คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : พลับพลึงดอกที่ 8 กล้วยเป็นเหตุ
เช้าวันต่อมา พลับพลึงได้ลงมาที่หลังบ้านเพื่อรดน้ำแปลงผักและต้นไม้อย่างเช่นทุกวันที่เคยทำทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม พืชผักที่ใกล้ได้เวลาเก็บเกี่ยวก็แข่งกันโตเอาโตเอาจนแอบกังวลว่าอาจจะเก็บไม่ทัน แต่ถึงจะกังวล หญิงสาวกลับยังคงยิ้มแย้มให้กับพืชผลที่ตนลงมือปลูกด้วยตัวเอง
แต่รื่นเริงกับผลผลิตตรงหน้าได้ไม่ทันไร ก็มีบางสิ่งที่ทำให้หน้างามๆ ต้องกลับมานิ่งเรียบเพราะคนที่มายืนเกาะรั้วหลังบ้าน
“น้องพลับพลึงจ๋า วันนี้ออกไปเก็บของป่ามั้ย ถ้าไปให้พี่กระทิงขอไปเป็นเพื่อนนะจ๊ะ”
คนที่มายืนเกาะรั้วบ้านของหญิงสาวแต่เช้า คือกระทิงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของยัยเจียม แม่ค้าปากตลาดที่ชอบนินทาพลับพลึงเป็นนิสัย แต่ก็ไม่ใช่แค่พลับพลึงคนเดียวหรอกที่โดนเพราะทุกคนในหมู่บ้านก็โดนเหมือนกันไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนที่แกคบด้วย
แต่ต่อให้ไม่ชอบขี้หน้าคนเป็นแม่ แต่พลับพลึงก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ตัวเองจะต้องเกลียดคนเป็นลูก อย่างที่บอกไปแม้ว่าเมื่อก่อนกระทิงจะเป็นคนปล่อยข่าวลือจนทำให้พลับพลึงไม่มีใครคบ แต่มันก็แค่นั้น เพราะนอกเหนือจากนั้นพลับพลึงก็ไม่เห็นว่ากระทิงจะทำอะไรอีกเลย แม้กระทั่งงานที่บ้านที่มีท่วมหัว แต่กระทิงกลับยังคงทำตัวเหมือนว่าง
“แน่ใจหรอว่าจะไปด้วย ช่วงนี้ผีป่ามันดุนะ” แม้กระทิงจะเป็นชายแท้ทั้งแท่ง แต่กลับเป็นคนที่กลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง พลับพลึงรู้จุดอ่อนนี้ของเขาเช่นกันจึงได้นำมันขึ้นมาพูด เพื่อใช้เป็นประโยคไล่กระทิงทางอ้อม
ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ชายหนุ่มไปเป็นเพื่อน อย่างน้อยการไปสองคนก็อุ่นใจมากกว่าไปคนเดียว หากแต่ว่าถ้ายอมให้กระทิงไปด้วยเพื่อตัดปัญหาเรื่องที่เขาจะเดินตามทั้งวัน หญิงสาวก็จะต้องมีปัญหากับดอกอ้อ หญิงงามของหมู่บ้านอีกคนที่แอบชอบกระทิงมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวแทนเหมือนกัน
ซึ่งการยอมให้กระทิงเดินตามทั้งวันและมีโอกาสไล่ทางอ้อม ย่อมดีกว่ามีเรื่องกับดอกอ้อที่มีเสียงแปดหลอดเป็นไหนๆ
ทางด้านของกระทิงเมื่อได้ยินหญิงสาวพูดถึงผีป่า เขาก็เริ่มใจฝ่อ เพราะแม้ว่าเขาอยากจะอยู่ใกล้ๆ หญิงสาวที่ตัวเองชอบ แต่การต้องเอาชีวิตไปเดินกลางป่าที่มีแต่ผี เขาก็ไม่กล้าเช่นกัน ลำพังแค่ป่าช่วงธรรมดาก็น่ากลัวพอแล้ว นี่ผีป่ายังมาดุอีก เขาขอปฏิเสธแล้วกัน
“ว่าไง จะไปกับฉันรึเปล่า” เมื่อเห็นว่ากระทิงนิ่งไปชั่วครู่เหมือนคิดอะไรอยู่ พลับพลึงก็รีบสุมไฟความกลัวของกระทิงต่อทันที “แต่ถ้าพี่ไปด้วย ฉันว่ามันก็ดีนะป่าช่วงนี้ก็เริ่มแปลกๆ ด้วย อย่างน้อยไปสองหัวก็ยังดีกว่าหัวเดียว”
“น้องพลับพลึงคิดว่าดีหรอจ๊ะ งั้นพี่ไปด้วยก็ได้ ตะ แต่ พะ พี่ขอไปเตรียมตัวก่อนนะ” เอ่ยจบก็เดินกลับบ้านไปทันที
กระทิงที่แม้จะดีใจกับประโยคที่พลับพลึงพูดออกมาจนลืมตัวรับปากไป พอนึกขึ้นได้ก็รีบขอตัวกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัว ไม่เพียงแค่เตรียมตัว แต่ชายหนุ่มยังต้องเตรียมใจและเตรียมของขลังในบ้านที่จะพกติดตัวเข้าป่าไปด้วย
เมื่อกระทิงจากไปแล้ว พลับพลึงก็หันไปสนใจรดน้ำดูแลแปลงผักของตัวเองต่อและไม่ได้เตรียมตัวที่จะเข้าป่าอย่างที่พูดกับกระทิง เพราะพ่อของหญิงสาวได้เอ่ยปากห้ามเอาไว้
ส่วนทางด้านกระทิงนั้น หญิงสาวก็คิดว่าชายหนุ่มก็คงจะไม่ได้ไปด้วย ที่รับปากไว้ก็แค่ส่งๆ เท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง
ต่อหน้าก็รับปากเสียดิบดีอย่างคนกล้า แต่พอลับหลังห่างได้ไม่กี่นาทีก็มาบอกว่ามีธุระที่ต้องรีบไปทำทุกที ซึ่งพลับพลึงก็ไม่ได้ว่าหรือเสียใจอะไร เนื่องด้วยหญิงสาวต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว กระทิงควรจะได้อยู่กับผู้หญิงปกติธรรมดา มากกว่าการที่เขาพาตัวเองเข้ามาใกล้คนที่รอบๆ ตัวนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาหวาดกลัวอย่างเธอ
กว่าจะดูแลแปลงผัก ไม้ดอก ไม้ผลและไม้ประดับทั้งหมดจะเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ปาเข้าไปเกือบช่วงสายของวัน เห็นแบบนั้นพลับพลึงจึงได้เข้าไปอาบน้ำอาบท่าให้ร่างกายสดชื่น ก่อนจะเดินไปใต้ถุนบ้านเพื่อหยิบเอาตะกร้าสานใบโตขึ้นสะพายหลังและเดินออกจากบ้าน ตรงไปยังป่าไผ่ทางทิศตะวันออกฝั่งที่มีสถานีอนามัยหมู่บ้านที่พวกของจอมทัพจะต้องไปอาศัยอยู่แทน
ที่บริเวณนั้นแม้จะเป็นป่าไผ่แต่ก็ไม่ได้รกทึบจนน่ากลัวอย่างเช่นป่าทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นป่าตั้งศาลที่พลับพลึงไปกลับผู้เป็นพ่อเมื่อวานนี้
“มึงจะไปไหนอีพลับพลึง” เสียงเย็นๆ ของกระถินที่พึ่งจะเดินทะลุกำแพงห้องของหญิงสาวออกมาเอ่ยถาม พร้อมกันนั้นผีสาวยังอ้าปากหาวหวอดออกมาประหนึ่งคนนอนไม่พอ ช่วงแรกที่เห็นพลับพลึงยอมรับว่าสงสัยไม่น้อยว่าผีก็นอนหลับพักผ่อนเป็นด้วยหรือ แต่พอนานๆ เข้าได้เห็นบ่อยๆ ก็ได้ข้อสรุปในใจคนเดียวว่าเป็นผีก็น่าจะต้องนอนเหมือนคนนั้นแหละ
“ไปขุดหน่อไม้ ว่าจะเอามาดองเก็บไว้สักหน่อย” พลับพลึงตอบกลับ ก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินตรงไปยังเขตป่าไผ่
หญิงสาวเดินออกมาจากบ้านและมุ่งหน้าตรงไปยังป่าไผ่ ตั้งใจว่าจะเก็บหน่อไม้หน่อเล็กๆ ที่ขึ้นหลงฤดูมาเสียหน่อย
หน่อไม้หน่อเล็กๆ พวกนี้มีข้อดีอยู่ก็คือมีขนาดกำลังพอดี เวลาเก็บก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มีดในการตัด แค่ใช้มือหักก็หลุด
“หือ? กล้วยออกแล้วหรอ?” พลับพลึงสงสัยเมื่อระหว่างทางเดินไปที่ป่าไผ่ต้องผ่านป่าดงกล้วย และบังเอิญว่าสายตากลมโตดันเหลือบไปเห็นเครือกล้วยหนึ่งเครือเข้าพอดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก หญิงสาววางตะกร้าสานลงจากบ่าเล็ก ก่อนจะหยิบพร้าเล่มงามคู่กายของตนขึ้นมา แล้วยกมือขึ้นฟันฉับลงไปบนเครือที่มีกล้วยอยู่เต็มลูกทุกหวี
ฉับ!
ตัดเครือกล้วยเสร็จสรรพ พลับพลึงถึงได้รู้ว่ามันเป็นกล้วยที่เครือใหญ่อยู่พอสมควร หญิงสาวจึงได้ลากมันเข้ามาในดงอย่างทุลักทุเล เมื่อจัดที่ทางได้แล้วหญิงสาวจึงลงมือตัดแบ่งหวีกล้วยออกจากเครือ เพื่อให้ง่ายต่อการขนย้าย
หากแต่ในตอนที่กำลังตัดแยกหวีกล้วยออกจากเครือ ก็เป็นช่วงเดียวกับที่แทนไทและทศพล สองแฝดเพื่อนสนิทของจอมทัพเดินผ่านมาทางนี้เพื่อไปยังสถานีอนามัยของหมู่บ้านพอดี
ทั้งสองพึ่งจะกินข้าวเสร็จ หลังจากที่เมื่อตอนเช้าพวกเขาทั้งสี่คนได้ทำการย้ายกระเป๋าเสื้อผ้าไปยังบ้านพักของสถานีอนามัย สองหนุ่มกินเสร็จเรียบร้อยก่อนจึงได้ขอตัวออกมาและกำลังพูดคุยถึงอากาศและวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านกันอย่างตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เล็กจนอายุจะสามสิบ ทั้งสองคนเห็นแค่ชีวิตของคนในกรุงเทพ หมู่บ้านที่อาศัยอยู่เจริญและมีถนนเข้าถึงทุกซอกซอยแล้ว ดังนั้นเมื่อได้มาเห็นชีวิตที่แตกต่างกันของชาวบ้านที่นี่จึงอดที่จะสนใจไม่ได้
ฉับ! ฉับ! ฉับ!
ในขณะที่ทั้งสองคนเดินผ่านป่ากล้วยก็ได้ยินเสียงตัดอะไรบางอย่างดังออกจากด้านใน ทั้งคู่ไม่ได้คิดถึงสิ่งลี้ลับหรือเรื่องราวน่ากลัวอะไร เพราะไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องพวกนี้มากนักแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นชาวบ้านคนใดคนหนึ่งที่กำลังทำอะไรสักอย่างในนี้
สองหนุ่มพี่น้องมองหน้ากันก่อนจะตกลงกันทางสายตาได้ว่าพวกเขามีความอยากรู้ว่าข้างในนั้นเหมือนกัน ว่าใครกำลังทำอะไรอยู่เผื่อว่าจะมีอะไรให้พวกเขาช่วยได้บ้าง
แต่พอเดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว ฝาแฝดหนุ่มก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“?”
“เหี้.ย!” สองหนุ่มพี่น้องอุทานตกใจออกมาพร้อมกัน เพราะภาพที่พวกเขาเห็นคือหญิงสาวคนหนึ่งกำลังง้างมือยกขึ้นเหนือหัว ใช้มีดฟันตัดเครือกล้วยอย่างไม่มีท่าทีลังเล ฟันทีเดียวหวีกล้วยก็หลุดออกจากเครือ
“ทำไมใครๆ เห็นหน้าฉันแล้วชอบอุทานว่า เหี้.ย นะ?” พลับพลึงอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ เพราะเมื่อคืนเพื่อนของจอมทัพที่ชื่อเทวินทร์ก็ทีหนึ่งแล้ว มาตอนนี้ยังเป็นสองหนุ่มนี้อีก “หน้าฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอคะ?”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่” สองหนุ่มรีบปฏิเสธ เพราะกลัวคนงามตรงหน้าเข้าใจพวกเขาผิด ซึ่งพอพวกเขาพูดแบบนั้นพลับพลึงก็เหมือนจะเข้าใจ
“ไม่ได้ตกใจหน้าของฉันใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่ครับ” แทนไทตอบกลับหญิงสาว คนที่เขาพอจะจำได้นางๆ ว่าน่าจะเป็นน้องแปลกของไอ้เพื่อนตัวดี
“แล้วพวกพี่ตกใจอะไร” พลับพลึงถาม พร้อมกับมือที่เก็บหวีกล้วยเรียงใส่ตะกร้า
“ตกใจท่าตัดกล้วย...เฉยๆ ครับ” แทนไทและทศพลพูดออกมาพร้อมกันอีกครั้ง ก่อนจะเป็นทศพลที่พูดประโยคต่อมา “ท่าของน้องตอนที่ตัดกล้วยมันค่อนข้างน่ากลัว...นิดหน่อย”
พลับพลึงได้ยินที่ทศพลพูดออกมาแบบนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจเก็บมีดพร้าของตัวเองใส่ตะกร้า แล้วหันไปพูดกับทั้งสองคนแทน
“พวกพี่คือเพื่อนที่เป็นหมอของพี่จอมทัพสินะคะ”
“ใช่ครับ พี่สองคนเป็นเพื่อนของไอ้ทัพมัน แต่พวกพี่ไม่ใช่หมอหรอก” แทนไทตอบ ซึ่งคำตอบของเขาก็ค่อนข้างที่จะทำให้พลับพลึงสงสัยพอสมควร
“ไม่ใช่หมอหรอ? ...แล้วพวกพี่เป็นอะไร” หญิงสาวเอียงคอมองไปที่ทั้งสองคน
“เอ่อ... พวกพี่ขอไม่บอกได้มั้ยครับ” แทนไทตอบกลับโดยในตอนที่เขาตอบนั้นทั้งคู่ก็มีท่าทีอึกอัก พร้อมกับยกแขนคนละข้างขึ้นมาเกาหัวเกาแก้ม
“ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ยังไงรู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี” พลับพลึงยกไหล่หนึ่งครั้ง ก่อนจะหันสายตามองไปยังหวีกล้วยที่เหลืออยู่ในเครือที มองไปที่สองหนุ่มทีก่อนจะคิดอะไรดีๆ ออก “พวกพี่จะไปที่อนามัยกันใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ พวกพี่สองคนกำลังจะไปที่อนามัย” ทศพลตอบกลับ พร้อมมองอย่างสงสัยว่าคนตรงหน้าถามทำไม
“งั้นพวกพี่ก็เอากล้วยพวกนี้ไปด้วยเลยสิ ฉันให้ค่ะ”
“ครับ?” ทั้งสองขานรับด้วยเสียงสงสัย
“กล้วยนั่นน่ะเอาไปสิคะ ฉันให้” พลับพลึงพยักหน้าไปทางกล้วยที่เหลืออยู่ในเครือให้สองหนุ่มหันไปดูอีกครั้ง
“อ๋อๆ ครับ” สองหนุ่มพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ ก่อนจะเป็นทศพลที่เดินไปยกเครือกล้วยขึ้นบ่าอย่างทุลักทุเลจนแทนไทที่เห็นน้องชายจัดท่าทางไม่ได้สักทีจึงได้เข้าไปช่วย จัดท่าทางไม่นานก็เข้าที่ ทศพลก็สามารถยืนได้อย่างมั่นคงโดยไม่มีท่าทางทุลักทุเลอย่างตอนแรกอีก
“แล้วนี่...น้องจะไปไหนครับ?” ทศพลถามออกมาเมื่อเห็นว่าในตะกร้าสานที่อยู่ด้านหลังจะมีกล้วยอยู่แล้ว แต่หญิงสาวกลับทำท่าว่าจะออกเดินตรงไปยังทางอนามัยแทนที่จะเป็นหมู่บ้าน
“ไปเก็บหน่อไม้” พลับพลึงตอบแล้วออกตัวเดินต่อไป ไม่ได้สนใจสองหนุ่มฝาแฝดอีก แต่มีหรือที่ทั้งสองคนจะปล่อยผ่าน เมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับน้องแปลกของเพื่อน “เอามั้ย เดี๋ยวเอาอันที่ดองแล้วมาให้”
“ถ้าน้องอยากให้ก็เอามาเลย พวกพี่เป็นง่ายๆ กินอะไรก็ได้ครับ”
“งั้นตอนเย็นเดี๋ยวเอามาให้นะ ตอนนี้ต้องไปเก็บหน่อใหม่ก่อน”
“แล้วที่ว่าจะไปเก็บหน่อไม้นี่ ไม่เก็บที่ไหนหรอครับ” แทนไทถามขึ้น
“ป่าไผ่ค่ะ อยู่หลังอนามัยนี่เองไม่ไกลหรอก”
“งั้นพวกพี่ขอเดินไปด้วยนะครับ” ไม่รอให้หญิงสาวได้ตอบกลับ ทั้งสองหนุ่มก็เดินตามหลังหญิงเพื่อเดินไปที่อนามัยด้วยกัน
โดยในระหว่างที่เดินอยู่ใกล้ๆ กันนั้น แทนไทเห็นว่าตะกร้าสานใบใหญ่ที่หญิงสาวสะพายอยู่น่าจะมีน้ำหนักไม่น้อย เขาจึงได้เอื้อมมือสอดไปที่ใต้ก้นตะกร้าแล้วใช้แรงของตนช่วยยกก้นของมันเพื่อทุ่นน้ำหนักให้กับหญิงสาว ด้วยกลัวว่าก่อนที่เพื่อนจะได้แต่งเมีย ว่าที่เมียของมันจะหลังหักซะก่อน
เมื่อได้เข้าไปช่วยแทนไทก็รู้ได้ว่ามันหนักไม่น้อยเลยทีเดียวสังเกตได้จากแขนของเขาที่ตอนนี้มีเส้นเลือดปูดขึ้นมาเล็กน้อยเนื่องจากต้องออกแรงที่แขน
การที่แทนไทช่วยหญิงสาวมันเป็นการกระทำที่มีเจตนาดี แต่ชาวบ้านที่เดินผ่านทั้งสามคนกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะจากมุมที่พวกเขาเห็นมันเหมือนกับว่าหนุ่มกรุงเทพอย่างแทนไทกำลังลวนลามหญิงงามของหมู่บ้านและมีเพื่อนของตนช่วยปิดบัง
โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่ามือของแทนไทสัมผัสแค่ก้นตะกร้าสานไม่ได้โดนเนื้อตัวส่วนใดๆ ของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย
แม้จะสงสัยกับสายตาที่มองมาอย่างแปลกๆ ของชาวบ้าน แต่พลับพลึงที่เจอแบบนี้มาตลอดอยู่แล้วจึงไม่ได้สนใจนัก ส่วนสองหนุ่มหล่อฝาแฝดจากกรุงเทพเองแม้จะสงสัยจนอยากถาม แต่พอกำลังจะอ้าปากพูดเสียงของพลับพลึงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวฉันต้องแยกไปทางนี้แล้ว ขอบคุณที่ช่วยยกก้นตะกร้าให้นะคะ” หญิงสาวก้มหัวขอบคุณสองหนุ่ม ก่อนจะขอตัวเดินแยกไปทางป่าไผ่ ส่วนแทนไทและทศพลนั้น สองหนุ่มก็ได้แต่มองหน้ากันก่อนจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่ที่มุมปากกันคนละด้าน และเดินอย่างอารมณ์ดีเข้าไปในสถานีอนามัยหมู่บ้าน
วันนี้พวกเขามีเรื่องไปอวดให้ไอ้เพื่อนตัวดีอิจฉาเล่นๆ แล้ว
พอเข้ามาด้านในก็พบว่าตอนนี้ยังไม่มีใครมากันเลยสักคนเดียว ก็แน่ล่ะจะไปมีใครมาได้ยังไงในเมื่อคนที่ออกมาก่อนมีแค่เขากับพี่ชายเท่านั้น
ทศพลจัดการวางเครือกล้วยลงที่หน้าทางเข้า แล้วเป็นแทนไทที่เดินไปหาอุปกรณ์บางอย่าง เช่น มีด เพื่อเอามาตัดแบ่งกล้วยออกจากเครือ แต่เดินไปเดินมาก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือสถานีอนามัยหมู่บ้าน มันจึงไม่มีอุปกรณ์ที่เรียกว่ามีดสักเล่ม
“เออโทษที กูลืมขอยืมมีดจากน้องแปลกมาตัดกล้วยเลยว่ะ” ทศพลที่เห็นว่าพี่ชายเดินหามีดอยู่ เขาก็ได้พูดขึ้นมา
“ไม่เป็นไร กูก็ลืมคิดเหมือนมึงนั่นแหละ งั้นก็หักกินจากเครือไปก่อนแล้วกัน” แทนไทออกความเห็น “เดี๋ยวไอ้ทัพมันกลับบ้าน ค่อยขอยืมที่บ้านมันมาใช้”
“เออ” ทศพลพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของพี่ชาย ก่อนที่เขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ไอ้แทน”
“ว่า?”
“มึงคิดว่า... ถ้าเราแกล้งๆ ทำเป็นพูดออกมาว่าได้คุย ได้เดินแล้วก็ได้ช่วยน้องแปลก ไอ้ทัพมันจะทำหน้ายังไงวะ?”
“มึงคิดเหมือนกูเลย กูก็อยากเห็นเหมือนกัน” แทนไทตอบกลับอย่างเห็นด้วยกับความคิดของน้องชาย ก่อนที่ทั้งสองคนจะทำสีหน้าเจ้าเล่ห์
“หึ/หึ” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะในลำคอออกมาพร้อมๆ กันพลางคิดถึงท่าทีของไอ้เพื่อนตัวดี พวกเขาอยากเห็นสีหน้าของมันนักว่ามันจะเป็นยังไง เมื่อได้รู้ว่าสาวที่มันชอบยอมพูดคุยแล้วยังยอมเดินมาที่นี่พร้อมกับพวกเขา
แค่คิดก็สนุกแล้ว
ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา
ความคิดเห็น