คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : chapter 4 เรียนวันแรก
ขณะนี้เป็นเวลาประมาณเก้านาฬิกาของวันที่สองในการใช้ชีวิตอยู่ที่แฟร์แบงส์ นักเรียนปีหนึ่งตึกเอทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของตึกซึ่งอยู่ชั้นล่างสุด เพื่อรอรับตารางสอนของตนเองจากประธานและรองประธานหอ
"...ถึงแม้ว่าทุกคนจะเป็นนักเรียนปีหนึ่งเหมือนกัน หากแต่การจัดตารางสอนของทุกคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับระดับพลังและความถนัดเฉพาะตัวในแต่ละด้านของแต่ละคน บางคนอาจต้องเรียนถึงเก้าคาบในวันเดียว ในขณะที่บางคนอาจเรียนแค่สามคาบ..."
แอตลาสอธิบาย ซึ่งความจริงแล้วมันมีมากกว่านี้นัก เธอบรรยายถึงแต่ละวิชาว่าต้องทำอย่างไรและวิเคราะห์ให้ฟังว่าแต่ละคนมีโอกาสได้เข้าเรียนวิชาใดบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่คนนี้ไปเอาความรู้พวกนี้มาจากไหน ราเชลที่นั่งฟังมาพร้อมกับทุกๆ คนพยักหน้า...แต่ไม่ใช่เพราะเข้าใจ...แต่มันเป็นเพราะความสัปหงกของคนใกล้หลับอย่างเธอ และแน่นอนว่าคำพูดที่ผ่านหูและหัวสมองมีไม่ถึงหนึ่งส่วนสามของที่
แอตลาสพูดมาตั้งแต่ต้น
"หวังว่าฉันคงไม่โดนวิชาการอ่านใจและทำนายฝันหรอกนะ" เอลเดอริกพูดพลางเบ้หน้า
"วางใจได้ อย่างนายน่ะไม่ใช่รสนิยมของอาจารย์โมนิคหรอก" เซเรียส่ายหัว
"พูดเรื่องอะไรกันเหรอ" ราเชลที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาฟังกล่าวแทรก
"นี่แสดงว่าไม่ได้ฟังเลยสินะ วิชาการอ่านใจและทำนายฝันน่ะเป็นของอาจารย์โมนิค แต่คนที่จะเข้าเรียนวิชานี้น่ะอาจารย์จะเป็นผู้คัดเลือกเด็กเอง และร้อยละเก้าสิบเก้าอาจารย์แกจะเลือกเด็กหนุ่มที่หน้าตาดี หัวสมองจะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่มีใครรู้เหตุผลเหมือนกัน แต่คิดว่าแกคงเป็นพวกกินหญ้าอ่อนน่ะ" ฟีเรียกชี้แจงโดยมีราเชลพยักหน้ารับเป็นแบ็คกราวน์
"ว่าแต่ว่ารุ่นพี่คนสวยกับพี่แว่นหายไปไหนล่ะเนี่ย" เอลเดอริกเปรยขึ้นก่อนจะได้รับคำตอบจาก 'รุ่นพี่คนสวย' ที่ว่าซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
"อยู่นี่ และตอนนี้นายควรจะไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ ที่นี่ได้แล้วนะ"
เอลเดอริกมองตามเสียงขึ้นไปก่อนจะพบกับใบหน้าของเฮเซน่าที่เผยรอยยิ้มเย็นๆ มาอย่างจงใจ
"ไปสิ" เธอย้ำพร้อมกับชี้นิ้วไปยังที่ที่ทุกคนนั่งกันอยู่ และนั่นทำให้เอลเดอริกและทุกคนจำต้องลุกออกจากที่นั่งเก่า
"มากันครบแล้วนะ ก่อนอื่นขอกล่าวว่าอรุณสวัสดิ์ทุกคน และฉันจะไม่บอกทุกคนว่าเรามารวมกันที่นี่เพื่ออะไร ขอให้ทุกคนเดินเรียงมาตามลำดับหมายเลขของตนเองซึ่งได้จากการจับสลาก และหมายเลขนี้จะมีผลต่อพวกเธอทุกคน เพราะมันจะเป็นเลขที่ในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการสอบวัดผลและการแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม เริ่มได้"
เฮเซน่ากล่าวพร้อมกับเรียกชื่อแต่ละคนเพื่อจับสลากในกล่องที่อยู่ในมือของเพอร์เซียส แต่ละคนเริ่มทยอยกันไปหยิบสลากเลขที่ของตนเองจนครบหมดทุกคน ซึ่งผลการจับสลากของแต่ละคนมีดังนี้...
แพทริค กราเซีย เลขที่ 1
เอลีน่า มาแชล เลขที่ 2
เอลเดอริก เวย์ เลขที่ 8
ฟีเรีย มัสแตง เลขที่ 16
คาอิล ทาลอส เลขที่ 19
ราเชล ริเวอร์ส เลขที่ 21
เซเรีย วีรอส เลขที่ 33
แอตลาส เทียร์ เลขที่ 47
เรซีส นาเดีย เลขที่ 58
และสุดท้ายคือซิลเวอร์ เลขที่ 66
เมื่อจับเลขที่เสร็จแล้วเพอร์เซียสก็เรียกแต่ละคนไปรับตารางสอนของตนเอง ส่วนเฮเซน่าก็เดินดูความเรียบร้อยของคนอื่นๆ
"คนแรก แพทริค กราเซีย เลขที่ 1"
เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองถูกขานแพทริคก็ก้าวออกมาด้านหน้าท่ามกลางสายตาของสาวๆ ที่มองด้วยความชื่นชมและสายตาของหนุ่มๆ ที่พากันอิจฉาเป็นแถบ
"อรุณสวัสดิ์แพทริค ฉันได้ยินกิตติศัพท์ของเธอมาเยอะทีเดียวเชียว เริ่มตั้งแต่ตระกูลกราเซียของเธอที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังมาหลายศตวรรษและยังเรื่องพลังวิญญาณที่สูงพอๆ กับเทพ..."
"เข้าเรื่องดีกว่าครับ" แพทริคเอ่ยขัดบทสนทนาที่ชักจะออกนอกเรื่องไปทุกที นั่นทำมให้เพอร์เซียสหน้าจ๋อยก่อนจะหยิบตารางสอนของแพทริคส่งให้
"อะแฮ่ม คือว่า...เอ่อ...อืมม นี่คือตารางเวลาเรียนทั้งหมดของเธอ มันงดงามมากเลยนะ คือฉันหมายถึงว่ามีแต่วิชายากๆ ทั้งนั้นที่เธอได้ลงเรียน บางปีวิชาที่ว่านี่มีคนได้รับเลือกเรียนไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ สมแล้วกับที่เป็นคนของตระกูลกรา..."
"ขอบคุณมากครับ" แพทริคกล่าวเพื่อเป็นมารยาทและเพื่อบอกให้เพอร์เซียสรู้ว่าเจ้าตัว 'รำคาญ' ขนาดไหน
"เอ่อ อืม ครับ หวังว่าอีกไม่นานเราจะมีโอกาสได้คุยกันอีกนะ" เพอร์เซียสกล่าวพร้อมกันกับที่แพทริคเดินออกมาด้วยสีหน้าประมาณว่า 'หวังว่าคงไม่มีโอกาสนั้น'
"เอาล่ะ คนต่อไป เอลีน่า มาแชล"
คราวนี้เป็นคิวความชื่นชมของพวกผู้ชายและสายตาอิจฉาของเหล่าผู้หญิงบ้างเมื่อเอลีน่าเดินออกมาด้วยท่าทางสง่างาม
"ทำไมแม่พวกนั้นถึงมองเอลีน่ายังกับจะฆ่าล่ะ" ราเชลปั้นหน้างง
"อ้าว นี่เธอไม่รู้เรื่องข่าวลือเลยเหรอ" นาเดียถาม
"ข่าวลือ? ข่าวอะไร"
"อ้าว ก็ที่เค้าลือกันว่าแพทริคกับเอลีน่าน่ะเป็น..." ว่าพลางนาเดียวก็ชูนิ้วก้อยขึ้นพร้อมกับทำสีหน้ามีเลศนัย
"หา? อะไรนิ้วก้อย" แต่ราเชลก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันจนคาอิลต้องเข้ามาอธิบายให้ฟัง
"มันหมายถึงเป็นคนรักกันน่ะครับคุณราเชล"
"อ๋อๆ อืม...หา!!! แพทริคกับเอลีน่าเนี่ยนะ"
"ใช่ เธอไม่เห็นเหรอว่าเขาสนิทกันจะตายไป ตอนที่ไปมีเรื่องกับพวกไวล์แพทริคก็วิ่งไปดูอาการของเอลีน่าก่อนเพื่อน แถมจับเลขที่หรือขานชื่อก็ยังได้อยู่ติดกันตลอด นี่ล่ะน้าที่เค้าเรียกว่าเนื้อคู่" นาเดียว่าพร้อมกับพยักเพยิดไปทางเอลีน่าและแพ
ทริคสลับกัน
"ฉันว่าอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้นะ เขาสองคนอาจจะเป็นเพื่อนสนิทกันเฉยๆ บางทีพ่อแม่ของเขาอาจจะรู้จักกัน ก็ทั้งสองตระกูลทั้งกราเซียและมาแชลต่างก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์ทายาทขุนนางเก่าทั้งนั้น" ฟีเรียเสนอความเห็น
"จริงสิ ใช่แล้ว เธอทำให้ฉันนึกไม่ถึงเลยนะฟีเรีย ใช่แล้ว บางทีทั้งสองคนอาจจะถูกพ่อกับแม่ของทั้งสองฝ่ายจับให้หมั้นกันตั้งแต่เด็กๆ มันต้องใช่แบบนั้นแน่เลย" ความคิดใหม่ของนาเดียที่ทำเอาทุกคนซึ่งนั่งฟังบทสนทนาอยู่ส่ายหน้ากันด้วยความระอา...
...สรุปให้ตายยังไงแม่นี่ก็จะคิดว่าแพทริคกับเอลีน่าเป็นแฟนกันสินะ...ไร้สาระไม่เข้าเรื่อง...
เอลเดอริกในใจพร้อมกับมองใบหน้าครุ่นคิดของนาเดียแล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยความขบขัน...สงสัยยัยนี่จะดูละครน้ำเน่ามากเกินไป...
"เอลเดอริก เวย์" เขานั่งจมอยู่กับความคิดจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อ จากนั้นจึงหันไปปั้นหน้าสงสัยใส่คนข้างๆ ที่จำต้องหันมาตอบ
"รุ่นพี่น่ะแค่เรียกทุกคนไปแล้วยื่นตารางสอนให้ จะไม่ให้เร็วได้ไงล่ะ" เซเรียเอ่ย
เอลเดอริกพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะลุกไปหยิบตารางสอนจากมือของรุ่นพี่เพอร์เซียส แล้วกลับมาพินิจรายชื่อวิชาเรียนของตนเองแล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อ...
"ค่อยยังชั่ว ฉันไม่ต้องลงเรียนวิชาการอ่านใจและทำนายฝันล่ะ"
"ก็บอกแล้วไงว่านายน่ะไม่มีทางได้รับเลือกหรอก" เซเรียว่าพลางยิ้มเยาะ
"หน็อย อย่ามาดูถูกกันนะ เพราะฉันดวงดีตะหากล่ะ ความจริงอาจารย์โมนิคคงจะเลือกชื่อฉันเป็นรายแรกในลิสต์" เจ้าตัวหาข้อแก้ต่างที่ทำให้ตนเองดูเป็นคนมีความสำคัญขึ้นมา เรียกเอาเซเรียกับคนอื่นๆ ทำหน้ายี้กันไปเป็นแถบ
หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ได้รับตารางเรียนของตนเองครบทุกคน และนับว่าเป็นโชคดีที่นักเรียนในชั้นสิบทุกคนไม่มีใครต้องลงเรียนวิชาการอ่านใจและทำนายฝัน
ราเชลมีเรียนวันละ 5 วิชา ยกเว้นวันอังคารและวันศุกร์ที่มีเรียนแค่ 3 วิชา วิชาที่เธอได้รับเลือกให้ลงเรียนได้แก่ วิชาฟันดาบ วิชายิงธนู วิชาการควบคุมพลังจิต วิชาหินผลึกและแร่ธาตุ วิชาภาษากลอเรีย วิชาเต้นรำ (?) และวิชาสมุนไพรกับยาพิษ
ฟีเรียมีวิชาเรียนวันละ 4 วิชา ยกเว้นวันพุธที่มีเรียน 8 วิชา ส่วนวันศุกร์มีเรียนแค่วิชาเดียว เธอได้รับเลือกลงเรียนวิชาการควบคุมพลังจิต วิชาภาษากลอเรีย วิชาจิตวิทยาและการโน้มน้าวใจ วิชาร้องเพลง วิชาเต้นรำ วิชาเวทมนตร์ วิชาการชงชาและจัดดอกไม้ และวิชาสมุนไพรกับยาพิษ
เอลีน่ามีเรียนวันละ 5 วิชาเช่นเดียวกับราเชล ยกเว้นวันจันทร์และวันพฤหัสที่มีเรียนเพียง 3 วิชา เธอได้รับเลือกให้ลงเรียนวิชาการยิงธนู วิชาการควบคุมพลังจิต วิชาเวทมนตร์ วิชาสมุนไพรกับยาพิษ วิชาจิตวิทยาและการโน้มน้าวใจ วิชาหินผลึกและแร่ธาตุ วิชาเต้นรำ และวิชาการใช้การ์ด
แพทริคมีเรียนวันละ 3 วิชาทุกวัน วิชาที่เขาได้ลงเรียนส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นวิชายากๆ ที่สร้างความลำบากให้แก่ผู้เรียน แต่ถึงกระนั้นการได้รับเลือกให้ลงเรียนในสาขาวิชาเหล่านี้ก็ถือเป็นเกียรติสำหรับทุกคน วิชาที่แพทริคได้รับได้แก่ วิชาการควบคุมพลังจิต วิชาศาสตราวุธ วิชาการฟันดาบ วิชาการยิงธนู วิชาภาษาเวโรนีเซีย วิชาเวทมนตร์ วิชาดาราศาสตร์ วิชาควบคุมจิตใจ วิชาประวัติเทพ และวิชาเต้นรำ
เอลเดอริกมีเรียนวันละ 4 วิชา วิชาที่เขาได้รับเลือกให้ลงเรียนได้แก่ วิชาการควบคุมพลังจิต วิชาหินผลึกและแร่ธาตุ วิชาศิลปการต่อสู้ป้องกันตัว วิชาภาษาเซทีเบีย วิชาฟันดาบ วิชายานพาหนะ และวิชาเต้นรำ
เซเรียมีเรียนวันจันทร์และวันอังคาร 3 วิชา พุธและศุกร์ 4 วิชา ส่วนวันพฤหัสมี 4 วิชา วิชาที่เธอได้รับเลือกให้ลงเรียนได้แก่ วิชาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาการควบคุมพลังจิต วิชาภาษากลอเรีย วิชายิงธนู วิชาควบคุมจิตใจ วิชาการใช้การ์ด และวิชาเต้นรำ
คาอิลมีเรียนเช่นเดียวกับเซเรีย แตกต่างกันเพียงคาอิลไม่มีการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ หากแต่มีการเรียนวิชาการขี่ม้า และที่แตกต่างจากคนอื่นๆ คือเขาไม่มีเรียนวิชาเต้นรำ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกและโชคดีเป็นที่สุด
แอตลาสมีเรียนเช่นเดียวกับราเชล...เหมือนกันทุกวิชา...แต่แอตลาสจะมีเรียนวิชาการควบคุมจิตใจเพิ่มขึ้นมา
นาเดียมีเรียนวันละ 3 คาบ ได้แก่วิชาการขี่ม้า วิชาการควบคุมพลังจิต วิชาภาษากลอเรีย วิชาการจัดดอกไม้ วิชาร้องเพลง วิชาเต้นรำ วิชาการใช้การ์ด และวิชายิงธนู
ส่วนคนสุดท้ายคือซิลเวอร์ (ชื่อที่คาอิลตั้งให้ ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวแท้จริงแล้วชื่ออะไร) วิชาที่เขาได้รับเหมือนกับแพทริค ต่างกันเพียงเขาไม่มีเรียนวิชาเต้นรำ และหมอนี่ก็เป็นหนึ่งในคนไม่ถึงสิบที่ไม่ต้องลงเรียนวิชานี้ ซึ่งนับว่าโชคดีมาก...
"ทำไมต้องมีเรียนวิชาเต้นรำ" คำถามที่ทุกคนต่างสงสัยแต่ไม่มีใครถาม มีเพียงราเชลที่โพล่งขึ้นมา
"ไม่รู้เหมือนกันสิ แต่มันอยู่ในวิชาที่ทางโรงเรียนจัดไว้ในหลักสูตรรองจากวิชาการควบคุมพลังจิต" เอลีน่ากล่าว
"เหอะๆ เลวร้ายชะมัด" เอลเดอริกเสริม
"วิชาเต้นรำไม่ดีตรงไหนเหรอ" ฟีเรียถามขึ้น ราเชลจึงเริ่มการสาธยาย
"มันก็ไม่ดีตรงที่ หนึ่งต้องเต้นคู่กับพวกผู้ชาย สองต้องเจ็บตัวเพราะพวกงี่เง่านั่นเหยียบเท้าเรา สามถูกด่าเพราะเราไปเหยียบเท้าเขา และสี่ครูที่สอนวิชานี้ส่วนใหญ่ไม่ป้าแก่ๆ หรือสาวไฮโซ ก็จะเป็นพวกชายสวย เห็นมั้ย ไม่มีดีอะไรสักกะอย่าง"
"แล้วไอภาษากอเลีย ภาษาเวโรหนีเสีย แล้วก็ภาษาเสที่เบีย มันคืออะไรล่ะเนี่ย"
เอลเดอริกถามต่อ
"จะเป็นพระคุณอย่างมากถ้านายไม่พยายามจะทำชื่อภาษาอันเก่าแก่เหล่านี้เสียหายนะ เอลเดอริก เวย์ ภาษาพวกนี้เป็นภาษาชั้นสูง โดยเรียกรวมกันว่าภาษาแองเกเลียส แบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นแรกคือภาษาเซทีเบีย ชั้นที่สองคือภาษากลอเรีย และชั้นสุดท้ายคือภาษาเวโรนีเซีย" แอตลาสอธิบาย
"ว้าววว งั้นฉันเองก็ใช่ย่อยน่ะสิ เป็นคนเดียวที่ได้เรียนภาษาเซทีเบีย ก็รู้อยู่หรอกว่าเก่ง แต่แหม ไม่นึกว่าจะเก่งขนาดนี้นะเรา"
"เปล่า การที่นายได้รับเลือกลงเรียนภาษาเซทีเบียน่ะบ่งบอกว่านายน่ะงี่เง่าสุดกู่ ภาษาเซทีเบียน่ะเป็นภาษาที่ไม่ได้มีความยากหรือซับซ้อนอะไรเลย เทียบกันแล้วในบางทีอาจจะง่ายกว่าภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ ตัวอักษรในภาษานี้มีเพียง 50 ตัว ซึ่งหน้าตาหรือการอ่านออกเสียงแต่ละตัวก็ง่ายนิดเดียว ส่วนภาษาที่สูงขึ้นมาอีกคือภาษากลอเรีย ส่วนใหญ่จะพบคำในภาษานี้ในตำราสมัยโบราณ เท่าที่พบมาภาษากลอเรียมีการจารึกไว้ในตำราที่เก่าแก่ที่สุดเพียง 100 ปีเท่านั้น การอ่านออกเสียงก็จะคละเคล้ากันไป ยากบ้างง่ายบ้าง มีตัวอักษรในภาษานี้ทั้งหมด 112 ตัว บางตัวมีหน้าตาคล้ายๆ กันซึ่งต้องจำให้มั่น เพราะหากอ่านออกเสียงผิดแม้แต่นิดเดียวก็จะทำให้ความหมายเปลี่ยนไปเลย ส่วนภาษาขั้นสูงสุดคือภาษาเวโรนีเซีย เป็นภาษาที่ยากมากที่สุดในโลก หน้าแต่ตัวอักษรแต่ละตัวจะคล้ายกันหมด ต่างกันเพียงจุดหรือเส้นเท่านั้น ภาษาในระดับนี้ต้องเป็นคนที่มีพลังวิญญาณสูงมากเท่านั้นจึงจะอ่านได้ เพราะส่วนใหญ่ภาษาเวโรนีเซียจะมีการลงพลังเวทย์ไว้ หากพลังวิญญาณไม่กล้าแข็งพอก็จะทำให้ได้รับผลกระทบจากพลังเวทย์เหล่านั้น ภาษานี้มีตัวอักษรทั้งหมด 255 ตัว และเท่าที่มีการค้นพบมาภาษานี้มีการจารึกไว้ในคัมภีร์เทพด้วย" แอตลาสว่า ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอาความรู้พวกนี้มาจากไหนมากมาย แต่ก็นับว่ามีประโยชน์กับคนที่ไม่ชอบหาความรู้ใส่ตัวอย่างราเชลและเอลเดอริก
"เธอนี่รู้ละเอียดดีจังนะแอตลาส" ฟีเรียเอ่ยชม
"ไม่เท่าไหร่หรอก พอดีว่าพ่อของฉันเคยทำงานอยู่ในวงการแบบนี้น่ะ ก็เลยรู้มากกว่าคนทั่วไปหน่อย" เธอกล่าวพลางส่งยิ้มให้
"ถ้าไอความรู้ที่เธอเรียกว่าหน่อย ฉันว่าพวกเราต้องจัดว่าโง่แน่เลยล่ะราเชล" เอล
เดอริกว่าเล่นเอาราเชลหันไปจ้องเขม็ง
"นายสิโง่ มาว่าฉันได้ไง"
"อ้าว ก็ฉันเห็นในกลุ่มเรา ก็มีฉันกับเธอนี่ล่ะที่ซื่อบื้อกว่าเพื่อน หรือเธอว่าไม่จริง"
...จริงก็จริงอยู่ แต่ไม่อยากยอมรับโว้ยยย...ความคิดที่เล่นเอาหัวคิ้วกระตุกก่อนจะหันไปมอบสายตามุ่งร้ายให้คนเริ่มหัวข้อเรื่อง พร้อมกับส่งยิ้มหวานที่ดูน่ากลัวยังไงๆ อยู่
"ตารางบอกว่าพวกเราจะเริ่มเรียนคาบแรกกันตอนสิบโมง เพราะฉะนั้นก็อีกราวๆ ยี่สิบนาที ถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวก่อน" ซิลเวอร์กล่าวปลีกตัว ก่อนจะตามด้วยแพทริค เซเรีย เอลีน่า แอตลาส และคาอิล
"เหลือพวกเราสี่คนสิ" นาเดียวกล่าวพร้อมกับมองสำรวจใบหน้าผู้ที่ยังอยู่ อันได้แก่ ราเชล เอลเดอริก และฟีเรีย
"สามต่างหาก เพราะตอนนี้ฉันเองก็ขอตัวเช่นกัน" ราเชลบอกลาเพื่อนๆ ก่อนจะเดินออกมาจากที่ประชุม
--------------------------------------------
ภายนอกมีผู้คนประปรายเนื่องจากตอนนี้หลายๆ คนเริ่มเรียนกันแล้ว เธอเดินก้มหน้างุดตรงไปยังสวนหย่อมของโรงเรียน และพร้อมกันนั้นเธอเริ่มรู้สึกถึงอาการผิดปกติของร่างกายตนเอง
"อย่าเพิ่งมาเป็นอะไรเอาตอนนี้นะ" เธอรำพึงกับตนเอง...จากการเดินเป็นการวิ่ง...และวิ่งเร็วขึ้น
มือเรียวกุมหน้าอกของตนเองพร้อมกับเริ่มปลดกระดุมคอ จนในที่สุดราเชลก็มาถึงยังจุดหมาย เธอเลือกสถานที่ที่ปลอดคนมากที่สุด จากนั้นจึงทรุดนั่งด้วยความเหนื่อยหอบ
...สวบ...
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวเรียกให้ราเชลหันไปมองด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะส่งเสียงถามออกไป
"นั่นใครน่ะ"
ไร้เสียงตอบรับแต่ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างของเด็กชายตัวน้อยก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้วยท่าทางเกรงๆ จากความอ่อนเยาว์และความสูงทำให้ราเชลคาดว่าเด็กน้อยคงมีอายุไม่เกิน 12 ปี เส้นผมสีดำซอยระต้นคอ นัยน์ตาสีครามคุ้นเคยที่ทำให้นึกไปถึงใครคนนึง...แต่ใครกันล่ะ...
"อรุณสวัสดิ์จ้า หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเอ่ย" เธอถามพลางเรียกเจ้าหนูน้อยเข้ามาใกล้ แม้แรกๆ เจ้าตัวจะดูเกรงๆ อยู่บ้างแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหาแต่โดยดี
"เอ่อ...ผมมาตามหาพี่สาวน่ะครับ แล้วพี่มาทำอะไรอยู่ที่นี่เหรอ" เด็กน้อยถามกลับ ราเชลขยับรอยยิ้มน้อยๆ พร้อมกับขยี้หัวเล่นเอาเด็กชายหน้าเบ้ไปถนัดตา
"มั่วจริงๆ เล้ยยย ไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่างเจ้า ว่าแต่เราชื่ออะไรล่ะ"
"ไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่อย่างพี่สาว" เด็กน้อยตอกกลับได้น่าหมั่นไส้ แต่แทนที่เธอจะโกรธราเชลกลับหัวเราะด้วยความเอ็นดู
"เธอนี่ช่างพูดช่างจาดีจังนะ เอาล่ะๆ แล้วจะให้พี่เรียกเราว่าอะไรกันล่ะ"
"แล้วแต่พี่สาวสิครับ" ...พูดเหมือนซิลเวอร์เลยแฮะ...ราเชลคิดในใจก่อนจะเริ่มหาชื่อมาเรียกเด็กน้อย
"อืมมม งั้นจะเรียกเราว่าดาร์คดีมั้ย เพราะผมของเราสีดำมากเลย" ราเชลเสนอความคิดโดยมีเด็กน้อยจับตามองอยู่ทุกอิริยาบถ
"แล้วแต่พี่สาวครับ"
"อ่านะ แล้วระ...โอ๊ย" ราเชลที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับดาร์คร้องขึ้น ลมหายใจถี่รัว เธอได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมา ความรู้สึกสุดท้ายคือใบหน้าของดาร์คที่ก้มลงมองอาการของเธอด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับส่งเสียงเรียกไม่ขาดสาย...
-------------------------------------
"อืมมม"
"ฟื้นแล้วเหรอ" น้ำเสียงหนึ่งถามขึ้น หากแต่มันไม่ใช่เสียงของเด็กน้อย แต่เป็น
แพทริค กราเซีย...และที่สำคัญ...ตอนนี้เธอนอนหนุนตักของเขาอยู่!!!
"เฮ้ย นายมาอยู่ที่นี่ได้ไงอ่ะ" เธอถามพร้อมกับยันกายลุกขึ้นด้วยใบหน้าตื่นๆ
"ไม่เห็นต้องตกใจอะไรขนาดนั้น ฉันกำลังจะเดินไปเรียนน่ะ แล้วมีเด็กคนนึงวิ่งมาบอกว่ามีคนสลบอยู่ พอมาดูก็พบว่าเป็นเธอนี่ล่ะ" เขาอธิบายก่อนจะลุกขึ้นตาม
"แล้วดาร์ค...คือฉันหมายถึงเด็กคนนั้นน่ะ ไปไหนซะแล้วล่ะ"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอฉันวิ่งมาถึงเขาก็หายตัวไปแล้วล่ะ" แพทริคเอ่ยตอบ
"อืมๆ"
"ว่าแต่เธอล่ะ เป็นอะไรไป"
"อ๋อ เปล่าหรอก ไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากงีบน่ะ" ข้อแก้ต่างที่ฟังยังไงก็ไม่ขึ้นทำเอาแพทริคถอนหายใจ
"แล้วแต่เธอละกันนะว่าจะบอกหรือไม่บอก แต่ตอนนี้น่ะเป็นเวลาเข้าเรียนแล้ว เพราะฉะนั้น...ลุก" คำพูดที่เล่นเอาราเชลรู้สึกตะหงิด
"ลุก ฉันบอกให้ลุก ไม่ได้ยินหรือไง"
"นายนี่พูดเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกันเลย งี่เง่า" เจ้าตัวหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาก่อนจะรีบวิ่งไป...
---------------------------------------------------------
"อรุณสวัสดิ์นักเรียน" อาจารย์กล่าวทักทายนักเรียนทุกคนหลังจากก้าวเข้ามาในห้อง
"ก่อนอื่นเราจะมาทำการเช็คชื่อกันก่อน"
อาจารย์เจ้าของนามเฮอร์รอนบอกก่อนจะหยิบสมุดรายชื่อขึ้นมา เธอเป็นสาวร่างสูงโปร่ง อายุราวๆ 30 กว่าปี แต่ด้วยบุคลิกท่าทางของเธอทำให้สาวเจ้าดูเป็นป้าแก่เจ้าระเบียบถนัดตา เธอขยับกรอบแว่นให้เข้าที่เล็กน้อยก่อนจะขานเรียกรายชื่อนักเรียนทีละคน
"บาราเลีย เฮลรอส"
"มาครับ"
"เซวีน่า มาร์"
"มาค่ะ"
"เอเรีย วีนัส"
"มาค่ะ"
"ฟีเรีย มัสแตง"
"มาค่ะ"
"นาตาลี เลเยอร์"
"มาค่ะ"
"ฟีเรีย มัสแตง"
"มาค่ะ"
"แอตลาส เทียร์"
"มา" อาจารย์เฮอร์รอนเหลือบสายตามองเล็กน้อยสำหรับการตอบรับโดยไร้หางเสียงของแอตลาส แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันไปเพิ่มคำว่า 'ค่ะ' แต่อย่างใด ซ้ำยังมองไปทางอื่น เล่นเอาอาจารย์เฮอร์รอนส่งสายตามาดร้ายจนคนอื่นๆ ยังผวา
"อะแฮ่มๆ ราเชล ริเวอร์ส"
...
"ราเชล ริเวอร์ส"
...
"ไม่ทราบว่าราเชล ริเวอร์สอยู่ที่ไหน" เธอถามนักเรียนแต่ละคน ซึ่งทุกคนให้คำตอบเดียวกันคือ 'ไม่ทราบ'
"เอาล่ะ งั้นฉันจะเช็คขาดนะ" เธอว่าก่อนจะจรดปากกา...
"ราเชล ริเวอร์ส มาค่ะ" ประตูเปิดผางออกพร้อมกับร่างนักเรียนมาสายเพียงคนเดียวของห้อง สารรูปดูไม่ได้ทำให้อาจารย์เฮอร์รอนต้องมุ่นหัวคิ้วด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง
"นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ฮึ? ราเชล ริเวอร์ส"
"ไม่มีนาฬิกาค่ะ" คำตอบของราเชลเรียกความกราดเกรี้ยวให้แก่อาจารย์เป็นอันมาก และนั่นทำให้เส้นอารมณ์ที่บางอยู่แล้วยิ่งบางเข้าไปอีก
"มาเรียนคาบแรกก็สายซะแล้ว ต่อไปเธอคงจะมาช้าขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะโดดเรียนสินะ" หล่อนกล่าวคำสบประมาท
...ถ้ายังมีป้าแบบนี้สอนวิชานี้ก็ไม่แน่เหมือนกันหรอก แต่อาจจะไม่ใช่มาช้าขึ้นเรื่อยๆ แล้วโดดเรียน...แต่อาจจะโดดเรียนคาบหน้าเลยก็ได้...ความคิดที่เป็นได้แค่ความคิดวนเวียนอยู่ในหัว เพราะขืนเธอพูดออกไปอนาคตทางการเรียนดับสูญแน่
"ไปนั่งที่ซะ" อาจารย์ออกคำสั่งแล้วเริ่มเช็คชื่อต่อ...
วิชานี้คือวิชาภาษากลอเรีย คนที่ได้รับเลือกให้ลงเรียนวิชานี้ได้แก่ ราเชล ฟีเรีย เซเรีย แอตลาสและคาอิล นอกจากนี้ก็ยังมีนักเรียนจากตึกอื่นๆ อีกประมาณ 40 กว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วราเชลไม่คุ้นหน้าทั้งนั้น
"เปิดตำราไปหน้า 3 ว่าด้วยที่มาของภาษากลอเรีย" เสียงเปิดตำราขนาดความหนา 3 นิ้วๆ กว่าๆ ดังขึ้นทั่วห้องก่อนอาจารย์เฮอร์รอนจะเริ่มการบรรยาย
"ภาษากลอเรียถูกบัญญัติขึ้นราวๆ ศตวรรษที่ 2 โดยนักปราชญ์เลื่องชื่อ...เซอร์ฟิลิป ปีเอเซีย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงภาษาเทพซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความยากลำบากในการศึกษา หากแต่เซอร์ฟิลิป ปีเอเซียก็ได้สำเร็จหลักสูตรการศึกษาภายในระยะเวลาเพียง 20 ปี..."
...เรียนอะไรวะตั้ง 20 ปี...ไม่เข้าท่า...
"มีปัญหาอะไรหรือราเชล ริเวอร์ส"
"เปล่า...ค่ะ"
"ต่อมาท่านเซอร์มีความคิดว่าภาษาเทพนั้นเป็นภาษาที่ยากและใช้เวลานานมากในการศึกษา อีกทั้งยังมีผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษากว่าร้อยละแปดสิบ เซอร์ฟิลิปจึงคิดบัญญัติภาษาซึ่งได้เค้าโครงมาจากภาษาเทพ หากแต่ในการอ่านนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณสูงเหมือนภาษาเทพ และตั้งแต่สมัยนั้นจนถึงปัจจุบัน ภาษากลอเรียจึงเป็นภาษาที่มีคน..."
"ราเชล ริเวอร์ส" เสียงตวาดดังไปทั่วห้องเรียกสายตาของทุกคนให้หันมามองยังจุดเดียว
เจ้าของชื่อที่กำลังฟุบหลับกับโต๊ะเงยหน้าขึ้นมาแทบไม่ทัน และยิ่งรู้สึกอยากฟุบลงกับโต๊ะเหมือนเดิมมากยิ่งขึ้นเมื่อเจอกับสายตามารร้ายของอาจารย์เฮอร์รอน
"เธอกล้ามากนะ เข้าเรียนสาย แล้วยังบังอาจหลับในคาบเรียนตั้งแต่วันแรกอีก หยิบหนังสือของเธอแล้วออกมานั่งเรียนหน้าห้องเดี๋ยวนี้"
...และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คาบเรียนแรกของวันนี้พังไม่เป็นท่า...
---------------------------------------
"พวกนายเป็นไงบ้างอ่ะ คาบเรียนแรก" เอลเดอริกถามขึ้น หลังจากที่พวกเขาเรียนคาบแรกเสร็จจะมีเวลาหยุดพัก 10 นาทีก่อนจะเรียนคาบต่อไป ยกเว้นแต่แพทริคและซิลเวอร์ที่จะมีเวลาพักหลังจากเรียนคาบที่สองเสร็จ
"โอ๊ย สุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์สนุกสนาน อาจารย์ใจดี นักเรียนน่ารัก ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว" ราเชลตอบพลางปั้นหน้ายิ้มเล่นเอาคนอื่นๆ มองแล้วยิ้มจืดๆ ...แต่เอลเดอริกเชื่อ
"โห ดีชะมัดเลยอ่ะ ของฉันนะ วิชาภาษาอะไรนั่น เรียนก็ไม่รู้เรื่อง อาจารย์นั่นก็บ่นเป็นบ้า อายุห่างจากฉันประมาณสองรอบได้มั้ง รุ่นคุณยายฉันยังเรียกพี่ สอนก็ไม่รู้เรื่อง แต่ดันสายตาดีไม่เข้าท่าอีก คนอื่นหลับยายแกไม่ยักจะเห็น พอฉันฟุบหน้าเท่านั้นแปรงลบกระดานเป็นอันลอยมาหาทุกทีเลย หวังว่าคาบที่สองจะดีกว่านี้นะ"
"โถ เพื่อนนี่โชคร้ายจังนะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้นายมีอาจารย์ที่น่ารักเหมือนฉัน" ราเชลปั้นสีหน้าแม่พระปลอบใจเอลเดอริก ทั้งที่ความจริงแล้ว "อาจารย์ที่น่ารัก" ก็ไม่ได้ดีไปกว่า "อาจารย์รุ่นคุณยาย" ของเอลเดอริกเลย
"แล้วนี่แพทริคกับซิลเวอร์เขาเรียนวิชาอะไรเหรอ" เอลีน่าถามขึ้น
"อะแฮ่มๆๆ สนใจกันเหลือเกินนะกับแพทริคเนี่ย" เอลเดอริกแซว
"ใครก็ได้ช่วยพาสุนัขออกจากปากนายนี่หน่อย และถ้านายไม่ได้หูหนวก ฉันถามว่าแพทริคกับซิลเวอร์" เอลีน่าตอกกลับ
"โอ้ววว พระเจ้า เอลีน่าจะจับปลาสองมือรึนี่"
"สงบปากสงบคำบ้างก็ดีนะเอลเดอริก เวย์" แอตลาสเอ่ยเพราะดูท่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
"ครับคุณแม่"
"ถ้าฉันเป็นแอตลาสแล้วมีลูกอย่างนายฉันขอเป็นหมันดีกว่า" นาเดียพูดขึ้นเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนยกเว้น "ลูก" ที่ตอนนี้ทำหน้าเบี้ยวไม่สบอารมณ์
"ไม่เห็นต้องพูดถึงขนาดนั้นเลยนี่นาเดีย ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากได้คนอย่างฉันไปเป็นลูก..." เอลเดอริกตีหน้าเศร้าก่อนจะก้มหน้างุดและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เล่นเอานาเดียใจหายวาบ หากไม่มีประโยคต่อมาของเขา...
"แต่คงอยากได้ฉันเป็นสามีล่ะสิ ฮ่าๆๆๆ"
เพียะ!
"พูดจาทุเรศมาก ให้นายมาเป็นสามีขึ้นคานยังดีกว่าเยอะ" นาเดียว่าพลางสะบัดหน้าแล้วเดินออกไป
ทิ้งให้คุณสามีที่ถูกภรรยาตบคลำใบหน้าของตัวเองป้อยๆ แต่ก็ยังไม่วายตะโกนกวนประสาทนาเดียว่า
"ขอให้สมพรปาก ให้เธอขึ้นคานจริงๆ เถอะ"
--------------------------
วิชาที่สองของวันนี้คือวิชายิงธนู ซึ่งทุกคนได้รับเลือกลงเรียนยกเว้นฟีเรียและเอลเดอริก โดยฟีเรียนั้นแยกไปเรียนวิชาจัดดอกไม้และเอลเดอริกไป...นอน เนื่องจากวิชาถัดไปของเขาจะเริ่มเรียนในตอนบ่ายโมงซึ่งก็อีกราวๆ 2 ชั่วโมงถัดไป
"สวัสดีนักเรียนทุกคน" อาจารย์หนุ่มก้าวเข้ามาด้วยท่าทีสุขุม ผ้าคลุมสีดำเรียบพลิ้วไหวตามแรงลม สถานที่เรียนวิชายิงธนูคือบริเวณสนามหน้าโรงเรียน ซึ่งใกล้ๆ กับบริเวณที่ราเชลพบกับดาร์ค วิชานี้มีนักเรียนได้รับเลือกลงเรียนค่อนข้างเยอะพอสมควร และแต่ละคนก็ดูท่าทางไม่ธรรมดาทั้งนั้น
"ฉันอาจารย์ ทอม ครูเซซารีน เป็นอาจารย์ที่รับผิดชอบวิชายิงธนูนี้ ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ต้องอาศัยทักษะความแม่นยำและพรสวรรค์อีกเล็กน้อย เราไม่จะไม่พูดถึงภาคทฤษฎีมากนัก เพราะการปฏิบัติเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เอาล่ะ ทุกคนหยิบคันธนูและลูกศรคนละสามดอก จากนั้นประจำที่ของตัวเองเลย"
เมื่อสิ้นคำสั่งการ ทุกคนก็เร่งปฏิบัติตามโดยเร็ว ที่ของแต่ละคนคือต้นไม้ต่างๆ ในสวน โดยอาจารย์จะทำสัญลักษณ์ต้นไม้ที่ใช้ทดสอบด้วยเทปกาวสีส้ม
"บททดสอบบทแรก เรื่องความแรงของลูกธนู ต้นไม้แต่ละต้นที่พวกเธอได้รับนั้นแต่ละต้นล้วนแต่มีความแข็ง ที่กว่าจะได้ฟืนจากต้นไม้นี้ได้ต้องจามขวานอย่างน้อยสามสิบครั้ง เราจะไม่เน้นที่เรื่องความแม่นยำกันก่อน ฉะนั้นพวกเธอจะยิงตรงส่วนไหนก็ได้ แต่ลูกศรจะต้องปักเข้าไปในเนื้อไม้อย่างน้อยหนึ่งนิ้วไม่นับหัวลูกศร ให้เวลาซ้อมยี่สิบนาทีจากนั้นมาสอบ เริ่มซ้อมได้"
หลังจากได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นบอกเวลานับถอยหลัง 20 นาที ต่างคนต่างรีบแยกย้ายไปประจำยังต้นไม้ของตนเองเพื่อฝึกซ้อม แต่เวลาผ่านไปประมาณห้านาทีก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะสำเร็จ เพราะกว่าจะยิงให้เข้าเป้าก็ยากอยู่โข อีกทั้งยังต้องให้ลูกศรปักเข้าไม้หนึ่งนิ้วซึ่งต้องอาศัยความเร็วและแรงอย่างมากยิ่งทำให้ทุกคนลำบากเข้าไปอีก
"โอยยย ทำไมมันยากแบบนี้เนี่ย พวกเธอทำได้รึเปล่า" ราเชลหันไปถามเอลีน่า เซเรีย นาเดีย และแอตลาส
แต่ดูเหมือนแต่ละคนจะไม่ได้แตกต่างไปจากเธอสักเท่าไหร่ เพราะคำตอบที่ได้รับจากทุกคนคือ "ไม่"
"แล้วพวกนายล่ะ ทำได้มั้ย" ราเชลส่งเสียงถามแพทริค คาอิล และซิลเวอร์
"ขนาดจะยิงให้ตรงเทปกาวผมยังทำไม่ได้เลยครับ" คาอิลกล่าวด้วยน้ำเสียงท้อใจ
"แล้วนายสองคนล่ะ" ไร้เสียงตอบรับจากทั้งแพทริคและซิลเวอร์ หากแต่ทั้งคู่กลับเงื้อคันธนูขึ้นพร้อมกัน...ง้าง...และยิง
ฟุ่บ!! ฉึก!!
...ปักลงกลางเป้าอย่างสวยงาม เรียกสายตาทุกคนให้หันมามองด้วยความอึ้ง ความชื่นชม ...และหมั่นไส้
"โห~~ สุดยอดเลยอ่ะ สอนฉันมั่งสิ" นาเดียว่าพร้อมกับทำท่าขอร้อง
"ตามองตรง ง้างธนู แล้วก็ยิง" แพทริคว่าก่อนเสียงกริ่งจะดัง...และนั่นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด
----------------------------------------------
"ไม่ได้เรื่อง คนต่อไป"
อาจารย์ทอมกล่าวด้วยความหัวเสียหลังจากการทดสอบผ่านไปโดยมีผู้ที่ทำผลงานได้น่าประทับใจเพียงสองคนคือแพทริคกับซิลเวอร์เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าคนอื่นๆ ก็คงเป็นเช่นเดียวกับพวกราเชล...คว้าน้ำเหลว
"วิง เซอาร์"
ชายหนุ่มท่าทางอวดดีและหัวสูงก้าวขึ้นมาพร้อมกับง้างคันศรด้วยความมั่นใจจนทำให้คนอื่นๆ รวมทั้งราเชลต่างเชื่อกันว่าหมอนี่อาจจะเก่ง...
ฟุ่บ!!! ฉึก!!!
ลูกธนูพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปักลงบนวัตถุนั้นลึก 1 นิ้วกว่า!!! มันคงจะเป็นการทดสอบที่น่าประทับใจไม่น้อย หากวัตถุนั้นไม่ใช่...
"นาย~~ทำกระเป๋าฉันเป็นรู~~" เฮเซน่าที่เพิ่งโผล่มาพร้อมกับกระเป๋าใบโปรดของเธอกัดฟันกรอดพลางมองหน้าชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่ตอนนี้กำลังทำท่าเกาะขาอาจารย์ทอมได้อย่างน่าสมเพชเป็นที่สุด
"กล้าดียังไง หา!!!" สิ้นเสียงตะคอกของเฮเซน่า ท่าทีวางมาดของวิงก็หายเกลี้ยง เพราะตอนนี้เขาเป็นลมสลบไปเรียบร้อยแล้ว
"ใจเย็นๆ ก่อนครับ" คาอิลวิ่งเข้าไปคว้าตัวเฮเซน่าที่ตอนนี้กำลังจะกระโจนเข้าใส่วิง
"ใครก็ได้พาเขาออกไปก่อน" เขาตะโกนด้วยความยากลำบากเพราะเฮเซน่าเองก็ใช่ว่าจะแรงน้อยเหมือนผู้หญิงทั่วไปซะที่ไหน
....ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย ไม่มีใครสังเกตถึงการมาของลูกธนูปริศนาที่ปักลงใจกลางของเทปกาว...ลูกธนูที่มาจาก...ใครสักคน...
-----------------------------------------
"ใต้เท้าขอรับ ฝ่ายโน้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว" นายทหารร่างเล็กวิ่งเข้ามารายงานผู้เป็นนายด้วยท่าทีตื่นตระหนก
"กำลังพลล่ะ" ผู้เป็นนายถามด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม
"ราวๆ สี่พันขอรับ คาดว่าทางเราน่าจะยังพอรับมือไหวอยู่"
"พวกมันไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ซอร์เทนอาร์คงคิดจะเล่นกับฝ่ายเรา ทหารที่ส่งมาจากนรกของพวกมันไม่ใช่สิ่งที่รับมือยาก แต่หากมีกำลังเยอะเกินไปก็ยากจะต้านทาน"
"เราจะรับมือกับพวกมันอย่างไรดีขอรับ" นายทหารถาม
"อพยพชาวบ้านที่เป็นสตรีและเด็กไปไว้ยังสถานที่ที่ปลอดภัยก่อน ส่วนบุรุษที่ยังพอมีกำลังสู้รบได้ให้ส่งไปอยู่หน่วยทหารให้หมด"
สิ้นคำสั่งของผู้เป็นนาย ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขันพร้อมกับรีบวิ่งออกไปเตรียมการรบกับกองทัพ เหลือเพียงผู้เป็นนายที่ตอนนี้ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนพร้อมกับพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงท้อแท้เป็นที่สุด...
"องค์หญิง...ท่านอยู่ที่ใด ข้าและชาวเมืองต้องการท่านเหลือเกิน...
ความคิดเห็น