูญเสียการควบคุมตัวเองไปกว่าครึ่ง นานมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเธอโกรธจัดและร้องไห้หนักอย่างคราวนี้
" แต่คุณหนูต้องฟังก่อนที่..."
" ห้ามเรียกไอว่าคุณหนู !! " ไอยเรศกระชากเสียงอย่างมีอารมณ์ แต่พอเห็นอาการเงียบสนิทและสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูกของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอค่อยๆรวบรวมสติตัวเองกลับมาได้ ถึงจะยังไม่เต็มร้อยก็เถอะ
" ไอขอโทษที่พาลใส่พี่ชาย...แต่จากนี้ไปสัญญากับไอว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก " ไอยเรศกลับมาซุกตัวลงกับหน้าอกกว้างอีกครั้งทำให้รัชตะเผลอขยับตัวอย่างลำบากใจ
" ครับ "
" แล้วเวลาอยู่ด้วยกันสองคนก็ห้ามเรียกว่าคุณหนู ต้องเรียกไอเฉยๆเหมือนเมื่อก่อนด้วย...เข้าใจมั้ย " ไอยเรศพูดงึมงัม ดูท่าหญิงสาวจะเริ่มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว...
" ครับ "
" แล้ว..." เสียงของหญิงสาวขาดหายไปพร้อมๆกับอาการสะอื้น ชายหนุ่มนิ่งไปสักครู่ก่อนจะขยับตัวอย่างประหลาดใจ แล้วก็ต้องอุทานอย่างตกใจเมื่อ...
" ไอ!!" ใบหน้าของหญิงสาวยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด เหงื่อผุดพราวขึ้นตามใบหน้าทว่าร่างกายยังคงเย็นเฉียบ รัชตะค่อยๆขยับร่างบางวางลงบนเตียงขณะที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้อะไรพันกันวุ่นวายขณะกำลังตรวจอาการของไอยเรศโดยลืมเรียกแพทย์ประจำบ้านเสียสนิท
" นี่มัน...!! "
ความคิดเห็น