Pairing : แอล/ไลท์ , วาตาริ/OC
//AU Rainverse เป็นเวิร์สที่น่าหนักใจมาก คืออ่านไปหลายเรื่องแต่กฎไม่เหมือนกันเลยสักอัน ไม่มีข้อมูลสากลด้วย ฟฟฟฟฟ เพราะงั้นฟิคนี้จะไม่ขออิงอะไรทั้งนั้น เหมือนเรามาส่องชีวิตประจำวันของคุณลอว์ไลท์เฉยๆ
ครั้งแรกที่แอลได้พบกับอาการหูดับคือในวันเกิดครบสิบแปดปีของเขา
ตอนนั้นผ่านบ่ายสามมาสิบห้านาที นักสืบอันดับหนึ่งของโลกกำลังพูดคุยตอบปัญหากับเหล่าเด็กน้อยผู้สืบทอดจากแวมมี่เฮ้าส์ มันยังคงเป็นอีกวันที่น่าเบื่อจนกระทั่งโลกรอบตัวดำดิ่งลงไปในความเงียบ เสียงฝนจากนอกหน้าต่างดังเข้ามาถึงในห้องทำงานหาไร้ซึ่งเสียงอื่นใดจากจอมอนิเตอร์ คนผมดำนิ่งไป จ้องมองริมฝีปากพวกนั้นขยับขึ้นลงไม่สะทกสะท้าน บ้างคุยจ้อ บ้างหัวเราะออกมา ตอนนั้นเขาตรวจหาความผิดปกติจากซอฟต์แวร์ไม่เจอ สันนิษฐานได้แค่ว่าลำโพงเสียจึงกดไมค์แจ้งยกเลิกการสนทนาครั้งนี้
เขาเรียกหาวาตาริซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับ เด็กหนุ่มรออยู่นานจนต้องออกไปตามที่โถงทางเดิน เห็นชายชรายกถาดน้ำชามาเสิร์ฟตามเวลา ปากก็เอ่ยกล่าวอะไรบางอย่างซึ่งไปไม่ถึงหูคนเป็นนักสืบ แอลเผลอหยุดหายใจไปชั่วครู่ ใบหน้าซีดเผือดตกตะลึงทั้งดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้าง เขายังคงได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ของตัวเองแต่ไม่ใช่กับวาตาริที่เหมือนพูดออกมาเป็นลม
เป็นเวลานานพอสมควรกว่าฝนจะหยุดตก เด็กหนุ่มคู้ตัวอยู่บนเก้าอี้นวมบุกำมะหยี่จ้องคนอายุมากกว่าไม่วางตายกนิ้วโป้งขึ้นกัดเล็บระบายอารมณ์สับสน ขณะมือเหี่ยวย่นเลื่อนแก้วชาอัสสัมมาตรงหน้า บนใบหน้าอีกฝ่ายมีรอยยิ้มบางเหมือนไม่คิดว่าอาการเมื่อสักครู่เป็นเรื่องแปลกประหลาด
"คุณคงจะมีคำถามอยู่ในใจเยอะพอควร" เนื้อเสียงแหบพร่าของผู้สูงอายุช่วยให้แอลโล่งใจได้เปราะนึง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้คลื่นสมองผิดพลาดจนหนวกเสียงผู้คน เด็กหนุ่มคีบบิสกิตใส่ปากด้วยสองนิ้ว
"ผมนึกว่าตนเองหูเพี้ยนไปเสียแล้ว น่ายินดีที่ทุกอย่างกลับเป็นดังเดิมได้รวดเร็ว" น้ำตาลหกก้อนถูกหย่อนลงในถ้วยก่อนตามด้วยช้อนคนเบาๆ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม "เรื่องพิศวงเช่นนี้คงต้องคาดหวังคำอธิบายจากคุณ ผมจนปัญญาเหลือเกิน"
"โอ้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดกับเราทุกคนครับ เป็นเพียงเรื่องสามัญทั่วไป" เขาพูด "คุณเองก็เติบโตจนอายุถึงกำหนดแล้ว ต่อจากนี้เมื่อฝนตกมีเพียงโซลเมทเท่านั้นที่อยู่เป็นคู่คิดคอยต่อบทสนทนา โซลเมทก็คือเนื้อคู่เพียงหนึ่งเดียวของทุกคน อาจอยู่ใกล้ชิดหรือคนละฟากฝั่งของโลก แต่ได้ยินกันและกันเมื่อฝนตก"
แอลขมวดคิ้วเคร่งเครียด "จะไม่ได้ยินเสียงอื่นตลอดชีวิตเลยหรือครับ"
วาตาริส่ายหน้า "มีเพียงเสียงฝน เสียงตัวเองและโซลเมทเท่านั้นครับ"
"แต่ผมไม่ได้ยินใครเลย" เล็บถูกกัดแรงขึ้นไปอีก ใบหน้าซีดเซียวฉายแววความไม่พอใจอย่างแรงกล้า
"อาจเป็นเพราะสถานที่ที่โซลเมทอาศัยไม่ได้มีฝนตกน่ะครับ ผมเคยประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็ตอบรับกันไม่ได้ เลยแก้ด้วยการต่อสายโทรไปหาเองเสียเลย" ชายชรากล่าวกลั้วหัวเราะกับเรื่องราวครั้งวันวาน ส่วนคนที่พึ่งรับข้อมูลมองมาด้วยสายตาราวกับจะขอฟังเพิ่ม ดูเขาต้องการถามอะไรประมาณว่า คุณก็มีหรือครับ?
วาตาริเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "โซลเมทของผมเป็นสาวร้านขายดอกไม้จากแดนทิวลิป กว่าจะคุยกันให้รู้เรื่องได้ก็พึ่งทักษะภาษาอยู่พอสมควร แต่น่าเสียดายที่เธอจากไปตั้งแต่เกือบสามสิบปีก่อนตอนนี้ผมถึงต้องอยู่อย่างเงียบเหงา" แอลขานรับในลำคอยกชารสหวานขึ้นจิบ นึกสงสัยว่าคู่ของเขาเองจะเป็นชนชาติเดียวกันหรือไม่ และคงเป็นเรื่องน่าเศร้าทีเดียวหากคนๆ นั้นอยู่ในประเทศที่แห้งแล้งอย่างนามิเบียหรือเป็นชนกลุ่มน้อยสักกลุ่มที่ภาษาไม่เข้าถึง เพราะนั่นหมายความว่าชั่วชีวิตนี้เขาอาจต้องอยู่อย่างเงียบเหงา โดยเฉพาะกับสหราชอาณาจักรที่ขึ้นชื่อเรื่องสภาพอากาศแปรปรวนเป็นที่สุด
พูดถึงอากาศแปรปรวนเด็กหนุ่มก็นึกเรื่องสำคัญได้ "งั้นผมคงต้องย้ายไปประจำการที่ประเทศอื่น หากฝนตกขึ้นมาระหว่างติดต่องาน นอกจากจะกำหนดขอบเขตระบุตัวตนผมได้แล้ว มีแต่จะเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ"
ผู้ช่วยของเขาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนขอตัวไปจัดการเอกสารต่างๆ นักสืบหนุ่มที่เคลียร์คดีได้หมดแล้วตัดสินใจเดินหลังโก่งไปที่ห้องสมุดส่วนตัว นิ้วเรียวไล้ไปตามปกหนาแข็ง สุดท้ายก็ดึงออกมาเล่มนึงเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการแปลกประหลาดของตน
ความรู้ใหม่พรั่งพรูเข้ามาในหัว แอลเหมือนได้เปิดประตูเข้าสู่โลกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และกฎเกณฑ์พวกนี้จะตามติดเขาไปชั่วชีวิต
ในเย็นวันนั้นแอลตัดสินใจจะออกไปดูความเป็นไปของโลกภายนอกจึงขอยืมชุดสูทเก่ากึกของวาตาริมาใส่ ด้วยใบหน้าที่ไปได้ดีกับภูตผีที่เลือก แอลไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางใดๆ แค่เพิ่มเขี้ยวปลอมก็กลายเป็นผีดูดเลือดโดยสมบูรณ์
ในสายตาชาวตะวันตกนั้นฮาโลวีนเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง แต่สำหรับแอลมันคือเทศกาลแห่งขนมหวาน ต่อให้เขากำลังจะบรรลุนิติภาวะภายในวันนี้ แต่ก็อาจจะมีใครสักคนยอมให้ลูกกวาดก็ได้
แม้จะเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแต่ท้องฟ้ากลับอึมครึม หมอกหนาลอยตัวลงต่ำสร้างบรรยากาศให้คืนวันฮาโลวีน ไฟส้มส่องสว่างเข้ากันได้ดีกับผนังอิฐของอาคารและสีกองใบไม้แห้งที่ร่วงโรย ต้นไม้เล็กเขียวชอุ่มในกระถางแซมไปด้วยหุ่นคนแคระไม่ก็ฟักทองเจาะหน้า แอลเดินไปตามท้องถนน เห็นปีศาจรุ่นเล็กจับกลุ่มกันเคาะประตูบ้านท่องประโยคยอดฮิตอย่างหลอกหรือเลี้ยง ตอนตัวเท่านั้นแอลก็เคยไปขอขนมวาตาริอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ต่างออกไปเพราะเขาตัวโตจนออดอ้อนไม่ขึ้นเสียแล้ว
อยู่ดีๆ สาวน้อยซอมบี้สูงเท่าเอวก็พุ่งตัววิ่งมากอดที่ขา ร่างเล็กทำขู่ฟ่อเป็นลูกแมว แวมไพร์หนุ่มส่ายหน้าเป็นเชิงว่าเขาเองก็ไม่มีของจะให้เหมือนกัน เท่านั้นแหละหนูน้อยก็เบะปากสละอมยิ้มสีแดงให้ เดินเตาะแตะกลับไปหาคุณพ่อชุดตัวตลก กลายเป็นเขาที่ได้รับความสงสารเสียอย่างนั้น
ในปากมีอมยิ้มรสเชอร์รี่ขณะเดินไปตามถนน ได้ยินเสียงเพลงหลอนหูหลุดรอดออกมาเมื่อเดินผ่านไนท์คลับ นึกสงสัยว่าข้างในจะจัดธีมฮาโลวีนกันหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจนานเท่าไรเพราะเขาไม่ได้คิดจะไปเที่ยวที่อโคจรแบบนั้นอยู่แล้ว
มีภูติผีบางตนเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยอยู่เหมือนกัน แอลไม่ได้ปฏิเสธอะไรด้วยรู้ว่าวันเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องระแวงปกปิดตัวตน อย่างไรเสียคนพวกนั้นก็คิดว่าเขาแต่งหน้าจัดเต็มมาอยู่แล้ว เพราะคงไม่มีใครปล่อยให้ตัวเองสภาพเหมือนศพในชีวิตประจำวันได้เท่าแอล
จากอมยิ้มมาเป็นขนมกองใหญ่ เด็กหนุ่มในชุดโบราณแบกของหวานที่ได้มาเป็นสินน้ำใจ ขณะที่กำลังฮึมฮัมในคอด้วยความพึงพอใจสัมผัสเย็นเยียบหนึ่งหยดก็แตะที่ปลายจมูก
ดวงตาสีดำสนิทแหงนมองท้องฟ้า ฝนหลงฤดูโปรยปรายเป็นรอบที่สองของวันสมเป็นแดนสหราชอาณาจักรซึ่งสภาพอากาศแปรปรวนเป็นที่สุด
สองเท้าจ้ำเข้าไปหลบในผับสักแห่ง เลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่างด้วยไม่มีจุดประสงค์จะมึนเมา เด็กหนุ่มมองกระจกที่สายน้ำไหลเอื่อยอาดลงมาจากหลังคา รอบกายเงียบงันจนมีแค่เสียงฝนตกกระทบ พนักงานสาวชุดเมดหูกระต่ายเดินมารับออเดอร์ ปากก็พูดอะไรบางอย่างที่แอลไม่อาจได้ยิน
เขาเลยขอจดรายการเอง อีกฝ่ายที่ดูท่าจะอายุไม่ถึงสิบแปดดียิ้มเผล่ยื่นสมุดให้ด้วยความเข้าใจ เธอเพียงแค่ยืนรออย่างสำรวมกิริยา
เมื่อเลือกสิ่งที่ต้องการครบแล้วแอลจึงส่งมันคืน ระหว่างรอสองมือก็แกะฟอยด์ช็อกโกแลตขบเคี้ยว ดวงตาสีดำสนิทไล้สังเกตไปทั่วร้านแก้อาการเบื่อ
โต๊ะตรงหน้าเขาเป็นกลุ่มเด็กคอสตูมอลังการที่ดูยังไงก็ยังไม่เกินเกรดแปด พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนานราวกับเสียงฝนไม่เคยเป็นอุปสรรค เลยไปอีกที่โต๊ะมุมห้องเห็นครอบครัวนักเวทย์ทานอาหารร่วมกัน หนุ่มน้อยฝาแฝดวัยอนุบาลคนนึงเคี้ยวเนื้อจนแก้มตุ่ย อีกคนสะบัดไม้กายสิทธิ์ขยับปากคุยรัวเร็ว ผู้ปกครองทั้งสองพยักหน้าตอบรับทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้ม เด็กชายอาจไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ไม่ได้ยินเสียงเขา
บางคนเองที่นั่งคนเดียวก็เริ่มพูดคุยขึ้นมาเสียอย่างนั้น บางทีอาจสื่อสารอยู่กับคู่ของพวกเขาก็เป็นได้ แอลเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีถ้าเขาจะลองทักทายดูบ้าง อย่างไรเสียก็มีโอกาสที่ฝั่งนั้นจะตอบกลับ
"สวัสดีครับ" แอลเปรย แม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องพูดอยู่ฝ่ายเดียว "เนื้อคู่ของผม คุณได้ยินไหม?" เด็กหนุ่มเฝ้ารออย่างคาดหวัง
"ถ้าได้ยินตอบด้วยนะครับ" เขาเสริมขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามันเงียบเกินไป "คุณได้ยินไหม?"
รออยู่จนกระทั่งฝนเริ่มซาลง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ แอลถอนหายใจนึกในแง่ดีว่าครั้งนี้ฝนคงตกไม่พร้อมกัน ครั้งหน้ายังมีโอกาสสำเร็จเสมอ แต่อีกใจก็ทบทวนถึงสิ่งที่เคยอ่านมา เริ่มลังเลว่าคู่ของเขาอาจเข้าข่ายอายุไม่ถึง ยังไม่เกิดหรือแย่สุดอาจตายไปนานแล้วก็ได้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นยังจะหวังอะไรได้อีกหรือเปล่า มีวิธีรู้ไหมว่าคู่ของเขาจะพร้อมคุยกันเมื่อไร หรือให้ดีมีวิธีตัดสายสัมพันธ์ไหม มันอาจดีกว่าก็ได้ที่จะใช้ชีวิตเงียบๆ คนเดียวเมื่อฝนตก อย่างน้อยก็ไม่ต้องระแวงว่าความลับของงานสืบสวนจะรั่วไหล
มีแต่เรื่องให้กลับไปค้นคว้าเต็มไปหมด แอลยกนิ้วโป้งขึ้นไล้ตามริมฝีปาก ขณะที่เสียงรอบตัวกลับมาดังเป็นปกติอีกครั้ง
...หูดับเป็นพันครั้งแล้วก็ไม่เห็นมีเสียงใครโผล่มาสักที...
แอลนึกประโยคนั้นขึ้นมาได้เพราะระหว่างการพบตัวต่อตัวกับนายตำรวจทั้งห้าดันเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา ซึ่งไอ้เหตุที่ว่านั่นก็ตัวเสียเวลาชั้นเยี่ยม ฝนตก นั่นเอง ไม่รู้มาก่อนเลยว่าประเทศที่ตรงต่อเวลาเหมือนประชากรอย่างญี่ปุ่นมีฝนหลงฤดูในวันสิ้นปีเหมือนกัน ยังดีที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ ได้กระจ่างแจ้งแล้ว เขาจึงมีเวลาลอบสังเกตท่าทีคนอื่นได้
หัวหน้ากองยางามิ คุณไอซาว่า คุณอุคิตะ มีครอบครัวแล้วเลยนั่งนิ่งเงียบ แอลนับถือพวกเขาอยู่ในใจที่เก็บรักษาความลับคดีคิระไม่คิดปริปากบอกภรรยา ในขณะที่หนุ่มโสดอย่างคุณโมงิและมัตสึดะเริ่มเปิดปากทักอย่างหวังจะได้ยินเสียงตอบกลับ ส่วนแอลที่พลาดมาเจ็ดปีแล้วทำเฉยเมย เขาไม่คิดจะเผยข้อมูลส่วนตัวอย่างไม่เคยคุยกับคู่ตัวเองต่อหน้าใครทั้งนั้น
แอลเริ่มสงสัยแล้วว่าคู่เขาตายไปแล้วรึเปล่า...ถ้าเกิดเป็นหนึ่งในอาชญากรที่ถูกคิระพิพากษาไปล่ะ? แต่อย่างน้อยตัดยังไม่เกิดทิ้งไปได้เลย พระเจ้าไม่น่าเหลวไหลจับคู่เขากับคนเด็กขนาดนั้นหรอก เหลือก็แต่ความหวังเดียวคืออายุยังไม่ถึง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือถ้าอายุถึงแต่ไม่ยอมคุยด้วยนี่สิ แบบนี้เขาก็ต้องระแวงหน้าพะวงหลังไม่พูดอะไรเกี่ยวกับคดีทุกครั้งที่ฝนตกไปชั่วชีวิต ซึ่งต่อให้เป็นถึงนักสืบอันดับหนึ่งของโลกก็มีแต่จะประสาทกินถ้าเป็นแบบนั้น
ลึกๆ แล้วก็ยังหวังแหละว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะทักมา แต่สุดท้ายจนฝนซาแล้วก็ไม่มีเสียงใด เหมือนนายตำรวจทั้งสองที่ถอนหายใจออกมาจะพบผลลัพธ์เดียวกัน
"ลูกชายคุณใกล้จะอายุสิบแปดแล้วนี่ครับ"
ระหว่างจับตาดูกล้องสอดแนมบ้านยางามิ อยู่ๆ แอลก็เปรยเรื่องนั้นขึ้นมา หัวหน้ากองสืบสวนเลิกคิ้วด้วยความฉงนหากแต่ตอบตามความเป็นจริง "อีกเดือนนึงน่ะ เขาเกิดปลายกุมภาพันธ์"
แอลพยักหน้ารับรู้ทั้งดวงตายังจับจ้องไปที่ใบหน้ายามหลับใหลของยางามิคนลูก เด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้ไม่หลงกลเรื่องเจ้าหน้าที่ 1500 คนซ้ำยังตอบกลับได้อย่างมองแผนการขาด ภาพลักษณ์แสนสุภาพนุ่มนวล...ดูบริสุทธิ์เกินไปจนน่าสงสัย
"งั้นก็คงมุ่งสมาธิไปที่เรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยก่อนเรื่องโซลเมทสินะครับ" แอลยังไม่ละสายตาไปจากร่างบนเตียงขณะที่ปลายนิ้วโป้งไล้ไปตามริมฝีปากที่ผุดรอยยิ้มบางเบา
เหมือนคราวนี้โอกาสจะเดินมาหาเขาด้วยตัวมันเอง
"นี่เธอ ผู้เข้าสอบหมายเลข 162 นั่งให้มันดีๆ หน่อย"
แอลยกขาขึ้นมาบนที่นั่งก่อนโดนตักเตือนตั้งแต่นาทีแรก เขากลอกตาให้ชายคนนั้น จากการอ่านกฎแล้วไม่มีข้อห้ามเรื่องนี้ทั้งยังเป็นสิทธิส่วนบุคคล นักสืบหนุ่มในคราบคนสอบเข้าโตโอทำข้อสอบต่อโดยไม่ใส่ใจสายตาที่มองอย่างเสียดแทงของกรรมการคุมสอบ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาอีกคู่ที่หันหลังมามองเขาก็เงยขึ้นจ้องกลับ
ห่างจากเขาไปสองช่วงแถวคือ ยางามิ ไลท์ ดวงตาสีน้ำผึ้งที่สบกับเขายากจะคาดเดาอารมณ์
ปลายเดือนมีนาคม ระหว่างรอผลสอบเข้าที่ยังไงก็ติดแน่นอน แอลดูบันทึกกล้องวงจรปิดที่สถานีรถไฟซ้ำไปซ้ำมาด้วยยังสงสัยเรื่องเอกสารในมือเรย์ เพ็นเบอร์ เพราะเอฟบีไอคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีมากที่สุดทั้งคู่หมั้นของเธอเพิ่งหายตัวไปอย่างลึกลับ มิโซระเป็นหญิงแกร่งเขาที่เคยร่วมงานด้วยรู้อยู่แก่ใจ และคนมีฝีมือขนาดนี้ย่อมโดนคิระหมายหัวได้ถ้าคิดจะลงมือสืบสวน
นั่นทำให้เขาพุ่งเป้าไปที่ครอบครัวของหัวหน้ายางามิกับรองคิตามูระในทันที และในความสงบเกินไปของทั้งสองบ้าน อย่างน้อยเด็กหนุ่มผมน้ำตาลคนนั้นก็ทำให้เขารู้สึกว่ามาถูกทาง
ช่างเป็นคนที่ทำตัวให้ไม่น่าสงสัยได้อย่างน่าสงสัยเหลือเกิน
เพอร์เฟ็คเกินไป...เปอร์เซ็นต์ความน่าจะเป็นคือห้าเปอร์เซ็นต์เต็ม มากสุดตั้งแต่ที่เคยเจอ...จะเป็นเขาหรือเปล่านะ
เสียงน้ำกระทบกระจกดังเข้ามาในโสตประสาท คนเป็นนักสืบหันไปมองหน้าต่างของโรงแรม เป็นอีกครั้งที่ฝนตก หากแต่เขาไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก การที่รอบข้างเงียบยิ่งช่วยให้เขามีสมาธิจดจ่อ ดวงตาสีดำสนิทเบนกลับไปมองจอมอนิเตอร์
สวัสดี...น้ำเสียงนุ่มนวลดังแทรกสายฝนที่ตกกระหน่ำ แอลนิ่งค้างกับสิ่งที่ได้ยิน เขาหันไปมองรอบตัวอีกครั้งแต่กลับไม่พบใคร ขณะที่หัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น อีกใจนึงชายหนุ่มก็คิดว่าเขาอาจหูแว่วไปเอง บางครั้งถ้าหมกมุ่นกับอะไรมากๆ เสียงจากในหัวก็อาจทำให้เข้าใจผิด
'นี่ ได้ยินไหม' แต่คราวนี้มาชัดถ้อยชัดคำยิ่งกว่าเดิม แอลเบิกตากว้าง เหมือนประสาทรับรู้ด้านการได้ยินจะทำงานดีขึ้นเป็นพิเศษ เขาจำเสียงนี้ได้! 'ตอบหน่อยสิ...'
ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดีก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ บางทีเด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับเขาไปแล้วก็ได้
หลังจากพยายามมากว่าเจ็ดปีเขาเพิ่งค้นพบว่าตัวเองไม่ได้เตรียมบทสนทนาดีๆ เอาไว้เลย "ผมฟังอยู่ครับ" และนั่นเป็นประโยคแรกที่เขาคิดได้
'อะไรเนี่ย เนื้อคู่ฉันเป็นผู้ชายเหรอ!?' เหมือนเห็นใบหน้านั้นเหยเกขึ้นมา คนฟังแอบใจแป้วไปด้วยรู้ดีว่าสังคมญี่ปุ่นไม่เปิดกว้างเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับลูกชายที่สมบูรณ์แบบในทุกด้านของหัวหน้ากองยางามิ โซอิจิโร่ นี่อาจเป็นจุดด่างพร้อยเพียงอย่างเดียวเลยก็ได้ 'พอเลยไม่ต้องคุยกันแล้ว!'
แล้วอีกฝ่ายก็เงียบไปตามที่พูด แอลขมวดคิ้วกับน้ำเสียงเอาแต่ใจที่ไม่เคยได้ยินจากปากของอีกฝ่ายมาก่อน ไลท์ไม่แม้แต่จะบอกชื่อกับเขาด้วยซ้ำ เพราะไม่ยอมรับก็เลยทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ...เขารอมาตลอดเจ็ดปีเพื่อเด็กไม่รู้จักโตคนเดียวเนี่ยนะ ตอนแรกยังหวังให้เป็นเพื่อนกันได้ แต่หยามกันขนาดนี้ก็ไม่ต่างกับการประกาศสงคราม
แอลยกนิ้วโป้งขึ้นมากัดเล็บระบายอารมณ์ที่คุกกรุ่นไปทั่วร่าง ในสมองคนเป็นนักสืบไม่คิดอะไรนอกจากหาวิธีแก้นิสัยเสียของเจ้าเด็กนั่น จนกว่าจะถึงฝนตกครั้งต่อไป...ไม่สิ จนกว่าจะถึงงานปฐมนิเทศ แอลจะให้แน่ใจเลยว่าเขามีแผนที่ดีพอใช้ต่อกรกับผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของคดีคิระ
และเขาจะไม่ยอมรับสิ่งอื่นใดนอกจากชัยชนะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่อ้างอิงไทม์ วู้ว!
ฤดูใบไม้ร่วง - ของ UK คือเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนค่ะ วันฮาโลวีนเลยนับอยู่ในนี้ด้วย
ฤดูฝน - โตเกียวที่ไลท์คุงอยู่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมค่ะ ในส่วนวินเชสเตอร์ของแอลนั้น ...หาความแน่นอนไม่ได้ สมกับที่เป็น UK ฝนนึกจะตกเมื่อไรก็ตก คือมีโอกาสตกได้ทุกวันทุกช่วงเวลา ฝนหลงฤดูกันเป็นปกติ ก็อากาศแปรปรวนนี่เนอะ
ไทม์ไลน์เดธโน้ต (อิงมังงะ) - ไลท์คุงเกิดค.ศ.1986 เพราะงั้นกุมภาปี 2004 จะอายุครบ 18...สอบเข้าโตโอกลางเดือนมกรา ขึ้นเวทีต้นเดือนเมษา ระหว่างนั้นเป็นช่องว่างที่ไม่มีเหตุการณ์สำคัญของทั้งสองคน ก็กาวว่าเค้าได้คุยกันแล้วกัน ฟฟฟฟฟ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
อยากให้เขียนต่อเหมือนกันนะคะ คือไลท์เขายังไม่รู้อะไรเลย ตะจบแบบนี้ก็น่าสงสารเกินไปปป
สงสารแต่ก็พยายามเข้านะคุณนักสืบ ส่วนน้องไลท์ก็...หนีไปลูก! หนีปายยยย
น่าแต่งต่อนะคะเนี่ย ไม่ได้มีโอกาสให้แกล้งไลท์บ่อยๆ เราต้องรีบคว้า---
อยากต่อเหมือนกันค่ะ อยากรังแกไลท์คุง ปฐมนิเทศก็คือจะเอ๊ะ เสียงนี้ เอ๊ะ นายคือแอล เอ๊ะ นายสงสัยฉัน แค่คิดก็สนุกแล้วววววว
ไลท์คุงพลาดเต็มๆ คราวนี้ไม่ว่ายังไงแอลก็กัดไม่ปล่อยแล้ว สู้เค้านะคะคนดีของพรี่