ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Disintegrate..Fragment of Love

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1 ~ หนึ่งจุดหักเห

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 49


    Chapter 1




     " พี่ชาย...จริงเหรอคะที่ว่าพี่ชายจะมาสอนปีสี่น่ะ "

     เสียงใสๆที่ปนความแก่นแก้วร้องทักขึ้น  หยุดจังหวะการก้าวเดินของชายหนุ่มที่กำลังสืบเท้าอย่างฉับไวชนิดไม่สนใจใครได้อย่างชะงัด  รัชตะหันกลับมาสบตากับผู้ถามโดยไม่มีร่องรอยของความเร่งรีบเมื่อครู่ระบายอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย

     " ครับ...คุณท่านอยากให้..."

     " พี่ชายอยู่ใกล้ๆไอใช่มั้ยล่ะ  คุณพ่อนี่ล่ะก็นะ...ทั้งๆที่พี่ชายอยากไปเรียนต่อที่มิวนิคแท้ๆ   ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ " ไอยเรศมีสีหน้าขัดใจเช่นเดียวกันกับเสียงที่เปล่งออกมา  รัชตะมองดูเสี้ยวหน้าผู้อ่อนเยาว์กว่าด้วยความรู้สึกเอ็นดู   หน้าตาตอนโมโหเนี่ย...ไม่เคยผิดไปจากเดิมเลยสักนิด

     เวลาที่ผ่านไปเปลี่ยนไอยเรศจากเด็กหญิงตัวน้อยผู้เอาแต่ใจให้กลายเป็นหญิงสาวผู้งดงาม...ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและสิ่งที่อยู่ภายใน  ผมสีดำขลับหยักศกน้อยๆที่เคยปล่อยให้ยุ่งเหยิงกระเซิงบัดนี้กลับยาวสลวยจรดกลางหลัง  ใบหน้ามอมแมมของเด็กแสนซนบัดนี้ถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดีตามประสาหญิงสาววัยสะพรั่งเช่นนี้   ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูราวกับสาวน้อยไร้เดียงสาทำให้คนทั่วไปล้วนคิดว่าเธอเองก็เป็นแค่ผู้หญิงสวยใสไร้สมองที่หาได้เกลื่อนกลาดทั่วไปในสมัยนี้   ทว่าคนที่ได้รู้จักใกล้ชิดเธอยิ่งขึ้นล้วนเข้าใจว่าสิ่งที่ตนคิดในตอนแรกนั้นผิดอย่างมหันต์  ความเฉลียวฉลาดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทำให้ผู้ประสบพบเจอประหลาดใจแกมทึ่งได้เสมอ  อีกทั้งต่อหน้าผู้ใหญ่เธอยังวางตัวสุขุมและดูเป็นผู้ใหญ่สมเป็นทายาทคนเดียวของโรงพยาบาลใหญ่แห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ  


     น้อยคนนักที่จะได้เห็นสีหน้ากระเง้ากระงอดของเธอเช่นยามนี้   และหนึ่งในคนที่เธอแสดงอารมณ์ความรู้สึกด้วยอย่างไม่ปิดบังคือผู้ที่ถูกเรียกว่า ' พี่ชาย ' นั่นเอง

     รัชตะกลายมาเป็นผู้คุ้มกันของไอยเรศอย่างเต็มตัว  ตารางชีวิตทุกกระเบียดนิ้วของเขากำหนดว่าต้องทำเพื่อ " เธอ " เท่านั้น  เริ่มจากการเข้าโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่เขาได้รับหน้าที่คนคุ้มกันฝึกหัดตั้งแต่ระดับประถม  มัธยม  จนกระทั่งระดับมหาวิทยาลัยเขาก็ต้องเข้าคณะที่เธอต้องเข้าเรียนในอนาคตรวมถึงคอยให้การช่วยเหลือเรื่องเรียนและเรื่องที่มหา'ลัยด้วย   ถึงคณะที่คุณท่านผู้เป็นเจ้าของโรงพยาบาลหมายมั่นปั้นมือให้เธอเรียนจะเป็นถึงคณะแพทยศาสตร์มีอัตราการแข่งขันสูงลิ่วแต่มันสมองระดับเขาก็สอบผ่านเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดของรุ่นนั้น   การเรียนแพทย์ไม่ใช่ทางที่เขาชอบที่สุดก็จริงแต่มันก็ไม่เป็นการฝืนใจนักเมื่อเขาคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นการทำเพื่อเธอ  จนวันนี้เขาผ่านชีวิต 6 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยมาได้ 2 ปีแล้วและมีโครงการไปศึกษาต่อเฉพาะทางที่เยอรมัน  ทว่าโครงการนั้นก็ต้องมีอันล้มพับไปเมื่อคุณท่านเรียกเขามาพบและบอกว่าจะบรรจุให้เขาเป็นอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์เพื่อจะได้ดูแลไอยเรศอย่างใกล้ชิด  และขณะที่เขาจะไปรายงานตัวกับคณบดีก็มาพบกับเธอเข้าเสียก่อน

     " ไม่เป็นไรหรอกครับ...มันเป็นหน้าที่ของคนคุ้มกันอย่างผมอยู่แล้ว  ท่านอุตส่าห์ส่งเสียเด็กกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างผมให้เรียนมาจนจบ  ถึงขั้นนี้แล้วผมก็ต้องตอบแทนท่านบ้างล่ะครับ " รัชตะตอบเลี่ยงๆ  ทว่าก็ชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูเซียวไปถนัดตา

     " ไอบอกแล้วไงคะว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก " หญิงสาวเม้มปากแน่นอย่างพยายามสะกดอารมณ์ซึ่งนับว่าเธอทำได้ดีทีเดียว  มิเช่นนั้นคงหลุดปากพูดอะไรออกไปมากมายกว่านี้  เธอไม่อยากให้รัชตะทำแบบนี้  ทำทุกอย่างตามใจคุณพ่อโดยมีเธอเป็นต้นเหตุ  เธอรู้ว่าเขารักการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในฐานะแพทย์มากกว่าการเป็นอาจารย์รึผู้คุ้มกันไม่รู้กี่เท่า

     " ขอโทษครับ "


     เกิดความเงียบครอบคลุมบุคคลทั้งสองชั่วครู่ก่อนจะถูกขัดจังหวะโดยผู้มาเยือนที่รัชตะไม่เคยเห็นหน้า  ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งร้องเรียกชื่อไอยเรศมาแต่ไกล  เครื่องแบบนักศึกษาของเขาตรงตามระเบียบก็จริงแต่ที่ขัดตารัชตะคือรอยลิปสติกจางๆที่ปกคอเสื้อและสายตากะหลิ้มกะเหลี่ยที่มองมายังไอยเรศนั่นต่างหาก  ถึงสีหน้าจะยังคงนิ่งเฉยแต่ดูเหมือนกระแสความไม่พอใจของเขาจะเจือไปกับบรรยากาศรอบข้างจนหญิงสาวข้างตัวหันมาอธิบายสีหน้าละห้อย  ขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองเรื่อยๆ

     " ญาติของเพื่อนที่คณะน่ะค่ะ " ยังไม่ทันจะพูดได้จบชายแปลกหน้าก็สืบเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกับถือโอกาสยกมือซ้ายของไอยเรศมาจุมพิตอย่างถือวิสาสะ  หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีควันพุ่งออกจากหูของคนคุ้มกัน  เธอยิ้มเจื่อนๆให้ผู้กระทำก่อนจะแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกันอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง

     " พี่รัชตะคะนี่คุณพงศ์พันธุ์เรียนอยู่คณะวิศวะสาขาคอมพิวเตอร์ค่ะเป็นญาติของเพื่อนที่คณะของไอ...คุณพงศ์คะนี่พี่รัชตะ " ประโยคสุดท้ายของเธอแทบถูกกลืนลงลำคอไปเมื่อรู้สึกถึงไอละอองบางอย่างที่ระเหยออกมาจากตัวรัชตะ ' พี่ชายกำลังโกรธ ' หญิงสาวคิดและได้แต่ส่งยิ้มไปให้ทั้งสองคน  พงศ์พันธุ์ยกมือไหว้อย่างเสียมิได้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่า  ทว่าท่าทางของเขาไม่ได้แสดงอาการเคารพเหมือนมือที่ไหว้อยู่นั่น  ส่วนพี่ชายที่เธอนึกเกรงทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆ

     " บอกกี่ครั้งแล้วครับว่าอย่าเรียกผมว่าคุณ  เราเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนอื่นคนไกล..." พงศ์พันธุ์เอ่ยพลางขยับมาแทรกกลางระหว่างไอยเรศกับรัชตะ  มือข้างที่ถนัดฉวยมือข้างที่ว่างของหญิงสาวมากุมไว้อีกครั้ง  ไอยเรศเหลือบไปมองพี่ชายของเธออย่างหวาดๆ  ท่าทางเขาพร้อมจะกระโดดขย้ำคอนายนี่เสียวินาทีใดวินาทีหนึ่งเลย

     " เอ่อ...ไอเพียงแต่คิดว่าเราเพิ่งจะรู้จักกัน " ไอยเรศบอกปัดพลางดึงมือของตัวเองออกมาอย่างยากเย็นเพราะมือปลาหมึกของอีกฝ่ายคอยเกาะเกี่ยวเอาไว้แน่น  และแล้วพี่ชายแสนเงียบข้างตัวเธอก็สติแตก...ปัดมือปลาหมึกออกทันควันก่อนจะจับนายพงศ์พันธุ์ทุ่มลงกับพื้นในเวลาไม่กี่วินาที!  ฝ่ายถูกกระทำมีท่าทีแปลกใจระคนตกใจอยู่มาก  ไม่นานความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธ...ไอ้หมอนี่เป็นใครกันทำไมไอยเรศถึงไม่ยอมแนะนำอะไรไปมากกว่าชื่อ  แถมสาวน้อยต้นเหตุยังไม่ยอมเข้ามาช่วยพยุงเขาที่นอนเจ็บอยู่สักนิดซ้ำยังแอบไปยืนข้างหลังหมอนั่นแต่โดยดีอีกต่างหาก  ไหนใครว่าไอยเรศเป็นคุณหนูที่แสนจะไร้เดียงสาใครจะจีบก็แค่มือไวใจเร็วหน่อยไง...ไม่เห็นจะมีใครบอกเลยว่ามีบอดี้การ์ดหน้ายักษ์อยู่ข้างๆแบบนี้

     " ไอ้หน้าจืดนี่เป็นใครครับไอ  แล้วถือสิทธิอะไรมาทำกับผมแบบนี้ " พงศ์พันธุ์กัดฟันถามหลังจากยันตัวลุกขึ้นได้แล้ว  ไอยเรศยังคงยืนนิ่งเงียบ  สีหน้าเรียบเฉยราวกับรูปสลักจนเขาชักนึกเกรง

     " ผมเป็นใครไม่สำคัญ  แต่คุณไม่มีสิทธิมายุ่มย่ามกับคุณไอยเรศไม่ว่าด้วยเหตุผลใดทั้งนั้น " รัชตะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ  พงศ์พันธุ์กัดฟันหาคำตอบโต้

     " ขอโทษด้วยนะคะ  แต่ถ้าคิดจะใช้กำลังล่ะก็คุณไปเถอะค่ะ  เพราะคุณไม่มีทางสู้พี่รัชตะได้ " ไอยเรศเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาแปลกใจอย่างยิ่งทว่าก็ยอมผละออกไปโดยดีทั้งๆที่ในใจมีคำถามวุ่นวายไปหมด  ขณะที่เขาเดินห่างจากทั้งสองไปได้ระยะประมาณ 10 เมตรก็มีนักศึกษาหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเรียนคณะแพทย์วิ่งสวนไปด้วยท่าทางเร่งรีบ  ก่อนจะได้ยินเสียงอันคุ้นหูร้องเรียก...


     " อาจารย์รัชตะ..."

     อาจารย์รัชตะ?...พงศ์พันธุ์ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างงุนงง  ไอ้หน้าอ่อนนี่เป็นอาจารย์?  เขาหยุดเดินพลางแอบชำเลืองมองเรื่องหน้าสนใจที่อยู่ห่างไปอีก 10 เมตร

     " คุณวรวิชญ์  ไม่เห็นหรือว่าผมกำลังคุยธุระอยู่   ถ้ามีเรื่องอะไรให้ไปพบที่ห้องพักอาจารย์ที่คณะ " น้ำเสียงของเขาฟังดูสุขุมปราศจากรอยกราดเกรี้ยวเช่นเมื่อครู่  จนทำให้คนแอบฟังอดประหลาดใจไม่ได้

     " ปะ...เปล่าครับ  คือ...ท่านคณบดีท่านให้มาตาม..." วรวิชญ์รู้สึกว่าตัวเองตัวหดลงเหลือเท่าเด็กสามขวบ   ถึงอาจารย์รัชตะจะดุแค่ไหนแต่ในชั่วโมงเล็คเชอร์เขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชนิดตัวเป็นๆขนาดนี้นี่นา

     " ผมก็กำลังจะไปหลังจากคุยธุระกับคุณไอยเรศเสร็จ  ไปบอกท่านอย่างนั้นก็แล้วกัน " รัชตะสั่งแล้วลูกศิษย์คนขยัน  วรวิชญ์รับคำแล้วก็วิ่งปร๋อกลับไปทางเดิมจนแทบจะชนกับพงศ์พันธุ์ที่รีบชิ่งหนีเหมือนกัน  ชายหนุ่มมองตามก่อนจะถอนหายใจลึกยาว...

     " เมื่อครู่นี้มันอะไรกันครับ  แล้วจะให้ผมรายงานคุณท่านว่ายังไง " น้ำเสียงผู้ถามไม่ได้แฝงแววแห่งอำนาจเหมือนเมื่อครู่แต่ก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวหดเล็กลงเหมือนอายุสามขวบเช่นเดียวกัน

     " คุณพงศ์พันธุ์เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนที่คณะน่ะค่ะ  เราเจอกันโดยบังเอิญแล้วเขาก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับไอมาบ้างว่า..." ไอยเรศปล่อยให้พี่ชายของเธอทำความเข้าใจกับประโยคที่เหลือ  รัชตะนิ่วหน้า...เขานึกสงสัยยิ่งนักว่าทำไมไม่มีใครมองรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอออก

     " เอาล่ะ...เรื่องคราวนี้ผมยกให้ละกันนะครับ  แล้วขอร้องคุณหนูไว้เลยว่าอย่าหาเรื่องให้ผมถูกคุณท่านต่อว่าอีก " รัชตะเอ่ยก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อจะไปพบกับคณบดีตามที่ได้นัดไว้  แต่คำพูดประโยคต่อมาของหญิงสาวก็หยุดเขาไว้อีกครั้ง

     " ไอดีใจนะคะที่พี่ชายจะได้มาสอนไอ   นึกถึงตอนที่พี่ชายติวให้ตอนไอสอบเข้ามหา'ลัยจัง " หญิงสาวเอ่ย  รอยยิ้มสดใสที่อาบบนใบหน้างดงามเจือกระแสบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดในใจ  ชายหนุ่มหันกลับมาหาเธออีกครั้งด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

     " คุณหนูจำความหมายของชื่อตัวเองได้ไหมครับ " เขาถามเสียงเรียบยังความประหลาดใจแก่อีกฝ่ายยิ่งนัก 

     " ได้สิคะ...ก็พี่ชายย้ำตั้งหลายรอบเพราะคำนี้ชอบเป็นตัวลวงในข้อสอบ  ไอยเรศก็หมายถึงช้างไงคะ...ความหมายก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือใคร " หญิงสาวนึกขวยเขินอย่างประหลาดกับความหมายของชื่อที่ผู้เป็นพ่อตั้งให้  จนต้องหลบตาไม่กล้าจ้องหน้าอีกฝ่าย  ทว่าชายหนุ่มเบื้องหน้ายังมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

     " พี่ชายเป็นอะไรคะ  ยังโกรธไออยู่เหรอ " หญิงสาวนึกประหลาดใจกับสีหน้าเรียบเฉยผิดปกติของอีกฝ่าย  ทว่ารัชตะยังคงไม่ตอบคำถามใดก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง

     " แล้วความหมายของคำว่ารัชตะล่ะครับ " ชายหนุ่มถามสีหน้านิ่ง  พยายามไม่สนใจสีหน้าแปลกใจเป็นล้นพ้นของอีกฝ่ายที่นึกสงสัยว่าเขาคิดอะไรถึงมาเล่นถามความหมายคำศัพท์ในเวลาแบบนี้

     " ก็...รัชหมายถึงฝุ่นธุลี   ส่วนตะมาจากคำว่าอมตะที่แปลว่าตลอดกาล  ไอก็ต้องจำได้สิคะเพราะเป็นชื่อของพี่ชาย " ไอยเรศยังคงไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาต้องการสื่อตอนนี้  รัชตะมุ่นหัวคิ้วก่อนจะหลับตาลงชั่วครู่

     " เพราะงั้นรัชตะเลยหมายถึงเป็นฝุ่นตลอดไป...โดยความหมายก็คือให้เจียมตัวยังไงล่ะครับ..." สิ้นเสียงเอ่ยชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินไปอีกทางราวกับไม่สนใจหญิงสาวที่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้นอีกเลย


     ............................................................................................................................


     " รัชตะ...เดี๋ยวมาพบฉันที่ห้องทำงานด้วยนะ " เสียงเอ่ยเข้มนั้นดังมาจากปฐวีที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ  เย็นนี้ไอยเรศไม่ได้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย  บนโต๊ะอาหารอันกว้างใหญ่นี้จึงมีเพียงเขา  ปฐวี  และภมรร่วมโต๊ะด้วยเท่านั้น  ซ้ำร้ายเมื่อปฐวีเอ่ยประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นเลยพาลทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอึมครึมลงทันตา

     " คุณท่านมีเรื่องอะไรคุยกับผมที่นี่เลยก็ได้นี่ครับ " รัชตะเอ่ยอย่างเกรงใจ  อีกฝ่ายเงียบไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงอ่อนลง

     " ไปหาที่ห้องทำงานนั่นแหละ...ดีแล้ว " เมื่อได้ยินเจตนาชัดของผู้เป็นนายรัชตะจึงไม่ได้เอ่ยขัดอีกต่อไป

     
     " ไปว่าอะไรน้องเขาเข้าอีกล่ะ  ยัยไอถึงได้ร้องห่มร้องไห้กลับมาขนาดนั้น "

     ปฐวีเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวแล้วปิดประตู  ทำเอารัชตะตั้งตัวไม่ติด  ชายหนุ่มนิ่งไปนิดก่อนจะเลือกคำตอบที่ตนพอจะตอบได้

     " มีผู้ชายท่าทางเจ้าชู้มายุ่มย่ามกับคุณหนู  แต่ผมก็จัดการไปเรียบร้อยแล้วครับ " คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้ปัญหากระจ่างขึ้นมาเสียทีเดียว  ปฐวีจ้องคนตอบกลับด้วยสายตาคาดคั้นความจริงตามประสาคนเป็นพ่อที่เป็นห่วงลูกสาว

     " ยัยไอพูดถึงเรื่องความหมายของชื่ออะไรด้วย...โมโหฉันใหญ่ที่ตั้งชื่อแบบนั้นให้เธอ " ปฐวีเอ่ยเสียงเข้มขึ้น  ดวงตาคมปลาบของชายผู้ทรงอำนาจยังคงจ้องตรงมาอย่างไม่ลดละ

     " ผมเองก็ไม่ได้ไม่ชอบชื่อนี้นะครับ...มันเหมาะกับคนที่มีฐานะแค่คนคุ้มกันอย่างผมที่สุดแล้ว " น้ำเสียงที่ตอบกลับมาทำให้จิตใจของปฐวีไหววูบอย่างประหลาดพลางจ้องมองคนตรงหน้าราวกับไม่เคยมองเขาให้ชัดถนัดตา...

     " เอาล่ะ...ช่างเถอะ  เธอเองก็ไปโอ๋ยัยไอซะให้พอ  ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไง...ได้ยินว่าข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน " ปฐวีว่าพลางโบกมือราวกับต้องการให้เรื่องแบบนี้จบลงเสียที  ขณะที่มืออีกข้างถูกยกขึ้นมาใช้กุมขมับ

     " ครับ...ขอโทษที่ทำให้คุณท่านต้องไม่สบายใจ " คราวนี้เสียงที่ตอบกลับมานั้นยากที่จะเดาอารมณ์ได้

     " แล้วเรื่องที่ฉันเคยบอกให้เธอไปคิด..." ปฐวีเกริ่นเรื่องที่รบกวนจิตใจเขาอีกเรื่อง  ทว่าอีกฝ่ายขัดขึ้นโดยที่เขายังไม่ทันพูดจบเสียด้วยซ้ำ

     " ผมว่ามันไม่สมควรหรอกครับ...คุณท่านกลับไปคิดใหม่จะดีกว่า  แล้วถ้าไม่มีอะไรผมก็ขอตัว " สิ้นเสียงเอ่ยร่างสมส่วนของรัชตะก็สืบเท้าออกจากห้องไป  ปฐวีถอนหายใจยาว...เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าการตัดสินใจที่คิดว่าถูกต้องไปหมดของตน  แท้จริงแล้วมีข้อผิดพลาดมากมายขนาดนี้...มากมายจริงๆ


     ............................................................................................................................


     เสียงเคาะประตูสามครั้งอย่างเป็นจังหวะอันเกินจะคุ้นเคยนั้นส่งผลให้หญิงสาวที่ซุกตัวเองลงกับกองผ้าห่มขยับตัวเล็กน้อย  ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนแต่อย่างใด  จนกระทั่งน้ำเสียงอ่อนโยนจะดังลอดมาให้ได้ยินหลังจากการเคาะประตูครั้งที่สอง

     " คุณหนู...เปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ  ผมเอาข้าวต้มร้อนๆมาให้ " น้ำเสียงนั้นเจือกระแสความห่วงใยแตกต่างจากที่ได้ยินตอนกลางวันนั้นอย่างลิบลับ  หญิงสาวเผลอตัวขว้างหมอนไปใส่ประตูขณะเอ่ยตอบ

     " ไอไม่หิว "

     " ไม่หิวก็ต้องทานนะครับ...ถึงคุณหนูไม่สนใจผมแต่ต้องเป็นห่วงสุขภาพตัวเองนะครับ " น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นแฝงกระแสเว้าวอนจนทำให้เธอเกือบใจอ่อน...แต่มันไม่ง่ายนักหรอก  เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังเงียบรัชตะจึงกลั้นใจจะใช้วิธีสุดท้าย

     " เปิดประตูนะครับ...ถือซะว่าพี่ขอร้อง..."


     ผัวะ!!


     ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบหญิงสาวก็ผลุนผลันมาเปิดประตูให้ก่อนร่างบางๆนั้นจะสาวเท้ากลับไปที่กองผ้าห่มแล้วซุกตัวลงไปเหมือนเดิม  รัชตะส่ายหน้าน้อยๆราวกับระอาใจก่อนจะกดสวิตซ์ไฟเปิด

     " ผมวางข้าวต้มไว้ตรงนี้นะครับ  ถ้ายังไง..."

     " ไอไม่กิน " เสียงใสๆกระชากตอบก่อนที่เขาจะทันพูดจบด้วยซ้ำ  รัชตะมุ่นหัวคิ้วก่อนจะตัดสินใจใช้วิธีเดิม

     " ไม่สบายตรงไหน...พี่ป้อนให้มั้ย "

     " ใจร้ายๆๆๆๆ  พี่ชายใจร้าย " จู่ๆร่างบางที่ซุกอยู่ในผ้าห่มกลับผุดลุกขึ้นมาซบลงกับแผ่นอกกว้างพลางรัวกำปั้นน้อยๆทุบตีราวกับอัดอั้นมานาน  ร่างบางค่อยๆสั่นเทิ้ม  ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งจนกระทั่งรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่ซึมผ่านเสื้อเชิ้ตของเขาเข้ามาจนเปียกชุ่ม

     " ร้องไห้มากๆไม่ดีต่อสุขภาพ  แถมพรุ่งนี้เช้าตื่นมาตาบวมไม่สวยเอานะครับ "

     " ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้ามันก็บวมอยู่แล้ว " เสียงเอ่ยแกมประชดดังอู้อี้ผ่านเสียงสะอื้น  ก่อนไอยเรศจะผละตัวออกจากอกกว้างของ ' พี่ชาย ' โดยที่อารมณ์โกรธกรุ่นไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย  ชายหนุ่มพินิจใบหน้าเธอยามนี้ก็ต้องใจหายเมื่อเห็นดวงตาบวมช้ำแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา  ริมฝีปากบางก็มีร่องรอยถูกผู้เป็นเจ้าของขบกัดไว้จนห้อเลือด  แก้มเนียนใสบัดนี้มีรอยช้ำแกมถลอกเป็นทางยาวที่เกิดจากการเช็ดน้ำตาแรงๆ   พอเห็นยามนี้คำพูดต่างๆนานาที่เตรียมไว้จะดุน้องสาวแสนดื้อก็ถูกกลืนลงคอไปอย่างไม่ยากเย็น

     " ไอบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก...ไอไม่เคยคิดว่าพี่ชายเป็นคนต่ำต้อยอะไรอย่างนั้น "

     " ผมขอโทษ..."

     " ไอไม่อยากฟัง ! " หญิงสาวกรีดเสียงแหลม  รัชตะเชื่อว่าตอนนี้ไอยเรศคงสูญเสียการควบคุมตัวเองไปกว่าครึ่ง  นานมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเธอโกรธจัดและร้องไห้หนักอย่างคราวนี้

     " แต่คุณหนูต้องฟังก่อนที่..."

     " ห้ามเรียกไอว่าคุณหนู !! " ไอยเรศกระชากเสียงอย่างมีอารมณ์   แต่พอเห็นอาการเงียบสนิทและสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูกของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอค่อยๆรวบรวมสติตัวเองกลับมาได้  ถึงจะยังไม่เต็มร้อยก็เถอะ

     " ไอขอโทษที่พาลใส่พี่ชาย...แต่จากนี้ไปสัญญากับไอว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก " ไอยเรศกลับมาซุกตัวลงกับหน้าอกกว้างอีกครั้งทำให้รัชตะเผลอขยับตัวอย่างลำบากใจ

     " ครับ "

     " แล้วเวลาอยู่ด้วยกันสองคนก็ห้ามเรียกว่าคุณหนู  ต้องเรียกไอเฉยๆเหมือนเมื่อก่อนด้วย...เข้าใจมั้ย "  ไอยเรศพูดงึมงัม  ดูท่าหญิงสาวจะเริ่มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว...

     " ครับ "

     " แล้ว..." เสียงของหญิงสาวขาดหายไปพร้อมๆกับอาการสะอื้น  ชายหนุ่มนิ่งไปสักครู่ก่อนจะขยับตัวอย่างประหลาดใจ  แล้วก็ต้องอุทานอย่างตกใจเมื่อ...

     " ไอ!!" ใบหน้าของหญิงสาวยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด  เหงื่อผุดพราวขึ้นตามใบหน้าทว่าร่างกายยังคงเย็นเฉียบ  รัชตะค่อยๆขยับร่างบางวางลงบนเตียงขณะที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ  มือไม้อะไรพันกันวุ่นวายขณะกำลังตรวจอาการของไอยเรศโดยลืมเรียกแพทย์ประจำบ้านเสียสนิท

     " นี่มัน...!! "

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×