ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงใหล ใคร่รัก [อ่านฟรี มี E-Book]

    ลำดับตอนที่ #2 : พลับพลึงดอกที่ 1 หญิงสาวที่ชอบพูดคนเดียว

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 67


    พลับพลึง คือชื่อของลูกสาวเพียงคนเดียวของสัปเหร่อหนุ่มใหญ่ในหมู่บ้าน หญิงสาวเป็นคนที่สามารถมองเห็นภูตผี วิญญาณและสิ่งลี้ลับที่คนอื่นมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยที่ไม่ต้องผ่านพิธีกรรมทางความเชื่อหรือวิธีพิสดารที่หลายๆ คนมักจะหยิบยกและนำมันมาใช้เลยแม้แต่น้อย

    นอกจากนี้หญิงสาวยังเป็นคนที่สามารถใช้คาถาและคุณไสยบางอย่างได้ เนื่องจากเคยได้ร่ำเรียนกับอาจารย์ของผู้เป็นพ่อมาบ้าง

    ถึงจะบอกว่าใช้ได้หรือเคยได้ร่ำเรียนมา แต่คาถาส่วนใหญ่เหล่านั้นล้วนแล้วเป็นคาถาทางพุทธคุณทั้งสิ้น เป็นมนต์สายขาวที่มีไว้เพื่อเสริมดวงบารมี เมตตามหานิยม

    ส่วนเรื่องของมนต์สายดำนั้น หญิงสาวก็พอได้ร่ำเรียนผ่านๆ มาบ้างเช่นกัน เพราะอย่างที่ใครหลายๆ คนรู้ เมื่อเรียนขาวก็ต้องเรียนดำควบคู่กันไป เรียกว่าเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ จะเรียนแค่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

    แต่ถ้าให้ถามว่าเคยเอามนต์ดำเหล่านั้นออกมาใช้บ้างหรือไม่ หญิงสาวก็สามารถตอบได้เต็มปากเลยว่าเคย แต่ก็เป็นการนำเอาออกมาใช้ในตอนที่จำเป็นเท่านั้น

    อย่างเช่นการที่ต้องไปสะกดวิญญาณผีตายโหงที่อยู่ในป่าช้าท้ายวัด เพื่อไม่ให้ผีตนนั้นมาระรานสร้างความเดือดร้อนชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องจนไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งที่พวกเขานั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของผีตนนั้นเลยแม้แต่น้อย

    ลำพังแค่การเป็นลูกสาวของสัปเหร่อที่ทำศพให้กับคนตายมากมายก็นับว่าดูน่ากลัวมากพออยู่แล้วนั้น แต่เมื่อมาผสมรวมกับการที่สามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับได้ยิ่งทำให้คนในรุ่นเดียวกันหวาดกลัวและรังเกียจที่จะเล่นด้วย ชีวิตของพลับพลึงในช่วงเวลาที่ไม่มีแม่จึงมีแต่การเดินทางไปช่วยพ่อทำศพให้คนตายตามสถานที่ต่างๆ เท่านั้น

    ถึงคนเป็นพ่อจะไม่อยากพาไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวได้เช่นกัน

    แต่ก็มีบางช่วงอย่างตอนที่โรงเรียนเปิดเทอม พลับพลึงจะถูกนำไปฝากให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยเลี้ยงดู

    ชีวิตในตอนที่เป็นเด็กของพลับพลึงนั้นแม้ว่าจะไม่มีเพื่อน แต่เด็กสาวก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้รู้สึกเหงาแต่อย่างใด เพราะถึงแม้จะไม่มีเพื่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครคบ

    ในเมื่อคนไม่คบ คนไม่เล่นด้วย เด็กหญิงพลับพลึงจะได้หันมาสนใจเหล่าวิญญาณเด็กน้อยที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดแทน ถึงตอนแรกจะทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจ หากแต่เมื่อได้รับการกระทำเช่นเดียวกันจากเด็กในหมู่บ้าน เด็กน้อยก็รู้ได้รับรู้ทันทีว่าการโดนทำเช่นนี้มันรู้สึกอย่างไร

    ดังนั้นในทุกๆ วัน รอบกายของเด็กหญิงพลับพลึงจึงรายล้อมไปด้วยเหล่าวิญญาณเด็กมากมายที่รอบเวลาไปเกิด

    เหตุนั้นเองเวลาที่เห็นเด็กหญิงพูดคุยกับเหล่าวิญญาณ เด็กๆ ในหมู่บ้านจึงเริ่มกลัวและมีข่าวลือแปลกๆ ออกมา

    บ้างก็หาว่าเป็นบ้า

    บ้างก็หาว่าเป็นเด็กดวงซวย

    บ้างก็พูดว่าเด็กสาวนั้นคือคนที่หนีนรกมาเกิดและหนักที่สุด คือบอกว่าเด็กหญิงคือคนใกล้ตาย เพราะตามความเชื่อโบราณ บอกกล่าวกันมาว่าหากใครคนใดคนหนึ่งที่ใกล้จะตายหรือดวงซวยมากๆ ดวงตาของพวกเขาจะเริ่มเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น

    ตอนที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ในตอนแรก พลับพลึงก็มีความรู้สึกไม่ดีและหวาดกลัวเล็กน้อย จึงได้เอ่ยถามผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัยถึงสิ่งที่ได้ยินมาตลอด

    “พ่อจ๋า การที่หนูเห็นพี่ๆ เขา แปลว่าหนูดวงไม่ดี เป็นคนใกล้ตายหรอจ๊ะ?” เด็กหญิงพลับพลึงในวัยเจ็ดขวบ เอ่ยถามผู้เป็นบิดาอย่างเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวไม่ไหวแล้ว “หนูว่าดีออกนะ”

    “ใครมันเป็นคนพูดกัน หนูอย่าไปฟัง พ่อจะบอกอะไรให้นะ ความจริงแล้วคนที่เห็นดวงวิญญาณน่ะ โบราณว่าไว้ว่าคือคนมีบุญต่างหาก”

    “มีบุญ แล้วทำไมถึงเห็นล่ะ? ไม่ใช่ว่าต้องมีบาปเหมือนกันหรอถึงจะได้เห็น” เด็กสาวอดที่จะถามไม่ได้ ในเมื่อมีบุญ เหตุใดจึงยังต้องเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นด้วย

    “เพราะลูกมีบุญ พวกเขาจึงมาปรากฏกายให้ลูกเห็น เพื่อขอส่วนบุญไงล่ะ” หลังคำพูดนี้ที่คนเป็นพ่อพูดจบ เหล่าวิญญาณก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อพลับพลึงสังเกตดีๆ ก็ได้เห็นว่า หนึ่งในวิญญาณเหล่านั้น มีวิญญาณอยู่ตนหนึ่งที่ไม่ได้เห็นด้วย

    “แต่พี่คนนั้นบอกว่าไม่เห็นด้วยกับที่พ่อบอกนะ” เด็กหญิงพลับพลึงชี้นิ้วเล็กๆ ไปยังจุดที่มีวิญญาณหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งภพธรเองก็เห็นเช่นเดียวกับลูกสาว

    “พี่สาวคนนั้นพูดว่า ‘กูไม่ได้มาขอส่วนบุญ แต่กูคือเจ้ากรรมนายเวรของมึง’ หมายความว่าไงจ๊ะ?” สิ้นสุดประโยคนี้ สัปเหร่อหนุ่มจึงได้ลูบที่กลุ่มผมนุ่มของบุตรสาวและพูดออกมาหนึ่งประโยค

    “ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอแค่พลับพลึงของพ่อขยันทำบุญส่งไปให้ด้วยความตั้งใจ ยังไงเขาก็จะต้องได้รับผลบุญนั้นของลูกแน่นอน”

    “ก็ได้ พ่อว่ายังไงหนูก็ว่าอย่างนั้น” เด็กหญิงพลับพลึงในวัยเจ็ดขวด พยักหน้ารับคำที่บอกผู้เป็นพ่อบอก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่พ่อพูดมาคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอเสมอ

    ตั้งแต่ที่แม่จากไปตอนเด็กน้อยอายุได้ห้าขวบทั้งชีวิตของเด็กหญิงก็มีเพียงแค่พ่อคนเดียวเท่านั้น ไม่ให้เชื่อพ่อแล้วจะให้เชื่อใคร

     

    เก้าปีต่อมา

    เด็กหญิงพลับพลึงในวันนั้นได้โตขึ้นมาเป็นเด็กสาวอายุสิบหกปีในวันนี้ ทุกสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเคยบอกเมื่อครั้นอายุได้เจ็ดขวบ เด็กสาวได้ทำตามมาโดยตลอด

    จนในตอนนี้รอบกายที่เคยมีเหล่าวิญญาณรายล้อมอยู่มากมาย ก็ได้ทยอยหายไปทีละตนเพราะได้รับส่วนบุญที่เด็กสาวทำไปให้และบางส่วนก็ได้เวลาไปเกิดแล้ว

    แต่ถึงอย่างนั้น รอบกายของหญิงสาวนอกจากผู้เป็นพ่อก็ยังคงไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เข้ามาใกล้หรือมาเป็นเพื่อนด้วยเช่นเคย

     

    กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปี พลับพลึงจึงได้มีเพื่อนคนแรก เด็กสาวคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่า ชบา

    ชบามักจะมาคุยเล่นกับพลับพลึงเสมอในช่วงหลังๆ มานี้ หากแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนัก เพราะพ่อแม่ของชบายังคงเชื่อว่า หากลูกสาวของตนเข้ามาใกล้พลับพลึงก็อาจจะโชคร้ายและดวงซวยเนื่องจากพวกเขามีความเชื่อที่ว่าคนที่เห็นผีคือคนที่ใกล้จะตาย ดังนั้นถ้าเผลอไปเขาใกล้อาจจะต้องตายตามไปด้วย

    หากแต่ชบาก็แสนดื้อรั้น หญิงสาวทำเป็นไม่ได้สนใจในสิ่งที่พ่อแม่บอกเลยสักนิด กลับกันหญิงสาวกลับบอกพ่อกับแม่ว่าหลังจากที่ได้รู้จักกับพลับพลึงนั้น เธอรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มแข็งแรง และเริ่มที่จะไม่ป่วยง่ายอย่างเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว

    แม้ว่าทางพ่อแม่ของชบาจะมีท่าทีไม่เชื่อในตอนแรก หากแต่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปนานเข้า พวกเขาจึงได้เห็นว่าอาการป่วยของลูกสาวเริ่มทุเลาลงจนเกือบจะหายขาดอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ ด้วยความที่รักลูกเนื่องจากชบาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว สองสามีภรรยาจึงปิดตาข้างหนึ่งเมื่อเห็นว่าบุตรสาวสนิทสนมกับลูกสาวของสัปเหร่อคนนั้น

     

    สี่ปีต่อมา

    ในปีนี้พลับพลึงได้โตขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่มีอายุครบยี่สิบเอ็ดปี และในตอนนี้เองก็เป็นช่วงที่คนในหมู่บ้านมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กสาวที่แปลกประหลาด คล้ายคนเป็นบ้า หน้าตาผิวกายซีดเซียวและมีรูปร่างที่ผอมบางในตอนนั้น จะกลายมาเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยและงดงามที่สุดตามรอยคนเป็นพ่อแม่อย่างในตอนนี้

    ด้วยคิ้วเรียวยาวรับกับดวงตากลมโตสีเทา ปากอมชมพูเป็นกระจับ และจมูกที่โด่งเป็นสันน้อยๆ อย่างกับใช้มือปั้นขึ้นมาเองก็รับเข้ากับใบหน้าเรียวรูปไข่ที่ดูแล้วน่าจะเล็กกว่าฝ่ามือของผู้หญิงบางคนด้วยกันเองเสียอีก

    นอกจากใบหน้าที่สะสวยแล้วนั้น หญิงสาวยังมีผิวขาวอมชมพูไม่ได้ดูขาวซีดเซียวอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว

    เส้นผมยาวสีน้ำตาล รูปร่างบอบบาง ลำแขนเรียวเสลา ปลายนิ้วเรียวยาว แตกต่างจากหญิงสาวชาวบ้านในวัยเดียวกัน ทำให้พลับพลึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในหมู่บ้านได้ไม่ยาก

    แม้จะมีคำกล่าวขานของชาวบ้านมากมายที่พูดคุยกันเรื่องใบหน้าอันงดงามเกินกว่าที่จะเป็นเพียงแค่ลูกสาวของสัปเหร่อและนิสัยแปลกๆ ของหญิงสาวออกมามากมายเพียงใด ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของพลับพลึงเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

    กลับกัน ในวัยเด็กเคยได้ทำอะไร ในตอนนี้หญิงสาวก็ยังคงทำอยู่เช่นเดิม ต่างกันแค่ว่าจากที่เคยทำบุญให้กับเหล่าวิญญาณมากมาย มาในตอนนี้การทำบุญนั้นก็ทำให้กับวิญญาณตามติดแค่เพียงตนเดียว

    วิญญาณที่บอกว่าตนเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหญิงสาวนั้นเอง

     

    แม้จะมีใบหน้างดงามและเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในหมู่บ้าน หาก แต่พลับพลึงกลับเป็นหญิงสาวที่นิ่งเงียบ ไม่ค่อยสนทนากับใครเท่าใดนัก แม้ในตอนนี้จะมีหลายคนพยายามเข้ามาตีสนิทด้วยก็ตามหญิงสาวก็จะพูดเท่าที่เธออยากพูดและจะเลือกตอบกับคำถามที่อยากจะตอบเท่านั้น

    พวกเขาคิดว่าเหตุผลที่พลับพลึงเป็นคนนิ่งเงียบ ถามคำตอบคำ ล้วนน่าจะมาจากการที่ไม่ได้มีเพื่อนเล่นในตอนที่ยังเป็นเด็ก

    ทั้งที่ความจริงแล้วการที่หญิงสาวเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดนั้นมันมาจากการที่เวลามีคนพูดด้วย มันมักจะเป็นช่วงที่เหล่าวิญญาณเข้ามารายล้อมพูดคุยสอบถามบางอย่างกับเธอเสมอ

    ทำให้บางครั้งคำตอบที่พูดออกไป ก็กลับกลายเป็นการตอบคำถามของเหล่าวิญญาณโดยไม่รู้ตัว

    ถึงจะเป็นคนเงียบๆ หากแต่เมื่อได้เอ่ยปากด่าใคร พลับพลึงก็จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงปากแจ๋วคนหนึ่งทันที แต่ก็น้อยครั้งนักที่จะมีใครสักคนโดนหญิงสาวด่า

    นอกจากนี้ดวงตากลมโตของหญิงสาวที่ใครๆ ต่างก็บอกว่ามันสวยนั้น ในบางครั้งหากไม่พอใจอะไร พลับพลึงก็มักจะมองคนคนนั้นหรือสิ่งของสิ่งนั้นด้วยหางตาและมีการขมวดคิ้วร่วมด้วยเสมอ แต่ถึงแม้จะไม่พอใจหญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงถอนหายใจและเดินแยกไปเฉยๆ เท่านั้น ยกเว้นก็แต่บางคนที่หญิงสาวชอบที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วยเสมอ

    ณ เวลาปัจจุบัน

    ตอนนี้หญิงสาวที่ถูกพูดถึงในช่วงแรก ได้กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านเพื่อซักผ้าของตนเองและบิดา ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่หญิงสาวได้อยู่ตามลำพังกับผีสาวที่บอกเสมอว่าตัวเองคือเจ้ากรรมนายเวรอย่าง ผีกระถิน พอดี ทำให้ไม่ต้องห่วงว่าเวลาพูดคุยอะไรจะมีคนมามองด้วยสายตาแปลกๆ

    “เลิกตามได้มั้ย แค่จะไปซักผ้าไม่ได้หนีไปเที่ยวสักหน่อย” คำพูดนี้ของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มที่แอบเดินตามหยุดชะงักฝีเท้าทันที

    “...”

    “น่ารำคาญ ตามอยู่ได้” แม้ว่าหญิงสาวจะพูดคนเดียว แต่ชายหนุ่มที่แอบตามอยู่ก็อดที่จะขบคิดไม่ได้ว่าหญิงสาวอาจจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนตาม จึงได้พูดออกมาเช่นนี้ “ตามตั้งแต่เด็กยันโต นี่ไม่ใช่ว่าจะตามยันหนูมีผัวเลยหรอ?”

    ขณะที่กำลังจะเดินออกไปมอบตัวแต่โดยดีและถือโอกาสเข้าใกล้หญิงงามที่หมายปอง ประโยคต่อมาก็ทำให้ฝีเท้าของเขาหยุดชะงัก

    “ไปผุดไปเกิดเถอะพี่ บุญก็มีตั้งเยอะแยะแล้ว”

    “...”

    “ไม่ต้องมารัก เจ้ากรรมนายเวรอะไรมารักคนที่เคยทำร้ายตัวเอง” ได้ยินหญิงสาวพูดเพียงเท่านั้น จากที่ตั้งใจจะมาจีบ มาพูดคุย ชายหนุ่มก็วิ่งหนีหายไป

    ซึ่งเสียงฝีเท้าที่วิ่งหนีออกไปของเขานั้นเรียกสายตากลมโตของพลับพลึงให้หันไปมองได้ไม่ยาก แต่เมื่อหันไปมองต้นเสียงก็พบเพียงหลังไวไว ของใครบางคนที่วิ่งหนีไปแล้วเท่านั้น

    “ใคร? พี่กระทิงหรอ?” หญิงสาวเอ่ยชื่อชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมา ด้วยรู้ว่าในหมู่บ้านนี้คนที่กลัวผีจนขึ้นสมองมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

    พอมองไปสักพักแล้วเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ร่างบางของพลับพลึงจึงได้ออกตัวเดินตรงไปยังน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านอีกครั้ง

    “ตามมาแล้วก็หนี แล้วก็ตาม ตามดีพอๆ กับผีเจ้ากรรมนายเวรแถวนี้เลย”

    “...”

    “เจอก็ออกจะบ่อย ทำไมไม่ทำตัวให้ชินสักทีนะ” พลับพลึงพูดอย่างสงสัย หากแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก

    “มองก็ไม่เห็น ไม่รู้ว่ากลัวอะไรขนาดนั้น” ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย น่าแปลกที่หลายคนเลือกที่จะกลัวในสิ่งที่ตนเองมองไม่เห็น แต่กลับสิ่งที่มองเห็นแล้วว่าไม่ดีพวกเขากลับไม่ได้รู้สึกกลัวมันเลยแม้แต่น้อย

     

    ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
    เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×