คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : chapter 2 หอพัก
...วุ่นวาย...คำสั้นๆ ง่ายๆ ที่สามารถนิยามบรรยากาศในห้องประชุมตอนนี้ได้ เสียงนักเรียนจอแจอื้ออึงหูไปหมด และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คนเกลียดความวุ่นวายอย่างราเชลแทบคลั่ง
"นี่ หลีกทางหน่อยสิ ยืนขวางทางเกะกะอยู่ได้" เสียงไม่สบอารมณ์ดังแว่วกระทบโสตประสาทหูพร้อมกับร่างของชายคนหนึ่ง เส้นผมสีบลอนด์เรียบกริบราวกับชะโลมด้วยเจลทั้งกระปุก ใบหน้าที่จัดว่าอยู่ในระดับคุณชายช่างดูน่าถีบเสียนี่กระไรในความคิดของราเชล ยิ่งวาจากวนบาทเมื่อกี้ด้วยแล้ว ยิ่งกระตุ้นให้อยากฝากรอยเท้างามๆ บนใบหน้าซะเหลือเกิน
"ที่ทางมีตั้งมากมายไม่รู้จักเดิน ดันมาเดินทางที่คนเค้ายืนอยู่ นายโง่เองนี่" เธอตอกกลับได้น่าโมโหไม่แพ้กันเล่นเอาฝ่ายตรงข้ามเส้นเลือดกระตุก
"ถอยไป" เขาสั่งเสียงแข็ง และนั่นทำให้ราเชลยิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน
"นี่เธอ..."
"มีอะไรกันเหรอคะ" เสียงแม่พระห้ามทัพของฟีเรียดังขึ้นเรียกความสนใจจากบุคคลทั้งสองที่กำลังจะเริ่มสงครามน้ำลายกันให้หันกลับมามอง
"ก็ยัย..." คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายไปในลำคอ ชายหนุ่มจ้องหน้าฟีเรียตาไม่กะพริบ
"มะ..ไม่มีอะไรครับ เพื่อนคุณเอ่อ..." เขาเว้นวรรคสักเล็กน้อยให้ฟีเรียบอกชื่อ
"ฟีเรีย มัสแตงค่ะ"
"อ่า..ครับ เพื่อนคุณฟีเรีย...เธอเอ่อ...น่ารักมากเลยครับ ผมบังเอิญยืนขวางทางเธอ แต่ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ เราจัดการเคลียร์ปัญหากันได้แล้ว" เหตุผลที่คนฟังอย่างราเชลได้แต่ยืนทำหน้าเอ๋อบอกบุญไม่รับ นี่มัน...คนละเรื่องเลยนี่หว่า
"งั้นผมเอ่อ...ขอตัวก่อนนะครับ หวังว่าคงได้พบกับสุภาพสตรีผู้งดงามเช่นคุณฟีเรียอีกนะครับ ลาก่อน" แล้วเจ้าตัวก็ขยิบตาอวดฟันขาวปิ๊งก่อนเดินจากไป
"แปลกคนจัง" ฟีเรียเอ่ยเบาๆ ก่อนหันมามองราเชล
"เป็นอะไรไปเหรอ" เธอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากเห็นเพื่อนสาวยืนทำหน้าเบื่อโลกอยู่นานสองนาน
"หืม? เปล่าหรอกจ้า แค่เบื่อๆ เท่านั้นเอง ในนี้วุ่นวายชะมัด ขอฉันออกไปสูดอากาศข้างนอกได้มั้ย"
"สูดอากาศ?" ฟีเรียเอ่ยทวน...ทั้งๆ ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงห้านาทีแถมจะก่อสงครามเนี่ยนะ
"ถ้างั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันจ้า" แล้วราเชลก็วิ่งออกนอกห้องประชุมไปทิ้งให้ฟีเรียยืนงงกับการกระทำแปลกๆ ของเธอ
---------------------------------------------------
บริเวณนอกห้องประชุมยังมีนักเรียนประปรายอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็บางตากว่าตอนเช้าเพราะตอนนี้ทุกคนต่างเข้าไปอัดกันอยู่ในห้องประชุม และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องออกมาเดินเพราะไม่อยากเข้าไปแย่งออกซิเจนกับคนอื่นๆ
ราเชลเดินหลบผู้คนไปยังสวนหย่อมของโรงเรียน ดูเหมือนเธอจะลืมเรื่องเข้าประชุมและเรื่องกระเป๋าไปซะสนิท สายลมอ่อนๆ พัดต้องใบหน้าพาเอาผู้สัมผัสรู้สึกสดชื่น ฝีเท้าก็ก้าวไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง...ไม่ได้รับรู้เลยสักนิดว่าตอนนี้มีเธอเดินอยู่คนเดียวในขณะที่ทุกคนรีบร้อนเข้าห้องประชุม...
ราเชลทิ้งตัวลงนอนราบกับพื้นหญ้า หลับตาแล้วผ่นอลมหายใจปล่อยจิตล่องลอยไปเรื่อยๆ และคงจะเผลอหลับไปแล้วจนกระทั่ง...
"ลุก" น้ำเสียงที่ฟังแล้วเผด็จการอย่างร้ายกาจดังขึ้นทำลายภวังค์ของราเชลจนหมดสิ้น เธอหันไปจ้องหน้าตัวการตาเขม็ง
เส้นผมสีดำสนิทยาวประบ่าขับรับกับใบหน้าขาวเนียนเหมือนหญิงสาว นัยน์ตาสีครามดูมีเสน่ห์และสวยงามอย่างประหลาด ริมฝีปากชมพูระเรื่อได้รูปยิ่งขับให้ใบหน้านั่นตรึงตา แต่...
"ฉันบอกให้ลุก" เขาสั่งท่าทางวางอำนาจเล่นเอาราเชลชักคันไม้คันมือ...สองรอบแล้วนะวันนี้...คนนึงให้หลีก...อีกคนให้ลุก...นี่เธอจะได้อยู่เป็นสุขกับเขาบ้างมั้ยเนี่ย
"ทางอื่นมีตั้งเยอะ ฉันนอนอยู่ นายไม่เห็นเหรอ" เธอยันกายขึ้นจากพื้นพร้อมกับกล่าววาจาตอกกลับ
"เห็น...แต่ที่นี่เป็นสวนหย่อมของโรงเรียน ไม่ใช่ที่นอนสำหรับใคร"
"แล้วไง ฉันจะนอน นายมีปัญหามากนักเหรอไง"
"...ขอบคุณ" เขาใช้มือผลักเธอออกให้พ้นทางเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านไปท่ามกลางความมึนงงของราเชล...ขอบคุณ...แล้วก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
...ไอ้จอมวางอำนาจสั่งให้เธอลุก...แล้วตอนนี้เธอ...ก็กำลังยืนอยู่!!...หลงกลเข้าเต็มเปา...ไว้เจอคราวหน้านะ แม่จะสับให้เละเลย!...ความคิดที่เธอได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะเจ้าตัวการเดินห่างไปไกลแล้ว...
หลังจากยืนบ่นอุบเพียงลำพังอยู่นานสองนาน ราเชลก็หันหลังเตรียมกลับไปนอนต่อ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขา วัตถุประหลาดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็ตรงรี่เข้ามาหาเธอพร้อมกับกระชากแขนอย่างรวดเร็วจนราเชลตั้งตัวไม่ทัน!!!
ทิวทัศน์รอบข้างวิ่งผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงสีดำแวบๆ สายลมพัดผ่านใบหน้าใบจนทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เส้นผมที่มัดไว้ตีกันพันยุ่งเหยิง ราเชลเริ่มรู้สึกว่าขนมปังที่ตัวเองยัดลงท้องเมื่อเช้าเริ่มตีกันจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดจนเธอคิดว่าอีกไม่นานจะต้องอาเจียนอย่างแน่นอน
แต่ก่อนที่จะเป็นอย่างใจคิด ตัวเธอเองก็เคลื่อนที่ช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ จนหยุดนิ่งอยู่กับที่ สายตาที่เริ่มพร่ามัวของราเชลก็กลับมาเห็นชัดได้เหมือนเดิม
"เซฟ" น้ำเสียงรื่นเริงที่ขัดกับอารมณ์ของราเชลในตอนนี้ดังขึ้นข้างๆ กาย จนราเชลต้องหันไปมองด้วยสายตาชวนหาเรื่องกับเจ้าคนที่ลากเธอมา
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีชากับนัยน์ตาสีเขียวอ่อนกำลังยืนทำหน้าตายียวนอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมที่ยาวเกือบถึงกลางหลังถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย ในขณะที่ผมของราเชลบัดนี้ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าคล้ายจะสวยดูอ่อนเยาว์และสดใส และนั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับราเชล
"นาย~~ทำ-บ้า-อะ-ไร" น้ำเสียงข่มขู่อย่างเห็นได้ชัดทำเอาคนถูกถามมองด้วยสายตาขยาดๆ
"ใจเย็นๆ ก่อนนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่มันติดมือน่ะ" เขาละล่ำละลักพูดพร้อมกับทำท่าจะถอยหนีทุกครั้งที่ราเชลทำท่าจะเดินมาหา
"ติดมือ? นายบอกว่าติดมืองั้นเหรอ" ลากเธอมายังไม่พอ ซ้ำยังมาบอกว่าติดมือ ไอ้นี่วอนตาย
"ง่า เอ่อ...คือ...เอ่อ" ดูเหมือนคำพูดที่เขาเตรียมจะพูดถูกกลืนหายไปหมดเมื่อเห็นสายตาเหมือนจะจับเขาเชือดได้ทุกเมื่อของราเชล
"ราเชล" เสียงเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกลทำให้ราเชลต้องละสายตาจากบุคคลตรงหน้า แล้วหันไปมองเจ้าของเสียง แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะเหลือบสายตาอาฆาตมามองเขาเป็นระยะๆ
ฟีเรียวิ่งด้วยท่าทางกระหืดกระหอบตรงเข้ามาหาเธอ พร้อมกับทำท่าค้อนน้อยๆ
ใส่ราเชลจนเธอต้องเอ่ยปากถาม
"มีอะไรเหรอ"
"ทำไมเธอไม่เข้าห้องประชุมล่ะ ฉันรอเธอตั้งนานนะ" ...ห้องประชุม! ใช่แล้ว เธอลืมเข้าห้องประชุม (เพิ่งจะรู้ตัวเหรอหล่อน)
"แหะๆ ขอโทษน้า ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ" ราเชลส่งยิ้มแห้งๆ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มข้างๆ กายหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางของเธอ
"หุบปาก" ราเชลหันมาปรามพร้อมกับส่งสายตาขูดเลือดขูดเนื้ออีกครั้ง และนั่นเป็นผลให้เขารีบหุบยิ้มทันที
"เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ" ฟีเรียร้องถามด้วยความเป็นห่วง...เป็นห่วงชายหนุ่มคนข้างๆ นะ
"...ไม่มีอะไร" เสียงตอบรับเป็นของชายหนุ่ม ซึ่งทำให้ราเชลที่กำลังอ้าปากทำท่าจะบอกต้องหันมามอง
"เธอถามฉัน" แล้วก็กัดเขาอีก
"เธอไม่ได้ระบุชื่อ ซึ่งนั่นไม่ผิดที่ฉันจะตอบ" รอยยิ้มยั่วโมโหถูกส่งมาพร้อมกับคำพูดที่ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
"อ่า...เมื่อกี้อาจารย์เรียกประชุมเพื่อแยกหอพักนักเรียนน่ะค่ะ ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะ" ฟีเรียเอ่ยขึ้นก่อนจะลากราเชลที่กำลังส่งสายตาอาฆาตให้ชายหนุ่มออกไป
"นี่ถ้าเธอไม่ขวางไว้มีหวังไอ้หมอนั่นได้สลบแน่" ราเชลหันไปว่าฟีเรีย
"ใจเย็นๆ ก่อนสิคะ เข้าโรงเรียนวันแรกอย่าก่อปัญหานักสิ" หญิงสาวหันมาค้อนตอบก่อนจะสั่งสอน
"เชอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ หวังว่าชาตินี้คงไม่ได้พบไม่ได้เจอมันอีกนะ"
-------------------------------------------------------
...ฝันร้ายชัดๆ...
ความคิดที่เล่นเอาราเชลอยากกัดลิ้นตาย ชายหนุ่มที่คาดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบกันอีกแล้วดันยืนยิ้มร่าอยู่ในกลุ่มนักเรียนหอพัก A ซึ่งเป็นหอพักเดียวกับเธอและฟีเรีย ซ้ำยังยืนอยู่ข้างๆ จอมวางอำนาจที่สั่งให้เธอลุกด้วย
"เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะแจ้งระเบียบการของหอพักและเเนะนำประธานกับรองประธานหอนะ" มิสฮาร์วี่ย์อาจารย์ประจำหอกล่าว เธอเป็นหญิงร่างสูงเพรียว ใบหน้าจัดว่าสวยทีเดียวหากไม่ติดว่าชอบทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา เส้นผมสีชาถูกถักเป็นเปียเรียบร้อย ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ดูเป็นธรรมชาติ
หลังจากกล่าวจบเจ้าหล่อนก็เดินลงจากเวทีพร้อมกันกับที่มีหนุ่มสาวสองคนเดินขึ้นมาแทน
ฝ่ายผู้หญิงที่เดินขึ้นมาก่อนนั้นเธอเป็นคนหน้าตาสะสวย เส้นผมสีชมพูแปลกตาปล่อยยาวสลวยถึงเอว ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดุจนางฟ้าประดับอยู่ตลอดเวลาเล่นเอาผู้พบเห็นเคลิบเคลิ้มเลยทีเดียว
ส่วนฝ่ายชายจัดว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีทีเดียว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นทรงกลม เส้นผมสีดำสนิทซอยสั้นเป็นระเบียบ ในมือถือหนังสือและแฟ้มกระดาษซึ่งมันทำให้ราเชลนึกถึงพนักงานกินเงินเดือนที่ทำงานหนักเพื่อโบนัสปลายปียังไงยังงั้น
"อรุณสวัสดิ์ครับรุ่นน้องที่น่ารักทุกคน และยินดีต้อนรับเข้าสู่ตึก A ของเรา" ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับขยับแว่นตา ส่วนหญิงสาวนั้นยืนอยู่ข้างๆ
"พี่ชื่อเพอร์เซียสนะ เป็นรองประธานหอ ที่ยืนข้างๆ นี่คือรุ่นพี่เฮเซน่า เป็นประธานหอ" ชายหนุ่มเจ้าของนามเพอร์เซียสกล่าวแนะนำก่อนจะทำท่าผายมือไปยังหญิงสาวซึ่งยิ้มรับเรียกคะแนนนิยมจากรุ่นน้อง
เวลาผ่านไปแสนเชื่องช้า เอกสารในมือของเพอร์เซียสถูกอ่านทีละแผ่นๆ เรื่อยๆ และตอนนี้หางตาของทุกคนกำลังจะปิดลง ไม่สิ...บางคนเข้าฌาณไปตั้งแต่กระดาษแผ่นที่สองด้วยซ้ำ
"...ระเบียบการข้อที่สี่สิบคือห้ามนำของที่ผิดกฎระเบียบของโรงเรียนเข้ามาในหอพักเด็ดขาด หากใครฝ่าฝืนจะถูกปรับโทษตามความร้ายแรงของสิ่งของชนิดนั้น" เพอร์เซียสกล่าวโดยไม่ใส่ใจสักนิดว่ายังมีคนฟังเขาอยู่รึเปล่า
ราเชลเหลือสายตามองบุคคลข้างๆ จอมกวนประสาทสลบไปตั้งแต่เพอร์เซียสและเฮเซน่าเดินขึ้นเวที ยังเหลือก็แต่เพียงพ่อคุณจอมวางอำนาจที่ไม่มีวี่แววจะหลับซ้ำยังนั่งฟังเพอร์เซียสว่าอย่างใจจดใจจ่อ
"นี่นาย" ราเชลเรียกแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่มีวี่แววว่าได้ยินเสียงเธอ
"หัวดำ ฉันเรียกนาย หันมาสิ" วาจาเริ่มก้าวร้าว
"..." ไม่มีเสียงตอบรับแต่ชายหนุ่มก็หันมามองเธอ หรือให้ถูกควรจะเรียกว่าเหลือบมองมากกว่า
"นี่นายฉันเรียกไม่ได้ยินหรือไง หันหน้ามาสิวะ" คำพูดที่เรียกสายตาคนรอบข้างให้หันมามองทำเอาเธอต้องกล่าวขอโทษขมุบขมิบ
"ฉันชื่อแพทริค กราเซีย กรุณาเรียกให้ถูก" ชายหนุ่มแก้ก่อนจะหันกลับไปฟังรองประธานหอกล่าวต่อ
"เออๆ นั่นล่ะ แพทริค กราเซีย หันมานี่หน่อย"
"ทำไม"
"นายทนได้ยังไงอ่ะ นั่งฟังพี่แว่นนั่นพล่ามได้เป็นนานสองนาน" ราเชลถามพร้อมกับใช้มือป้องปากหาว
"ฉันฟังเพราะมันจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เธอก็ควรจะฟังเหมือนกัน" คำพูดที่ปนเประหว่างคำสอนและคำสั่งทำให้ราเชลเบ้หน้า
"ตามใจนาย ว่าแต่ว่านายช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ปะ" เธอส่งสายตาเชิงขอร้อง
"อะไร"
"บังให้หน่อย ฉันจะงีบ ห้องนี่สบายเป็นบ้า" ว่าแล้วเธอก็เลื่อนเก้าอี้ถอยหลังเล็กน้อยพอให้แพทริคบังได้ แล้วก็เริ่มทำการนั่งวิปัสสนากรรมฐานเข้าฌาณไปหาพระอินทร์ ซึ่งนั่นทำให้ฟีเรียซึ่งนั่งมองอยู่ข้างๆ ต้องหันมาส่งสายตาเชิงขอโทษขอโพยให้แพทริค
เวลาผ่านไปเนิ่นนานและเชื่องช้า รองประธานก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุดพัก ปากยังคงร่ายพรรณนาถึงกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติไม่ขาดสาย ส่วนรุ่นพี่สาวสวยที่มีศักดิ์เป็นถึงประธานหอกลับยืนเฉยพร้อมกับปรายตามองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย
"...ระเบียบการข้อที่เจ็ดสิบเก้าคือห้ามแต่งกายผิดระเบียบ แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยตามเครื่องแบบที่ถูกต้อง"
หาวแล้วหาวอีกเอกสารปึกหนาก็ยังลดลงไม่ถึงครึ่ง และในที่สุด ดูเหมือนว่าพี่สาวประธานจะเริ่มหมดอารมณ์เช่นกัน
"พอเถอะเพอร์ส นายจะพล่ามให้มันได้อะไรขึ้นมา แหกตาดูซะมั่งมีนักเรียนงี่เง่าหน้าไหนนั่งฟังนาย แว่นหนาๆ ที่ใส่นั่นถ้าไม่ช่วยให้มองอะไรๆ ได้ดีขึ้นช่วยขว้างทิ้งทีเถอะ ฉันรำคาญตา" คำพูดประโยคแรกเรียกสายตาเหล่านักเรียนที่กำลังหลับให้หันขึ้นมามอง...โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นคำพูดที่ไม่เข้ากับหน้าตาของเธอเลย
"พวกเธอก็เหมือนกัน" นัยน์ตาคมประดุจสายตาของเหยี่ยวฉายมองมาทางพวกเขาเล่นเอาสะดุ้งเฮือกกันไปทั้งแถบ
"นี่ห้องประชุม ไม่ใช่ห้องนอน อยากนอนก็กลับไปซบอกแม่ที่บ้านโน่น" และเมื่อประโยคที่สองตามมาติดๆ แบบไม่ให้พักหายใจกันเลยทำให้ทุกคนต้องนั่งหลังตรงโดยอัตโนมัติ
"ไหนบอกฉันมาซิ เมื่อกี้นี้ใครนั่งฟังระเบียบการทุกข้อจนครบ..." ประโยคคำถามทรงอำนาจและยากนักจะหาคนตอบถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง
และแล้วความโกลาหลเล็กๆ ก็เริ่มขึ้นเมื่อทุกคนพยายามสอดส่ายสายตามองหาผู้กล้าสักคนที่มีความอดทนเป็นเลิศซึ่งพร้อมจะยกมือเสนอตน...แต่...ไร้ซึ่งวี่แวว
"นี่ๆ นายไม่ใช่เหรอที่นั่งฟังพี่แว่นพูดน่ะ" ราเชลสะกิดพร้อมกับหันไปถามแพทริค
"..." แต่ไร้เสียงตอบรับจากคนถูกถาม และนั่นเป็นนิสัยของเจ้าตัวที่เธอชักจะเริ่มชิน
"ไม่มีใคร..." เฮเซน่าทวนคำพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ พร้อมกับปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัยที่ไม่มีใครเข้าใจในความหมายของมันนอกจากเจ้าตัวเอง
"เยี่ยม พวกเธอเป็นรุ่นน้องที่ดีมากๆ สมัยฉันเรียนก็ไม่เคยฟังเหมือนกัน ยิ่งเป็นไอ้หน้าจืดนี่แล้วฉันยิ่งเข้าใจว่าพวกเธอคงอยากหลับเต็มทน" เธอว่าท่ามกลางความอึ้งกิมกี่ของทุกคนพร้อมกับปรายตามองไปยังเพอร์เซียสที่สะดุ้งเล็กน้อยกับคำว่า 'ไอ้หน้าจืด'
"ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวฉันจะพาพวกเธอไปยังหอพักที่พวกเธอจะต้องทำความคุ้นเคยไปกับมันอีกนาน เพราะมันจะเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเธอไปจนจบการศึกษา...นอกเสียจากว่า..." หญิงสาวเว้นวรรคเล็กน้อยพร้อมกับสังเกตสีหน้าทุกๆ คนที่กำลังฟังเธออย่างใจจดใจจ่อ
"ใครบางคนในที่นี้จะถูกไล่ออก...หรือเสียชีวิต" ในครานี้เองที่ทุกคนเริ่มหันมองกันอย่างหวาดๆ ราวกับว่าจะมีเพชฌฆาตออกมาอวยพรต้อนรับวันเปิดเรียนพร้อมกับถือดาบเล่มยาวมาให้เป็นของขวัญ
"แต่สำหรับการเสียชีวิตนั่นเราก็ไม่ได้พบมานานแสนนานแล้ว" เธอเอ่ยต่อให้ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
"แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยมี" และนาทีนี้เองที่ทั้งหมดหน้าซีดและจ้องใบหน้าหวานสวยที่ประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างผวา
"เอาล่ะ ก่อนอื่นเราต้องมีการแบ่งระดับชั้นซะก่อน เพื่อให้สะดวกต่อการเรียนรู้ของพวกเธอทุกคน เราจะแยกออกเป็นสิบระดับสำหรับหอพักสิบสองชั้น นักเรียนในที่นี้มีทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองคน สำหรับชั้นหนึ่งเป็นสถานที่รวมตัวกันในกรณีที่มีการเรียกประชุม ซึ่งเราจะไม่ใช้ห้องที่เราอยู่กันในตอนนี้เพราะ...ฉันขี้เกียจเดินมา มันไกล ส่วนชั้นสองถึงชั้นสิบเอ็ดนั้นเป็นสถานที่พักของพวกเธอ และในชั้นที่สิบสองเป็นดาดฟ้า...ซึ่งนักเรียนในระดับสิบเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปได้"
"ในระดับหนึ่งนั้นเป็นที่อยู่สำหรับพวกหัวสมองกลวงเปล่าที่ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงมาเสนอหน้าอยู่ในแฟร์แบงส์ได้"
"ระดับสองเป็นของพวกที่มีดีเล็กน้อย ขอย้ำว่าเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้คงจะเข้ามาโดยอาศัยโชค...เพราะลำพังความสามารถคงไม่สามารถแบกตัวเองมาเรียนที่นี่ได้"
"ระดับสามเป็นพวกเกือบฉลาด หรือพวกที่รอดพ้นจากคำว่าโง่มาอย่างเฉียดฉิว ในหมู่คนพวกนี้อาจใช้เส้นสายของบิดรมารดาเข้ามา เพราะหน้าตาซื่อบื้อซึ่งจะพบได้บ่อยมากในระดับสามมักจะเป็นพวกเส้นสายใหญ่"
"ระดับสี่จัดว่าเริ่มมีไหวพริบเชาว์ปัญญาขึ้นมา...บ้าง พูดง่ายๆ คือยังมีปัญญาเอาตัวรอดใช้ชีวิตโดยปลอดภัยภายใต้รั้วแฟร์แบงส์ ซึ่งเจ้าพวกนี้ส่วนใหญ่มักจะสอนตัวเองด้วยประโยคเห็นแก่ตัว อาทิเช่น...ใครจะเป็นยังไงไม่สำคัญ ขอเพียงตัวฉันมีความสุขก็เพียงพอแล้ว"
"ระดับห้ามาได้ครึ่งทางของความมีสติปัญญาแล้ว ซึ่งก็นับว่าไม่เลวสำหรับคนในระดับนี้ ถึงแม้ว่าบางทีอาจจะมี...พวกงี่เง่าไม่เต็มเต็งหลงมาบ้างก็ตาม"
"ระดับหกจัดว่าเมื่อเทียบกับคนธรรมดาๆ ทั่วไปก็จัดว่าฉลาดพอสมควร ถ้าไปสอบก็คงจะติดประมาณลำดับที่สิบถึงสิบห้า ซึ่งก็นับว่าไม่เลวเลยแต่ยังไม่ดีพอสำหรับแฟร์แบงส์"
"ระดับเจ็ดนับว่าค่อนข้างจะฉลาดทีเดียว เสียอย่างที่คนในระดับนี้มักจะเป็นพวกหลงตนเอง การเรียนก็นับว่าใช้ได้ และส่วนใหญ่คนในระดับนี้มักจะมาพร้อมกับมันสมองอันชาญฉลาด...โดยเฉพาะกับเรื่องชั่วๆ"
"สำหรับระดับแปดนับได้ว่าพัฒนาขึ้นมาเยอะเมื่อเทียบกับระดับอื่นๆ ด้านการเรียนนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะคงจะดีเลิศไร้ที่ติ นิสัยในระดับนี้ค่อนข้างจะดีเชียวล่ะ แต่บางทีอาจเป็นพวกตามโลกไม่ค่อยทัน เชื่อคนง่าย"
"และก็มาถึงระดับเก้า พวกนี้มักจะเป็นพวกคมในฝัก รูปร่างหน้าตาภายนอกอาจบ่งบอกถึงความไม่เอาไหนเลย แต่ภายในมีความสามารถอันร้ายกาจซ่อนอยู่ เสียแต่ว่ายังไม่อาจเทียบระดับสิบได้"
"ในที่สุดก็มาถึงระดับสิบ...นักเรียนในขั้นนี้...เก่ง เอาล่ะคราวนี้ก็มาแบ่งระดับกัน" ประโยคทิ้งท้ายเอาดื้อๆ เล่นเอาทุกคนมองด้วยความอึ้ง แค่ 'เก่ง' เนี่ยนะ ระดับอื่นคุณเธอเล่นพร่ำพรรณนาถึงความสามารถต่างๆ และข้อดีข้อเสียซะหมดเปลือก แต่กับระดับที่ทุกคนรอคอยฟังกลับนิยามด้วยคำสั้นๆ...
"ในการจำแนกนักเรียนตามระดับต่างๆ เราจะต้องใช้การวัดระดับของพลังจิต ระดับของสติปัญญา และระดับของพลังวิญญาณ" เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในบัดดลเมื่อเฮเซน่าเอ่ยถึงระดับพลังวิญญาณ
"หุบปาก ใครมีอะไรสงสัยถามมา" เธอตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ก่อให้เกิดความเงียบขึ้น แล้วหญิงสาวใจกล้าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ แพทริคก็ยกมือขึ้น
"ว่ามา"
"ทำไมต้องมีการวัดระดับพลังวิญญาณด้วยล่ะคะ" เธอเอ่ยถามในสิ่งที่ตรงกับความคิดของใครหลายๆ คน
"ก็เพราะว่า...เราต้องดูน่ะสิว่าพวกเธอแต่ละคนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนได้ขนาดไหน คือฉันหมายความว่าระดับไหนถึงจะเหมาะสมกับพวกเธอ ถึงแม้ว่าระดับพลังจิตกับสติปัญญาของเธอจะสูงส่งแค่ไหน ฉันก็ไม่อาจส่งพวกเธอขึ้นไปอยู่ในระดับสิบได้ หากพลังวิญญาณของเธออ่อนแอและน้อยจนเทียบเท่าเด็กอนุบาล"
"เอาล่ะ ไม่มีอะไรสงสัยแล้วสินะ ต่อไปเป็นการวัดระดับพลัง โดยอาจารย์ที่ปรึกษาของหอพักตึก A อาจารย์ลอร่า วินครอฟท์"
หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนนึงเดินขึ้นมาหลังจากเฮเซน่าเอ่ยจบ เธอแต่งกายด้วยชุดกาวน์แบบที่คุณหมอชอบใส่กัน เพียงแต่ว่าเธอไม่มีถุงมือและอุปกรณ์ฟังเสียงหัวใจหรือที่เรียกว่าสเตทโทสโคป
เส้นผมสีทองหยักศกยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีอำพันที่อ่านไม่ออกซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นสีเหลี่ยม เธอเดินขึ้นมาพร้อมกับตรงไปยังเก้าอี้...ที่มาจากที่ไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"อรุณสวัสดิ์แฟร์แบงส์" หญิงสาวทักทาย พร้อมกับส่งยิ้มอย่างอบอุ่นให้
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ/ครับ"
"ทีนี้ฉันจะเรียกพวกเธอแต่ละคนขึ้นมานะ เพื่อวัดระดับพลังกับอาจารย์ลอร่า จากนั้นก็จะจัดจำแนกและประกาศรายชื่อให้พวกเธอฟังกัน คนแรก...ลูซิอาร์ แมกเทิร์ด"
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกขานชื่อ ใบหน้าซื่อๆ ติดจะบื้อขาวซีด ร่างกายดูผอมแห้งแรงน้อยขณะที่ก้าวขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางการจับจ้องด้วยสายตาของทุกๆ คนที่มองดูวิธีการวัดระดับพลังอย่างใจจดใจจ่อ
"นั่งสิ" หญิงผายมือไปยังเก้าอี้อีกตัวที่หันเข้าประจันหน้ากับเธอ...และแน่นอนว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้
"ขะ...ขะ...ขอบคุณ...คะ...คะ...ครับ" เขากล่าวตอบอ้ำๆ อึ้งๆ สร้างรอยยิ้มน้อยๆ ให้ปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์สาวสวย
"ไม่ต้องประหม่าหรอก อาจารย์ไม่ได้มาฉีดยาเธอสักหน่อย ยื่นมือมาสิ" อาจารย์เอ่ยอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานพร้อมกับยื่นมือเรียวออกมา ซึ่งลูซิอาร์ก็มองมันด้วยใบหน้าหวาดระแวงราวกับว่าเค้ากลัวมันจะมีกระแสไฟฟ้าช็อตออกมาจากมือของอาจารย์สาว ถอนหายใจอย่างกล้าๆ กลัวๆ เล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจส่งมือให้
"...พลังจิตห้าสิบเก้า พลังสติปัญญาห้าสิบเอ็ด พลังวิญญาณ...สี่สิบสอง" ลอร่าว่าก่อนจะส่งมือกลับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
"เธอทำได้ดีที่สุดแล้วล่ะ อาจารย์เชื่อนะว่าระดับพลังของเธอจะต้องพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เป็นแน่ สู้ๆ นะ" คำปลอบประโลมแกมให้กำลังใจทำให้ลูซิอาร์ขยับรอยยิ้มก่อนจะเดินลงจากเวทีไป
"ต่อไปมาธาเรีย นามีอา" คราวนี้เด็กสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเดินขึ้นมาบนเวทีด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ เส้นผมสีบลอนด์ทองถูกถักเป็นเปียสองข้าง เธอเผยรอยยิ้มน่ารักน้อยๆ พร้อมกับทำตามเด็กหนุ่มคนก่อนหน้า
"...พลังจิตเจ็ดสิบหก สติปัญญาแปดสิบ พลังวิญญาณ...เจ็ดสิบสาม" ผลระดับพลังของเธอจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าถึงพอใจไม่น้อย ราเชลคิดว่าเธอคงถูกจัดให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าเจ็ดเป็นแน่
"มาเรีย เอรอล"
"พลังจิตหกสิบแปด สติปัญญาเจ็ดสิบเอ็ด พลังวิญญาณ...ห้าสิบเก้า"
"แมรี่ แอนเดอร์วิช"
"พลังจิตแปดสิบ สติปัญญาแปดสิบสาม พลังวิญญาณ...เจ็ดสิบห้า"
การขานรายชื่อเป็นไปเรื่อยๆ หลายคนพอใจกับระดับพลังของตนเอง และบางคนก็ค่อนข้างไม่พอใจอยู่ทีเดียว ตอนนี้มีคนถูกขานชื่อราวๆ ห้าสิบกว่าคนแล้ว หากแต่ไม่มีวี่แววจะมาเฉียดเธอกับฟีเรียแม้แต่น้อย...
"แพทริค กราเซีย" การขานชื่อครั้งนี้เรียกให้สายตาทุกคู่หันมามอง ไม่เว้นแม้แต่ราเชลซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
"...พระเจ้า...ตั้งแต่ฉันสอนมาเคยเห็นคนที่มีพลังระดับเธอไม่ถึงห้าคน และก็ไม่ได้เห็นมันมากว่าครึ่งทศวรรษ" คำกล่าวของลอร่าเรียกให้ทุกคนนั่งเฝ้าฟังผลของ
แพทริคอย่างใจจดใจจ่อ
"พลังจิตเก้าสิบห้า สติปัญญาเก้าสิบเจ็ด พลังวิญญาณ...เก้าสิบสาม" คำพูดของลอร่าสร้างความอึ้งและตะลึงให้กับทุกคน จนราเชลต้องหันไปถามฟีเรียที่นั่งป้องปากด้วยความประหลาดใจ
"มีอะไรเหรอฟีเรีย แต่ว่าไปแล้วหมอนั่นพลังสูงไม่ใช่เล่น"
"ไม่ใช่แค่พลังสูงไม่ใช่เล่นนะราเชล ขนาดคนที่พลังสูงที่สุดในตอนนี้ซึ่งเป็นองครักษ์ของประธานาธิบดียังมีพลังจิตแค่แปดสิบเก้า สติปัญญาเก้าสิบสอง และพลังวิญญาณแปดสิบเจ็ดเองนะ แล้วอีกอย่าง..."
"อะไร"
"พลังวิญญาณเกินเก้าสิบน่ะ มันเหนือขอบเขตของมนุษย์"
"เหนือมนุษย์? เธอหมายความว่าไอ้หน้าหล่อนั่นเป็นปิศาจเหรอ"
"เปล่า ปิศาจบางตนยังมีพลังวิญญาณไม่ถึงแปดสิบห้าด้วยซ้ำ แต่สิ่งมีชีวิตที่ว่าเหนือมนุษย์เนี่ย...ฉันหมายถึง..." ฟีเรียหันกลับไปมองหน้าแพทริคที่กำลังเดินลงจากเวทีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยจนจบประโยค...
"เทพ"
-------------------------
ราเชลจ้องหน้าฟีเรียด้วยแววตาประหลาดใจระคนตกใจ และแล้วปากของคนปากไม่ดีก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
"เฮ้ย แพทริค นายเป็นเทพเรอะ" ด้วยการกระทำที่เรียกได้ว่าคงไม่ได้คิดไตร่ตรองมาก่อนเล่นเอาฟีเรียเกิดอาการเหนื่อยใจบวกกับน้ำเสียงที่ไม่ดังมาก...แค่เรียกสายตาคนทั้งห้องให้หันมามองได้เท่านั้นเอง...
"...เทพ?" แพทริคเอ่ยทวนพร้อมกับจ้องหน้าเธอตอบด้วยแววตาขบขัน แปลกใจ และเจ้าเล่ห์ไงชอบกล เล่นเอาเธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่เดียวเชียว
"...พลังวิญญาณน่ะ ถึงของแพทริค กราเซียจะสูงพอๆ กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเทพ แต่ของอย่างนี้บางทีอาจเกิดจากการฝึกฝนจิตวิญญาณให้เข้มแข็งซึ่งฉันเชื่อว่าคุณชายคนนี้คงได้รับมาอย่างดีในวัยเด็ก หรือบางที...อาจเป็นเชื้อสายที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษก็ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นเทพเสมอไป...เข้าใจแล้วใช่มั้ย คุณราเชล ริเวอร์ส" ลอร่า วินครอฟท์เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน
"...ค่ะ" เธอเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบากเมื่อสายตาของทุกคนเพ่งเล็งมาที่เธอเป็นจุดเดียว
"ดีมาก เธอเข้าใจอะไรง่ายดีนะ และนี่ถึงคราวนี้เธอจะต้องขึ้นมาบนเวทีนี้เพื่อวัดระดับพลังบ้างแล้ว" หญิงสาวว่า ฟีเรียดันร่างราเชลที่นั่งอึ้งอยู่ให้ลุกขึ้นยืน เธอเดินไปช้าๆ ยังเวที จนบัดนี้สายตาของทุกคนก็ยังจ้องเธอราวกับเธอเป็นพวกสติแตกที่พร้อมจะเข้าไปขย้ำหัวพวกเขาได้ในทุกวินาที
"หวังว่าเธอคงไม่มีพลัง 'เทพ' หรอกนะ" วาจากวนอวัยวะเบื้องล่างถูกส่งมาเป็นระยะๆ หากไม่ติดว่าตอนนี้มีบุคคลที่เป็นถึงอาจารย์นั่งอยู่มีหวังเจ้าบ้าปากไม่ดีนั่นได้กลายเป็นศพต้อนรับวันเปิดเรียนวันแรกแน่นอน
ระยะทางไม่กี่เมตรเหมือนหลายสิบกิโลเมตร ในที่สุดเธอก็เดินขึ้นมาถึงเก้าอี้และล้มตัวลงนั่งพร้อมกับยื่นมือให้ศาสตราจารย์ซึ่งขยับรอยยิ้มน้อยๆ เชิงเอ็นดูให้
แต่ฉับพลันรอยยิ้มดังกล่าวก็หายไปทันใดเมื่อสัมผัสมือของเธอ ลอร่ามองใบหน้าของราเชลด้วยแววตาตื่นตระหนก เหงื่อเม็ดเป้งซึมขึ้นมาจากใบหน้าขาวนวล แต่มือเรียวกับเย็นเยียบจนราเชลรู้สึกได้
ดูเหมือนกับว่าท่าทีที่แปลกประหลาดไปของอาจารย์จะเรียกความตกใจให้กับทุกคนในห้องได้เป็นอย่างดี...เว้นแต่...ชายหนุ่มนามว่าแพทริค กราเซียนั่งมองด้วยใบหน้าและแววตาที่อ่านไม่ออก พลันรอยยิ้มน้อยๆ ที่ไม่มีผู้ไดล่วงรู้ความหมายนอกจากเจ้าตัวเองก็ปรากฏขึ้นมาน้อยๆ...ในที่สุด...ก็เจอตัวเธอจนได้...
"เกิดอะไรขึ้นคะอาจารย์" เฮเซน่าวิ่งมาถามเมื่ออาจารย์ของเธอปล่อยมือจากราเชลซึ่งนั่งงงในท่าทางการกระทำของหญิงสาวตรงหน้า
"ไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติดีหมด สำหรับเธอราเชล ริเวอร์ส..." เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวเอ่ยชื่อ
"คะ?"
"พลังของเธอ...สติปัญญาเก้าสิบ พลังจิตเก้าสิบสอง ส่วนพลังวิญญาณ..." ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน ลอร่าก็เอ่ยขัดความเงียบขึ้นมา
"สามสิบ"
-----------------------------
"ใจเย็นๆ น่าราเชล" ฟีเรียเอ่ยปลอบใจเพื่อนสาวที่เดินเตะฝุ่นไปเรื่องเหมือนคนตกงาน สร้างสีหน้ารังเกียจให้กับพวกคุณหนูจอมสำออยที่เดินอยู่ตามรายทางได้เป็นอย่างดี
"ใจเย็นงั้นเหรอ? เธอบอกให้ฉันใจเย็นๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองมีระดับพลังวิญญาณน้อยที่สุดในโรงเรียนเนี่ยนะ" ว่าพลางเตะใบไม้ที่ตกอยู่ข้างหน้า
"ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ไม่ได้ยินที่อาจารย์ลอร่าบอกเหรอ ของแบบนี้มันฝึกกันได้" ฟีเรียงัดคำปลอบขึ้นมาอีกชุด
"ฝึก? พูดเหมือนกับว่าฝึกเขียนกอไก่เลยนะ ขนาดไอ้หมอนั่นที่ว่าเก่งแล้วยังฝึกมาตั้งแต่เด็ก แล้วฉันล่ะ ฝึกตอนนี้อีกสามสี่ปีจะได้ถึงห้าสิบหรือยังก็ไม่รู้"
"โธ่ อย่าคิดมากสิ" ฟีเรียว่าต่อ (ช่างเป็นผู้หญิงที่มีความพยายามสูงซะจริง)
"เหอะๆ ฉันก็อยากอยู่หรอกนะ แต่มันไม่ง่ายน่ะสิ เธอน่ะสบายไปแล้ว สติปัญญาแปดสิบเก้า พลังจิตเก้าสิบ พลังวิญญาณตั้งแปดสิบสี่"
"จะคิดแบบนั้นก็ตามใจเธอนะ แต่ว่า...ที่เธอเตะน่ะฝุ่นมันเข้าหน้าฉันหมดเลยนะ" ฟีเรียว่าพร้อมกับส่งสายตาค้อนๆ มาให้
"อ้าว งั้นเหรอ ขอโทษนะ" ราเชลส่งยิ้มแห้งๆ พร้อมกับทำท่าเข้ามาปัดชุดของฟีเรีย
พลันการสนทนาของทั้งคู่ก็เป็นอันต้องชะงัก เมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นหูจากหญิงสาวที่ทั้งสองมองไม่เห็นใบหน้า เนื่องจากมีกำแพงมนุษย์จากเหล่านักเรียนใหม่มาบังเอาไว้
"นักเรียนปีหนึ่ง ตึกเอมาทางนี้เลย เข้าแถวให้เป็นระเบียบด้วย" คำประกาศก้องซึ่งหมายถึงพวกเธอ ทำให้ราเชลและฟีเรียต้องเดินไปสมทบกับคนอื่นๆ
เมื่อฝ่าฝูงชนเข้าไปในแถวได้ทำให้มองเห็นใบหน้างามๆ ของเฮเซน่ากับสีหน้าไม่สบอารมณ์เพราะเสียงดังจอแจจากคนรอบข้าง
"นักเรียนคนไหนไม่เกี่ยวช่วยกรุณาหลีกให้พ้นทางด้วยนะ อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ ยังจะมายืนมุงกันอยู่ได้ ใครมาแล้วก็เข้าแถวให้เรียบร้อยด้วย" ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนโทสะของหญิงสาวจะเพิ่มขึ้นทุกขณะ เล่นเอาเพอร์เซียสที่ยืนอยู่ข้างๆ ขยับห่างออกมาด้วยท่าทีกล้าๆ เกรงๆ
"ทีนี้เดินตามฉันมา กระเป๋าของพวกเธอทุกคนจะตามมาทีหลัง โดยภารโรงกิตติมศักดิ์ของที่นี่ ซึงอีกไม่นานทุกคนจะได้รู้จักเขา แต่ตอนนี้ฉันจะนำพวกเธอไปยังหอซึ่งเป็นที่พักของเธอกันก่อน" เจ้าหล่อนยกมือปาดหยาดเหงื่อจากนั้นก็เดินอย่างกระฉับกระเฉงออกนำไป
ตลอดระยะทางระหว่างห้องประชุมถึงหอพักดังกล่าว สายตาหลายคู่หันมามองพวกเขาด้วยความรู้สึกที่ต่างกันออกไป รุ่นพี่บางคนส่งยิ้มให้ สาวๆ หลายคนกรี๊ดแพทริค ชายหนุ่มบางส่วนชายตามองเฮเซน่าด้วยความชื่นชม และหลายๆ คนจ้องเขม่นพวกเขา
"นี่เธอไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอราเชล" ฟีเรียเอ่ยถามหลังจากเบือนหน้าหลบจากสายตาอาฆาตของเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน
"หืม? รู้สึกสิ" เธอหันไปกล่าวตอบ
"เราคงไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาโกรธใช่มั้ยเนี่ย"
"หา? พูดอะไรของเธอน่ะ ฉันหมายถึงอากาศบ้านี่ร้อนชะมัดเลย เธอพูดถึงอะไรเหรอ" ด้วยใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้ที่ฟีเรียสรุปเอาว่าคงไม่ได้แกล้งทำ ก่อนจะตอบปัดๆ ไปว่า
"เปล่าๆ ไม่มีอะไร อากาศร้อนจริงๆ นั่นล่ะ"
-------------------------
หลังจากการเดินทางอันแสนเหน็ดเหนื่อยที่ไม่ได้เนื่องมาจากระยะทางดำเนินมาพอสมควร ในที่สุดเฮเซน่าก็ชะลอฝีเท้าและหยุดลงหน้าประตูบานหนึ่ง มันเป็นประตูไม้ประดับตึกซอมซ่อที่ไม่คิดเลยว่าจะมีตึกแบบนี้อยู่ในสถานศึกษาที่หรูหราอย่างแฟร์แบงส์
ตึกทรงสี่เหลี่ยมทาด้วยสีขาวที่ไม่รู้ว่ายังจะเรียกว่าขาวได้รึเปล่า เพราะดูเหมือนว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น
เพอร์เซียสก้าวไปด้านหน้าประตูก่อนจะใช้ฝ่ามือทาบลงบนบานประตู ออร่าสีน้ำเงินทอแสงเป็นประกายขึ้นชั่วครู่ก่อนจะดับไป เผยให้เห็นประตูสีเงินสวย ตรงกลางมีตัวอักษรสลักไว้เป็นตัวเอสีน้ำเงิน ข้างๆ บานประตูมีคบเพลิงสองอันประดับซ้ายขวา
เฮเซน่าและเพอร์เซียสก้าวไปหยิบมันขึ้นมาและทันใดนั้นจากคบเพลิงธรรมดาก็ปรากฏไฟลุกโชติช่วง จากนั้นทั้งสองจึงผลักบานประตูออกเผยให้เห็นหอพักสวยที่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าหอพักอื่นๆ เลย
ตึกสีฟ้าใสราวกับสถาปัตยกรรมจากน้ำแข็งสะท้อนเป็นเงาระยับกับแสงอาทิตย์เป็นประกาย ความสูงของมันประมาณตึกยี่สิบชั้น แต่น่าแปลกที่กลับซ่อนไว้ได้มิดชิดภายใต้ตึกซอมซ่อที่เป็นฉากบังหน้า
"นี่คือภารโรงประจำหอของเรา เค้าชื่อว่าเครก" เนื่องจากมัวแต่อึ้งอยู่กับความตระการตาของหอพัก ทำให้ลืมสังเกตว่ามีชายคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
ชายหนุ่มท่าทางสกปรกที่ไม่เข้ากับบรรยากาศของตึกเลยสักนิด เส้นผมสีดำดูสากและยุ่งเหยิงถูกรวบเอาไว้ลวกๆ ใบหน้ามอซอเลอะไปด้วยฝุ่นผงอีกทั้งเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ตรงหน้าเล่นเอาพวกลูกคุณหนูยี้ไปหลายคน
"สวัสดี" คำทักทายสั้นๆ และดูไม่เป็นมิตรกล่าวส่งมาโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาด้วยซ้ำ เขาเอาแต่ก้มหน้า...และก้มหน้า
"สวัสดีค่ะ ทีนี้ฉันจะพาพวกเราไปดูห้องพักกัน และจะแบ่งระดับชั้นไปในตัวให้เลย สำหรับสัมภาระคุณเครกเอาขึ้นไปเก็บให้พวกเราแล้ว ตามฉันมา" เพอร์เซียสว่าก่อนที่ทุกๆ คนจะเดินตามไป
ราเชลตั้งท่าจะก้าวเท้าตามคนอื่นๆ ไป หากแต่ความรู้สึกบางอย่างผลักดันให้เธอเหลียวหลังกลับมามองภารโรงคนประหลาด...แต่ที่ตรงนั้น...กลับว่างเปล่า...
--------------------------
"สำหรับรายชื่อของแต่ละคนว่าได้อยู่ชั้นอะไรกันบ้างจะถูกติดเอาไว้ที่บอร์ดตรงโถงทางเดิน เนื่องจากมีเหตุฉุกเฉินฉันจึงไม่สามารถนำพวกเธอไปชมห้องได้ จัดการตัวเองให้เรียบร้อย เพื่อความสะดวกเราได้มีการติดชื่อพวกเธอแต่ละคนไว้หน้าห้องแล้ว พร้อมกันนั้นได้แบ่งกลุ่มให้พวกเธอด้วย เพราะเราจำต้องมีการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มในบางครั้งบางครา ถ้าพวกเธอคนใดโง่เกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด ก็ยกมือถามได้เลย "
คำพูดผสมกับการหลอกด่าตามสไตล์ของหญิงสาวประธานหอพักตึกเอ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครยอมยกมือเด็ดขาด ดังนั้นหลังจากที่เฮเซน่าและเพอร์เซียสออกไปเพราะถูกเรียกตัวแล้ว ความชุลมุนเล็กๆ ก็บังเกิดขึ้น
"ไปดูรายชื่อกันเถอะ" ฟีเรียหันมาเรียก
แต่ก่อนที่จะเข้าถึงบอร์ดประกาศรายชื่อ แม่สาวผมเปียหน้าม้าก็มาดักขวางหน้าเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ไม่เข้าหู
"พวกเธอสองคนจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเธอ" เจ้าหล่อนว่าพร้อมกับกรีดนิ้วมาทางราเชล เล่นเอาเธองงไปเลยทีเดียว
"อะไร" เธอสวนกลับ
"ทำไมเธอถึงได้อยู่ชั้นสิบ ทั้งๆ ที่ระดับพลังของเธอมันน้อยซะจน...น่าสมเพช" รอยยิ้มเยาะๆ แทบทำเอาเส้นอารมณ์ของราเชลขาดผึง
...ก็รู้ว่ามันน้อย...แต่ไม่ต้องตอกย้ำกันนักก็ได้...
"รู้มั้ยว่าเพราะอะไร" เธอเริ่มรุกกลับ
"เพราะว่าระดับพลังอันน่าสมเพชของฉันมันยังไม่น่าสมเพชเท่ากับความงี่เง่าของเธอไงล่ะ รู้อะไรมั้ย พวกผู้หญิงที่วันๆ มีแต่ปากไว้ด่าคนอื่นจนเกือบจะเรียกได้ว่าพกปากมาเรียน ผู้หญิงพวกนี้ส่วนใหญ่มักจะไร้เบรนหรือง่ายๆ ก็คือไร้สมอง และจะยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟังเอามั้ย ถ้าอยากเห็นคนประเภทนั้นเธอก็ลองกลับบ้านไปนะ แล้วยืนหน้ากระจก ไม่ยากหรอก...เดี๋ยวเธอก็เห็นผู้หญิงพวกนั้นแล้ว"
ราเชล ริเวอร์ส ภาคนางมารร้ายทำเอาฟีเรียอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว ยิ่งท่าทางตอนที่เธอจงใจเดินกระแทกแม่เปียตัวร้ายจนเกือบหน้าคะมำ...เห็นแล้วไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับยายคนนี้เลยจริงๆ
"ว้าว เธอก็ได้อยู่ชั้นสิบแน่ะฟีเรีย" เธอว่าก่อนจะลากฟีเรียมาดูด้วยกัน และจงใจพูดให้คนบางคนได้ยิน
"อืมจ้า ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ" ฟีเรียเอ่ยซึ่งคงเดาได้ไม่ยากว่าเธอคงทราบจากการใช้พลังจิตของเธอ
"เจ้าหน้าหล่อที่ชื่อแพทริคนั่นก็ได้อยู่ชั้นเดียวกับเรา แล้วก็ยังมี..."
"ฉัน" เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของคนสี่คนเดินตรงเข้ามายังบอร์ดประกาศ
เจ้าของเสียงคือเจ้าหนุ่มที่เธอภาวนานักหนาว่าขออย่าให้ได้เจอเลย คนที่สองคือแพทริคที่มาพร้อมกับความสงบนิ่ง ส่วนผู้มาเยือนอีกสองคนคือสตรีที่เรียกความสนใจจากสายตาของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
คนแรกคือเด็กสาวเจ้าของเรือนผมน้ำตาลเกือบแดง นัยน์ตาสีเดียวกันเป็นประกายกล้า ใบหน้าขาวเนียนและสง่างาม เธอสูงกว่าราเชลประมาณ 5-6 เซนติเมตร ริมฝีปากสีชมพูได้รูปแย้มรอยยิ้มส่งให้กับเธอและฟีเรีย
"สวัสดี ฉัน...เอลีน่า มาแชล ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณราเชล ริเวอร์ส" เธอเอ่ยทักทายพร้อมกับส่งมือมาให้
"ยินดีที่ได้รู้จัก" ราเชลกล่าวก่อนจะจับมือด้วย
"เช่นกันค่ะ ฉันชื่อ..." ฟีเรียเอ่ยบ้างหากแต่ถูกขัดจังหวะก่อนจะได้จบประโยค
"ฟีเรีย มัสแตง...ฉันได้ยินเรื่องเธอมาเยอะทีเดียว" ประโยคนี้เป็นของเด็กสาวอีกคน เรื่อนผมสีดำถูกถักเป็นเปียยาวถึงเอว ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นสีดำ ในมือถือหนังสือสองสามเล่มที่ดูท่าจะเป็นหนังสืออ่านยากทั้งสิ้น
"อ่าจ้า ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองคนนะ ทั้งเอลีน่าแล้วก็..." ฟีเรียเว้นวรรคก่อนจะปรายตามองไปทางเด็กสาวผมดำ
"เซเรีย วีรอส ยินดีที่ได้รู้จัก"
หลังจากที่แนะนำตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งหกคนก็พากันขึ้นไปยังชั้นสิบซึ่งเป็นที่พักของพวกเขา การเดินไม่ได้สร้างความเหนื่อยให้กับพวกเขานัก อันที่จริงแล้วพวกเขาแทบไม่ได้เดินเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากพลังเคลื่อนที่ของชายหนุ่มนามเอลเดอริกที่มีเรื่องกับเธอเพราะ 'ติดมือ' ช่วยให้เบาแรงไปได้เยอะเลยทีเดียว
หอพักชั้นสิบมีการจัดบรรยากาศให้หรูหราราวกับโรงแรมห้าดาว ด้วยโคมไฟระย้าสีเหลืองส้มทำให้บริเวณทางเดินดูสลัวๆ แบบโรแมนติกหน่อยๆ ห้องพักมีทั้งหมดสิบห้อง แบ่งออกเป็นสองฟาก ซึ่งนั่นก็หมายความว่ายังมีเพื่อนร่วมชั้นอีกสี่คนด้วยกันที่พวกเขายังไม่เคยเห็นหน้า
ความคิดเห็น