ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงใหล ใคร่รัก [อ่านฟรี มี E-Book]

    ลำดับตอนที่ #8 : พลับพลึงดอกที่ 6 หน้าตาบ้านๆ (ครึ่งแรก)

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 67


    “เออ ถ้ากูจำไม่ผิด คนนั้นแหละ น้องพลับพลึงของกู”

    “จริงดิ?? / คนนั้นหรอวะ?”

    สิ้นเสียงตอบกลับของจอมทัพที่ยืนยันมาว่าชื่อที่พวกเขาได้ยินเป็นชื่อเดียวกันกับคนที่พวกเขาได้ยินมาตลอดเป็นเวลาหลายปี

    ทั้งสี่คนต่างก็มีสีหน้าแตกตื่น เพราะทุกครั้งเวลาที่จอมทัพเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับหญิงสาวที่ชื่อพลับพลึงนั้น มักเป็นการเล่าเรื่องที่ออกไปทางแปลกประหลาดเกินกว่าสิ่งที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ พวกเขาจึงจินตนาการกันไปเองว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาธรรมดาและค่อนข้างไปในทางจืดจางในสายตาของคนอื่นๆ

    แต่ที่ไหนได้พลับพลึงคนนั้นที่เพื่อนเล่าให้ฟัง กลับกลายเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวย และถึงขั้นว่าอาจจะสวยกว่าหญิงสาวในกรุงเทพที่พวกเขาเคยเห็นมาด้วยซ้ำ

    นอกจากหน้าตาที่สวยและโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ แล้ว หญิงสาวคนนั้นยังมีรูปร่างบอบบาง ผิวขาวอย่างกับหยวกกล้วยเหมือนคนไม่เคยเจอแสงแดดแรงๆ ทั้งที่แสงแดดในหมู่บ้านนี้ก็ร้อนแรงไม่ใช่น้อย ดูได้จากสีผิวนอกร่มผ้าของพวกเขาในตอนนี้ที่จะมีสีเข้มกว่าใต้ร่มผ้าอย่างเห็นได้ชัด

    "ของกูเต็มปาก ถามน้องเขารึยังว่าอยากเป็นของมึงมั้ย?" แทนไทอดที่จะหมั่นไส้คนหมั่นหน้า โมเมบอกว่าเขาเป็นของตัวเอง

    “เออ คนนี้แหละน้องพลับพลึงของกู ที่เคยเล่าให้พวกมึงฟัง” จอมทัพยืนยันเสียงแข็งเมื่อโดนเพื่อนแขวะกล่าวหาว่าเขาโมเม แม้ว่าความจริงมันจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วก็ตาม

    “ไอ้เหี้.ยไหนตอนที่เล่ามึงบอกว่าน้องเขาหน้าตาบ้านๆ ไม่ได้โดดเด่นเหมือนคนอื่นไง ไอ้บ้านๆ ที่เคยพูดอ่ะ บ้านไหนของมึง” ทศพลอดที่จะถามประชดกลับไปไม่ได้

    เพราะทุกครั้งที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ชื่อพลับพลึงนั้น จอมทัพมักจะย้ำเสมอว่าหญิงสาวเป็นแค่คนหน้าตาธรรมดาๆ หน้าตาบ้านๆ ไม่โดดเด่นเสียจนสะดุดตาน่ามองเหมือนหญิงสาวชาวบ้านคนอื่นๆ

    แต่เมื่อได้มาเห็นกับตา พวกเขาก็เริ่มมีความแปลกประหลาดผุดขึ้นมาในหัวแม้จะรู้ว่ามันเป็นความคิดที่ไร้สาระก็ตาม

    หรือมันจะกลัวกูไปจีบน้องเขาวะ เลยตัดตอนกันท่าเอาไว้ก่อน

    “เออ บ้านไหนของมึง บ้านมึงหรือบ้านน้อง” แทนไทพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของน้องชายที่พูดออกมา “แล้วไอ้หน้าตาของเขาที่มึงบอกไม่โดดเด่นอ่ะ มึงเอาตาไหนของมึงมองว่าไม่เด่น ตาตุ่มหรือตาปลาวะ? หน้าตาอย่างน้องเขาอ่ะเรียกว่าโคตรจะเด่นเลยต่างหากไอ้ฉิบหาย!”

    “ก็ตอนนั้นน้องหน้าตาบ้านๆ จริงๆ นี่หว่า” จอมทัพยืนยันเสียงแผ่ว แม้ว่าความทรงจำเรื่องหน้าตาของหญิงสาวในตอนนั้นจะเลือนรางไปแล้วตามกาลเวลา

    “มึงเจอเขาล่าสุดตอนไหน?” เทวินทร์เท้าเอวเอ่ยถามเสียงเหนื่อยใจ เพราะดูจากการที่ไอ้เพื่อนตัวดีมันยืนยันว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาบ้านๆ ทั้งที่ความจริงสวยสะดุดตาขนาดนี้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดที่ตรงไหนแน่ๆ

    “ก็...ตอนกูสิบเจ็ดสิบแปด?” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจกับระยะเวลาครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าคนน้อง

    “ถุย!! นี่ผ่านมากี่ปีแล้วครับคุณเพื่อน มึงไม่คิดว่าเขาจะโตเลยรึไง ไอ้ฉิบหายทำเป็นมาเล่าให้พวกกูฟังอย่างกับเห็นหน้าเขาทุกวัน” แทนไทบ่นอีกครั้ง

    “เอ้า!!? แล้วกูจะรู้มั้ยวะก็พอกูถามทีไร พ่อกูก็บอกตลอดว่าน้องมันเหมือนเดิมๆ ใครจะไปตรัสรู้ได้ละว่ะ ว่าโตมาจะสวยขนาดนี้” จอมทัพแก้ต่าง เพราะทุกครั้งเวลาที่พรเทพผู้เป็นพ่อขึ้นไปหาที่กรุงเทพ ชายหนุ่มก็มักจะถามเลียบๆ เคียงถึงคนในหมู่บ้านตลอดและนั่นก็รวมไปถึงพลับพลึงด้วยเช่นกันและทุกครั้งพ่อของเขาก็มักจะพูดตอบกลับมาว่า

    พลับพลึงมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ

    “เหมือนเดิมของพ่อมึงที่เห็นน้องทุกวัน กับเหมือนเดิมของมึงที่ไม่ได้เห็นมาหน้าค่าตาน้องมาเป็นชาติมันคงเหมือนกันมั้ง” เทวินทร์ที่นอนฟังมาสักพักก็ได้เอ่ยประโยคแทงใจดำจอมทัพออกมา

    “เออๆ ความผิดกูเองแหละ” แม้ไม่อยากยอมรับ แต่จอมทัพก็ไม่ใช่คนดันทุรัง ดังนั้นอะไรที่รู้ตัวว่าตัวเองผิด เขาก็จะยอมรับมันออกมาแต่โดยดี

    “แต่ขนาดตอนนั้นที่บอกว่าน้องหน้าตาธรรมดาบ้านๆ มันยังหลงขนาดนี้ พวกมึงคิดเอานะว่าตอนนี้ได้เห็นตอนโตมันจะหลงเขาขนาดไหน” แทนไทแซวเพื่อนอย่างขบขัน เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้เพื่อนของเขากำลังจะกลายร่างเป็นคนคลั่งรัก โดยที่ทางจอมทัพก็ไม่ได้โต้แย้งกับคำพูดนั่นเพราะเป็นเรื่องจริง

    ชายหนุ่มหันหน้าหนีเพื่อนๆ ไปมองที่นอกหน้าต่างแทน แม้ทั้งสี่คนจะไม่ได้เห็นหน้า แต่หูที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั่นก็ทำให้พวกเขารู้ว่า เพื่อนตัวดีกำลังเขิน

    ความจริงแล้วจอมทัพนั้นได้แอบชอบพลับพลึงมาตั้งแต่เขาอายุได้ประมาณสิบสี่สิบห้าปี พลับพลึงในความทรงจำตั้งแต่ที่เขารู้ตัวว่าเริ่มสนใจนั้นเป็นเด็กสาวที่มีนิสัยแปลกประหลาด ที่บอกว่าแปลกประหลาดนั่นก็เพราะทุกครั้งเวลาที่พวกผู้ใหญ่หรือใครๆ ถามอะไร พลับพลึงมักจะตอบไปอีกอย่าง และมักจะถามกลับมาด้วยหน้าซื่อๆ ว่า

    อ้าว?ไม่ได้ถามคำถามนี้หรอ เสมอ

    และนอกจากนี้พลับพลึงที่เขาเจอทุกครั้งนั้น เด็กสาวมักจะพูดคนเดียวแต่เป็นการพูดที่มีการเว้นช่วงให้อีกฝ่ายตอบกลับเสมอราวกับว่ามีคนอยู่ข้างๆ เธอจริงๆ

    แม้ว่าจะไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันแต่พลับพลึงกลับไม่ได้ดูเศร้า เหงาหรือทำตัวให้คนอื่นพอใจและยอมรับในตัวตนของน้องเลยแต่อย่างใด กลับกันพลับพลึงในเวลานั้นกลับยังคงทำตัวเหมือนเดิม

    ตอนนั้นตัวของชายหนุ่มก็ไม่ได้อยากที่จะปล่อยปละละเลยพลับพลึงให้อยู่คนเดียวแต่อย่างใด แต่ทุกครั้งเวลาที่เขาจะเข้าหามันก็มักจะมีคนหรือเหตุการณ์บางอย่างมาขัดขวางเขาไม่ให้เข้าใกล้หรือได้พูดคุยกับพลับพลึงเสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นทุกครั้ง

    เพราะถ้าเขาจำไม่ผิด มันจะมีอยู่สองสามครั้งที่ทุกอย่างดูเป็นใจให้เขาได้เข้าไปพูดคุยและทำความรู้จักแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะหลังจากนั้นมาเขาก็ได้ขอผู้เป็นพ่อออกมาเรียนหมอและไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านนี้อีกเลย

    ข่าวคราวของหมู่บ้านที่เขารับรู้จึงมาจากปากของผู้เป็นพ่อคนเดียวเท่านั้น และนั่นก็รวมไปถึงเรื่องของพลับพลึงด้วยเช่นกัน

     

    ในตอนที่เขาอายุได้ยี่สิบสองปีและคาดเดาว่าพลับพลึงน่าจะอายุสิบห้าปีแล้วนั้น เขาได้ลองเลียบๆ เคียงๆ ถามผู้เป็นพ่อว่าตอนนี้เด็กๆ ในหมู่บ้านที่รุ่นเดียวกับเขาเป็นยังไงบ้างออกมา และพ่อของเขาก็บรรยายออกมาหมดเลยว่าแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปยังไงบางอย่างละเอียด ซึ่งจอมทัพในตอนนั้นก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้างเพราะในหัวของเขากำลังสนใจและตั้งตารอฟังแค่คนๆ เดียว และเมื่อมาถึงพลับพลึงพ่อของเขากลับพูดแค่ว่า

    พลับพลึงมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่เคยเปลี่ยน เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น มีเพื่อนคนเดียว ชอบพูดคนเดียวเหมือนเดิม

    เพราะคำพูดนั้นเองที่ทำให้ชายหนุ่มคิดมาเสมอว่าดีแล้ว เพราะจะได้ไม่มีใครมาสนใจพลับพลึงดอกน้อยของเขา แต่ที่ไหนได้เหมือนเดิมของพ่อก็คือพลับพลึงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่ใช่หน้าตาเหมือนเดิม

    แต่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีหน้าตาที่ดูสวยมากกว่าเมื่อก่อนจนเขาเกือบจะจำไม่ได้ หากแต่เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่จำได้ขึ้นใจในตอนที่อีกฝ่ายกำลังผูกข้อมือรับขวัญให้นั้น เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้าต้องเป็นพลับพลึงน้อยของเขาแน่ๆ

    และเมื่อคิดมาถึงตรงจุดนี้ สีหน้าของจอมทัพก็เริ่มดำมืดลง เพราะเขารู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณของตัวเองว่าจะต้องมีไอ้แมลงน่ารำคาญมาบินตอมรอบๆ ดอกพลับพลึงน้อยของเขาแน่ๆ

    คิดได้แบบนั้นจอมทัพก็ย้ำเท้าก้าวเดินออกจากห้องไปในทันที ซึ่งการกระทำที่พรวดพราดของจอมทัพก็ได้สร้างความงุนงงให้กับเพื่อนทั้งสี่คนที่กำลังนอนเล่นกันอยู่ไม่น้อย

    “ไอ้ทัพ! มึงจะไปไหน?” เทวินทร์เอ่ยถามออกมา แต่ก็ไม่ได้คำตอบเพราะในตอนนี้จอมทัพนั้นได้เดินออกจากห้องนอนของตัวเองไปแล้ว

     

    ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
    เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×