คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : พลับพลึงดอกที่ 17 เงียบๆนะ
***ระวังให้ดี ตอนนี้มีผีนะ***
จอมทัพที่กำลังเดินย้ำเท้ากลับบ้านในช่วงเวลาเที่ยงคืนอยู่คนเดียวนั้นก็เริ่มรู้สึกขนลุกแปลกๆ รวมทั้งอากาศที่เริ่มเย็นลงจนทำให้รู้สึกหนาว แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นเขากลับคิดว่าเพราะตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน อากาศจะเย็นจนรู้สึกหนาวและขนลุกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ชายหนุ่มเดินก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ โดยจุดมุ่งหมายก็คือบ้านของตัวเอง แต่ในขณะที่เขาเดินผ่านป่ากล้วยนั้น ใบหูของเขาก็ได้ยินเสียงขยับเขยื้อนของอะไรบางอย่าง
กึก!
เมื่อหูได้ยินเสียงน่าสงสัย จอมทัพจึงหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินในทันที พร้อมกันนั้นก็ได้หันหน้ามองไปยังต้นทางของเสียงที่ได้ยิน แต่เมื่อหันไปมองแล้วเขากลับไม่พบสิ่งน่าสงสัยที่พอจะเป็นต้นกำเนิดของเสียงเลย
เมื่อมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดอีก ชายหนุ่มจึงได้ก้าวเท้าเดินต่อไปอีกครั้งแต่ในครั้งนี้เสียงที่ได้ยินอีกครั้งกลับเป็นเสียงของอะไรสักอย่างที่รูดผ่านใบตองไป ด้วยสัญชาตญาณการระวังตัวที่มี จอมทัพจึงได้ขยับตัวไปหลบอยู่ในป่ากล้วย และก็เหมือนจะเป็นโชคดีเพราะกล้วยดงที่เขาเข้ามาหลบนี้เป็นกล้วยต้นใหญ่ที่มีใบดกหนา จอมทัพจึงได้โอกาสดึงใบตองใบใหญ่ให้โน้มลงมาบดบังร่างกายของตนจากสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงเมื่อครู่
ต้นเหตุที่ให้เกิดเสียงเมื่อครู่นี้ จอมทัพมั่นใจว่านั่นไม่น่าจะใช้เสียงของสัตว์แต่เป็นเสียงของคน ส่วนจะเป็นใครนั้นก็คงต้องรอดูอีกที
เสียงรูดผ่านใบตองดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเสียงนั้นเข้ามาใกล้กับจุดที่จอมทัพกำลังซ่อนตัวอยู่ ไม่นานหลังจากนั้นสายตาของจอมทัพก็ต้องเบิกกว้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขา
วันนี้พลับพลึงได้รับมอบหมายงานมาจากผู้เป็นพ่อให้ออกมาเดินตรวจตรารอบหมู่บ้าน เนื่องจากช่วงนี้มีผีชนิดหนึ่งออกมาอาละวาด ไล่กินเป็ดไก่ของชาวบ้านจนเกือบหมดเล้า
ซึ่งทิศทางที่พลับพลึงต้องไปเดินนั้นคือบริเวณป่าไผ่ทางทิศตะวันออกไล่ไปจนถึงกลางหมู่บ้าน ที่เป็นจุดนัดพบของหญิงสาวกับผู้เป็นพ่อ ส่วนภพธรจะไปเดินตรวจตราป่าทางทิศตะวันตกเอง
แม้ปกติภพธรจะห้ามไม่ให้พลับพลึงออกจากบ้านหลังตะวันตกดิน แต่เรื่องนี้ค่อนข้างเร่งด่วนและต้องรีบแก้ไขเขาจึงจำเป็นต้องให้ลูกสาวออกมาช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่าหญิงสาวจะต้องห้อยตะกรุดและพกมีดหมอที่เขาเคยให้ไว้ติดตัวเสมอ
ร่างบางของพลับพลึงได้เดินตรวจตราบริเวณที่ผู้เป็นพ่อบอกไว้อย่างละเอียดรอบคอบและระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว เพราะสองพ่อลูกยังไม่รู้แน่ชัดว่าผีที่ออกมาอาละวาดกินเป็ดไก่ของชาวบ้านเป็นผีปอบ ผีกระสือหรือว่าผีกระหัง
ช่วงเที่ยงคืน หญิงสาวได้พาร่างอันบอบบางของตนเองย้ำเท้าเดินผ่านป่ากล้วย แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในได้เพียงไม่กี่ก้าว กระถินที่ตามมาด้วยก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในบริเวณนี้ ผีสาวจึงได้เอ่ยเตือนพลับพลึงให้ระวังตัว
“อีพลับพลึงแถวนี้มีอะไรแปลกๆ” เสียงเย็นๆ ของกระถินที่เกาะบ่าเกาะไหล่เอ่ยเตือนเสียงเบาจนเป็นกระซิบ ร่างบางพยักหน้ารับรู้และเริ่มเข้าสู่การระวังตัวที่มากขึ้น
หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าผ้าแล้วหยิบมีดหมอขนาดพอดีมือที่พ่อทำให้ออกมาแล้วกระชับจับด้ามของมีดให้แน่นขึ้น พอมีอาวุธอยู่ในมือแล้ว ร่างบางของพลับพลึงก็ค่อยๆ เดินย่องหายเข้าไปในป่ากล้วยอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ
แก๊ก!
หูเล็กได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างเหยียบลงที่กองใบตองแห้งบนพื้นเรียกให้สายตาของพลับพลึงให้หันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าที่มาของเสียงก็คือชายหนุ่มอย่างจอมทัพนั่นเอง
“ดึกดื่นป่านนี้ พี่เขามาทำอะไรที่นี่วะ?” หญิงสาวพูดเบาๆ ด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรหูเล็กก็ได้ยินเสียงปริศนาอีกครั้งและในครั้งนี้ก็เหมือนว่าชายหนุ่มอย่างจอมทัพเองก็ได้ยิน เพราะชายหนุ่มได้หลบเข้าไปแอบอยู่ในป่ากล้วยต้นใหญ่ที่ช่วยบดบังร่างกายหลังจากที่เกิดเสียงขึ้นเช่นกัน
พลับพลึงจดจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างของจอมทัพที่หลบอยู่ในดงกล้วยด้านหน้า พร้อมกันนั่นก็ค่อยๆ แอบย่องเข้าไปใกล้อีกฝ่ายช้าๆ โดยที่ในขณะนั้นก็ได้มีเสียงรูดผ่านใบตองของอะไรบางอย่างดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนเข้ามาใกล้กับจุดที่ทั้งสองคนหลบซ่อน
ในขณะที่ต้นเสียงขยับเข้ามาใกล้ พลับพลึงที่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างและเดาได้ลางๆ แล้วต้องรีบเอื้อมมือเข้าไปปิดปากของชายหนุ่มเอาไว้
อุ๊บ!
“ชู่วว เงียบนะพี่”
แสงสว่างสีแดงวูบวาบที่ส่องมาทำให้พลับพลึงรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้ตัวเองและชายหนุ่มได้พบเจอก็คือแสงของผีกระสือนั่นเอง แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะอีกฝ่ายหันหน้าไปอีกทาง แต่จากสภาพของเส้นผมพลับพลึงก็พอคาดเดาได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นคนที่มีอายุมากนัก อาจจะสักประมาณรุ่นเดียวกันกับตัวเอง
กระสือตนนั้นลอยอยู่รอบๆ บริเวณที่ทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่นานอย่างกับว่ามันต้องการหาอะไรบางอย่างในที่แห่งนี้
“อีผีไส้นี่มันได้กลิ่นคนเป็น” เสียงเย็นๆ ของกระถินดังอยู่ข้างใบหูขาวผ่องของหญิงสาว “กูจะไปบอกพ่อมึงให้”
พอพลับพลึงได้ยินเสียงเตือนของกระถินก่อนที่อีกฝ่ายจะหายตัวไป หญิงสาวจึงรีบนึกไปถึงมนต์ปิดบังตาที่ผู้เป็นพ่อเคยสอน
พอนึกออกริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาวจึงเริ่มร่ายคาถาที่ได้ร่ำเรียนมา และเหมือนว่าผู้เป็นพ่อนั้นจะคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว เพราะก่อนออกจากบ้านภพธรได้ให้ผู้เป็นลูกสาวหยิบใบไม้ที่เพิ่งจะร่วงจากต้นขึ้นมาพกติดตัวเอาไว้
“นะมิอะนัง เอตังสันตะ อัตทิ เตยะมะโร มะตะ ทาตัง อิธัมมังกูล” ในขณะที่เรียวปากบางท่องคาถา มือเรียวก็ค่อยๆ ม้วนใบไม้ใบนั้น
“จงไม่เห็นกู” ว่าจบจึงนำมันใบไม้ใบนั้นไปทับที่ใบหูขาวตามอย่างที่อาจารย์เคยสอนไว้
ช่วงเวลาที่พลับพลึงนำใบไม้ไปทับที่หลังใบหูเสร็จก็เป็นช่วงเดียวกับที่ผีกระสือสาวลอยเข้ามาทางที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่พอดี หญิงสาวจึงได้ปิดปากและกอดคอของจอมทัพแน่นขึ้น ก่อนจะกดทั้งหัวของตัวเองและชายหนุ่มให้หมอบราบลงกับใบตองแห้งที่อยู่บนพื้น
แม้จะรู้ว่าคาถาที่ท่องไปเมื่อครู่มันได้ผลแน่ๆ แต่สัญชาตญาณของมนุษย์เมื่อมีภัยเข้ามาใกล้และอยู่เหนือหัวก็ต้องก้มเป็นธรรมดา
การที่อยู่ดีๆ ก็ได้เจอสิ่งลี้ลับที่ตนเองไม่ได้เชื่อแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ทำให้จอมทัพรู้สึกตื่นเต้นและตกตะลึงจนสติแทบจะหลุดลอย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้ตัวเองจะมีโอกาสได้เห็นผีที่ว่ากันว่าผิดหลักกายวิภาคและแหกกฎฟิสิกส์อย่างผีกระสือเข้าเต็มๆ สองตา นอกจากจะได้เห็นแบบเต็มๆ ตาแล้วจมูกของเขายังได้กลิ่นเหม็นเน่าแบบเต็มๆ สองรูจมูกอีกด้วย
แต่นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่ทำให้ใจของเขาเต้นแรงจบเกือบจะหัวใจวายตายก็คือการที่เขานั้นได้อิงแอบแนบชิดอยู่ใกล้กับหญิงสาวชอบ จนเรียกได้ว่าแทบจะใช้อากาศเดียวกันหายใจ
จมูกที่เคยได้กลิ่นเน่าเหม็นถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมของแป้งเด็กที่มาจากตัวและแก้มนวลของหญิงสาวที่อยู่ใกล้กับจมูกของเขาอย่างน่าหวาดเสียวในตอนนี้
“เงียบๆ ก่อนนะพี่จอม ห้ามเงยหน้าขึ้นไปมองมันด้วย เดี๋ยวหน้าหล่อๆ ไปโดนไส้ของมันเข้าจะลำบาก”
อีพี่จะอดใจไหวมั้ยเนี๊ยะะะ เขียนเองก็ลุ้นเอง
ไรท์เดาใจตัวเองไม่ถูกเลยยยย ว่าจะเขียนออกมาแบบไหน ????????ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา
พลีสสส
(❁´◡`❁)
ความคิดเห็น