คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : พลับพลึงดอกที่ 13 เข้าตัว
พลับพลึงนั่งรอให้แดดร่มตามที่จอมทัพขอ แต่ในระหว่างที่รอก็มีเสียงงอแงของบัวตองดังรบกวนอยู่ตลอดเวลา แม้จะรู้สึกรำคาญแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดว่าอะไร ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่าเสียงของบัวตองแทบไม่เข้ามาในหูของพลับพลึงเลยสักนิดเพราะสติของหญิงสาวกำลังตกอยู่ในภวังค์ สมาธิจดจ่ออยู่กับเสียงพูดของผีกระถินที่กำลังพูดเรื่องที่พ่อเธอฝากมาบอก
“อีพลับพลึง พ่อมึงให้กูมาบอกว่าวันนี้จะกลับบ้านดึกนะ เห็นว่าหาร่างไอ้เอกเจอแล้ว” กระถินบอกกล่าวกับพลับพลึงที่นั่งฟังอยู่เฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้กลับเพราะตอนนี้หญิงสาวรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว แต่มีเพื่อนของจอมทัพและกลุ่มของบัวตองอยู่ด้วย แต่ถ้าที่นี่มีแค่กลุ่มของบัวตอง ไม่แน่ว่าพลับพลึงอาจจะพูดโต้ตอบกระถินออกไปก็ได้
“...”
“กูคุยด้วยก็ทำเงียบอีก” กระถินรู้ดีว่าที่พลับพลึงไม่ตอบโต้เป็นเพราะอะไร แต่ผีสาวก็อดที่จะแหย่เล่นไม่ได้
“หยิ่งนะมึง”
ถ้าไม่ติดว่ามีพวกพี่ๆ เขาอยู่ด้วยฉันก็คุยกับพี่ไปแล้ว
พลับพลึงมองไปยังทิศทางที่ผีกระถินอยู่ ก่อนจะตอบกลับไปทางสายตา
อาการนิ่งเงียบของพลับพลึงที่ไม่ยอมพูดอะไรกับใครตั้งแต่เขาเอ่ยปากขอให้หญิงสาวรอ ทำให้จอมทัพอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่เขากำลังเป็นห่วงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างตั้งใจเขาก็ใจชื้น เพราะอย่างน้อยมันเป็นสัญญาณว่าหญิงสาวนั้นไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรที่มีคนอื่นอยู่ด้วย
ซึ่งการที่จอมทัพหันไปสนใจพลับพลึงอยู่ตลอดเวลาทำให้บัวตองที่มองและสังเกตชายหนุ่มอยู่ไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่เธอก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ ได้แต่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเท่านั้น และเมื่อเห็นว่าคู่อริที่ตนไม่ชอบหน้าไม่ได้สนใจใครนอกจากหนังสือที่อยู่ในมือ บัวตองก็เกิดอาการอยากแซะตามประสาคนที่ไม่ถูกขี้หน้ากันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อีพลับพลึง มึงอ่านหนังสือออกด้วยหรอ? กูไม่ยักรู้” บัวตองถามออกมาอย่างตั้งใจให้พลับพลึงรู้สึกเสียหน้า เพราะเท่าที่เห็นบัวตองมั่นใจว่าหนังสือที่อยู่ในมือของคู่อริตนนั้นไม่ใช่ภาษาที่ตนเองเคยเรียนมาอย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้ว่าบอกว่าเคยเรียน แต่สมัยที่ได้เรียนนั้นบัวตองก็ไม่ได้สนใจที่จะเรียนเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะแม่ของเธอเคยบอกว่า เกิดเป็นผู้หญิงต้องเรียนรู้การเป็นแม่บ้านแม่เรือนและหาผัวดีสักคนมาคอยดูแล ดังนั้นไอ้เรื่องการเรียนเขียนอ่านอะไรนั่นก็ไม่ต้องไปสนใจ ซึ่งบัวตองก็เห็นดีเห็นงามอย่างที่แม่ของตนพูดมา ซึ่งต่างจากคนเป็นพ่อที่ไม่ได้คิดอย่างนั้นแต่ก็เอ่ยขัดอะไรไม่ได้
“…!!??” พลับพลึงเงยหน้าขึ้นมามองคนพูด
“กูเห็นมึงเปิดพลิกไปพลิกมา ถ้าอ่านไม่ออกก็วางลงเถอะ เดี๋ยวหนังสือเขาจะพังเอาซะเปล่าๆ” พูดจบบัวตองก็หัวเราะออกมา ไม่ได้สนใจโสนที่สะกิดแขนตัวเองยิกๆ เลย
ปึก!
สิ้นคำพูดของบัวตองพลับพลึงก็ปิดหน้าหนังสือ แต่ไม่ได้วางมันลงแต่อย่างใด หญิงสาวจ้องไปที่บัวตอง ก่อนที่ประโยคต่อมาจะทำให้อีกฝ่ายหน้าม้าน
“ถ้ากูอ่านไม่ออก กูก็คงไม่เปิด...”
“แต่มึงก็อะ...”
“ถ้ามึงจะบอกว่ากูดูภาพ กูก็คงต้องเสียใจแทนมึงด้วย เพราะหนังสือเล่มนี้มันไม่มีและที่สำคัญเผื่อว่ามึงจะลืมไปนะอีบัวตอง...” พลับพลึงพูดและจ้องหน้าบัวตองไม่ละสายตา ทำให้บัวตองรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่บริเวณต้นคอแปลกๆ
หญิงสาวคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากสายตาที่ใช้จ้องมองจนน่ากลัวของพลับพลึง แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นมันก็คงเป็นเพราะว่า ตอนนี้ผีกระถินได้กำลังเป่าลมเย็นๆ ใส่ต้นคอของอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง แน่นอนว่าพลับพลึงเป็นคนเดียวที่เห็นถึงการกระทำนี้
“กูลืมอะไร?” แม้จะรู้สึกกลัวสายตาที่มองมาและรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ แต่บัวตองก็ยังคงทำปากดีใส่
“แม่กู...มาจากในเมือง”
สิ้นสุดประโยคนี้ที่พลับพลึงพูดออกมา ก็ทำให้ชายหนุ่มอย่างทศพลถึงบางอ้อในข้อสงสัยบางอย่างออกมาทันที
“กูก็ว่าแล้วว่าทำไมน้องเขาแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น” ทศพลตบเข่าตัวเองหนึ่งฉาดใหญ่
“ไม่เหมือนยังไงวะ?” พระนายเอ่ยถาม เพราะเท่าที่ดูมาเขาก็ยังไม่เห็นอะไรตรงไหนเลยที่มันแปลก
“เฮ้อออ” แทนถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง “มึงคิดว่าน้องเขาแต่งตัวเหมือนอะไร”
“อืมมม” พระนายจับจ้องมองไปยังพลับพลึงเพื่อหาจุดสังเกตที่เพื่อนบอก แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังหาไม่เจอ จนเทวินทร์ทนไม่ไหวต้องใบ้ออกมา
“มึงบอกกูหน่อยว่าผู้หญิงคนอื่นในหมู่บ้านแต่งตัวยังไง” จบคำถามของเทวินทร์ พระนายก็มองไปยังกลุ่มของบัวตอง
“พวกนั้นใส่เสื้อแขนกระบอก นุ่งผ้าถุงสีพื้น? ...” พระนายตอบตามที่เห็นและก็เหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เออ จริงด้วยว่ะ เสื้อคอกลมสีขาว นุ่งโจงกระเบน มันเหมือนอะไรนะ? กูนึกไม่ออก”
แต่ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรออกมาเพื่อคาดเดาสิ่งที่ตัวเองคิด จอมทัพก็ได้เฉลยออกมาให้เพื่อนรู้
“เหมือนเด็กนาฏศิลป์”
“เออๆ ใช่ เหมือนเด็กนาฏศิลป์” พอจอมทัพพูดมาแบบนี้พระนายก็เข้าใจได้ในทันที
“กูก็สงสัยอยู่ว่าทำไมน้องเขาแต่งตัวต่างจากชาวบ้าน ที่แท้ก็เป็นเด็กนาฏศิลป์จากในเมืองนี่เอง” แทนพยักหน้าเข้าใจ
ในขณะที่หนุ่มๆ กำลังพูดคุยกันถึงสิ่งที่เคยสงสัย ทางด้านของผู้หญิงก็ยังคงจ้องหน้ากันไม่ละสายตาไปไหน โดยคนที่จ้องตาไม่กะพริบเลยก็คือพลับพลึง ที่รอดูว่าบัวตองจะพูดแซะอะไรออกมาอีก
“แต่ถึงแม่มึงจะมาจากในเมือง แต่กูก็เห็นนะว่านั่นไม่ใช่ภาษาไทย กูไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างมึงน่ะจะอ่านภาษาของพวกฝรั่งออก” บัวตองเชิดหน้าพูดอย่างรู้สึกเป็นต่อ เพราะถึงแม้พลับพลึงจะบอกว่าแม่ตัวเองมาจากในเมือง ทำให้มันอ่านเขียนภาษาไทยได้
แต่ก็นั่นแหละส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอีกฝ่ายได้เรียนในโรงเรียนเดียวกับตัวเอง ภาษาไทยก็ย่อมแตกฉาน แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่โรงเรียนจะสอนภาษาของพวกต่างชาติจนมันสามารถอ่านออกและรู้เรื่องราวในนั้น บัวตองยังจำได้ดีว่าภาษาของพวกฝรั่งมันเข้าใจยากมากแค่ไหนและคุณครูที่มาสอนให้ก็ใช้ว่าจะสอนรู้เรื่องอะไรขนาดนั้น
บัวตองได้ยินมาจากป้าเจียมแม่ของกระทิงว่าภาษาต่างประเทศหรือภาษาของพวกฝรั่งนั่น เรียนรู้ยาก พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ตัวหนังสือก็แปลกประหลาดตา ตอนนั้นที่ได้ฟังบัวตองก็คิดว่าดีแล้วที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจเรียนภาษาพวกนั้นให้ปวดหัว ลำพังเข้าเรียนแค่ไม่กี่ครั้งก็ตาลายแล้ว
เพราะขนาดภาษาของตัวเองหญิงสาวยังคิดว่ามันยากจนไม่อยากเรียนเลย นับประสาอะไรก็ภาษาของพวกต่างถิ่น และบัวตองก็มั่นใจด้วยว่าคู่อริของตนไม่มีทางอ่านออกแน่ๆ อย่างมากก็ได้แต่ทำท่าเหมือนอ่าน แต่ความจริงๆ คือดูผ่านตาและทำท่าว่าสนใจมากกว่า
“ทำไมมึงถึงคิดว่ากูอ่านไม่ออก? มึงอย่าลืมนะว่าขนาดภาษาเขมรกูยังพูดได้ แล้วนับประสาอะไรกับไอ้ภาษาพวกนี้”
อึก!!
พอพลับพลึงพูดถึงภาษาเขมร บัวตองก็เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ นั่นสิหล่อนลืมไปได้อย่างไรว่าพ่อของพลับพลึงเป็นสัปเหร่อ ซึ่งการเป็นสัปเหร่อนั่นต้องเป็นคนที่มีอาคมและสามารถท่องคาถาได้
อีกอย่างเหมือนป้าเจียมจะเคยพูดด้วยว่าภพธรพ่อของพลับพลึงนั่นนอกจากจะเป็นสัปเหร่อคอยทำศพให้คนตายแล้ว เขาอาจจะยังเคยเป็นหมอธรรมอีกด้วย
แม้เรื่องนี้ป้าของเธอจะพูดว่ามันเป็นแค่ข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่พอถึงเวลาที่ต้องทำพิธีอะไรที่ต้องมีการท่องมนต์ท่องคาถา ภพธรก็จะเป็นคนรับทำหน้าที่นี้เสมอ และนอกจากนี้เมื่อวานคนทั้งหมู่บ้านยังเห็นด้วยตาของตัวเองว่าพลับพลึงเป็นคนมาทำพิธีรับขวัญแทนผู้เป็นพ่อ
คิดว่าถึงตรงนี้ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าพลับพลึงจะมีคาถาอาคมและเล่นของแบบผู้เป็นพ่อที่เป็นสัปเหร่อ ก็ทำให้บัวตองแอบกังวลออกมาไม่ได้ว่าหากตนทำอะไรไม่ดีเข้าจนอีกฝ่ายไม่พอใจ ตนเองก็อาจจะทำของใส่ตัวเข้าก็ได้ โดยที่ไม่รับรู้เลยว่าภาษาเขมรที่พลับพลึงพูดถึงนั้นไม่ใช่พวกมนตราคาถาอะไรทั้งนั้น แต่เป็นแค่การพูดคุยที่เป็นภาษาเขมรเฉยๆ
ขณะที่บัวตองกำลังหวั่นวิตกคิดเองเออเองไปไกล ก้านพลูกับโสนที่ไม่ได้รู้ในสิ่งที่บัวตองรู้กลับมีอาการตรงข้าม ทั้งสองสาวนั่นไม่ได้ตกใจอะไรกับสิ่งที่พลับพลึงพูดออกมาเลย เพราะพวกคนรุ่นเดียวกันกับพวกเธอนั้น ใครๆ ต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าพลับพลึงนั่นต่างจากเด็กคนอื่นที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน
เพราะในขณะที่เด็กคนอื่นพากันจับกลุ่มเล่นตามประสา พลับพลึงที่ถูกปล่อยข่าวลือออกมาว่ามองเห็นผีและเป็นเด็กบ้าจนไม่มีคนเล่นด้วย ก็ได้แต่ต้องตั้งใจเรียนในสิ่งที่ครูที่โรงเรียนสอนเสมอ ยามอยู่ที่บ้านก็ต้องตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อแม่สอนในทุกๆ วัน
บางครั้งในตอนที่ยังเป็นเด็ก เวลาที่ก้านพลูกับโสนเดินผ่านบ้านของอาภพที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นสัปเหร่อเต็มตัวอย่างในตอนนี้ ทั้งสองยังเคยได้ยินพลับพลึงคุยผ้าแพรผู้เป็นแม่ด้วยภาษาแปลกประหลาดที่พวกเธอฟังไม่เข้าใจอีกด้วย และนั่นก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่เป็นหลายๆ ครั้งเลยต่างหากที่พวกเธอได้ยิน แม้จะไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยเรื่องอะไรกัน แต่สองสาวในตอนนั้นก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อยและคิดว่ามันอาจจะเป็นภาษาลับๆ ที่สองแม่ลูกใช้ได้กันมากกว่า
“มึงเป็นอะไรอีกล่ะน่ะ ตัวสั่นเชียวอีบัวตอง” พอหลุดจากความคิดของตัวเอง โสนจึงได้เลิกมองพลับพลึงและหันมามองคนข้างๆ จนได้เห็นว่าเพื่อนตัวดีปากแจ๋วของตนเองกำลังตัวสั่น ไม่รู้ว่าสั่นโกรธ สั่นสู้หรือสั่นกลัว แต่ดูจากท่าทางแล้วนั้น โสนกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
“กะ กู...ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” บัวตองสะบัดหน้าเชิดใส่พลับพลึงที่ยังคงมองตัวเองอยู่ไปทางอื่น ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและพูดออกมา
“ตอนนี้ฉันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว อย่างไรฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ มีงานต้องไปทำต่อ ไม่ได้ว่างมานั่งเฝ้าผู้ชายอย่างใครบางคน” ประโยคแรกพูดกับกลุ่มของจอมทัพ ส่วนประโยคหลังตั้งใจพูดกระทบพลับพลึง แต่เหมือนว่าพลับพลึงจะไม่รับ เพราะพอบัวตองพูดประโยคนี้จบ พลับพลึงก็วางหนังสือลงที่โต๊ะตรงหน้า ก่อนจะนั่งหลังตรง ยกแขนกอดอก ขานั่งไขว่ห้าง และพูดสวนกลับไปจนบัวตองที่ได้ยินต้องกัดฟันกรอด
“ก่อนที่จะพูดออกมามึงคิดแล้วใช่มั้ยอีบัวตอง ว่าคำพูดของมึงที่กำลังว่าคนอื่นจะไม่ย้อนกลับไปที่ตัวของมึงเอง”
“อี....”
“กูก็ไม่ได้ว่างมานั่งเฝ้าใคร แต่ในเมื่อพี่จอมเขาของให้กูรอ มึงคิดว่าคนที่เป็นเด็กอย่างกูจะขัดใจคนที่โตกว่าได้หรอ?” พลับพลึงยกยิ้มที่มุมปากที่ดูน่าหมั่นไส้ส่งไปให้บัวตอง “แต่ใครจะไปเหมือนมึงล่ะเนอะ ร้อยวันพันปีไม่เคยป่วย พอมีหมอหนุ่มๆ เข้ามาในหมู่บ้านได้ไม่ทันไร อาการป่วยก็มาซะละ”
ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา
พลีสสส
(❁´◡`❁)
ความคิดเห็น