คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบท
หมู่บ้านหนองมะขามล้ม เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ชนบทของจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย
แม้จะเป็นหมู่บ้านในเขตชนบท แต่มีประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เพราะในพื้นที่นี้ไม่ได้มีเพียงแค่หมู่บ้านหนองมะขามล้มแค่เพียงหมู่บ้านเดียวเท่านั้น แต่ยังมีหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันอีกสามถึงสี่หมู่บ้าน
โดยหมู่บ้านแห่งนี้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์รายล้อมอยู่อย่างมากมาย ทั้งน้ำตก ป่าเขาและพรรณไม้นานาชนิด
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกลจนเจ้าหน้าที่ของทางภาครัฐเข้ามาสำรวจได้เพียงแค่ปีละหนึ่งครั้ง แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่หมู่บ้านแห่งนี้มีผู้นำดี ทำให้ดูเจริญมากกว่าหมู่บ้านอื่นๆ
เพราะมีการจัดการที่ดีทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่ได้มีการริเริ่มสร้างทางน้ำไหลผ่านจากน้ำตกที่มีอยู่ตามธรรมชาติลงไปยังพื้นที่ทำนาและเพาะปลูกพืชอื่นๆ รวมทั้งสามารถนำน้ำที่ได้มาอุปโภค บริโภคได้อย่างลงตัว ส่วนทางทรัพยากรบุคคลเองก็ถูกแจกจ่ายหน้าที่ตามความถนัดและสิ่งที่แต่ละคนสนใจ
โดยผู้นำคนปัจจุบันนี้มีชื่อว่าผู้ใหญ่พรเทพ หนุ่มใหญ่วัยสามสิบห้าปี เขามีรูปร่างสูงใหญ่สมชายชาตรีตามสมัยนิยม เพราะถูกภรรยาทิ้ง หนีไปแต่งงานใหม่เมื่อหลายปีก่อนเขาจึงได้เริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัวทำให้รูปร่างที่เคยดูดีกลับกลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่อ้วนลงพุง
แม้เขาจะละเลยการดูแลตัวเอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยละเลยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวเลยแม้แต่น้อย และไม่ว่าลูกชายต้องการสิ่งใดหนุ่มใหญ่ก็พร้อมที่จะหามาให้เสมอ
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ใช่ว่าเขาจะตามในจนลูกชายเสียผู้เสียคนเหมือนอย่างที่บ้านอื่นทำ เพราะหนุ่มใหญ่จะคอยบอกคอยสอนสิ่งต่างๆ ที่มีทั้งดีและไม่ดีให้ลูกชายรับรู้เสมอ
แม้การที่ต้องมาเลี้ยงลูกตัวคนเดียวโดยที่ไม่มีภรรยามาคอยช่วงแบ่งเบาจะเป็นเรื่องที่หนักหนาและเหนื่อยมากมายแค่ไหน พรเทพก็ไม่เคยคิดที่จะย่อท้อ และในท้ายที่สุดความอดทนที่เพียรทำมาหลายปีก็สัมฤทธิผล
ลูกชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจเลี้ยงดูมาอย่างดีในตอนนี้ได้ฉายแววว่าจะเติบโตไปเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี จนสาวๆ หลายคนอดที่จะเหลียวหลังมองตามไม่ได้
เวลาได้ยินชาวบ้านเอ่ยชมเรื่องหน้าตาที่แม้ว่าเจ้าลูกชายจะยังคงเป็นแค่เด็กไม่กี่ขวบทีไรคำตอบที่จะได้ยินกันจนชินหูก็คือคำว่า
“แน่นอนสิ ลูกชายคนนี้กูตั้งใจปั้นมาเองกับมือ ไม่หล่อเหมือนกูแล้วจะให้ไปเหมือนใคร”
ซึ่งคำพูดนี้ก็ทำให้คนในรุ่นเดียวกันต่างก็พากันส่ายหัวอย่างเหนื่อยหนาระอาใจในทุกครั้งที่ได้ยิน
และไม่ใช่เพียงแค่ลูกชายของผู้ใหญ่จะหน้าตาดีเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ลูกสาวลูกชายของสมาชิกในหมู่บ้านเองก็มีหน้าตาที่ดูดีราวกับว่าพวกเขานั้นไม่ใช่คนชนบทบ้านนอก จนเป็นที่น่าอิจฉาเมื่อคนในหมู่บ้านอื่นได้มาพบเห็น
แต่ก็จะมีเพียงเด็กผู้หญิงตัวน้อยลูกสาวสุดที่รักของสัปเหร่อหนุ่มประจำหมู่บ้านเท่านั้นที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ
เพราะเด็กหญิงนั้นเป็นเด็กที่มีผิวขาวเสียจนซีดเหมือนกระดาษ ยามออกมาวิ่งเล่นโดนแสงแดดผิวกายก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงจนดูน่ากลัว ใบหน้ากลมแก้มป่อง ตาเรียวเล็กอย่างพวกคนจีน ปากเล็กๆ จมูกก็คล้ายว่าจะมีหรือไม่มี รูปร่างก็เหมือนว่าจะผอมเล็กกว่าเด็กทั่วไป โดยรวมแล้วก็เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก แตกต่างจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่ดูดีราวกับดาราที่หลุดมานอกจอทีวี เดินไปทางไหนไม่ว่าจะหญิงหรือชายต่างก็ต้องเหลียวหลังกลับมา
ยามที่ครอบครัวเดินด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก มักจะมีเสียงซุบซิบนินทากลับมาเสมอว่าเด็กหญิงตัวน้อยไม่น่าจะใช่ลูกสาวของคนทั้งคู่
พวกเขาต่างพูดออกมาเป็นเลี้ยงเดียวกันว่าสองสามีภรรยานั้นไปเก็บเด็กคนนี้มาเลี้ยง ทั้งที่เมื่อยามที่หญิงสาวกำลังตั้งครรภ์นั้น พวกเขาก็เห็นอยู่แท้ๆ
แต่ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบไหน ทั้งสามคนก็ไม่ใคร่จะเก็บมันเอามาใส่ใจ ยิ่งโดยเฉพาะคนเป็นลูกสาวแล้วนั้นยิ่งแล้วใหญ่
เพราะไม่ว่าใครจะพูดว่าอะไร เด็กหญิงตัวน้อยก็มักจะสวนกลับด้วยถ้อยคำที่ไม่ได้รุนแรงหรือต่อว่า หากแต่คนได้ฟังกับไม่สามารถยอกย้อนหรือต่อว่าเด็กน้อยกลับมาได้เลยสักครั้ง
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งผ่านมาที่บ้านของสัปเหร่อหนุ่มกับเมียสาว โดยที่ใกล้ๆ กันนั้นก็มีลูกสาวอายุสี่ขวบของทั้งสองนั่งร้อยมาลัยดอกหญ้าเล่นอยู่ข้างๆ
“กูละสงสารพวกมึงสองคนจริงๆ หน้าตาหรือก็ดูดี แต่พอมีลูกกลับเป็นเด็กที่ดูไม่ได้ หน้าตาไปทางไหนก็ไม่รู้ไม่เห็นจะเหมือนพ่อแม่สักนิด ไม่เหมือนลูกสาวกู ที่ยิ่งโตก็ยิ่งสวย” คนเดินผ่านพูดจากเหน็บแนม หากแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาจากทั้งสามคน แม้ว่าพวกเขาจะนั่งกันอยู่ที่หน้าบ้านและได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาทุกคำก็ตาม
ยิ่งเห็นว่าคนข้างในไม่โต้ตอบกลับมา คนเดินผ่านก็ยิ่งได้ใจ
“นี่ถ้ากูไม่เห็นว่าอีผ้าแพรเมียมึงมันอุ้มท้องลูกมึงมาเก้าเดือนนะไอ้ภพ กูคงคิดว่าพวกมึงสองคนน่ะไปขอเด็กที่ไหนมาเลี้ยงซะอีก” พูดจบก็หัวเราะ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก หากแต่หัวเราะไปได้ไม่ทันไร เสียงเล็กๆ จากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนเป็นแม่ก็พูดขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งสิ่งที่เด็กหญิงพูดก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ป้าแจ๋มจ๊ะ หนูสังเกตมาสักพักแล้วนะ ทำไมหน้าพี่จิ๋วถึงไม่เหมือนลุงวันแต่ไปเหมือนลุงคตแทนล่ะจ๊ะ เวลาลุงวันอุ้มพี่จิ๋วทีไรหนูนึกว่าแกอุ้มหลานทุกทีเลย”
จบคำถามที่ไร้เดียงสานี้ของเด็กหญิงตัวน้อยพลับพลึงในวัย สี่ขวบ หลังจากนั้นมาทั้งสามคนก็ไม่เห็นหน้าค่าตาเพื่อนบ้านคนนี้อีกเลย
แม้จะจัดการกับคนปากมาที่ชอบมาพูดจาว่าร้ายได้ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เด็กน้อยไม่สามารถทำได้เลยคือการมีเพื่อน อย่างที่เด็กปกติทั่วไปมีกัน สาเหตุก็คงจะมาจากความสามารถพิเศษของเด็กน้อยที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
ความสามารถที่เด็กน้อยคิดอยู่เสมอว่าไม่มีเสียยังจะดีซะกว่า
วันเวลาผ่านล่วงเลยไปจนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเรื่องสลดใจขึ้น เมื่อในอีกไม่กี่วันข้างหน้าลูกสาวของทั้งสองจะมีอายุครบห้าขวบปี คนเป็นแม่ที่ป่วยด้วยโรคประหลาดที่หมอในสมัยนั้นยังหาสาเหตุและการรักษาให้หายขาดไม่ได้ ได้แต่ประคองอาการไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ที่ไม่สามารถประคองมันได้อีกต่อไป หญิงสาวได้หมดลมหายใจและจากไปด้วยวัยเพียงยี่สิบเก้าปีเท่านั้น
การจากไปของหญิงสาวอันเป็นที่รัก ที่แม้ว่าสัปเหร่อหนุ่มวัยสามสิบสองปีจะทำใจมากสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขากลับไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด
การจากไปของหญิงสาวทำให้ภพธรถึงกลับไปไม่เป็น แต่เพราะได้คนเป็นลูกอย่างพลับพลึงพูดเตือนสติแบบเด็กๆ จึงทำให้เขาได้สติขึ้นมา
“พ่อจ๋า หนูมองไม่เห็นแม่แบบนี้ แสดงว่าแม่ไปสบายแล้วอย่างที่ปู่จ๋าบอกใช่มั้ยคะ” ปู่จ๋าที่เด็กตัวน้อยพูดถึงก็คือลุงของชายหนุ่มนั่นเอง “ถ้าแม่จ๋าไปสบายแล้ว แสดงว่าแม่จ๋าก็จะไม่ต้องเจ็บปวดกับโรคที่เป็นใช่มั้ยจ๊ะ”
“ครับลูก...แม่จ๋าไปสบายแล้ว” แม้จะไม่ได้มีน้ำตาแห่งความเสียใจ หากแต่คนที่อยู่ใกล้ชิดอย่างพรเทพและคนเป็นลูกชายกลับรู้ดีว่าคนตรงหน้าของพวกเขานั้นกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“งั้นถ้าแม่ไปสบายแล้ว พ่อจ๋าก็ต้องไม่แอบร้องไห้สิ ถ้าพ่อจ๋าร้องไห้แม่จ๋าจะไม่สบายใจและกลับมาเจ็บปวดอีกนะ” เด็กน้อยพูดออกมาอย่างใสซื่อและไร้เดียงสา แต่นั่นก็ทำให้ภพธรได้สติ
เดิมทีการกลับมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ ภพธรไม่จำเป็นต้องทำงานเขาก็สามารถเลี้ยงเมียและลูกสาวอย่างสุขสบายได้ แต่เพราะสัปเหร่อคนเก่าของที่นี่แกไม่มีลูกหลานและยังมีศักดิ์เป็นลุงของเขา ทำให้ชายหนุ่มต้องยินยอมรับสืบทอดการเป็นสัปเหร่อต่อจากลุงอย่างช่วยไม่ได้
ช่วงแรกก็เป็นเพียงแค่ลูกมือคอยช่วยเหลือและแอบมองทุกสิ่งที่คนเป็นลุงทำให้ดู มีบ้างที่ต้องทำเองแต่ก็ยังมีลุงคอยช่วยเหลือ
ดังนั้นผ้าแพร เมียสาวสุดที่รักจึงเป็นศพแรกที่ภพธรได้เอ่ยปากร้องขอคนเป็นลุง ว่าเขาจะเป็นคนทำพิธีในครั้งนี้ด้วยตัวของเขาเองคนเดียว
ล่วงเข้าวันที่สามร่างของผ้าแพรก็ถูกนำไปเผาที่เมรุของวัดในหมู่บ้าน ควันไฟสีดำที่ลอยคละคลุ้งอยู่บนท้องฟ้าพานทำให้พลับพลึงรู้สึกวูบโหวงในอก ยามเมื่อคิดได้ว่าในวันพรุ่งนี้ก็จะไม่ได้เห็นหน้าแม่แล้ว
ตลอดสามวันที่ผ่านมาพลับพลึงมักจะร้องขอให้ผู้เป็นพ่อเปิดโรงที่ผ้าแพรนอนหลับอยู่เสมอ เพื่อที่เด็กน้อยจะได้มองหน้าแม่ในทุกๆ วัน แม้จะไม่มีชีวิตแต่ได้เห็นหน้าก็ยังดี
แต่มาวันนี้ร่างนั้นก็ได้หายไปแล้วเช่นกัน ไม่มีทั้งเสียง ไม่มีทั้งรูป ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้เป็นแม่นั้นหลงเหลือเอาไว้เพียงแค่ภาพในความทรงจำของทุกๆ วันที่ผ่านมา
ภพธรก้มลงไปอุ้มร่างเล็กของลูกสาวขึ้นมาซบที่ไหล่แกร่ง มือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นไปมาพลางเอ่ยคำสัญญาในใจ
แพรไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าพี่จะรู้สึกเสียใจแค่ไหน แต่พี่สัญญาว่าต่อไปพี่เข้มแข็งและจะเลี้ยงดูลูกแทนส่วนของแพรให้ดีที่สุด
เนื้อเรื่องฉบับเต็มมาแล้วค่าาา
ฝากกดเข้าชั้น+คอมเม้น+หัวใจ
เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์หน่อยน้าาา
ความคิดเห็น