ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงใหล ใคร่รัก [อ่านฟรี มี E-Book]

    ลำดับตอนที่ #4 : พลับพลึงดอกที่ 3 ไหว้วาน

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 67


    หลังเดินแยกจากผู้เป็นพ่อเพื่อกลับมาตากผ้าที่บ้าน ร่างบางก็ได้เดินผ่านบ้านของผู้ใหญ่พรเทพพอดีจึงได้พบว่าในตอนนี้มีกลุ่มคนมากมายได้มายืนออกันเต็มไปหมด จนบดบังทางเข้าหน้าบ้านซึ่งไม่รู้ว่ามีข่าวด่วนข่าวใหญ่อะไรรึเปล่า

    หญิงสาวคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่สลักสำคัญอะไรเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเข้าไปฟังสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่หรือเสียหายอะไร

    คิดดังนั้นร่างบางจึงหันเท้าเดินมุ่งหน้าตรงเข้าไป หวังเข้าร่วมกับกลุ่มของชาวบ้านที่มายืนกันอยู่ก่อนแล้ว โดยมีผีกระถินลอยตามมาไม่ห่าง

    "มึงไม่ต้องเข้าไปก็ได้นะอีพลับพลึง" ทว่าในขณะที่อีกนิดเดียวก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว กระถินกลับพูดขัดขึ้นมาเสียก่อนทำให้พลับพลึงต้องหยุดชะงักฝีเท้า

    "ทำไม?"

    "กูจะเข้าไปดูเองได้เรื่องยังไงเดี๋ยวบอก มึงไปตากผ้าเถอะไป ชักช้าแดดหุบผ้าอับ มึงจะโดนพ่อมึงด่าเอา”

    “หรอ? เอางั้นก็ได้ ฝากด้วยนะพี่” พลับพลึงตอบรับ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ผีกระถินพูดมีก็ดูมีเหตุผล

    คิดได้อย่างนั้นร่างเล็กก็หันฝีเท้าเดินตรงกลับไปที่บ้านและปล่อยให้กระถินลอยตัวเข้าไปร่วมฟังข่าวกับพวกชาวบ้านแทน

    หลังตากผ้าเสร็จเรียบร้อย คนตัวเล็กก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครกลับมาที่บ้านเลยทั้งผีกระถินและผู้เป็นพ่อ จึงเริ่มสงสัยแต่ก็ยังคงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก นึกเอาแค่ว่าพ่อน่าจะยังจับปลาไม่ได้ ส่วนกระถินก็น่าจะไปร่วมวงฟังกลุ่มสาวๆ นินทาคนโน้นคนนี้กันต่อ

    ตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยเข้าช่วงเที่ยงวัน อากาศค่อนข้างที่จะร้อนอบอ้าว พลับพลึงจึงเดินไปเก็บดอกมะลิที่ปลูกไว้หน้าบ้านมาเตรียมเอาไว้ใส่ขันน้ำให้ผู้เป็นพ่อดื่มหลังจากกลับมาจากน้ำตก

    แต่เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จหมดแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าผู้เป็นพ่อจะกลับมาพร้อมปลาตัวโตๆ เสียที พลับพลึงจึงเลิกรอแล้วเดินตรงไปยังหลังบ้านเพื่อไปหาเก็บสมุนไพรเอามาทำต้มปลาเย็นนี้แทน

    บ้านหลังน้อยที่หญิงสาวและผู้เป็นพ่ออาศัยอยู่นั้นเป็นเรือนไม้หลังเตี้ย ยกพื้นสองระดับ ระดับแรกเป็นชานหน้าบ้านเอาไว้นั่งเล่นรับลม มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างภพธรจึงได้หาแคร่ไม้ไผ่มาวางเอาไว้ ถัดมาจะเป็นพื้นที่ของห้องครัวที่ถูกกั้นเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน พื้นที่ตรงส่วนนี้จะไม่ได้เล็กแต่ก็ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่มาก แต่เพียงพอที่จะให้คนสองคนจะเข้าไปช่วยกันทำกับข้าวได้

    ถัดขึ้นมาอีกหนึ่งระดับคือพื้นของเรือนนอน ซึ่งจะยกสูงไม่ห่างกันจากพื้นชานบ้านเล็กน้อย พื้นที่ตรงส่วนนี้จะเป็นเรือนนอนและห้องพระ โดยในตอนแรกที่สร้างขึ้นมานั้นภพธรได้ทำห้องนอนไว้เพียงห้องเดียว แต่หลังจากลูกสาวเริ่มโตจนรู้ความ เขาจึงได้ขยับขยายพื้นเรือนให้กว้างขึ้นเพื่อสร้างเป็นห้องนอนห้องใหม่ให้กับลูกสาวและด้วยเพราะเป็นห้องที่ถูกสร้างขึ้นมาทีหลัง ห้องนอนของหญิงสาวจึงอยู่เยื้องออกไปทางด้านหลังของห้องพระและมีระดับที่ต่ำกว่าเล็กน้อยแต่สูงกว่าพื้นชานหน้าบ้าน

    ลับหลังจากที่พลับพลึงเดินลงจากบ้านไปเก็บเครื่องเทศเตรียมเอาไว้ทำต้มยำปลาได้ไม่นาน กระถินที่ออกหายออกไปร่วมวงฟังข่าวก็ได้กลับมาพอดี

    “อีพลับพลึง! มึงอยู่ไหน?” เสียงเย็นๆ ของผีสาวเอ่ยเรียก

    “อยู่หลังบ้าน” เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับกระถินจึงได้ลอยตัวเข้าไปหาหญิงสาวยังจุดที่เกิดเสียง ก่อนจะพบว่าคนที่ตนเรียกเมื่อครู่นี้กำลังก้มหน้าก้มตาตัดตะไคร้จากกอที่ขึ้นอยู่ริมรั่วไม้ไผ่

    “ไปฟังลุงเทพมาได้ความว่ายังไงบ้าง?” พลับพลึงเงยหน้าขึ้นมาจากดงตะไคร้ถามผีสาว

    “ตาแก่นั่นบอกว่า อีกสองสามวันจะมีหมอจากกรุงเทพเข้ามาที่หมู่บ้าน เลยอยากให้ชาวบ้านช่วยกันไปทำความสะอาดสถานีอนามัยกับที่พักเตรียมเอาไว้ให้หน่อย”

    “หือ? หมู่บ้านเราจะมีหมอมาประจำการแล้วหรอ?” พลับพลึงถามอย่างอดที่จะสงสัยไม่ได้ เพราะถึงแม้หมู่บ้านที่หญิงสาวอาศัยอยู่ในตอนนี้พัฒนาไปมากกว่าเมื่อก่อนจนไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าชนบทได้

    หากแต่การเดินทางก็ยังคงไม่ได้ง่ายเหมือนที่อื่นๆ นัก ดังนั้นยาและเครื่องมือที่จะนำเอามาใช้และทำการรักษาจึงจำเป็นต้องถูกตระเตรียมมาให้พร้อมและครบถ้วนก่อนที่จะถูกจัดส่ง

    นอกจากนี้หญิงสาวยังพอจะรู้มาบ้างว่าการสั่งยาเข้ามาเพิ่มนั้น จะต้องทำการสั่งซื้อคราวละมากๆ หรือทีละหลายๆ ตัวและยาเหล่านั้นจะต้องถูกส่งมาพร้อมกันเพื่อลดต้นทุน ลดเวลาในการจัดส่ง

    “ใช่ เห็นว่าเป็นกลุ่มของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แกส่งให้ไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพนั่นแหละ” ในขณะที่ปากของผีกระถินตอบหญิงสาว แต่มือกลับถือขนมตาลเอาไว้ไม่ห่าง พลับพลึงที่เห็นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าผีสาวไปเอามาจากไหน

    “พี่ไปเอาขนมตาลมาจากไหน?”

    "มีป้าคนหนึ่งแกมาแก้บน เจ้าที่ท่านบอกว่ากินจนเบื่อแล้วเลยยกให้” ผีกระถินตอบ แต่มือก็ส่งขนมตาลเข้าปากเสียจนแก้มป่อง "กูไม่อยากขัดคนจะได้บุญเลยรับมา"

    “อยากกินขนมกันมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันทำให้” พลับพลึงเสนอตัวอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ในใจก็คิดแค่ว่าอยากจะลองทำเฉยๆ หากแต่คนเป็นพ่อที่บังเอิญกลับมาจากจับปลาที่น้ำตกพอดีแล้วได้ยินกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น

    “หยุดเลยพลับพลึง จะหาเรื่องลำบากทำไม”

    “พ่อจ๋ากลับมาแล้วหรอ” พลับพลึงรีบวางตะไคร้ที่ตัดมา แล้ววิ่งตรงไปรับปลาที่ถูกภพธรฆ่าและขอดเกล็ดเรียบร้อยแล้วมาไว้ในมือ

    “หูวว ปลาตัวใหญ่มาก...แล้วพี่คนนั้นใครหรอ?” พลับพลึงที่เหลือบไปเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีเดินตามหลังผู้เป็นพ่อมาก็อดที่จะถามไม่ได้

    “มันชื่อไอ้เอก เป็นผีเร่ร่อนมาจากในป่านี่แหละ”

    “หือ? จากในป่ามีคนเอามาทิ้งอีกแล้วหรอ?” พลับพลึงถามเสียงนิ่งเป็นปกติ ไม่ได้ตื่นตกใจ

    “ไม่รู้เหมือนกัน พรุ่งนี้ก็ว่าจะลองออกไปตามหาดูแต่เช้า เผื่อโชคดีเจอร่างของมันจะได้เอามาทำพิธีให้ถูกต้อง”

    “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้หนูห่อข้าวให้นะ”

    “อืม” ภพธรตอบรับลูกสาวพร้อมกับลูบกลุ่มผมนุ่มด้วยความเอ็นดู "ว่าแต่ตอนเดินกลับมาพ่อได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าจะมาคนนอกเข้ามาในหมู่บ้านหรอ?”

    “พี่กระถินไปฟังมา บอกว่าเป็นกลุ่มของหมอจากในเมือง เห็นว่าน่าจะเป็นกลุ่มของลูกชายลุงเทพแกนั่นแหละจ่ะพ่อ งั้นหนูไปเตรียมของทำต้มยำปลาก่อนนะ จะได้ทันกินตอนเย็น” พูดจบพลับพลึงก็วิ่งไปหยิบเครื่องสมุนไพรแล้วเดินกลับขึ้นเรือนตรงไปที่ห้องครัว แต่ด้วยความซุ่มซ่ามที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็กแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ทำให้พลับพลึงต้องสะดุดลม ก้าวพลาดจนเกือบตกบันได

    ภพธรที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ก่อนจะหันมามองทางกระถินที่ยังคงนั่งกินขนมตาลอย่างสบายใจ

    “แล้วนั่นมึงไปเอาขนมมาจากไหนล่ะ”

    “ลุงเจ้าที่แกให้มาน่ะ”

    “เมื่อกี้กูได้ยินว่าพลับพลึงมันจะทำขนม ไม่ใช่ว่าพวกมึงไปบอกว่าอยากกินหรอกใช่มั้ย” ประโยคนี้ของภพธร หนุ่มใหญ่ไม่ได้มองเพียงแค่ผีกระถินแต่มองไปยังเหล่าวิญญาณเด็กที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย ทุกตนต่างส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ได้ขอ

    ส่วนกระถินจากที่นั่งกินขนมตาลอย่างเอร็ดอร่อยเคี้ยวจนแก้มป่องก็เริ่มเคี้ยวช้าลงแล้วมองซ้ายขวา ทำตาล่อกแล่ก แต่เมื่อเห็นว่าภพธรกำลังมองอยู่ผีสาวก็รีบพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน

    “กูเปล่านะ ลูกมึงมันอาสาทำให้เองต่างหาก”

    “มึงแน่ใจนะ” ภพถามย้ำ

    “เออสิ มึงก็รู้นิว่าลูกมึงมันนิสัยยังไง ทุกอย่างที่มันทำให้ก็มาจากการสอนของมึงตอนมันเจ็ดขวบทั้งนั้นแหละ อย่ามาโยนในผีอย่างกูนะ กูไม่รับ” พูดจบก็ลอยตัวขึ้นไปบนบ้าน ไปหาพลับพลึงที่กำลังตระเตรียมมื้อเย็นอย่างขยันขันแข็ง

    ภพธรที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว เพราะพฤติกรรมของกระถินที่มักจะบอกว่าตนคือผีเจ้ากรรมนายเวรของลูกสาวนั้น กลับต่างจากสิ่งที่แสดงออกอย่างสิ้นเชิง

    “กูจะปวดหัวตาย” ภพธรบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนเดินตรงไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า

    หนุ่มใหญ่ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เดินออกมาพร้อมผ้าขาวม้าที่พันเอวสอบของตนไว้อย่างหมิ่นเหม่ แม้อายุจะล่วงเลยมาที่เลขสี่แล้ว แต่ร่างกายของหนุ่มใหญ่กับไม่มีไขมันส่วนเกินเลยสักนิด หน้าท้องที่ควรจะเริ่มลงพุง กลับยังคงไว้ซึ่งลอนคลื่นหกก้อนที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

    ซึ่งรูปร่างของเขานั้นเป็นที่น่าอิจฉาสำหรับหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน เพราะไม่ว่าพวกเขาจะออกแรงหรือออกกำลังกันมากเพียงใด กลับไม่เคยได้รูปร่างที่สมบูรณ์แบบเช่นหนุ่มใหญ่คนนี้เลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่ขึ้นเป็นรูปเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับชัดเจน ซึ่งพอมาถามหาเคล็ดลับ ก็ได้คำตอบกลับไปเพียงว่า

    พวกมึงก็ทำทุกวันเป็นประจำสิวะ เท่านั้น

    ส่วนหากมีหญิงสาวคนใดได้มาเห็นรูปร่างของเขาในตอนนี้ ก็ต้องมีอันต้องหลงใหล ซึ่งนั้นก็ไม่เว้นแม้แต่ดาวเรืองที่ออกอาการหน้าแดงก่ำ ส่วนกระถินก็มักจะตกตะลึงตาโตและอ้าปากค้างทุกครั้งที่ได้เห็น

    “เก็บปากหน่อยพี่ น้ำลายจะยืดแล้ว” พลับพลึงอดที่แซวผีสาวไม่ได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีอาการแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นรูปร่างของพ่อตัวเอง

    “มึงอย่ามามั่วอีพลับพลึง กูไม่ได้น้ำลายยืดสักหน่อย ใครน้ำลายยืด ไม่มีหรอก” ตอบจบก็สะบัดหน้าหนีและแอบยกมือขึ้นมาเช็ดที่บริเวณปากด้วยกลัวว่าจะเป็นจริงอย่างที่คนข้างๆ พูดพอเห็นว่าไม่มีอะไรก็แสร้งทำเป็นเฉไฉมองไปตรงนู้นที ตรงนี้ที โดยที่ยังคงนั่งอยู่ในครัวไม่ไปไหน

    “เห็นทุกวันยังไม่ชินอีกรึไงพี่” พลับพลึงบ่นออกมา แล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำกับข้าวเย็นต่อ

    “อะไรของมึงอีพลับพลึง ไร้สาระ” กระถินว่าก่อนจะทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจอะไร แต่พลับพลึงก็เห็นว่าสายตาของกระถินนั้นยังคงแอบมองไปที่พ่อของตน

    “ปากแข็งไม่มีใครเกิน” หญิงสาวบ่น ก่อนที่จะส่ายหัวออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับพฤติกรรมของผีสาว

    ทางด้านของภพธรหลังจากที่เขาอาบน้ำอาบท่า แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นมานั่งรับลมที่ชานบ้านโดยที่สองหูก็นั่งฟังผีไอ้เอกพูดถึงสิ่งที่มันพอจะนึกออกได้รางๆ

    ไม่นานหลังจากนั้น ที่หน้าบ้านของสองพ่อลูกก็ปรากฏเป็นร่างของหนุ่มใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกันกับภพธรยืนอยู่ ซึ่งก็คือผู้ใหญ่บ้านของบ้านหนองมะขามล้มอย่าง ผู้ใหญ่พรเทพ นั่นเอง

    “อ้าวพี่เทพ? ไปไงมาไงล่ะนั้น ถึงมาบ้านผมได้ มาๆ ขึ้นมากินน้ำกินท่าก่อน” แม้ว่าจะเป็นสัปเหร่อที่มีวิชา แต่ภพธรกลับไม่เคยถือตัว ใครอายุมากกว่าก็ให้ความเคารพเสมอ ยกเว้นพวกคนแก่ที่ปากไม่มีหูรูดเท่านั้น ที่เขาจะด่ากลับอย่างไม่ไว้หน้า ไม่สนอายุ

    “ไม่ไงมาไงหรอก กูตั้งใจมาหามึงนั่นแหละไอ้ภพ แล้วนี่พลับพลึงมันไปไหนซะล่ะ?” พรเทพเอ่ยตอบ พร้อมกันนั้นก็ได้ก้าวเท้าของตนเข้ามาในเขตเรือนบ้านของภพ

    โป๊ก โป๊ก โป๊ก

    สิ้นเสียงคำถามของพรเทพ ราวกับว่าพลับพลึงนั้นมีหูทิพย์ เพราะหญิงสาวได้ลงมือตำพริกแกงจนเสียงครกกระทบกับพื้นดังออกมาจนถึงชานบ้าน ภพธรที่ได้ยินก็เอาแต่ส่ายและส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย

    “มันทำกับข้าวอยู่นี่เอง เออดีๆ แล้วนี่ทำอะไรกินกันล่ะ”

    “แกงปลา เห็นบ่นอยากกิน ผมเลยไปจับที่น้ำตกมาให้ ว่าแต่พี่มาถึงบ้านผมมีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

    “ออ กูก็ลืมเลย ว่าจะมาถามมึงว่าสองสามวันนี้มึงว่างมั้ย?”

    “สองสามวันนี้หรอ...ผมไม่แน่ใจนะ อาจจะต้องดูก่อน ว่าแต่พี่มีเรื่องอะไรให้ช่วยรึเปล่า” เพราะงานสัปเหร่อขึ้นอยู่กับความตายของมนุษย์ ซึ่งภพธรก็ไม่สามารถคาดเดาหรือล่วงรู้ได้ ว่าสองสามวันนี้จะมีใครตายรึไม่ เขาจึงได้เอ่ยออกมาเป็นกลางๆ ไว้ก่อน

    “ก็อีกสองสามวันนี้จะมีกลุ่มหมอมาประจำที่หมู่บ้านเราก็ลูกชายกูกับเพื่อนมันนั่นแหละ พวกนั้นมันคนกรุงเทพอาจจะไม่ชินที่ทาง กูเลยอยากให้มึงไปช่วยทำพิธีผูกแขนรับขวัญให้พวกมันหน่อย” ผู้ใหญ่พรเทพเอ่ยบอกสิ่งที่ต้องการออกมา

    “มึงก็รู้ว่าป่าบ้านเราผีมันดุ อาถรรพ์มันก็เยอะ กูกลัวว่าหน้าตาของพวกมันจะไปถูกอกถูกใจผีสาวๆ ในป่าเข้า ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะแย่เอา”

    พอผู้ใหญ่พรเทพพูดมาถึงตรงนี้ ภพธรก็รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายทันที ที่แท้อีกฝ่ายก็ต้องการให้เข้าเอาของขลังที่มีไปช่วยคุ้มครองคนพวกนั้นนั่นเอง

    “อีกอย่างกูอยากให้มึงทำพิธีบอกเล่าเจ้าที่เจ้าทางให้ด้วย เผื่อพวกมันไปทำอะไรที่รู้เท่าไม่ถึงการเข้า จะได้ขอขมาบอกเล่าท่านได้ท่านว่ามันรู้เท่าไม่ถึงการณ์”

    ภพธรพยักหน้ารับ เมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของผู้ใหญ่บ้าน ทางด้านพรเทพเองพอเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจจุดประสงค์ของตนแล้ว จึงได้ขอตัวกลับบ้านไป เพราะมีเรื่องให้ต้องไปทำต่อ

    เมื่อพรเทพจากไปแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พลับพลึงเดินออกมาจากในครัวพอดีพร้อมด้วยเนื้อปลาตัวใหญ่ที่ถูกตัดแบ่งขนาดหนึ่งท่อน

    “อ้าวลุงเทพกลับไปแล้วหรอพ่อ?”

    “อืม ว่าแต่ออกมาทำอะไร ไม่ทำกับข้าวต่อแล้วหรอ?” เอ่ยถามบุตรสาวพร้อมกับมองไปยังมือเล็กๆ ที่ถือถ้วยใส่เนื้อปลาเอาไว้

    “หนูเห็นลุงเขามาก็เลยว่าจะแบ่งปลาให้ แต่สงสัยแกจะไม่อยากกินปลา” ปากบอกแบบนั้น แต่เรียวขางามกลับก้าวเดินออกจากเขตบ้านตามหนุ่มใหญ่ไป “เดี๋ยวมานะพ่อ”

    “เออ รีบไปรีบกลับ อย่าให้ค่ำ” ภพธรเอ่ยบอกลูกสาว ก่อนจะหันไปบอกผีกระถินที่อยู่ใกล้ๆ กัน “มึงตามไปดูมันทีอีกระถิน”

    “ยังไม่ค่ำเลย ไม่มีอะไรหรอกน่า” ปากบอกไม่มีอะไร แต่วิญญาณสาวกลับรีบลอยตัวเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ร่างบางของพลับพลึงในเวลาไม่กี่วินาที

    “ลุงเทพเดินไวแท้” พลับพลึงบ่นออกมา “ลุงเทพจ๊ะ” เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงแล้ว หญิงสาวจึงส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายออกไป ซึ่งก็ได้ผล เพราะเมื่อได้ยินเสียงเรียกพรเทพก็หันกลับมามองที่พลับพลึงในทันที

    “อ้าวพลับพลึง มึงตามลุงมาทำไม?” พรเทพถามอย่างสงสัย

    “หนูเอาปลามาให้จ่ะ ตัวมันใหญ่กินสองคนไม่หมดหรอก”

    “เออ ขอบใจมาก” พรเทพที่รับปลามาจากเด็กสาวตรงหน้า จึงได้เห็นว่าปลาที่หญิงสาวเอามาให้นี้มันตัวใหญ่จริงๆ “ใหญ่จริงๆ ด้วย”

    “ใช่จ่ะลุงตัวใหญ่มาก งั้นหนูกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ” พูดจบพลับพลึงก็หมุนตัวเดินกลับบ้านทันที

    “เออ กลับดีๆ” แม้ระยะทางจากที่เขาเดินมาจนถึงบ้านของหญิงสาวมันจะไม่ได้ไกลอะไรมากมาย แต่คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างพรเทพก็อดที่จะเป็นห่วงเด็กสาวรุ่นลูกคนนี้ไม่ได้

     

    ด้านพลับพลึงที่กลับมาถึงบ้าน หญิงสาวก็ตรงเข้าไปในครัวทันทีเพื่อดูแกงปลาที่ทำค้างไว้ แต่เมื่อเข้ามาจึงได้เห็นว่าตอนนี้ผู้เป็นพ่อกำลังใส่อะไรบางอย่างลงไปในหม้อพอดี

    ด้วยความอยากรู้จึงอดที่จะเอ่ยถามตามความเคยชินไม่ได้ แม้กลับคนอื่นหญิงสาวจะเป็นคนที่นิ่งเงียบแล้วไม่ค่อยพูด หากแต่กลับคนในครอบครัวและคนที่สนิทจริงๆ จะรู้ว่าหญิงสาวนั้นค่อนข้างพูดมากและกวนไม่น้อย

    “พ่อทำไรอ่ะ?”

    “ใส่ใบมะขาม” ตอบกลับลูกสาว พร้อมกับตักน้ำแกงขึ้นมาชิม

    ซู๊ดดดด

    “อร่อยมั้ย?” พอได้เห็นการซดน้ำไปอึกใหญ่ของพ่อ พลับพลึงก็อดแซวไม่ได้

    “อร่อยสิ นี่พ่อทำเองเลยนะ” พูดจบก็ปิดไฟที่เตา ส่วนหญิงสาวก็หันไปดูหม้อข้าวที่กำลังตั้งหุงอยู่อีกเตาแทน

    “ข้าวใกล้สุกแล้ว พ่อจะกินข้าวเลยมั้ยจ๊ะ”

    “จะกินข้าวเย็นสี่โมงจริงเหรอพลับพลึง” พูดจบก็เดินออกจากครัว และกลับไปนั่งที่ชานบ้านเหมือนเดิม

    “ไม่กินหรอก หนูก็แค่ถามเฉยๆ เผื่อพ่อหิวเห็นจับปลานานเลยนึกว่าหมดแรง” หญิงสาวพูดแซวผู้เป็นพ่อไปหนึ่งประโยค ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปหยิบไม้กวาดมากวาดบ้าน เมื่อกวาดจนทั่วแล้วหญิงสาวจึงได้เดินลงไปตักน้ำที่โอ่งใบใหญ่ข้างบ้านแล้วนำขึ้นมาด้านบน ก่อนจะเริ่มลงมือถูบ้านจนทั่ว

    ไม่นานหลังจากนั้น พลับพลึงก็จัดการกับงานบ้านเสร็จเรียบร้อย แต่กว่าจะเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปที่ห้าโมงเย็นแล้ว หญิงสาวจึงได้รีบเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำที่อยู่หลังบ้าน

    ร่างบางใช้เวลาอาบน้ำขัดผิวอยู่ไม่นานก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกสวมใส่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเสื้อผ้าเก่า หญิงสาวก็นำไปใส่รวมไว้ในตะกร้าที่วางอยู่ในห้องซักผ้าที่ภพทำแยกเอาไว้เพื่อป้องกันสิ่งลี้ลับบางอย่างมาแอบใช้เสื้อผ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้ยินจากคนต่างหมู่บ้านว่าช่วงนี้เป็ดไก่ตายเกลื่อน ท้องไส้กระจัดกระจายแต่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นฝีมือของตัวอะไรกันแน่

     

    ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
    เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×