ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงใหล ใคร่รัก [อ่านฟรี มี E-Book]

    ลำดับตอนที่ #7 : พลับพลึงดอกที่ 5 คนนั้นแหละ...

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 67


    “ฟังกี่ทีหนูก็รู้สึกไม่ชินกับความเนื้อหอมของพ่อเลยอ่ะ” พลับพลึงเอ่ยเหย้าผู้เป็นพ่อ ก่อนจะล้มตัวลมนอนบนตักแกร่งอย่างเช่นที่เคยทำเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ภพธรเห็นว่าบุตรสาวทำตัวแบบนี้กลางศาลเจ้าที่แทนที่จะเอ่ยเตือนเขากลับยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของลูกสาวแทน

    “วันนี้ไปทำพิธีผูกข้อมือให้พี่เขาแทนพ่อทีนะ”

    “อ้าว? แล้วพ่อจะไปไหน?” พลับพลึงเงยหน้าขึ้นมาถาม เพราะทุกครั้งเวลาที่มีพิธีกรรมอะไรก็แล้วแต่ พ่อก็จะเป็นคนทำเองตลอด โดยหน้าที่ของหญิงสาวก็จะมีเพียงแค่เป็นลูกมือคอยช่วยหยิบจับสิ่งของเท่านั้น

    ยิ่งพิธีอะไรก็ตามที่มีผู้ชายเข้ามาเกี่ยวข้อง หญิงสาวจะถูกกันออกมาเสมอ แต่ในครั้งนี้มันต่างออกไปเพราะนอกจากจะมีผู้ร่วมพิธีเป็นผู้ชายเกือบทั้งหมดแล้ว พ่อยังเป็นคนบอกให้หญิงสาวเป็นคนทำพิธีเองอีกต่างหาก ไม่ใช่ว่าพิธีผูกข้อมือรับขวัญมันจะต้องถูกเนื้อต้องตัวของอีกฝ่ายหรอกหรอ?

    เห็นสีหน้าสงสัยที่ส่งมาจากคนที่นอนอยู่ ภพธรก็บอกไปตามตรงถึงสิ่งที่เขาคิดเอาไว้

    “เหมือนว่าแถวๆ นี้ มันจะมีอะไรแปลกๆ อยู่ พ่อเลยว่าจะไปดูเผื่อบังเอิญเจอร่างไอ้เอกได้ทำพิธีให้มันเลยซึ่งถ้าเป็นงั้นก็อาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่หนูทำพิธีเองได้ใช่มั้ย” พูดไปภพธรก็ใช้มือแกร่งของตนลูบหัวบุตรสาว พลับพลึงตอบรับว่าทำได้ด้วยการพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นสองพ่อลูกก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย รอจนกระทั่งธูปที่ปักลงไปเครื่องเซ่นไหว้หมด สองพ่อลูกก็ทำพิธีลาของเซ่นไหว้ ก่อนจะช่วยกันแบ่งใส่กระทงใบตองแห้งอันใหญ่สองใบที่เตรียมมา

    หลังแบ่งเครื่องเซ่นไหว้ใส่กระทงใบตองครบทั้งสองกระทงแล้ว สองพ่อลูกก็เดินแยกกันไปคนละทิศทาง ก่อนจะว่างกระทงลงไป พร้อมกับบอกเล่าผีสางแถวนั้น

    “เอาของกินมาให้แล้ว ใครหิวก็มากินได้เลยนะ” พลับพลึงกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณที่ยืนอยู่ ไม่นานหลังจากที่หญิงสาวพูดจบ สายตาคู่สวยกลมโตก็ได้เห็นถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่ปรากฏกายออกมา

    “ค่อยๆ กินนะ ไม่ต้องรีบ” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินหันหลังจากมา แม้จะเคยมีคำกล่าวว่าเห็นผีอย่าทัก แต่สำหรับคนที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต การทักทายพวกเขาก็แค่เรื่องปกติทั่วไปเท่านั้น

    ร่างบางเดินกลับมายังศาลเจ้าที่เพื่อเก็บของกลับเข้าหมู่บ้าน เมื่อเดินมาถึงก็ได้พบว่าผู้เป็นพ่อกำลังสวดคาถา พร้อมกับมือที่กำลังดึงสายสิญจน์ที่อยู่ในพานด้านหน้าแท่นบูชา

    หนุ่มใหญ่ท่องคาถาและม้วนสายสิญจน์มาไว้ในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะหยุดดึงและใช้มีดหมอของตนตัดมันจนขาด

    “เอาไปผูกข้อมือให้ไอ้หนุ่มพวกนั้น แล้วกำชับพวกมันว่าพยายามอย่าทำสิ่งที่ชาวบ้านเขาห้ามเด็ดขาด”

    “จ่ะพ่อ” พลับพลึงแบมือไปรับสายสิญจน์มา ก่อนจะค่อยๆ เก็บพวกมันใส่กระเป๋าผ้าของตนอย่างระมัดระวัง “แล้วพ่อจะไปกลับใคร ให้พี่กระถินไปเป็นเพื่อนมั้ย?”

    “ไม่ต้องหรอก แค่อีดาวเรืองกับไอ้เอกก็พอ อีกระถินให้มันอยู่กับหนูนั่นแหละ” ภพพูดจบก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากศาลเจ้าที่ไป แต่ก่อนแยกกันก็ไม่ลืมกำชับบุตรสาว ที่ตนได้ฝากฝังให้ทำหน้าที่แทน

    “รู้นะว่าต้องท่องบทไหน อะไร ยังไง”

    “หนูรู้จ่ะพ่อ”

    “ดี จำไว้ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ท่อง”

    “รับทราบ” พลับพลึงส่งยิ้มไปให้พ่อ แล้วจึงได้เดินหันหลังแยกออกมาตรงกลับไปที่หมู่บ้าน โดยมีสายตาของภพธรมองตามหลังไม่ห่าง เมื่อพลับพลึงเดินจากไปไกลจากสายตาแล้วเขาจึงเดินเลี่ยงไปยังป่าอีกทาง

     

    “อีพลับพลึง มึงว่าพ่อมึงไปไหน” ผีกระถินถามหญิงสาว หลังจากที่ทั้งสองเดินออกห่างมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

    “ถ้าพี่อยากรู้ พี่ตามไปถามพ่อก็ได้นะ” พลับพลึงตอบกลับผีสาว พร้อมกันนั้นก็สาวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ว่ากันตามตรงแล้วแม้ว่าจะมีคาถาหลายอย่างที่ถูกสอนให้ท่องจนจำได้ขึ้นใจ แต่ครั้งนี้มันก็คือครั้งแรกที่ต้องท่องเองทำเอง และเพราะเป็นครั้งแรกที่ต้องทำทุกอย่างทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว หญิงสาวจึงอดที่จะกังวลไม่ได้แม้ว่าพิธีนี้จะทำเพียงแค่การผูกข้อมือรับขวัญก็ตาม

    “ให้ตามพ่อมึงไป กูยอมกลับไปนั่งเป็นผีเหงาๆ อยู่ที่บ้านดีกว่า” พลับพลึงส่ายหน้าเมื่อกระถินพูดจบ อะไรมันจะกลัวการอยู่ตามลำพังกับพ่อของเธอขนาดนั้นกัน ทั้งที่เวลาปกก็เห็นว่าเถียงฉอดๆ

    “พ่อก็ไม่ได้ดุอะไรมากนะ ทำไมพี่กับพี่ดาวเรืองถึงดูกลัวกันจัง”

    “พูดมาว่าได้พ่อมึงไม่ดุ พ่อมึงมันไม่ดุแค่กับมึงเท่านั้นแหละอีพลับพลึง” กระถินตอบกลับทันควันเมื่อได้ยินประโยคเมื่อกี้ของพลับพลึง

    “ถึงจะดูดุ แต่พี่ดาวเรืองก็ไปกับพ่อตลอดนะ แสดงว่าก็ไม่ได้ดุมากใช่มั้ยล่ะ”

    “อีดาวเรืองมันผีเรียบร้อย มันเป็นผีอยู่เป็น ถึงได้อยู่กับพ่อมึงได้ต่างหาก”

    “ทำไมยิ่งพูดมันยิ่งดูเหมือนพี่เป็นผีไม่ดีล่ะพี่กระถิน”

    “เดี๋ยวกูตบปากแตก เดินดูทางไปเลยมึงน่ะ ไม่ต้องมาชวนกูคุยจะถึงหมู่บ้านอยู่แล้ว เดี๋ยวชาวบ้านมาเห็นมึงพูดกับกูจะหาว่ามึงบ้าอีก ถึงปกติมึงจะเป็นบ้าอยู่แล้วก็ตาม” กระถินดันใบหน้าของพลับพลึงที่หันมาคุยกับตนให้หันกลับไปดูทาง ไม่วายพูดแซะไปหนึ่งที

    เมื่อพลับพลึงและกระถินเดินกลับมาถึงหมู่บ้านก็เป็นช่วงพอดีกับที่กลุ่มของหมอที่จะมาประจำการที่หมู่บ้านเดินทางมาถึงและกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่ศาลาประชาคมกันพอดี

    หญิงสาวเห็นว่าคนมากันแล้ว อีกไม่นานก็น่าจะต้องได้ฤกษ์เริ่มทำพิธี ดังนั้นจากที่จะก้าวขากลับไปที่บ้านก่อน ร่างบางจึงได้เปลี่ยนใจ สาวเท้าตรงมาที่ศาลาแทน

    แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้กับศาลามากขึ้น ร่างบางของพลับพลึงก็พบว่าตนเองนั่นไม่สามารถเข้าไปใกล้มากกว่านี้ได้อีก เพราะรอบๆ บริเวณของศาลาประชาคมได้ถูกชาวบ้านปิดล้อมพื้นที่กันไว้หมดแล้วทุกๆ ด้าน

    “ดูสิ นั้นพ่อทัพลูกชายตาเทพใช่มั้ย ไม่เจอกันหลายปีกลับมาอีกทีก็เป็นหนุ่มหล่อไปซะแล้ว”

    “จริงด้วย จำได้ว่าตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยอยู่เลย” เสียงของสาวใหญ่สาวแก่ต่างพูดคุยกันถึงจอมทัพลูกชายของพรเทพกันอย่างเซ็งแซ่

    “พี่ทัพหล่อมาก เพื่อนพี่ทัพก็หน้าตาดีมากเหมือนกัน กูต้องได้คนใดคนหนึ่ง”

    “น้ำหน้าอย่างมึงเขาคงมองหรอก”

    “แล้วหน้าอย่างมึงเขาจะมองรึไง มึงกับกูก็หน้าคล้ายกัน” นอกจากเสียงของสาวใหญ่สาวแก่แล้ว หญิงสาววัยรุ่นที่ถึงวัยออกเรือนต่างก็พูดถึงพวกเขาเช่นกัน

    เสียงพูดคุยกันของชาวบ้านดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพลับพลึงจะไม่ชอบความวุ่นวาย หากแต่ตอนนี้ก็เดินออกไปไหนไม่ได้ เพราะหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากผู้เป็นพ่อยังไม่เสร็จ

    หญิงสาวคาดเดาว่าคงอีกนานกว่าจะได้เข้าไป ขาเรียวจึงเดินเลี่ยงไปยังม้านั่งไม้ที่อยู่ไม่ไกล สายตาก็กวาดมองไปเรื่อยๆ หูก็นั่งฟังชาวบ้านพูดกันไปอย่างเพลิดเพลิน แน่นอนว่าคนที่เพลิดเพลินที่สุดคงไม่พ้นผีกระถินที่ตอนนี้ได้หายไปในกลุ่มของชาวบ้านแล้ว

     

    ทางฝั่งของพรเทพหลังจากได้เห็นหน้าบุตรชายเดินเข้ามาในหมู่บ้าน เขาก็ตรงเข้าไปกอดอีกฝ่ายเสียแนบแน่น

    “สวัสดีครับพ่อ” จอมทัพยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อ

    “เออ ไหว้พระเถอะ” พรเทพรับไหว้บุตรชายก่อนจะมองเลยไปยังคนที่มาด้วย

    “พวกมึง นี่พ่อกูเอง” จอมทัพที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ลืมที่จะแนะนำพ่อของตนให้เพื่อนๆ รู้จัก และไม่ลืมที่จะแนะนำเพื่อนของตนให้พ่อรู้จักด้วย

    “พ่อสวัสดีครับ” เมื่อได้รับการแนะนำจากเพื่อน หนุ่มๆ ก็ยกมือไหว้พรเทพทันที

    “สวัสดีๆ” พรเทพรับไหว้เพื่อนของลูก

    “พ่อนี่เพื่อนผมเอง ไอ้สองคนที่หน้าเหมือนกันนั่น คนที่ผมสีน้ำตาลชื่อแทนไทเป็นพี่ คนผมดำชื่อทศพลเป็นน้อง”

    “สวัสดีครับพ่อ” สองหนุ่มยกมือไหว้พ่อของเพื่อน ซึ่งพรเทพก็พยักหน้ารับการไหว้จากเด็กหนุ่มทั้งสองคน

    “ส่วนไอ้คนที่หน้าหวานๆ เหมือนผู้หญิงนั่น มันชื่อพระนาย” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับให้พรเทพรู้ว่าคือคนไหน “สุดท้ายไอ้หน้าดุนั่นชื่อเทวินทร์ครับ”

    “สวัสดีครับพ่อ”

    “อืมไหว้พระเถอะลูก ไปๆ เดินทางมาเหนื่อยๆ เข้ามานั่งพักในศาลากินข้าวกินปลากันให้เรียบร้อย เพราะเดี๋ยวเราต้องทำพิธีรับขวัญกันก่อนที่มันจะมืดค่ำ”

    “อาภพทำให้หรอครับ?”

    “ใช่ ไอ้ภพ อามึงนั่นแหละ” พรเทพตอบกลับบุตรชาย

    จอมทัพพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันไปเอ่ยปากชวนเพื่อนๆ ที่มาด้วยให้เข้าไปนั่งในศาลา เมื่อได้เข้ามาข้างในแล้ว หนุ่มๆ ทั้งห้าคนก็ได้วางกระเป๋าลงบนพื้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่อันใหญ่ที่ถูกวางเตรียมเอาไว้

    หลังจากนั่งพักได้เพียงครู่เดียว หญิงสาวคนหนึ่งก็ได้เดินถือขันน้ำใบใหญ่มาส่งให้กับพวกเขา

    “น้ำจ่ะพี่จอม” เสียงหวานเอ่ยบอก แล้วยื่นขันไปตรงหน้าชายหนุ่ม

    “ขอบใจนะอุ่น ไม่เจอกันนานโตขึ้นเยอะเลย โตเป็นสาวจนพี่เกือบจะจำไม่ได้แหนะ” จอมทัพรับขันน้ำใบโตมาจากมือของลูกพี่ลูกน้องสาว ก่อนจะยกขึ้นมาดื่มอึกใหญ่

    “ปากหวานจริงเชียว น้องก็หน้าตาเหมือนเดินนั่นแหละ อย่ามาหลอกชมเก็บไว้ชมสาวของตัวเองเถอะ” ประโยคหลังหญิงสาวก้มลงมากระซิบที่ข้างหูพี่ชาย หลังพูดจบก็เดินจากไปไม่รอฟังคนเป็นพี่ชายพูดสักนิด

    ด้านของเทวินทร์หลังจากที่ได้เห็นหญิงสาวเดินถือขันน้ำมาให้ สายตาของเขาก็มองตามอย่างไม่ละไปไหน จนจอมทัพที่ดื่มน้ำเสร็จแล้ว และหันมาเห็นพอดีเพราะต้องส่งน้ำให้คนที่ใกล้ที่สุดอย่างทศพลจึงต้องเอ่ยถาม

    “มึงมองอะไรวะไอ้วิน?”

    “ผู้หญิงคนนั้นใครวะไอ้ทัพ” เทวินทร์ไม่ได้สนใจคำถามของทศพลแต่เลือกที่จะถามคำถามกับจอมทัพแทน

    “คนไหน” จอมทัพมองไปรอบๆ ตามสายตาของเทวินทร์ จึงได้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วอีกฝ่ายกำลังมองใครอยู่ “อ๋อ คนนั้นน่ะหรอ?”

    “เออ คนที่เอาน้ำมาให้มึงอ่ะ” เทวินทร์กระซิบตอบ

    “น้องกูเอง ชื่ออุ่นเรือน”

    “น้องมึง?”

    “เออ น้องกูเอง ทำไม? หรือมึงจะจีบน้องกู?” จอมทัพแซวเพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เพื่อนชายของเขาคนนี้ไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย

    “ถ้ากูจีบ มึงจะยอมเปิดทางให้กูมั้ยล่ะ?”

    “ถ้ามึงจริงจัง กูยอมเปิดทางให้เลยก็ได้” จอมทัพตบไปที่บ่าของเทวินทร์หนึ่งครั้งก่อนที่สายตาคมของเขาจะกวาดมองไปรอบๆ บริเวณศาลาเช่นกัน แต่มองเท่าไหร่เขาก็ไม่พบคนที่ต้องการเสียที จึงตัดใจล้มเลิกการมองหาและหันกลับมาสนใจสิ่งที่เพื่อนกำลังพูดกันอยู่แทน

    “เออ ว่าแต่น้องคนนั้น คือคนไหนวะ?” แทนไทเอ่ยถามขึ้นมา เมื่อจำได้ว่าเพื่อนมักจะหลุดพูดชื่อใครบางคนที่อยู่ที่นี่ออกมาบ่อยๆ

    “เออนั่นดิ น้องแปลกที่มึงเคยเล่าให้ฟังคือคนไหนวะ” เมื่อเห็นว่าพี่ชายถามออกมา ทศพลก็อดที่จะอยากรู้ไปด้วยไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่จอมทัพจะได้พูดตอบ สาวๆ ในหมู่บ้านก็ได้ช่วยกันยกสำรับกับข้าวเข้ามาให้กับหนุ่มๆ โดยที่บริเวณรอบๆ นั้นก็มีชาวบ้านนั่งรวมกลุ่มกินข้าวกันอยู่ด้วยเช่นกัน

    ทั้งหมดจึงต้องพับเก็บเรื่องที่กำลังถามอยู่เอาไว้ก่อน แล้วพากันนั่งกินข้าวด้วยความสงบ โดยกับข้าวที่ทำมาให้ทุกคนกินในวันนี้คือแกงส้มมะละกอ ปลาเค็มทอดและต้มจืดตำลึง

    ทั้งสี่หนุ่มลงมือกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ต่างจากจอมทัพที่แม้ว่าจะกำลังกินข้าวอยู่แต่สายตาของเขากลับยังคงกวาดมองไปทั่วบริเวณด้วยหวังว่าอาจจะได้พบคนที่อยากเจอ

    แต่ก็ไม่เป็นผล เขาไม่เห็นคนๆ นั้นเลยแม้แต่เงา ชายหนุ่มจึงล้มเลิกการมองหาอีกครั้งแล้วตั้งหน้าตั้งตากินข้าวแทน

    เวลาผ่านไปสักพักทั้งหมดก็กินข้าวเสร็จเรียบร้อย สาวๆ ต่างมาช่วยกันยกสำรับจานชามไปล้าง ส่วนคนที่เหลือก็นั่งให้ย่อยอาหารกันอยู่ในบริเวณนั้น โดยที่มีชาวบ้านส่วนหนึ่งช่วยกันจัดเตรียมพื้นที่เพื่อประกอบพิธีรับขวัญให้กับทั้งห้าคน

     

    ทางฝั่งของพลับพลึง หญิงสาวได้นั่งรออยู่ที่ม้านั่งเงียบๆ แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังจะกินข้าวกัน ก่อนจะทำพิธีรับขวัญหญิงสาวจึงได้แยกตัวเดินกลับไปที่บ้านเพื่ออาบน้ำ แต่งตัว ล้างคราบเหงื่อไคลจากการเดินเข้าป่าไปก่อนหน้านั้นและปล่อยผีกระถินไว้กับชาวบ้าน

    เดินกลับมาถึงบ้านปุ๊บ ร่างบางก็เดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวในทันที และเมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาเดียวกันนั้นชาวบ้านคนหนึ่งที่เห็นว่าหญิงสาวได้กลับมาที่บ้าน จึงอาสาเดินมาตามให้ เพราะใกล้จะได้เวลาทำพิธีรับขวัญแล้ว

    “พลับพลึง! ผู้ใหญ่ให้มาตามมึงกับพ่อไปที่ศาลา”

    “ได้จ่ะป้านิ่ม เดี๋ยวหนูตามไปนะ” พลับพลึงโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างบ้าน พอได้ยินคำตอบชาวบ้านคนนั้นก็ได้เดินจากไป ส่วนพลับพลึงก็เดินไปหยิบกระเป๋าผ้าขึ้นมาสะพายและเดินออกจากบ้านกลับไปยังศาลาประชาคมของหมู่บ้านอีกครั้ง

     

    “ไปเรียกมารึยัง” พรเทพหันไปถามลูกบ้าน

    “ป้านิ่มแกไปเรียกให้แล้วจ่ะพ่อผู้ใหญ่ แกบอกว่าแกผ่านไปทางนั้นพอดี”

    “อืมๆ ดีๆ” พรเทพพยักหน้ารับ พร้อมกับหันไปมองเหล่าชายหนุ่มที่นั่งเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ไม่ไกล

    ด้านของชายหนุ่มทั้งห้าคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแต่ทุกคนก็ไม่ได้คิดที่จะลบหลู่ ทั้งนี้ที่ยอมเข้าทำพิธีแต่โดยดีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะจอมทัพเคยขอเอาไว้ว่าหากคนในหมู่บ้านให้เข้าร่วมพิธีอะไรหรือทำอะไร ถ้าไม่อยากทำและเห็นว่าตัวเองจะไม่สบายใจก็ไม่ต้องทำก็ได้ แต่ขอแค่นั่งดูเฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรก็พอแต่ถ้าเข้าร่วมได้ก็อยากให้เข้า

    “อันนี้แค่ผูกข้อมืออย่างเดียวหรอพ่อ” จอมทัพหันไปเอ่ยถามผู้เป็นพ่อ

    “ใช่ แค่ผูกข้อมืออย่างเดียว” พรเทพเอ่ยตอบ

    “...”

    “อาภพของมึงจะเป็นคนผูกก่อน แล้วชาวบ้านที่เหลือค่อยมาผูกทีหลัง” พรเทพบอก นั่งรอไปสักพัก

    ชาวบ้านที่กำลังมุงอยู่ก็แหวกทางออกให้คนที่พวกเขากำลังรอคอยได้เดินเข้ามา แต่ทว่าเมื่อทางถูกเปิดออกและได้เห็นว่าคนที่เดินเข้ามามีเพียงหญิงสาวคนเดียวเท่านั้น พรเทพจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้

    “อ้าว พลับพลึงพ่อมึงไปไหนละ?” พรเทพอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้ เมื่อเขานั้นเห็นว่าคนที่เดินมามีเพียงแค่หญิงสาวผู้เป็นลูกคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครอีกคนตามมา

    “พ่อบอกว่าเหมือนที่ป่ามีเรื่องจ่ะ เลยให้หนูมาทำพิธีแทน” พลับพลึงตอบกลับพรเทพ แล้วจึงล้วงมือลงไปในกระเป๋าผ้า หยิบเอาสายสิญจน์ที่พ่อของตนได้เตรียมเอาไว้ให้ออกมา

    “งั้นลุงฝากด้วยนะ” แม้ว่าคนที่ทำพิธีจะเป็นคนลูก หากแต่พรเทพก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรด้วยรับรู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้ดี คนเป็นพ่อทำได้แล้วทำไมคนเป็นลูกสาวที่มีครูบาอาจารย์คนเดียวกันจะทำไม่ได้

    “ได้จ่ะ”

     

    พลับพลึงเดินเข้าไปหาทั้งห้าหนุ่มที่นั่งอยู่บนแคร่ ก่อนจะหยิบสายสิญจน์ขึ้นมาหนึ่งเส้นแล้วลงมือผูกให้กับคนที่นั่งเป็นคนแรกอย่างจอมทัพ ขณะที่มือเล็กนำสายสิญจน์ไปลูบผ่านที่ข้อมือหนา ปากบางของหญิงสาวก็ขมุบขมิบท่องคาถาและพูดประโยคบางอย่างออกมาให้ทั้งห้าคนได้ยิน

    ประโยคคำพูดและคาถาที่พลับพลึงพูดออกมานั้น แม้คนที่ใกล้ที่สุดอย่างจอมทัพจะฟังออก หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่าประโยคที่หญิงสาวพูดออกมานั้นแปลว่าอะไร

    หลังผูกให้จอมทัพเสร็จ พลับพลึงก็เดินไปทำให้กับพระนาย แทนไท เทวินทร์และทศพลตามลำดับ โดยที่เมื่อผูกเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยข้อความสำคัญที่พ่อของตนฝากบอกอีกครั้ง เพื่อย้ำให้ทั้งห้าคนทำตาม

    “อย่าทำสิ่งที่ชาวบ้านเขาห้าม เด็ดขาด นะคะ” พูดจบร่างบางก็หันหลังเดินจากไป พร้อมกับชาวบ้านที่เป็นคนเฒ่าคนแก่ต่างก็ได้เริ่มทยอยพากันเข้ามาผูกข้อไม้ข้อมือให้ชายหนุ่มทั้งห้าคนต่อ กว่าจะครบทุกคนเวลาก็ล่วงเลยมาถึงห้าโมงเย็นแล้ว

    หลังจบการพิธีผูกข้อมือรับขวัญ พรเทพจึงได้พาจอมทัพและเพื่อนๆ ไปนอนกันที่บ้านของตนก่อนในคืนนี้

    และเมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงที่บ้านก็พบว่าอุ่นเรือนผู้เป็นน้องสาวได้จัดเตรียมพื้นที่เอาไว้ให้กับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

    และเพราะพวกเขาเป็นเพศเดียวกันทั้งหมด พื้นที่ใช้นอนในคืนนี้ที่อุ่นเรือนเตรียมเอาไว้ให้ก็คือห้องของจอมทัพเพียงห้องเดียว

    “เออจริงดิ พวกมึงว่าคนที่มาผูกข้อมือให้เราคนแรก...เป็นไงวะ? สวยมั้ย?” ทศพลเอ่ยถามออกมา เมื่อในตอนนี้พวกเขากำลังนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องของจอมทัพกันครบทุกคนแล้ว

    “เออ พอมึงพูดมาก็กูพึ่งนึกขึ้นได้ คนอะไรก็ไม่รู้สวยฉิบหาย สวยจนกูตะลึง” แทนไทตอบกลับน้องชายอย่างตื่นเต้น เพราะพวกเขาต่างรู้สึกว่าหญิงสาวที่เป็นคนมาเริ่มผูกข้อมือให้กับพวกเขานั้นดูสวยกว่าสาวๆ ในกรุงเทพที่พวกเขาเคยเห็นมาเสียอีก

    “คิดเหมือนกูเลยใช่มั้ย? ว่าแต่เหมือนกูจะได้ยินพ่อไอ้ทัพเรียกเขาอยู่นะ แต่เรียกว่าอะไรวะ?” ทศพลเอ่ยถาม

    “พลับพลึงมั้ง? ถ้ากูจำไม่ผิด” พระนายเอ่ยตอบออกมาอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ เนื่องจากเขาอยู่ไกลจากจุดที่พ่อเพื่อนพูดคุยกับหญิงสาวคนนั้น

    “กูได้ยินพ่อไอ้ทัพเรียกน้องเขาว่า พลับพลึง...นะ” เทวินทร์ยืนยัน ก่อนที่ทั้งสี่คนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงได้หันไปมองทางจอมทัพที่ตอนนี้กำลังนั่งกอดอกยิ้มๆ มองมาที่พวกเขา

    “เออ ถ้ากูจำไม่ผิด คนนั้นแหละ น้องพลับพลึงของกู

     

    ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
    เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×