ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงใหล ใคร่รัก [อ่านฟรี มี E-Book]

    ลำดับตอนที่ #18 : พลับพลึงดอกที่ 15 เรื่องที่สงสัย

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 67


    “แต่คงไม่มีอะไรต้องห่วงมั้ง เดี๋ยวพอคิดได้มันก็คงไปจีบน้องเขาเองแหละ” แทนไทยักไหล่บอก ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเดินไปที่บ้านพัก โดยทิ้งให้จอมทัพยังคงยืนอยู่ที่สถานีอนามัยคนเดียว

    “แม่งไอ้ควาย ฉลาดทุกเรื่องแต่เรื่องตัวเองดันโง่ อยากใช้เวลากับเขานานๆ แต่เสือกเอาเรื่องแดดมาอ้าง”

    “กูก็งง ว่าทำไมมันไปบอกน้องไปตรงๆเลยว่าอยากอยู่ใกล้ๆ หรือเพราะพวกมึงกับกูอยู่ด้วยมันเลยเขิน?” พอได้คิดตามที่เทวินทร์บอก ทั้งสามคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

    “แต่มันก็อาจจะเป็นห่วงผิวสวยๆ ของน้องเขาเปล่าวะ? แดดที่นี่ก็แรงอยู่” พระนายพูดแก้ต่างให้เพื่อน แม้ว่าเขานั้นจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เทวินทร์พูดไปแล้วก็ตาม

    “ไอ้ห่วงน่ะมันก็ใช่ แต่ไอ้ฉิบหายน้องรอมันตั้งแต่แดดเปรี้ยงจนแดดหุบ มันยังจะถ่วงเวลาน้องให้อยู่ด้วยไม่ไปส่งสักที จนน้องรำคาญแบกของกลับไปเองนั่นไง”

    “มึงก็พูดเกินไปไอ้วิน ว่าแต่...ทำไมมันไม่ตามไปช่วยน้องเขาวะ ปล่อยให้แบกของกลับเองเฉย” ประโยคสุดท้ายแทนไทถามออกมาอย่างไม่เข้าใจในระบบความคิดของเพื่อนอย่างจอมทัพ 

    เพราะในเมื่อน้องบอกว่าจะกลับแล้ว แทนที่เพื่อนตัวดีของเขาจะทิ้งงานแล้วตามไปส่ง มันกลับมายืนตีหน้าเศร้าที่หน้าประตูเหมือนหมาถูกทิ้ง

    “กูก็ไม่รู้เหมือนมึงนั่นแหละ” เทวินทร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ

    “เฮ้ออออ” ทั้งสี่คนที่พอได้คิดถึงเรื่องของเพื่อนอย่างจอมทัพก็ถึงกับถอนหายใจออกมา เพราะเรื่องของจอมทัพนั้นไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคหรือเรื่องยากเลยสักนิด แต่เพื่อนเขาดันทำให้มันกลายเป็นเรื่องยากเอง ผูกให้ยากแล้วเสือกหาทางแก้ไม่ได้

    หมดคำจะพูด

     

    ทางด้านของพลับพลึงนั่น พอแบกตะกร้าสานออกมาจากสถานีอนามัย หญิงสาวก็ได้มุ่งเดินกลับไปที่บ้าน โดยที่ตลอดทางหญิงสาวก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงเหตุผลที่จอมทัพถ่วงเวลาให้ตัวของเธอนั่นอยู่ที่สถานีอนามัย โดยที่ไม่ได้ให้ทำหรือให้ช่วยอะไรสักอย่าง สงสัยแต่ก็ไม่รู้จะถามออกไปยังไงดี

    ตอนนี้ในหัวของหญิงสาวกำลังคิดเรื่องของจอมทัพที่ตีกันจนยุ่งเหยิง สีหน้าที่แสดงออกมามันจึงดูแปลกๆ และเพราะคิดถึงเรื่องนี้ทำให้พลับพลึงไม่ได้สนใจถึงสายตาของชาวบ้านที่มองแปลกๆ มายังตัวเอง

    บ้างก็มองด้วยสายตาสงสัย

    บ้างก็มองด้วยสายตาสงสาร

    และบ้างก็มองด้วยสายตาเหยียดๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสายตาแบบไหน พลับพลึงก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันนัก แต่ไม่ใช่กับผีอย่างกระถิน

    “ทำไมพวกมันมองมึงแปลกๆ วะอีพลับพลึง?” เสียงเย็นของกระถินถามอย่างไม่สบอารมณ์ แต่คำถามนั่นกลับไม่ได้รับคำตอบหรือความสนใจจากพลับพลึงแต่อย่างใด หญิงสาวเอาแต่เดินเอามือจับที่คางทำหน้าครุ่นคิดและกระถินก็รู้ได้ในทันทีว่าคนข้างๆ ไม่ได้คิดถึงคำถามที่ตัวเองถามแม้แต่น้อย

    “พี่เขาให้กูไปรอที่อนามัยทำไมวะ? พี่เขาชอบกูหรอ? ...”

    “...” ได้ยินคำถามลอยๆ ของพลับพลึงที่พูดออกมา กระถินก็ถึงกับตาโต ยกมือปิดปากและกำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมา

    “ไม่น่าใช่ กูกับพี่จอมเพิ่งจะได้คุยกันจริงจังวันนี้เอง หรือกูคิดมากไป? ...”

    “มึงไม่ได้คิดมากไป มึงคิดถูกแล้ว” กระถินพูดออกมา แต่เหมือนว่ามันก็ยังไม่ได้เข้าไปในหูของพลับพลึงเท่าไหร่

    “กูคิดมากไปแหละ พี่เขาก็แค่มีน้ำใจ อยากช่วยเพราะมันหนักเฉยๆ ใช่ๆ แบบนั้นแน่ๆ” แล้วพลับพลึงก็สรุปความคิดของตัวเองเสร็จสรรพ กระถินถึงกับทำสีหน้าเหนื่อยใจเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ฟังประโยคที่ตนพูดไปเมื่อกี้เลย

    “อ้าวพี่กระถิน?”

    “...” 

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ที่ศาลเจ้าที่ไม่มีคนเอาของกินมาไหว้หรอ?”

    “กูเบื่อมึงจริงๆ อีพลับพลึง” กระถินตอบกลับ ก่อนจะเดินลอยส่ายหัวไปมา นำหน้าพลับพลึงกลับบ้าน

    “อะไรของเขาวะ?” พลับพลึงเกาหัวแกร๊กๆ เพราะตามอารมณ์ของผีเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไม่ทัน 

    “ผีไม่น่าจะมีเลือดลม แต่ทำไมอารมณ์แปรปรวนจัง?” คิดอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ถามออกไปเพราะรู้ว่าถ้าได้กินของเซ่นไหว้ที่ทำให้เดี๋ยวก็หายเป็นปกติ

    พลับพลึงใช้เวลาเดินตามหลังผีกระถินไม่นานก็มาถึงบ้าน แต่พอมาถึงยังไม่ทันได้ทำอะไรเสียงเย็นๆ ของผู้เป็นพ่อที่รออยู่หน้าบันไดบ้านก็เรียกเสียก่อน

    “พลับพลึง หนูกับพ่อมีเรื่องต้องคุยกัน” พูดจบก็เดินเข้าไปให้ห้องพระ เป็นอันรู้ว่าให้รีบตามเข้าไป

    “จ่ะพ่อ” ตอบรับเสียงอ่อย แม้จะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดมาเพราะนึกไม่ออกก็ต้องตีหน้างงไว้ก่อน พ่อจะได้เชื่อว่าไม่รู้จริงๆ แต่สีหน้าของผู้เป็นพ่อที่เห็นเมื่อกี้นี้บอกกลายๆ ได้ว่า แผนการนี้ไม่น่าจะได้ผล มาถึงตรงนี้พลับพลึงก็คิดว่าหรือจะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่จอมทัพไปถาม แต่พอคิดอีกทีเรื่องที่น่าจะเป็นประเด็นที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเธอไปนั่งเฝ้าผู้ชายห้าคนที่สถานีอนามัยมากกว่า

    หญิงสาวรีบตักน้ำในตุ่มหน้าบ้านมาล้างเท้าให้สะอาดเรียบร้อยแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน พอขึ้นมาแล้วก็รีบปลดสายตะกร้าสานลงจากบ่าเล็กวางไว้ที่แคร่ และวิ่งเข้าห้องพระไป

    พอเข้ามาแล้วพลับพลึงก็เห็นว่าพ่อนั่งหันหน้ามาทางตนพอดี พลับพลึงที่ไม่รู้เรื่องอะไร และทำตัวไม่ถูกก็ได้แต่ทำตัวลีบนั่งลงที่พื้นว่างๆ

    เพี๊ยะ!

    อึก!

    พลับพลึงนั่งลงก้นยังไม่ทันถึงพื้นดี ภพธรก็ใช้หวายฟาดลงพื้นเฉียดตัวลูกสาวไปนิดเดียว

    “พ่อจ๋าเป็นอะไร?” พลับพลึงถามผู้เป็นพ่อเสียงสั่น สีหน้าสงสัย เพราะหากเมื่อกี้หญิงสาวขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ ผู้เป็นพ่ออีกนิดเดียว หวายเส้นนั้นได้ฟาดมาโดนตัวของเธอแน่ๆ

    “วันนี้ไปทำอะไรมา”

    “เอาตั้งแต่เช้าเลยมั้ยจ๊ะ หรือช่วงสายๆ” แม้จะกลัวแต่พลับพลึงก็ยังคงอยากเล่นกวนผู้เป็นพ่อ

    “...”

    “อุ่ย! ไม่เล่นเนอะ” เห็นสีหน้าขึงขังของพ่อ พลับพลึงจึงเลิกเล่นลิ้น “วันนี้ตอนเช้าหนูก็ทำงานบ้าน รดน้ำต้นไม้ ปลูกผักเหมือนทุกวันนั่นแหละ”

    “...” ภพธรมองหน้าลูกสาว เพื่อหาว่ามีพิรุธอะไรหรือโกหกอะไรอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากดวงตากลมโตใสแจ๋วที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่

    “ต่อเลยนะพ่อ”

    “อือ”

    “ก่อนออกจากบ้านพี่กระทิงมันมาหา ถามว่าวันนี้เข้าป่ารึเปล่า หนูเลยพูดตามที่พ่อบอกไปว่าที่ป่าผีมันดุ แต่ถ้ามันจะไปด้วยก็เตรียมตัว แต่สุดท้ายก็นั่นแหละ พี่กระทิงมันกลัวผีมันไม่ไปกับหนูหรอก”

    “แล้วได้เข้าป่ารึเปล่า?”

    “พ่อบอกไม่ให้เข้า หนูก็ไม่เข้า...แต่หนูไปเข้าที่ป่าไผ่แทน” พอได้ยินว่าลูกสาวเชื่อฟังที่ตนบอกภพก็พยักหน้าหนึ่งครั้ง หากแต่เรื่องที่ยากได้ความชัดเจนนั้นลูกสาวกลับยังไม่พูดออกมา

    “แล้วยังไงต่อ”

    “หนูก็สะพายตะกร้าไปใช่มั้ยล่ะ แล้วทีนี้ระหว่างทางอ่ะก็ต้องผ่านป่ากล้วย หนูเห็นว่ามันมีอยู่ต้นหนึ่งออกเครือใหญ่อยู่เลยแวะตัด”

    “...”

    “แล้วระหว่างที่ตัด เพื่อนพี่จอมที่เป็นแฝดกันก็ผ่านมาพอดี หนูเลยแบ่งกล้วยให้พวกพี่เขาไป”

    “...” พอเล่ามาสักพักเห็นว่าผู้เป็นพ่อยังเงียบ พลับพลึงก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ

    หรือจะใช่วะ

    “พ่อฟังหนูอยู่มั้ยจ๊ะ?”

    “อืม ฟังอยู่”

    “งั้นหนูเล่าต่อนะ”

    “อืม”

    “พอแบ่งกล้วยเสร็จ พวกพี่เขาก็เดินไปพร้อมหนูเพราะพวกเขาไปที่อนามัย ส่วนหนูไปที่ป่าไผ่ ระหว่างทางพี่เขาน่าจะเห็นว่าตะกร้าที่หนูสะพายมันหนัก เขาเลยช่วยยกตูดตะกร้าให้ พอเดินมาถึงทางแยกไปป่ากับอนามัย พวกเราก็แยกกัน”

    “เดี๋ยว!!” พอลูกสาวเล่ามาถึงตรงนี้ ภพธรก็เอ่ยขัดขึ้นมา

    “จ๊ะพ่อ?”

    “เพื่อนไอ้จอมมันแค่ช่วยยกตูดตะกร้าให้ใช่มั้ย”

    “ใช่จ่ะ” มาถึงตรงนี้ พลับพลึงก็พอจะรู้ถึงสาเหตุที่พอเรียกตัวเองเข้ามาในห้องพระแล้ว “อย่าบอกนะว่ามีคนไปบอกพ่อว่าพวกพี่เขาจับก้นหนูน่ะ”

    “อือ”

    “หนูว่าแล้ว” พลับพลึงตบเข่าตัวเองหนึ่งฉาด กะไว้แล้วว่าน่าจะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่จอมทัพไปถาม

    “ว่าแล้วอะไร?”

    “ว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่องเดียวกันกับที่พี่จอมไปถามหนูแน่ๆ”

    “ไอ้จอมมันไปถามแล้วหรอ?”

    “ถามแล้วจ่ะพ่อ”

    “ก็ดี...แล้วสรุปคือพวกมันแค่ช่วย ไม่ได้ทำลามกใช่มั้ย”

    “แค่ช่วยจริงๆ จ่ะพ่อ หนูสาบานได้” เมื่อได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นมาจากปากของลูกสาวภพธรก็ถอนหายใจออกมา

    “งั้นก็ดีไป เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อไปแก้ข่าวลือให้” ภพธรพูดออกมาอย่างเหนื่อยใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวของตัวเองมีข่าวลือเสื่อมเสียออกมา

    “ป้ากรุ่นใช่มั้ยจ๊ะพ่อ” พลับพลึงถามออกมา ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือภพธรพยักหน้า

    “อืม”

    “ป้ากรุ่นกับป้าเจียมนี่เหมาะกันดีเนอะ ศีลเสมอกันดี”

    “ถ้าไม่เสมอกัน มันเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก” ภพธรพูดเสริมเพราะเห็นด้วยกับที่ลูกสาวพูดมา “แต่เราน่ะนับวันชักจะปากดีขึ้นนะ”

    “พี่กระถินสอนมา” หญิงสาวที่ถูกผู้เป็นพ่อพูดมาแบบนี้ ก็ได้โยนความผิดให้ผีกระถินไป เพราะรายนั้นเป็นผีปากจัดพอสมควร “แล้วพ่อมีอะไรจะถามหนูอีกมั้ยจ๊ะ?”

    “ไม่มีแล้ว”

    “ห๊ะ!! ไม่มีแล้วหรอ?”

    “ไม่มีแล้ว”

    “ไม่มีจริงๆ หรอ?” พลับพลึงถามย้ำ เพราะเรื่องที่ตนเองไปนั่งอยู่กับชายฉกรรจ์ห้าคน ดูน่าเป็นห่วงกว่าเรื่องที่ป่ากล้วยเสียอีก

    “อือ ไม่มี” แม้ว่าลูกสาวจะถามย้ำ หากแต่ภพธรก็ยังคงตอบคำเดิมออกไป

    “จริงง่ะ?”

    “มีอะไรจะพูดก็พูดมาเลยดีกว่าพลับพลึง” เพราะทนกับความกวนของลูกสาวไม่ไหว ภพธรจึงได้พูดออกมา เขาพอจะเดาได้ว่าลูกสาวหมายถึงเรื่องอะไร แต่เรื่องนั้นภพธรไม่ได้สนใจเลยไม่ได้ถามถึงมันก็เท่านั้น

    “ไม่มีใครมาฟ้องพ่อเลยหรอ?” หญิงสาวลองหยั่งเชิงดู

    “ฟ้องเรื่อง?” ภพธรถามกลับด้วยสีหน้าเฉยชา ประหนึ่งว่านอกจากเรื่องที่ป่ากล้วย ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาสนใจอีกแล้ว

    “เรื่องที่หนูอยู่ที่อนามัยกับผู้ชายห้าคน”

    “แล้ว?”

    “พ่อไม่ว่าหนูหรอจ๊ะ?”

    “ว่าทำไม อีบัวตองกับเพื่อนมันก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรอ?”

    “ก็...อยู่จ่ะ แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่อยู่นะ กว่าพวกมันจะมาก็นานอยู่”

    “แล้วก่อนที่พวกอีบัวตองจะมาเรากับพวกพี่ๆเขาทำอะไรกัน” ในเมื่อลูกสาวอยากเล่า ภพธรก็ไม่ขัด

    หลังคำถามนี้ของภพธร พลับพลึงก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ผู้เป็นพ่อฟังอย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่เหตุการณ์เดียว พอเล่าเสร็จพลับพลึงก็พอว่าภพธรผู้เป็นพ่อนั่นมีสีหน้าอมยิ้มและบางทีก็หลุดขำออกมา หญิงสาวมั่นใจว่าเรื่องที่ตนเองเล่านั้นไม่มีส่วนไหนที่ดูตลกหรือน่าขำเลยสักนิด แล้วทำไมพ่อของเธอถึงขำกันนะ

    “เรื่องที่จะเล่ามีแค่นี้ใช่มั้ย?”

    “แค่นี้จ่ะพ่อ”

    “งั้นก็ไปเตรียมตัวอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวกับข้าวเย็นนี้พ่อทำเอง” พอพูดสั่งลูกสาวเสร็จสรรพภพธรก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้พลับพลึงที่ยังงุนงงกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั่งอยู่ในห้องพระอย่างเดิม

    กระถินที่เห็นว่าสองพ่อลูกเข้าไปคุยกันในนั้นนานแล้วก็ชักสงสัย แต่ก็เข้าไปฟังใกล้ๆ ไม่ได้ เพราะภพธรใช้อาคมบังเอาไว้ ผ่านไปสักพักก็เห็นว่าภพธรเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ดีกว่าตอนเข้าไป

    “ลดความปากจัดของมึงลงบ้างนะอีกระถิน”

    “กู? กูปากจัด?” กระถินที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่าตัวเองโดนพลับพลึงโยนความผิดให้ถึงกับทำหน้างง แต่พอจะถามให้รู้เรื่องภพธรก็ยกตะกร้าสานเข้าไปในครัวเสียแล้ว

    ดังนั้นคนที่พอจะไขข้อข้องใจได้ในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่คนเป็นลูกสาวเท่านั้น แต่รอแล้วรอเล่าจนภพธรจุดไฟเตาเสร็จพลับพลึงก็ไม่ออกมาให้ถามสักที กระถินจึงได้เดินเข้าไปใกล้ๆ ห้องพระแล้วเรียกคนที่อยู่ข้างใน

    “อีพลับพลึง มึงโดนพ่อมึงฆ่าหมกห้องพระไปแล้วหรอ?” 

    “นั่นปากหรอพี่กระถิน!!?” กระถินถามเสียงดังเข้าไปในห้องพระไม่นาน คนที่อยู่ข้างในก็โต้กลับ เป็นอันรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่

    “กูเห็นพ่อมึงออกมานานแล้ว มึงยังไม่ออกมาสักทีก็นึกว่าโดนพ่อมึงเชือดตายคาห้องพระไปแล้ว” 

    ปัง!!

    “พรุ่งนี้ไม่ต้องกินบัวลอยมะพร้าวอ่อน” สั่งเสียลงโทษผีเจ้ากรรมนายเวรตัวเองจบ พลับพลึงก็เดินลงไปอาบน้ำทิ้งให้ผีกระถินยืนสติหลุดลอยกับคำว่า

    ไม่ต้องกินบัวลอยมะพร้าวอ่อน

    บัวลอยมะพร้าวอ่อน

    ไม่ต้องกิน

    พอตั้งสติได้ กระถินก็รีบตามหลังพลับพลึงที่ลงไปอาบน้ำ

    “ไม่ได้! กูต้องได้กินบัวลอยมะพร้าวอ่อน” 

    “...” แม้จะได้ยินผีกระถินพูดกรอกหู แต่พลับพลึงก็เลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาอาบน้ำขัดผิวต่อ จนผีสาวทนไม่ไหวยื่นคำขาดออกมา

    “ได้มึงจำไว้เลยนะอีพลับพลึง” 

    “ทำไมพี่จะทำอะไรหนูล่ะ?” พลับพลึงชะงักมือที่กำลังใช้มะขามขัดผิว หันไปมองทางผีสาว

    “มึงจำไว้เลยนะ...” ผีสาวชี้นิ้วใส่พลับพลึงที่ลอยหน้าลอยตาท้าทายตน “เออ! กูไม่กินขนมของมึงก็ได้!”

    “...”

    “กูจะไปขอลุงเจ้าที่กิน กูไม่ง้อมึงหรอก!!” 

    “ตามสบายเลยพี่ ขอให้พรุ่งนี้มีคนทำขนมไปไหว้เจ้าที่นะ” นอกจากไม่ง้อแล้ว พลับพลึงยังอวยพรให้อีกด้วย กระถินที่ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่กระทืบเท้าออกจากห้องน้ำไปอย่างอารมณ์เสีย

    เกิดอะไรขึ้นว่ะ? ทำไมอยู่ดีๆ กูก็เปิดคนผิดเฉย 

    ผีกระถินครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไปทำมาในวันนี้ แต่ก็ยังไม่เห็นสักนิดว่าตนเองทำอะไรผิดไป จนกลายเป็นผีที่อดกินบัวลอยมะพร้าวอ่อนอยู่ตนเดียว ซึ่งสีหน้าของกระถินในตอนนี้ที่แสดงออกมาก็ทำให้ผีดาวเรืองกับผีไอ้เอกขำออกมา

    หลังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยพลับพลึงก็นึกขึ้นได้ว่าต้องแบ่งหน่อไม้ไปให้หนุ่มๆที่บ้านพัก ไม่รอช้าหญิงสาวรีบจัดแจงแบ่งมันออกมาและใส่มันลงในตะกร้าทันที

    หญิงสาวรีบยกมันขึ้นสะพายและเดินออกจากบ้าน แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมบอกกับผู้เป็นพ่อก่อนว่าตัวเองจะไปไหน

    “พ่อจ๋า หนูเอาหน่อไม้ไปให้พี่ๆเขาก่อนนะ”

    “รีบไปรีบกลับล่ะ อย่าให้มืด” 

    “รับทราบ”

     

    ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
    เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา
    พลีสสส
    (❁´◡`❁)

    ??’?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×