ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลงใหล ใคร่รัก [อ่านฟรี มี E-Book]

    ลำดับตอนที่ #14 : พลับพลึงดอกที่ 11 มีแววว่า...

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 67


    หลังช่วยล้างหน่อไม้ทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จอมทัพยังใจดีอาสาที่จะช่วยแบกตะกร้าให้ แม้ว่าหญิงสาวจะปฏิเสธไปหลายครั้งแต่ชายหนุ่มก็ยังยืนยันที่จะช่วยให้ได้และพอเอาเข้าจริงๆ กลับมีความรู้สึกว่ากระดูกของเขาอาจจะลั่นในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้

    อึก!

    “เหอะๆๆ หนักเหมือนกันเนอะ” หันไปส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับหญิงสาวที่คอยส่งมาไปจับประคองตะกร้าอย่างกลัวว่ามันจะทำให้คนที่อาสาช่วยล้ม

    “หนูบอกแล้วว่าเดี๋ยวหนูแบกเอง”

    “ไม่ได้หรอก เราเป็นผู้หญิงนะ พี่จะปล่อยให้เราแบกของหนัก แล้วพี่เดินตามตัวเปล่าได้ยังไง” ถึงจะรู้สึกว่าตะกร้าที่หลังมันหนักแสนหนัก แต่จอมทัพยังคงพยายามไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ยังคงท่าทางการเป็นหนุ่มหล่อแสนดี มาดแมนและแข็งแรงพอที่จะยกของหนักได้อย่างสบายๆ

    “แต่หลังของพี่...”

    “ไม่เป็นไรครับ”

    “...”

    “ฮึบ!”

    “ไม่เป็นไรแน่นะพี่จอม”

    “ไม่...ไม่เป็นไรครับ พี่สบายมาก”

    “ค่ะๆ สบายก็สบาย” ตอบเหมือนเห็นด้วยอย่างจนใจ ในเมื่ออีกฝ่ายดื้อรั้นที่จะทำมันให้ได้ก็คงต้องปล่อยให้ทำไป ไว้พอเหนื่อยก็คงล้มเลิกมันไปเอง

    พอคนตรงหน้าบอกว่าสบายพลับพลึงก็ไม่ได้เซ้าซี้ที่จะขอตะกร้าคืนอีก สองหนุ่มสาวพากันเดินลัดเลาะออกมาจากป่าไผ่ โดยที่รอบๆ บริเวณนั้นเต็มไปด้วยคนในหมู่บ้านที่มองมายังทั้งคู่ด้วยสายตาแปลกๆ แน่นอนว่าคนอย่างพลับพลึงก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจมันอยู่แล้วจึงปล่อยผ่าน ซึ่งต่างจากชายหนุ่มอย่างจอมทัพ

    “มองอะไรกันหรอครับ?” ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คล้ายกับเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ให้กับทุกคนเห็น ว่าเขากับหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ นั้นไม่ได้มีอะไรเกินเลยหรือมีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น

    “เอ่อ...ไม่มีอะไรจ่ะพ่อทัพ ว่าแต่ทำไมถึงออกมากับพลับพลึงมันได้ล่ะ” สาววัยกลางคนเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น เพราะเธอเป็นหนึ่งในคนที่สนใจในตัวชายหนุ่มรุ่นลูกคนนี้และอยากได้ชายหนุ่มมาเป็นลูกเขยของตน เนื่องด้วยตอนนี้ลูกสาวของหล่อนก็อายุพอๆ กับพลับพลึงแล้ว เหมาะแก่การแต่งงาน มีเหย้ามีเรือน

    “ผมมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกับน้องน่ะครับ พอคุยเสร็จน้องจะกลับพอดี ผมเลยอาสาช่วย” ตอบอย่างไม่มีพิรุธใดๆ ให้จับสังเกตได้ แม้กระทั่งตัวของพลับพลึงเองยังเชื่อตามที่จอมทัพพูดมา ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในเหตุการณ์ แม้จะสงสัยว่าไอ้เรื่องที่เขาถามมันส่วนตัวตรงไหนแต่พลับพลึงก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องสนใจหรือสงสัยตอนนี้

    ปล่อยๆ ไปแล้วกัน

    “อ๋อ จ่ะๆ” แม้ว่าคำพูดของชายหนุ่มจะเป็นการตอบคำถามทั่วไป แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีแบบหล่อน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคำว่า ส่วนตัวที่หนุ่มรุ่นลูกคนนี้พูดมามันหมายความว่าอย่างไร

    “แล้วน้ามีเรื่องอะไรจะปรึกษาผมรึเปล่าครับ” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่เดินมากับตนเองเริ่มอยู่ไม่สุข ยุกยิกๆ ขยับเดินไปดูโน่นทีนี่ที เด็ดหญ้าไปก็หลายก้านแล้วช่วงที่หยุดพูดกับหญิงวัยกลางคนตรงหน้าในช่วงเวลาแค่ไม่มีวินาที

    “ไม่มีจ่ะ น้าก็แค่ทักทายพ่อทัพเฉยๆ”

    “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็เดินไปจูงมือของพลับพลึงที่กำลังเด็ดหญ้าเล่นให้เดินไปด้วยกัน

    แต่แทนที่ชายหนุ่มจะเดินไปส่งหญิงสาวกลับบ้าน เขากลับพาร่างบางเดินไปที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน สถานที่ทำงานของเขาและเพื่อนๆ แทน

    “ทำไมมาที่นี่ละคะ?” พลับพลึงถามอย่างสงสัย

    “แวะพักก่อนครับ”

    “ถ้าพี่เหนื่อย หนูแบกต่อเองก็ได้แค่นี้เองสบายมาก” หญิงสาวทำท่าจะเข้าไปแย่งตะกร้าจากชายหนุ่มมาแบกกลับบ้านเอง

    “ไม่เป็นไรครับ ที่ว่าจะพักเพราะตอนนี้แดดมันเริ่มร้อนแล้ว หนูเดินกลับบ้านไปตอนนี้แดดได้เผาผิวหนังกันพอดี ผิวเสียนะ” ประโยคสุดท้ายจอมทัพก้มลงมากระซิบที่ข้างใบหูขาว ถึงจะพูดว่ากระซิบแต่มันก็ไม่ได้ใกล้ชิดหรือพูดเสียงเบาอะไรขนาดนั้น

     

    หลังชายหนุ่มตกลงเองเสร็จสรรพว่าจะให้หญิงสาวนั่งพักอยู่ที่อนามัยจนกว่าแดดจะอ่อนลงเขาจึงจะยอมเดินแบกตะกร้าสานไปส่ง ร่างแกร่งสาวเท้าเข้ามาที่ด้านใน จัดการวางตะกร้าลงที่หน้าประตู กวาดสายตามองไปรอบๆ จนได้เห็นว่าตอนนี้เพื่อนๆ ได้เช็คยาและอุปกรณ์จนเสร็จกันไปมากกว่าครึ่งแล้ว

    “เหลืออะไรบางวะ?”

    “อ้าวกลับมาแล้วหรอ?” เทวินทร์เป็นคนแรกที่เอ่ยทักขึ้น

    “กว่าจะโผล่หัวกลับได้นะมึง พวกกูช่วยไอ้นายเช็คของจนจะจ่ายยาแทนหมออย่างมึงได้แล้ว” แทนไทเงยหน้าจากกองยาขึ้นมาพูดประชดไปหนึ่งประโยค

    “โทษทีๆ กูไปช่วยน้องมา” จอมทัพพูดขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วโป้งชี้โยงไปยังจุดที่พลับพลึงยืนอยู่

    “อ้าวน้อง?” แทนไททักขึ้นเมื่อเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เพิ่งเจอกันเมื่อตอนสาย

    “สวัสดีตอนเที่ยงค่ะ” พลับพลึงที่เห็นหน้าแทนไทมาเมื่อตอนสายๆ ก็จำได้และเอ่ยทักทายเขาอีกครั้ง

    “สวัสดีครับ เป็นไงมาไงถึงได้มากับเพื่อนพี่ได้ล่ะ” เอ่ยถามอย่างสนิทสนมและไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่ใช่กับจอมทัพ ทันทีเห็นว่าเพื่อนตัวดีดูท่าจะสนิทสนมกับหญิงสาวมากกว่าและทางหญิงสาวเองก็ดูสนิทกับเพื่อนกับมันมากกว่าเขา จึงมีความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเลือกที่จะเงียบไว้ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้แต่มองไปทางเพื่อนอย่างแทนไททั้งบังอาจทำตัวสนิทสนมกับน้องมากกว่าเขาด้วยสายตาเขียวปั้ด

    “ไม่ได้ไปไงมาไงหรอกค่ะ พี่จอมเขาเข้าไปถามอะไรนิดหน่อย ขากลับออกมาเลยอาสาแบกตะกร้าใบนั้นให้เฉยๆ” พลับพลึงตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ หากแต่มีคำหนึ่งคำที่ทั้งสี่คนต่างพากันสะดุดหู

    “พี่จอม?”

    “คะ?”

    “น้องเรียกเพื่อนพี่ว่า พี่จอมหรอครับ?” ทศพลถามอย่างสงสัย ก่อนที่ไม่นานก็ยิ้มออกมาและมองไปทางไอ้เพื่อนตัวดีด้วยสีหน้ามีเลศนัย “อ้อออ ครับๆ พี่รู้แล้วไม่ต้องพูดๆ” ยกมือห้ามเมื่อเห็นว่าร่างบางกำลังจะอ้าปากตอบคำถาม

    “เอ้า?” พลับพลึงเกาหัวแกร๊กๆ อุทานออกมางงๆ

    จอมทัพส่ายหน้ากับความคิดที่ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่าทศพลกำลังคิดอะไรอยู่เดินเข้าไปช่วยเทวินทร์จัดการของ ทิ้งให้พลับพลึงยืนอยู่ที่เดิม แทนไทเห็นแบบนั้นเลยบอกให้หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ

    “น้องพลับพลึงนั่งตรงนั้นได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ คิดว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเองก็ได้”

    “คะ? บ้านหนูหรอ?”

    “ครับ คิดว่าที่นี่คือบ้านตัวเองได้เลย อยากหยิบหนังสือเล่มไหนอ่านก็หยิบได้เลยครับ” พระนายตอบ แต่เหมือนว่าเขาจะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่ว่าถ้าอ่านหนัง...สือออไม่ออก”

    “คะ? พี่ว่าไงนะคะ” พลับพลึงเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือแพทย์ของพระนายที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะข้างเก้าอี้

    “อ่อ น้องพลับพลึงอ่านออกด้วยหรอครับ” ไม่ได้อยากดูถูกคนตรงหน้า พระนายแค่สงสัยเท่านั้นเพราะในตอนนี้คนที่จะอ่านออกเขียนได้นั้นมีน้อย แล้วหนังสือที่หญิงสาวกำลังก้มอ่านนั้นเป็นหนังสือของหมอที่ใช้เป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมดในการเรียนรู้

    “นี่หรอคะ?” พลับพลึงชูหนังสือเล่มหนาขึ้นมาให้ทั้งห้าคนเห็น “อ่านได้นิดหน่อยค่ะ เข้าใจแค่บางคำที่เหลือเปิดผ่านเฉยๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะจะไม่เปิดแรงจนเสียหายแน่นอน” เพราะคิดได้ว่าหนังสือเรียนในตอนนี้มีราคาค่อนข้างแพง พลับพลึงจึงได้รีบแก้ตัวและบอกไปเพื่อให้เจ้าของวางใจว่าเธอจะดูแลมันอย่างดี

    “ไม่ครับๆ ไม่ต้องเกรงใจถ้าน้องอ่านได้ก็อ่านไปเลยครับ พี่ไม่ได้หวง” พระนายเข้าใจประโยคสุดท้ายที่หญิงสาวพูด เขาจึงได้รีบพูดแก้ตัวไปทันทีเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะเข้าใจผิด

     

    จากนั้นทั้งห้าคนก็ช่วยกันเช็คของจนเสร็จ พระนายเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ไม่ไกลจากหญิงสาว หลังจากนั้นแทนไท ทศพล เทวินทร์และจอมทัพจึงตามมาสมทบพร้อมกับอุปกรณ์บางอย่างที่หญิงสาวเคยเห็นผ่านตาแต่ไม่รู้จักและกระปุกที่คิดว่าน่าจะเป็นกระปุกยา มาวางใกล้ๆ กับที่พระนายอยู่

    เมื่อของถูกวางและจัดแยกตามประเภทแล้ว จอมทัพได้พูดคำอะไรบางอย่างที่พลับพลึงไม่เข้าใจออกมาให้พระนายฟัง ก่อนที่ต่อมาพระนายจะลงมือเขียนลงในกระดาษ ทุกคำที่จอมทัพพูดออกมาพลับพลึงยอมรับเลยว่าไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เหมือนตอนที่ได้ยินพ่อสวดมนต์ครั้งแรก

    “นั่นลายมือหรอคะ? ทำไมเหมือนวาดหนอน?” หญิงสาวนั่งฟังทั้งสองพูดอะไรที่เข้าใจกันแค่สองคนครู่ใหญ่ ก็อดที่จะชะเง้อไปมองกระดาษที่พระนายกำลังเขียนอยู่ แต่พอได้เห็นหญิงสาวก็อดที่ถามอีกไม่ได้เช่นกัน

    “ลายมือปกติของพวกหมอครับน้องแปลก อุ๊บ!!” แทนไทที่อยู่ไม่ไกลและได้ยินที่หญิงสาวถามจึงได้ตอบไป แต่เหมือนว่าพลับพลึงจะหันมาสนใจที่เขาแทนกระดาษของพระนายเสียแล้ว

    “น้องแปลก? ใครคะ?” คำถามถึงชื่อนี้ ทำให้ความสงสัยเรื่องที่หญิงสาวสามารถอ่านภาษาต่างประเทศได้แม้จะเป็นเพียงแค่ไม่กี่คำถูกปัดตกออกจากสารระบบความสงสัยของทั้งสี่คนไปในทันที

    “เอ่อ...” แทนไทที่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอเรียกหญิงสาวตามน้องชายด้วยความเคยชินหันไปมองหน้าน้องชายเลิ่กลั่ก แต่ก็ถูกน้องชายหันหน้าหนี รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ด้วยทั้งหมดต่างก็พากันหันไปมองทางอื่นไม่มีใครคิดที่จะช่วยแทนไทแก้ตัวสักคน แต่ก่อนที่จะได้อ้าปากพูดแก้ตัวหญิงสาวก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

    “น้องแปลกคือฉัน? ทำไมฉันชื่อน้องแปลก แล้วทำไมถึงเป็นน้องแปลกคะ?”

    “เอ่อ...คือ ครับ น้องแปลกคือชื่อที่พี่เรียกหนู แต่ไม่ใช่พี่คนเดียวนะ พวกมันทุกคนก็เรียก” เมื่อคิดหาคำแก้ตัวดีๆ ไม่ได้ แทนจึงคิดที่จะโยนความผิดให้กับจอมทัพและกระจายความเสี่ยงให้อีกสามคนที่เหลือ เพราะจอมทัพคือไอ้ตัวตนเรื่องที่นำเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับหญิงสาวมาเล่าให้พวกเขาฟังจนน้องได้ชื่อน้องแปลกมา และไอ้สามคนที่เหลือก็พร้อมใจกันเรียกคนตรงหน้าว่าน้องแปลกเหมือนกัน (ในบางครั้ง)

    “ทำไมถึงเป็นชื่อนั้นคะ?”

    “คือตอนที่อยู่กรุงเทพ ไอ้ทัพมันชอบมาเล่าเรื่องของน้องให้พวกพี่ฟังแต่บางอย่างที่มันเล่าออกมา ในความคิดของพวกพี่คือนิสัยของน้องมันก็ค่อนข้างแปลกๆ พวกพี่ก็เลยเรียกน้องว่าน้องแปลกครับ”

    “กูไม่ได้เรียก / แค่มึงกับไอ้ทศเหอะ” พระนายกับเทวินทร์รีบแก้ตัว กลายเป็นว่าตอนนี้คนที่เรียกหญิงสาวด้วยชื่อน้องแปลกจึงมีแค่ทศพลที่หารกับเขาเท่านั้น

    พอฟังจบเหมือนว่าความสนใจของพลับพลึงตอนนี้กลับถูกส่งมาที่จอมทัพคนเดียวแทน ร่างเล็กเอียงคอมองไปที่ชายหนุ่มอย่างสงสัย

    “พี่ไปเล่านิสัยอะไรของหนูให้เพื่อนฟังคะ? พวกเขาถึงเรียกหนูว่าน้องแปลก” พลับพลึงจ้องไปที่ชายหนุ่มตาแป๋ว จนเขาเกิดอาการมือไม้อ่อน และอาการนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับชายหนุ่มคนเดียว แต่กับเพื่อนๆ ของเขาเองก็มีอาการเดียวกันเมื่อเห็นท่าทางเอียงคอถามของหญิงสาว

    เทวินทร์เองก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น แม้ว่าในใจของเขาจะมีอุ่นเรือนจับจองไปมากกว่าครึ่งแล้วก็ตาม

    “ไม่ครับ ก็เรื่องทั่วไปที่พ่อพี่เล่าให้พี่ฟังเท่านั้นเอง” จอมทัพแก้ตัวพัลวันจนเหมือนลิ้นจะพันกันอยู่รอมร่อ “แต่พวกมันก็แค่ไม่เคยเห็นหนูเท่านั้นเอง อีกอย่างพี่ไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีให้มันเรียกหนูแบบนั้นนะ พวกมันเรียกกันเองครับ”

    “อนาคตกลัวเมีย” เทวินทร์เห็นว่าจอมทัพรีบแก้ต่างให้ตัวเองรอด ก็อดที่จะหันไปแซวชายหนุ่มกับสองแฝดไม่ได้ และสองแฝดเองก็เห็นด้วย

    “อือ” ทั้งสองพยักหน้า ก่อนจะมองไปทางจอมทัพที่นั่งขัดสมาธิทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงหน้าของพระนายและส่ายหัวพร้อมกัน

     

    ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ

    เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา

    พลีสสส

    ☆*: .。. o(≧▽≦)o .。.:*☆

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×