คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : พลับพลึงดอกที่ 4 เรื่องเล่า (ครึ่งแรก)
วันนี้เป็นวันที่ผู้ใหญ่บ้านได้แจ้งกับชาวบ้านแล้วว่าจะมีกลุ่มของหมอจากกรุงเทพเข้ามาประจำการที่นี่ ซึ่งเมื่อสองวันก่อนหน้านั้น ชาวบ้านก็ได้ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันทำความสะอาดที่พักและสถานีอนามัย เพื่อเตรียมสถานที่ให้พร้อม ซึ่งพลับพลึงเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เข้าไปช่วยทำความสะอาด เพราะหญิงสาวทนต่อการรบเร้าของชบาไม่ไหว
แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเพื่อนในรุ่นเดียวกัน แต่กับคนที่มีอายุรุ่นพ่อแม่ หญิงสาวกลับเข้ากับคนพวกนั้นได้เป็นอย่างดี ด้วยนิสัยนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดโต้แย้งหากประโยคนั้นไม่ใช่ประโยคไม่เข้าหู ทำให้บรรดาป้าๆ น้าๆ ต่างก็คิดว่าหญิงสาวเป็นผู้หญิงเรียบร้อย น่ารัก ซึ่งความคิดของคนพวกนั้น ทำให้กระถินที่รู้จักนิสัยของหญิงสาวดีถึงกับเบะปากออกมา
ที่พูดมา กูว่าไม่น่าใช้อีพลับพลึงที่กูรู้จัก
กลับมาที่ปัจจุบัน
ด้วยเพราะครั้งนี้กลุ่มของหมอที่จะมาประจำการ มีหนึ่งคนในนั้นที่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้ใหญ่พรเทพอยู่ หนุ่มใหญ่จึงลงทุนทำอาหารที่เป็นของโปรดของลูกชายเอาไว้มากมายหลายอย่าง
ลูกชายของพรเทพมีชื่อว่า จอมทัพ ซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ดังนั้นพรเทพจึงรักและตามใจลูกชายคนนี้เอามากๆ ไม่ว่าลูกชายอยากได้อะไรเขาก็จะหามาให้ แม้กระทั่งลูกชายบอกว่าต้องการเข้าไปเรียนหมอที่กรุงเทพ เขาก็ไม่ขัดขวาง ซ้ำยังเป็นคนพาลูกชายไปเองด้วยซ้ำ
จอมทัพในความทรงจำของพลับพลึงค่อนข้างเลือนราง เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นขั้วตรงข้ามกับตนเองทั้งหมด เพราะในขณะที่พลับพลึงในวัยเด็กไม่มีเพื่อนและไม่มีใครคบ จอมทัพกลับเป็นคนที่เด็กทั้งหมู่บ้านวิ่งเข้าหา
พลับพลึงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูดและบนใบหน้ามักจะไร้รอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายกลับเป็นคนที่ค่อนข้างพูดเก่งและยิ้มง่าย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ในตอนนี้พลับพลึงก็ไม่กล้าคิดว่าอีกฝ่ายจะยังเป็นเหมือนเดิมหรือต่างออกไป เพราะไม่ได้สนิทกันขนาดแม้ว่าอีกฝ่ายจะค่อนข้างสนิทกับพ่อและแม่ของตนก็ตาม
ถึงความทรงจำเกี่ยวกับชายหนุ่มจะเลือนรางมีแต่สิ่งหนึ่งหญิงสาวจำได้ดีคืออีกฝ่ายมีอายุมากกว่าตนห้าถึงหกปีและค่อนข้างสนิทกับพ่อของเธอมาก มากจนถึงขั้นที่ว่าอีกฝ่ายสามารถเดินขึ้นมานอนบนบ้านของเธอได้โดยที่พ่อของเธอไม่ว่าอะไรสักคำ
แต่เมื่อตอนอายุได้ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีเขาก็ได้ออกจากหมู่บ้านไป ซึ่งการไปในครั้งนั้นพลับพลึงแอบไปได้ยินลุงเทพคุยกับพ่อของเธอว่า เขาได้ฝากให้อดีตเมียช่วยดูแลลูกชายเรื่องเงินค่าใช้จ่ายที่ไม่พอใช้ในบางส่วน ซึ่งเมียเก่าลุงแกก็ตกปากรับคำเพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูก แม้ว่าตนเองจะแต่งงานใหม่ไปแล้วก็ตาม
การไปจากหมู่บ้านของชายหนุ่มที่ออกไปเป็นระยะเวลายาวนานหลายปีและไม่ได้ย้อนกลับมาที่นี่เลยนับตั้งแต่ตอนนั้น และมักจะเป็นลุงเทพที่ออกไปหาลูกชายแทน ทำให้ทั้งรูปร่างและหน้าตาของเขาในความทรงจำของคนในหมู่บ้านก็เลือนรางจนเกือบจะหลงลืมไปแล้ว
แม้กระถินจะแอบมากระซิบกระซาบกับพลับพลึงแล้วว่าชายหนุ่มได้เขียนจดหมายส่งมาแจ้งกับผู้เป็นพ่อแล้วว่าอาจจะมาถึงตอนบ่าย หากแต่ด้วยความใจร้อนของผู้เป็นพ่อและความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้าน ทำให้พวกเขาต่างก็ไม่ได้ทำงานทำการอะไรกันเลยในวันนี้ และพร้อมใจกันมานั่งรออีกฝ่ายตั้งแต่ช่วงเที่ยง
“แค่พี่จอมทัพกับเพื่อนจะมา ต้องตื่นเต้นกันขนาดนั้นเลยหรอพ่อ?” พลับพลึงเอ่ยถามออกมา เมื่อมองไปทางศาลาของหมู่บ้านแล้วพบว่าในตอนนี้ชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านไปรวมตัวกันที่ศาลาประชาคมกันเนืองแน่น แทบไม่มีพื้นที่ว่างเหลืออยู่เลย
“ก็คงตื่นเต้นตามประสาคนบ้านนอกนั่นแหละ ไป! ไปกับพ่อ เราสองคนมีเรื่องที่ต้องทำกันหลายอย่างก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึง” ภพธรพูดจบก็ออกตัวเดินนำหน้าลูกสาวไป โดยที่ก่อนไปพลับพลึงก็หันไปมองที่ศาลาอีกครั้งและได้เห็นว่าตอนนี้เหล่าผีๆ ที่คุ้นเคยกับตนก็ได้ไปรวมตัวกับชาวบ้านด้วยความอยากรู้เหมือนกัน
ร่างบางละสายตาจากสิ่งที่กำลังมอง แล้วออกตัวเดินตามผู้เป็นพ่อที่เดินออกจากหมู่บ้านตรงไปยังป่าที่อยู่ไม่ไกลกัน
ในการเข้าป่าครั้งนี้ของพลับพลึงและผู้เป็นพ่อนั้น คือการไปจุดธูปบอกเล่ากับเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ให้ท่านรับรู้เรื่องที่จะมีคนนอกเข้ามาอยู่อาศัยในหมู่บ้านและเรื่องที่คนในหมู่บ้านที่จากไปนานจะกลับมาอยู่ที่เดิม
โดยสิ่งที่เตรียมเอาไปนั้นก็จะมีธูปเทียน มาลัยดอกไม้ เหล้าขาวและของเซ่นไหว้ อย่างพวกหัวหมู ไก่ทั้งตัวและขนมหวาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้ใหญ่บ้านอย่างพรเทพก็ได้เตรียมเอาไว้ทั้งสองคนแล้ว
การบอกเล่าเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขานั้นก็เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ปกป้องคุ้มครองเหล่าคนที่มาใหม่ ให้อยู่รอดปลอดภัยจากผีป่า รวมทั้งเพื่อเป็นการบอกนัยๆ ว่า หากคนพวกนี้เผลอทำสิ่งใดไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะได้ไม่ถือโทษโกรธเคืองเอาได้
หลังจากพลับพลึงและภพธรเดินออกมาจากหมู่บ้านตรงเข้าไปในป่าทางทิศตะวันตกได้ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงจุดที่ตั้งศาลเจ้าที่หลังใหญ่เอาไว้ หากแต่เมื่อไปถึงพวกเขากลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นๆ แปลกๆ รอบตัว ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้มีอาการแตกตื่นตกใจแต่อย่างใด
“อีดาวเรือง อีกระถิน มึงสองตัวไปดูรอบๆ บริเวณนี้ทีว่ามีอะไรเกิดขึ้น”
“ได้จ่ะ” ผีดาวเรืองรับปากอย่างว่าง่ายและหายตัวออกไป ต่างจากผีกระถินที่มีท่าทีอิดออด ไปยอมไปสักที
“มึงเป็นอะไรอีกระถิน” ภพธรเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าผีสาวยังไม่ได้ไปทำตามที่ตนสั่ง
“กูเป็นผีเจ้ากรรมนายเวรอีพลับพลึง มึงสั่งกูไม่ได้” ผีสาวลอยหน้าลอยตาตอบกลับสัปเหร่อหนุ่มใหญ่
“งั้นไอ้เอก มึงไปดูแทนอีกระถินที”
“ได้เลยลุง” ผีหนุ่มตอบรับแล้วหายตัวออกไป แม้จะยังไม่ค่อยรู้ที่ทาง แต่เขาก็ได้บอกกล่าวเจ้าของที่นี่ไปแล้ว ดังนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
“ส่วนมึงอีกระถิน ในเมื่อให้ทำอะไรแล้วไม่ทำ เย็นนี้มึงก็ไปขอข้าวขอน้ำจากเจ้าที่แถวนี้เอาแล้วกัน” พูดจบหนุ่มใหญ่ก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย หนุ่มใหญ่เดินตรงเข้าในศาลเจ้าที่ก่อนจะเริ่มหยิบของที่เตรียมเอาไว้ออกมาจัดเรียง
ทางด้านพลับพลึงเองก็ไม่ได้ออกความเห็น หญิงสาวเดินตามหลังผู้เป็นพ่อเข้าไปในศาลหลังใหญ่แล้วนั่งลงเตรียมของอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ทำให้กระถินรู้สึกขัดใจไม่น้อย เกิดอาการฟึดฟัด แต่ก็ทำอะไรทั้งสองคนไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายมีสิ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าตนคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ และตัวของผีสาวเองก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรมากมายจนถึงขั้นต้องทำร้ายกัน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ผีกระถินพูดออกมา ก่อนจะกระเง้ากระงอดลอยตัวออกไปสำรวจรอบๆ ศาลแทน
ส่วนทางสองพ่อลูกที่อยู่ในศาลหลังใหญ่ ตอนนี้ทั้งสองคนได้จัดเตรียมของเซ่นไหว้และสิ่งของจำเป็นออกมาวางไว้เบื้องหน้าครบแล้ว พลับพลึงจึงลงมือจุดธูป 5 ดอก พร้อมด้วยเทียน 2 เล่ม
เมื่อคนเป็นลูกจุดธูปเทียนเสร็จ ภพธรก็ยกมือขึ้นมาพนมก่อนจะขมุบขมิบปากท่องคาถา ซึ่งคนเป็นลูกอย่างพลับพลึงก็พอจะรู้ว่ามันคือคาถาอะไร หญิงสาวไม่ได้ช่วยผู้เป็นพ่อท่อง แต่เลือกที่จะนั่งพับเพียบอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ แทน
หนุ่มใหญ่นั่งท่องคาถาอยู่เพียงชั่วครู่ รอบๆ บริเวณศาลก็มีลมพัดเข้ามาภายในพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้บางชนิด ซึ่งกลิ่นหอมนี้เป็นสัญญาณที่บอกให้สองพ่อลูกได้รู้ว่าเจ้าที่เจ้าทางและเจ้าป่าเจ้าเขา ท่านรับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาบอกกล่าวและตอบรับคำขอของเขาแล้ว
“พ่อจ๋า” พลับพลึงเอ่ยเรียกผู้เป็นพ่อ เมื่อตนเองและผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้วเพื่อรอเวลาให้ธูปหมดทุกดอก
“ว่าไง”
“ตอนแต่งชุดลิเก แม่สวยมั้ย”
“ถามทำไม?” ภพธรอดที่จะสงสัยไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าลูกสาวของเขาพอจะรู้อยู่แล้วหรอกหรอ
“หนูอยากรู้” พลับพลึงทำท่าปากจู๋ตอบกลับ
“ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรอ?” ตอบกลับลูกสาวในขณะที่ตัวเองยังคงนั่งขัดตะหมาดและหลับตาทำสมาธิอยู่
“งั้น...พ่อเล่าเรื่องของพ่อกับแม่ให้ฟังอีกได้มั้ย?” พลับพลึงจ้องไปที่ใบหน้าของผู้เป็นพ่อตาแป๋ว
หนุ่มใหญ่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ลืมตาขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจให้กับความขี้อ้อนของบุตรสาวและเริ่มเอ่ยปากเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขาและผ้าแพร ภรรยาผู้เป็นที่รักของตนอีกครั้ง
แม้ว่าเรื่องนี้ตนจะเคยเล่าให้บุตรสาวฟังมาแล้วมากกว่าสิบครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขาเล่าลูกสาวอย่างพลับพลึงก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตา ตั้งใจฟังอย่างเช่นครั้งแรกเสมอ
ภพธรเล่าว่าเมื่อก่อนตนเองนั้นก็เป็นชายหนุ่มที่เกิดและอาศัยอยู่ที่บ้านหนองมะขามล้มนี่แหละ แต่ได้มีโอกาสไปอยู่ในเมือง ด้วยความที่ในช่วงนั้นชายหนุ่มเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเสน่ห์ในสายตาของเพศตรงข้าม ทำให้ก่อนที่จะได้พบกับผ้าแพรภรรยาในอนาคต เขาจึงมีเรื่องผู้หญิงที่มากกว่าสิบคนเข้ามาข้องเกี่ยวอยู่เสมอ
ผู้หญิงแต่ละคนที่ภพธรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยนั้นเรียกได้ว่าสวยที่สุดในช่วงนั้นเกือบทุกคน โดยเรื่องนี้พลับพลึงได้รับการยืนยันมาแล้วจากปากของพรเทพที่ในตอนนั้นได้เดินทางเข้าไปทำธุระในเมืองและได้ไปอาศัยอยู่กับภพธรเป็นการชั่วคราวจนกว่าธุระจะแล้วเสร็จ
ชายหนุ่มใช้ชีวิตเป็นเสือผู้หญิงอย่างนั้นอยู่นานหลายปี แต่กลับไม่เคยมีเรื่องต่อยตีกับวัยรุ่นคนอื่นเลยสักครั้ง เรื่องนี้หญิงสาวก็เคยสงสัยเหมือนกันและเคยถามออกไปแล้ว หากแต่คำตอบที่ได้ก็ทำให้หญิงสาวมีอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เขาบอกเหตุผลว่าเขานั้นเจอผู้หญิงพวกนี้ที่*** ซึ่งเป็นจุดที่มักจะพบหญิงสาวที่มีอาชีพแอบขายบริการไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น แม้ตอนแรกคนพวกนั้นจะไม่เชื่อ หากแต่ภพธรก็ได้เอ่ยท้าอีกฝ่ายไปว่า หากไม่เชื่อก็ให้ลองไปตามที่เขาบอก ซึ่งหลังจากนั้นมาภพธรก็ไม่เคยถูกผู้ชายเหล่านั้นตามระรานอีกเลย
จนกระทั่งวันหนึ่งในฤดูร้อน ที่ลานกว้างของเมืองเขตที่ชายหนุ่มอาศัยอยู่มีการจัดงานประจำปีขึ้น งานประจำปีนี้จะคล้ายงานวัดแถวบ้านนอก หากแต่การเดินทางจะสะดวกสบายและงานจะเลิกดึกกว่า
หนุ่มหล่อได้เดินทางไปร่วมงานประจำปีนี้ด้วยจากการชักชวนจากเพื่อนๆ ในกลุ่ม แม้ตอนแรกจะไม่ได้อยากไปแต่เพราะทนการรบเร้าไม่ไหวจึงได้ตัดสินใจตอบตกลงไปแบบจำยอม
ภพธรไปเดินเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆ ในงานประจำปีอย่างเหม่อลอยโดยที่ข้างกายของเขานั้นนอกจากเพื่อนชายวัยฉกรรจ์แล้วก็ไม่มีใครอีก แม้จะมีผู้หญิงมากมายที่พยายามมาทอดสะพานให้แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจ
ชายหนุ่มเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยไปตามร้านรวงต่างๆ ที่มาเปิดขาย และร้านส่วนใหญ่ที่เขาและเพื่อนเดินผ่านก็จะเป็นร้านยิงปืนปาลูกดอกเสียส่วนใหญ่ เรียกได้ว่าสิงอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนจนกว่างานจะเลิก
“ไอ้ภพ แข่งปาโป่งกับกูมั้ย?” เดชหนึ่งในเพื่อนวัยรุ่นของเขาเอ่ยปากท้าทาย
“มาดิ”
ภพธรรับคำท้า ก่อนที่ทั้งสองจะจ่ายเงินค่าลูกดอกไปคนละห้าบาท และได้ลูกดอกมาคนละสามลูก ลูกแรกเดชเป็นคนปาก่อนและลูกดอกลูกนั้นก็ได้ทำให้ลูกโป่งแตกไปหนึ่งลูก
พอเห็นว่าตนทำลูกโป่งแตก เดชก็หันมายักคิ้วให้คู่แข่งจำเป็น ก่อนที่ต่อมาภพธรจะปาลูกดอกออกไปและทำให้ลูกโป่งแตกเช่นกัน เดชที่เห็นแบบนั้นก็ปาดอกที่สองและเช่นเคยลูกโป่งแตกเหมือนเดิม ซึ่งก็เป็นช่วงที่ภพธรเองก็ทำให้ลูกโป่งลูกที่สองแตกเหมือนกัน
จนกระทั่งเหลือดอกสุดท้ายทั้งสองตกลงกันว่าจะปาพร้อมกัน หากแต่ในตอนที่กำลังจะปาลูกดอกออกไปนั้น รอบข้างก็เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ที่ดังขึ้นจนภพธรต้องหันไปมองตาม เพราะเสียงนั่นดังจะเขารู้สึกรำคาญ
ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา
ความคิดเห็น