คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : พลับพลึงดอกที่ 6 หน้าตาบ้านๆ (ครึ่งหลัง)
ทางด้านจอมทัพ หลังจากที่เดินออกมาเขาจึงได้เห็นว่าตอนนี้ท้องฟ้าได้เป็นสีส้มบ่งบอกเวลาได้ว่าใกล้จะเข้าสู่ช่วงหัวค่ำแล้ว
ชายหนุ่มย้ำเท้าเดินตรงไปยังเส้นทางที่คุ้นเคยที่เขามักจะใช้เดินผ่านอยู่บ่อยครั้งในช่วงก่อนที่จะได้ไปเรียนหมอที่กรุงเทพ
เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ทอดตรงไปยัง บ้านของสัปเหร่อภพธร
จอมทัพใช้เวลาไม่นานก็ได้มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว
“มึงเป็นใครน่ะไอ้หนุ่ม มายืนทำอะไรที่หน้าบ้านกู!” เสียงเข้มเอ่ยถามออกมา หลังจากที่จอมทัพมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านได้เพียงครู่เดียว
“เอ่อ...คือผม”
“อ้าวไอ้จอม? นั้นมึงหรอ?” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดออกตอบกลับไป อีกฝ่ายก็พูดออกมาเสียงก่อน
“ครับ ผมจอมเอง สวัสดีครับอาภพ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ว่าที่พ่อตา (?) ในอนาคต
“เออๆ สวัสดีๆ ไหว้พระเถอะ” ภพธรรับไหว้ชายหนุ่ม ก่อนจะชวนอีกฝ่ายให้เข้ามาในเขตบ้าน “ไปไงมาไงล่ะมึง ถึงได้เดินมาบ้านกู มา เข้ามาในบ้านก่อน”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำและกล่าวเดินไปยังบันไดหน้าบ้านก่อนจะจัดการตักน้ำล้างเท้าและเดินขึ้นไปหาหนุ่มใหญ่ที่นั่งรออยู่ ความจริงจอมทัพไม่จำเป็นต้องรอให้ภพธรเรียกก็ได้ แต่ชายหนุ่มก็รอเพราะคิดว่ามันคงจะดูดีกว่าการที่เขาเข้าไปเอง
“เออมึงสบายดีนะ ไม่เจอกันนานจนอาเกือบจะลืมหน้าตาไปแล้ว” ภพธรเอ่ยแซวชายหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่า พร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้นไปตบบนบ่าแกร่งของอีกฝ่ายสองสามที
“สบายดีครับอา ตอนเรียนก็แอบลำบากหน่อยๆ เรียนหมอมันค่อนข้างยากครับ แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาได้แล้ว”
“เออดี แล้วนี่เห็นพ่อมึงบอกว่า มึงจะมาประจำการที่นี่หรอ?”
“ครับ ผมกับเพื่อนย้ายมาประจำการอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านั้นผมลองถามพ่อแล้วเรื่องหมอที่ใกล้บ้านเราที่สุด พ่อบอกว่าหมอที่มีมาประจำการอยู่ตอนนี้อยู่ไกลจากที่นี่ไปอีกสามสี่หมู่บ้าน กว่าจะได้รักษาแต่ละทีคนป่วยก็เกือบตาย ผมเลยยื่นเรื่องไปครับ โชคดีที่บ้านของเราอยู่ระหว่างหลายหมู่บ้าน คำขอของผมเลยถูกอนุมัติเร็วแต่ก็ต้องใช้เวลาตั้งเป็นปีกว่าจะได้มา” จอมทัพอธิบายถึงที่มาที่ไปให้ภพธรฟัง ซึ่งหนุ่มใหญ่ก็เข้าใจดีถึงจุดนี้เลยไม่ได้มีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม
จอมทัพนั่งพูดคุยอยู่กับเจ้าของบ้านต่อไปอีกสักพัก แต่ก็คอยสอดส่องสายตามองไปทั่วตัวบ้าน หากแต่ก็ยังไม่เห็นคนที่เขาตั้งใจมาหาเสียที ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหายไปอยู่ไหน
ภพธรที่เห็นอาการมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่ก็อดสงสัยไม่ได้ แต่พอจะเอ่ยปากถามออกเสียงของผีดาวเรืองที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็พูดออกมาเสียก่อน
“สุดหล่อคนนี้ น่าจะกำลังมองหาน้องพลับพลึงนะจ๊ะ” ดาวเรืองที่นั่งสังเกตมาตั้งแต่อีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่ที่บ้านก็ได้เอ่ยสิ่งที่ตนคิดออกมา เพราะหากชายหนุ่มคนนี้ตั้งใจมาหาสัปเหร่อหนุ่มใหญ่เจ้าของบ้านจริง ไอ้อาการมองเหมือนหาอะไรบางอย่างในบ้านจะไม่เกิดขึ้น
ทางด้านภพธรเมื่อได้ยินสิ่งที่ผีดาวเรืองพูดออกมา แทนที่เขาจะกลายเป็นคุณพ่อหวงลูกสาวไล่ตะเพิดอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำกับชายหนุ่มคนอื่นในหมู่บ้านนั้น ในครั้งนี้เขากลับไม่ทำ
หนุ่มใหญ่กลับนั่งเงียบๆ ยกเหล้าขาวที่อยู่ในแก้วเป๊กขึ้นมากระดกกินอย่างไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น
ฝั่งของจอมทัพที่นั่งรอมาสักพักแต่ยังไม่เห็นคนที่ตัวเองคิดถึงก็อดที่จะเอ่ยปากถามว่าที่พ่อตามไม่ได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังนั่งรอให้ชายหนุ่มเอ่ยปากถามออกมาอยู่พอดี
“เอ่อ...อาครับ”
“หือ? ว่าไง?” ภพธรแกล้งทำหน้าตาสงสัยทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าหนุ่มรุ่นลูกจะถามอะไร ซึ่งผีดาวเรืองที่มองดูอยู่ก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างเนียนทีเดียว
“เอ่อ...พลับพลึงไปไหนครับ?”
“พลับพลึง? ...” ทวนชื่อของบุตรสาวหนึ่งครั้งก่อนที่จะเงียบไปเหมือนคิดอะไรสักอย่าง
“ครับ น้องไปไหนหรอ?” ซึ่งทางจอมทัพเองก็นั่งลุ้น ว่าว่าที่พ่อตาของเขาจะบอกถึงที่อยู่ของหญิงสาวในตอนนี้รึไม่
“อ๋อ...น่าจะไปเก็บสายบัวที่บึงล่ะมั้ง เดี๋ยวสักพักก็คงกลับมา” บอกอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่เวลาใกล้ค่ำแบบนี้แล้วแต่ลูกสาวคนสวยก็ยังไม่กลับ
“งั้น...ผม...”
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวมันก็กลับมาแล้ว มึงนั่งอยู่เฉยๆ รอกินข้าวกินปลาฝีมือน้องพร้อมอานี่แหละ” ไม่ทันที่จอมทัพจะเอ่ยปาก ขอตัวไปช่วยหญิงสาวยกสายบัว ภพธรก็ได้เอ่ยขัดขึ้นมาก่อนพร้อมกันนั้นก็เอ่ยปากชวนชายหนุ่มให้มานั่งกินข้าวที่บ้านของตนเองในคราวเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าคำชวนในตอนนี้ หนุ่มใหญ่คิดเอาไว้แล้วว่าคำตอบจะต้องมีคำตอบเดียวเท่านั้น
“ครับ” เมื่อได้ยินคำตอบรับของหนุ่มรุ่นลูก ภพธรก็ได้เผยรอยยิ้มบางที่มุมปากออกมาโดยที่จอมทัพไม่ทันได้สังเกตเห็น
นั่งรอไม่นาน สายตาของจอมทัพก็เห็นเงาคนเดินเข้ามาใกล้บ้านรางๆ เดาได้ไม่ยากว่าคนๆ นั้นคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากลูกสาวเจ้าของบ้านอย่างพลับพลึง น้องน้อยที่จอมทัพนั่งรออยู่นั่นเอง
“พ่อจ๋า วันนี้กิน...” พลับพลึงที่ไม่ได้เห็นว่าที่บ้านมีแขกมา จึงได้เผลอทำตัวอย่างเช่นที่เคยทำเวลาปกติออกมา และเมื่อเห็นว่าที่บ้านมีใครบางคนอยู่ด้วย คำพูดที่กำลังจะพูดออกมาจึงได้ถูกกลืนลงท้องไปในทันที
“มาแล้วหรอ? เป็นไงวันนี้ได้สายบัวมาเยอะมั้ย?” หนุ่มใหญ่ที่เห็นอาการนั้นของลูกสาวก็ไม่ได้เอ่ยเย้าแหย่หรือว่าอะไร เขาทำเพียงถามกลับไปเท่านั้นว่าสายบัวที่ได้มาในวันนี้เท่านั้น
พลับพลึงละสายตาจากการมองจอมทัพที่มาเป็นแขกในบ้าน ก่อนจะหันมาตอบผู้เป็นพ่อแทน
“จ่ะ วันนี้หนูได้มาเยอะเลย แล้ว...” พลับพลึงหยุดพูดแล้วใช้สายตาแทนคำพูดมองไปทางจอมทัพทั้งนั่งอยู่
“วันนี้พ่อชวนจอมมันมากินข้าวด้วยกัน ทำเผื่อมันด้วยนะ”
“ได้จ่ะพ่อ” เมื่อผู้เป็นพ่อพูดออกมาแบบนั้น พลับพลึงเองที่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับชายหนุ่ม จึงไม่คิดที่จะคัดค้านแต่อย่างใด พ่อสั่งให้ทำอะไรหญิงสาวก็ทำอย่างนั้น เพราะถึงอย่างไรจอมทัพเองแต่ก่อนก็ถือว่าสนิทกับพ่อของเธอพอสมควร มาตอนนี้ทั้งสองคนน่าจะอยากพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อนก็เป็นได้
พลับพลึงคิดเองเออเองคนเดียวในใจ ก่อนจะสาวเท้าตรงเข้าไปในครัวเพื่อทำกับข้าว ส่วนการหุงข้าวนั้นทางฝั่งของภพได้ทำไปแล้ว ในตอนที่พลับพลึงกำลังจะขอออกไปเก็บสายบัว
เมื่อได้มาใช้เวลากับตัวเองในการนั่งทำกับข้าวเงียบๆ ในครัวพลับพลึงก็นึกย้อนไปถึงตอนที่ตนเองแยกไปเก็บสายบัว เพราะเห็นตอนเดินผ่านว่าสายบัวในบึงเริ่มออกดอกเยอะแล้ว จึงมีความคิดที่จะเก็บมาทำของคาวของหวานกิน
ดังนั้นหลังจากที่ทำพิธีผูกข้อมือให้กับจอมทัพและเพื่อนๆ แล้ว หญิงสาวจึงได้ตรงมาที่บึงเลย กะว่าคราวนี้เก็บไปมากหน่อยจะเอาไปฝากเพื่อนรักอย่างชบาด้วย แต่พอมาถึงกลับกลายเป็นว่าชบานั้นได้มาอยู่ที่นี่แล้ว
ก่อนหน้านั้น
“ชบา มึงก็มาเก็บสายบัวเหมือนกันหรอ?” พลับพลึงเอ่ยทักเพื่อนสาวที่กำลังย่อตัวดึงสายบัวที่ขึ้นใกล้ๆ ริมตลิ่ง
“อืม กูเห็นว่ามันงามเลยมาเก็บสักหน่อย นี่ก็ว่าถ้าไม่เห็นมึงมา กูก็จะเก็บไปเผื่อแล้วนะ” ชบามองมาที่พลับพลึงหลังจากที่ดึงสายบัวออกมาได้แล้ว “ช่วยดึงกูหน่อย เดี๋ยวกูร่วงน้ำ”
“มึงนี่นะเปียกไม่ได้เลย” พลับพลึงแกล้งทำเสียงเหนื่อยใจใส่เพื่อนไปหนึ่งครั้ง แต่ก็ยอมยื่นมือไปดึงมือของชบาที่ส่งมา
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวผื่นคันขึ้นแขนกู” ชบาตอบกลับ พร้อมกับทำท่าทางลูบแขนขาวๆ ของตัวเองอย่างน่าหมั่นไส้
“เฮ้ออ แล้วเก็บไปแค่นั้นมันจะพอกินหรอ?” มองไปยังสายบัวที่เพื่อนเกบเอามาวางกองไว้ที่ริมตลิ่งแล้วก็อดถามไม่ได้ มันมีแค่สามถึงสี่สายได้
“ก็ที่เหลือมันอยู่ไกล มึงก็รู้ว่ากูพายเรือไม่แข็ง”
“แล้วมาทำเป็นบอกว่าจะเก็บไปเผื่อกู เก็บแค่นี้ให้กูกับพ่อแดกวิญญาณสายบัวรึไง เดี๋ยวก็มะเหงกเข้าให้” พลับพลึงทำท่าว่าจะยกมือขึ้นมาเขกหัว ทำให้ชบารีบยกแขนของตัวเองขึ้นมาบังไว้
“อย่าทำกูนะ”
“ทำไม?”
“เดี๋ยวกูเจ็บ” ชบาทำตาใสตอบกลับ
“เจ็บแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย” พลับพลึงที่เห็นท่าทางนั้นของเพื่อน ก็เกิดอาการมันเขี้ยวขึ้นมา จึงแกล้งกัดฟันพูดและทำทีว่าจะจริงๆ
หลังจากนั้นรอบบึงบัวก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของสองสาวเพื่อนซี้ โดยที่ทุกการกระทำนั่นตกอยู่ภายในสายตาคู่คมของกระทิงที่แอบตามมาตั้งแต่พลับพลึงเดินออกมาจากพิธีรับขวัญแล้ว
วิ่งไล่กันไปสักพักสองสาวก็เลิกเล่น แล้วพากันเดินลงเรือส่วนกลางของหมู่บ้าน โดยคนพายคือพลับพลึง คนเก็บคือชบา ส่วนผีกระถินนั้น นั่งอยู่ตรงหัวเรือฝั่งพลับพลึงและปล่อยเท้าลาน้ำ พอพลับพลึงหันไปเห็นเลยโดนด่าไปหนึ่งที
เป็นผีอย่างเดียวก็พอพี่กระถิน อย่าเป็นมารมาผจญหนูเลย เท่านั้นแหละกระถินถึงกับต้องยกขาขึ้นเรือแล้วนั่งพับเพียบแทน
ส่วนกระทิงที่ตั้งใจจะมาแกล้งโผล่จากน้ำให้สองสาวตกใจเล่นๆ ในขณะที่กำลังดำน้ำเข้าไปใกล้เรือเขากลับโดนไม้พายที่พลับพลึงถืออยู่ตีเข้าไปที่หัวเต็มๆ
“เมื่อกี้ไม้พายกูโดนอะไรวะ?” พลับพลึงถามลอยๆ กับตัวเอง แต่บังเอิญว่าชบาได้ยิน หญิงสาวเลยตอบเพื่อนรักกลับไปเล่นๆ
“ก้านสายบัวแก่ๆ มั้ง” พอได้ยินคำตอบของชบาที่ตอบกลับพลับพลึง กระทิงที่แอบหลบอยู่ข้างเรือถึงกับด่าหญิงสาวออกมา
สายบัวพ่อมึงสิอีชบาหัวกู ฉิบหายแล้วน้องพลับพลึงก็พายเสียเต็มแรงเลย หัวกูจะปูดเป็นลูกมะกรูดมั้ยวะเนี๊ยะ?
“อีพลับพลึงเมื่อกี้ไม้พายมึงตีหัวไอ้กระทิง” กระถินกระซิบบอก
"อ่า"
ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา
ความคิดเห็น