ตอนที่ 7 : บทที่.6 [รีไรท์] เพราะแมวเป็นเหตุ
หลังจากที่กล่อมเพ่ยลี่หลานให้หลับได้แล้ว เฟยเมี่ยวก็มานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่ห้องพลางโต้เถียงเรื่องจิปะถะกับมี่ถงเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และเขาก็ได้เปิดอ่านคู่มือต่างๆ ที่ระบบแจกให้ฟรีเพื่อทำความเข้าใจกับโลกใบนี้ให้มากขึ้น อย่างเช่นกฎกติกาที่ต้องปฏิบัติจนกว่าจะก้าวไปสู่การเป็นจอมมารได้ ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่เฟยเมี่ยวทำความเข้าใจได้
นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีประวัติศาสตร์ของโลกนี้อีก ตามชื่อที่ถูกบัญญัติขึ้นมาโดยมาสเตอร์ผู้สร้างโลกใบนี้ถูกเรียกว่า ‘สวี่หลิว’
สวี่หลิวทั้งหมด จะมีการแบ่งออกเป็นสามเผ่าพันธิ์ใหญ่ๆ คือ เผ่าสวรรค์ เผ่ามนุษย์ และเผ่ามาร แต่ละเผ่าจะใช้ระบบปกครองตนเองไม่ขึ้นตรงต่อเผ่าใด แต่ก็เข้าตำราเดิมเหมือนที่เคยเห็นในหนังนั่นแหละ เผ่าสวรรค์และเผ่ามารไม่ถูกกันเจอกันก็ต้องมีเลือดตกยางออกบ้างเป็นธรรมดา
เผ่ามนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดในสามเผ่าก็บูชาเทพสวรรค์ เกลียดชังมารร้ายตามบรรพบุรุษที่มีความเชื่อสืบต่อกันมา เป็นพวกเลือกที่รักมักที่ชังจริงๆ (ในที่นี้ไม่ได้ว่าทุกคนหรอกนะ)
เผ่าสวรรค์ก็จะประกอบไปด้วยเทพเซียนต่างๆ เหมือนที่เราเคยดูในหนังจีนเลย ผู้ปกครองสูงสุดคือองค์เง็กเซียน การคัดเลือกผู้ปกครองและเข้ารับตำแหน่งจะถูกจัดขึ้นทุกๆ หนึ่งหมื่นปี
เผ่ามนุษย์จะแบ่งดินแดนที่อยู่อาศัยใหญ่ๆ ได้สามแห่งคือ แคว้นเว่ย แคว้นหยาง และแคว้นฉิน ฮ่องเต้ของทั้งสามแคว้นจะถูกคัดเลือกขึ้นมาหนึ่งคนเพื่อเป็นผู้ปกครองสูงสุดเรียกว่าจักรพรรดิ ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับอายุไขของผู้ปกครองคนปัจจุบัน ตายเมื่อไหร่เปลี่ยนมือทันที
แล้วก็ยังมีพวกที่มีปราณติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด คนพวกนี้ส่วนใหญ่ถ้าไม่ถูกเผ่ามารดูดปราณไปจนตายก่อน ก็จะเอาดีทางด้านฝึกวิชาเซียน บำเพ็ญตบะ เข้าสำนักเซียนเรียนศาสตร์การปราบภูตผีปีศาจต่างๆ ก็ว่ากันไป ชื่อที่ใช้เรียกคนกลุ่มนี้ก็คือ “ผู้บำเพ็ญเซียน”
เผ่ามารในที่นี้เฟยเมี่ยวมีความเห็นว่า ออำจะน่ารำคาญกว่าเผ่าอื่นมากหน่อย เพราะพวกที่จัดอยู่ในประเภทเผ่ามารนั้นมีเยอะ ไม่ว่าจะเป็นมารน้อยใหญ่ต่างๆ ปีศาจ สิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของมนุษย์ ก็ถูกจัดให้อยู่ในเผ่ามารทั้งหมด ผู้ปกครองสูงสุดของเผ่ามารคือท่านจอมมาร ที่ทุกหนึ่งพันปีจะเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งจากผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นจอมมาร คุณสมบัติแรกที่สำคัญที่สุดของคนที่จะเข้ารับการคัดเลือกคือ ต้องเป็นมารที่มีเลือดมารบริสุทธิ์ ไม่ใช่ครึ่งมนุษย์ครึ่งมาร หรือ ครึ่งเทพครึ่งมาร
เผ่ามารควบคุมยากกว่าเผ่าอื่น เพราะมีจำนวนประชากรมารที่เยอะกว่า และถ้าดวงซวยไปเกิดในยุคที่จอมมารชมชอบการทำสงครามจับมนุษย์มาทรมานเล่นแล้วละก็ ชีวิตของคนในยุคนั้นเรียกได้ว่าจะต้องพบความหรรษาไม่จบไม่สิ้นกันเลยทีเดียว
เฟยเมี่ยวรู้สึกอยากจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากเสียให้รู้แล้วรู้รอด แล้วเขาที่ต้องทำเควสจอมมารนี่ให้สำเร็จจะทำยังไง ในเมื่อมันมีการคัดเลือกกันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น(ไม่รวมรายละเอียดพิธิการต่างๆ อีก) แล้วหลิ่งเฟยอวี่เป็นคนหรือมาร?
'ระบบ ฮัลโหลคุณอยู่หรือเปล่า?' ลองถามระบบดูแล้วกัน
ระบบ [ ขออภัยขนาดนี้ระบบอยู่ระหว่างเชื่อมต่อสัญญาณ…. กรุณาติดต่อเข้ามาใหม่ในภายหลัง ]
สัญญาณหลุดก็ได้เหรอ...
ดวงตาหงส์กวาดมองไปทั่วจนไปหยุดอยู่ที่มี่ถง ที่กำลังเปลี่ยนชากาใหม่ให้เขาอยู่ ถ้าจะถามว่าใครกันที่ได้ใกล้ชิดหลิ่งเฟยอวี่มากที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นมี่ถง เช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นคนที่รู้จักหลิ่งเฟยอวี่คนงามดีที่สุด ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้จักคนงามมากกว่าที่คนงามรู้จักตนเองก็เป็นได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เฟยเมี่ยวก็ไม่ลังเลใจที่จะส่งรอยยิ้มหวานให้อีกฝ่าย จนมี่ถงที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับรอยยิ้มจริงใจถึงกับก้าวถอยหลังไปสามก้าว จ้องมองกลับมาด้วยแววตาหวาดระแวง
เฟยเมี่ยวเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “หลิ่งเฟยอวี่เป็นคนธรรมดาใช่หรือไม่”
!!!
“จะ...เจ้าถามอะไรของเจ้า” มี่ถงหลบสายตาอีกฝ่ายที่หรี่ลงมองตนอย่างจับผิด คนผู้นี้อยู่ดีไม่ว่าดีเหตุใดจึงถามคำถามเช่นนี้ขึันมาได้
“หรือว่ามิใช่…” เฟยเมี่ยวที่เห็นว่าอีกฝ่ายมีพิรุษ ก็กล่าวออกไปเพื่อให้มี่ถงคายความจริงออกมา
“นะ นายน้อยของข้าย่อมเป็นคนธรรมดาเท่านั้นเอง เจ้าอย่าได้พูดจาซี้ซั้ว”
“แน่หรือ…” เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทีคุกคาม
“โกหก เจ้าปิดบังอะไรข้าหรือ ไหนมี่ถงเด็กดีบอกข้ามาเร็ว”
เขามั่นใจว่าคำถามของเขามี่ถงตอบได้ เพียงแต่เหตุใดอีกฝ่ายไม่คิดตอบกัน ช่างสิเขาอยากรู้อีกฝ่ายก็ต้องตอบ
“ขะ..ข้า” เหตุใดอยู่ดีๆ จึงมาคาดคั้นกันเล่า หรือว่าคนผู้นี้ไปรู้อะไรมา...
“อย่าให้ต้องบังคับ” เฟยเมี่ยวกล่าวเสียงเรียบ จ้องมองใบหน้าสงบนิ่งแต่แววตาตื่นตระหนกของมี่ถงอย่างกดดัน ทั้งที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับที่มุมปากบางๆ
เมื่อนึกย่อนไปถึงเหตุการณ์ในตอนที่ไปช่วยเพ่ยลี่หลาน มี่ถงก็คิดว่าหนีอย่างไร ก็คงหนีอีกฝ่ายไม่พ้น จึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างไม่เต็มเสียงนัก “เป็น…..ครึ่งเดียว”
ครึ่งเดียวหรือ เฟยเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่น “คืออะไรหรือ”
“เป็นคนแค่ครึ่งเดียว “ เจ้าเลิกส่งรอยยิ้มแบบนั้นให้ข้าได้หรือไม่
“แล้วอีกครึ่งเล่า?”
“...เป็นมาร”
เป็นมารแค่ครึ่งเดียว เฟยเมี่ยวครุ่นคิดหากเป็นเพียงครึ่งเดียว จะต้องใช้วิธีไหนเพื่อให้ได้กลายเป็นจอมมาร แค่คุณสมบัติข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว ระบบก็สัญญาณหลุดแล้วใครจะตอบคำถามเขาได้กัน
สุดท้ายแล้วเฟยเมี่ยวเพียงถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง รินน้ำชาขึ้นมาเป่าให้อุ่นแล้วดื่มเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องเอามีคิดเสียเมื่อไหร่ อย่างไรก็ต้องดูว่ามาสเตอร์อะไรนั่นอยากจะให้เขาทำอะไร ว่าแต่….
“แล้วเหตุใด เจ้าถึงรู้ได้ว่าเฟยอวี่เป็นมารเล่า?”
“ข้า….ข้า เจ้าจะถามมากมายเพื่ออันใดกัน!!” มี่ถงถลึงตาใส่เฟยเมี่ยว ทั้งที่ความจริงเขาแทบอยากพังกำแพงห้อง แล้วกระโดดหนีหายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“จะไม่ตอบข้าหรือ” เฟยเมี่ยวใช้มือจับไหล่คนตัวสูงกว่าตนไว้แน่น กันอีกฝ่ายหนี แล้วจ้องตามี่ถงอย่างข่มขู่ “ถ้าเช่นนั้น…”
“เช่นนั้นอะไรอีก ข้าก็บอกเจ้าไปเท่าที่รู้แล้วอย่างไรเล่า”
เฟยเมี่ยวครุ่นคิด "เช่นนั้นข้าก็จะใช้หน้าตาอันงดงามของร่างนี้ ออกไปหากำไรให้ท่านแม่หน่อยจะเป็นไรไป?"
"กล้าหรือ!"
ก๊อกๆๆ
“เฟยเอ๋อร์เจ้าอยู่หรือไม่” เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงของแม่เล้าหลิ่งดังมาจากด้านนอก ทำให้เฟยเมี่ยวที่ตั้งใจว่าจะกลั่นแกล้งมี่ถงต่อ ต้องทำเมินคนที่ตีหน้ายักษ์ใส่เขา แล้วไปเปิดประตูให้ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมารดาของตนในเวลานี้
“จนป่านนี้ยังมิรีบไปเตรียมตัวอีกหรือ” แม่เล้าหลิ่งที่เข้ามาด้านในแล้วยังเห็นลูกชาย(คนใหม่) ของนางอยู่ในชุดเดิมก็ขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยปากถาม
นางได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเด็กคนนี้แล้ว หากจะบอกว่าไม่แค้นก็คงเป็นการโกหกต่อทั้งตนเองและผู้อื่น แต่จะให้ไปล้างแคันผู้ใดนางเองก็มิอาจทราบได้ และถึงรู้ตัวนางที่เป็นเพียงแม่เล้าในหอคณิกาจะไปทำอันใดได้กัน
เฟยอวี่ผู้นี้รับปากนางว่าจะแก้แค้นคืนความเป็นธรรมให้แก่ดวงวิญญาณของลูกชายนาง เพื่อแลกกับการที่ให้นางและมี่ถงช่วยเก็บความลับเรื่องที่เฟยเอ๋อร์ตายไปแล้วให้ นางก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหายจึงตบปากรับคำไป ทั้งนางยังรู้สึกสงสารอีกฝ่ายที่สูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด นอกจากชื่อเดิมก็จดจำอะไรมิได้เลยนางก็เลยคิดเอาง่ายๆ ว่านางได้ลูกชายคนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคน
ส่วนเฟยอวี่ของนางเมื่อการแก้แค้นของเฟยเอ๋อร์สำเร็จ นางคิดจะปิดหอคณิกาอวิ้นเหมย ออกบวชตลอดชีวิตอุทิศบุญกุศลให้แก่เขาเพื่อเป็นการชดใช้ ที่นางไม่สามารถปกป้องและดูแลอีกฝ่ายจนตลอดรอดฝั่งได้
“เตรียมตัวไปไหนหรือขอรับ ? “ เฟยเมี่ยวถามผู้มีศักดิ์เป็นมารดาตนด้วยความฉงน
“เจ้านี่อย่างไร หลงลืมแล้วหรือ” แม่เล้าหลิ่งเข้าไปนั่งข้างลูกชายพลางยกมือขึ้นลูกศีรษะอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เฟยเมี่ยวชะงักไปเล็กน้อยจากการกระทำที่เป็นธรรมชาติของนาง สักพักก็ส่งรอยยิ้มแห่งความดีใจให้แก่ผู้เป็นมารดา
ในใจก็ยังรู้สึกอิจฉาหลิ่งเฟยอวี่เล็กน้อย หากว่าเขาในชาติก่อนมีมารดาที่รักเอ็นดูเขาถึงเพียงนี้ คงไม่มีอะไรจะสุขใจเท่านี้แล้ว
“ก็วันนี้คุณชายจินจะมาฟังเจ้าบรรเลงกู่ฉินอย่างไรเล่า” คุณชายจิน? จินเหลียง….มาทำไมกันนะ แล้วเหตุใดหน้างามๆ ของหลิ่งเฟยอวี่ถึงได้ดึงดูดแต่ผู้ชายละ
ถึงคุณชายจินอะไรนั่นหน้าตาพอดูได้หน่อย แต่มันก็ยังไม่มากพอให้เขาต้องเสียเวลาก้บอีกฝ่ายหรอกนะ
“ข้าไม่…” เฟยเมี่ยวกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ก็โดนแม่เล้าหลิ่งพูดดักเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ได้” เฟยเมี่ยวหรี่ตาลงมองมารดาที่รีบตอบกลับ ทั้งที่เขายังพูดไม่จบอย่างระแวง “เอ่อ...แม่หมายถึงแม่รับปากเขาไปแล้ว เฟยเอ๋อร์เด็กดีเจ้าอยากให้แม่เสียผู้ใหญ่หรือ”
“ท่านแม่...ท่านคงมิได้คิดอยากจะได้คุณชายจินอะไรนั่นเป็นเขยหรอกใช่ไหมขอรับ”
“แค่กๆๆ” มี่ถงที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหมอลอย พอได้ยินคำว่าเขยก็เหมือนได้สติกลับคืนมาทั้งยังสำลักน้ำชาที่เพิ่งยกดื่มไปเมื่อครู่ แล้วไอจนตัวโหยง
ทางด้านแม่เล้าหลิ่งก็รีบหลบสายตาจับผิดของลูกชายตัวดีของนาง เด็กคนนี้ นอกจากกิริยามารยาทยามมิได้เสแสร้งแกล้งทำจะแตกต่างจากเฟยอวี่ของนางแล้ว นิสัยอีกฝ่ายก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เฟยอวี่ของนางนุ่มนวลหัวอ่อน แต่เฟยเอ๋อร์คนนี้แม้มองภายนอกเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่เล่นซุกซนอยู่ไม่นิ่ง แต่ภายในกลับชานฉลาดทั้งยังอำมหิตผิดจากเฟยอวี่เป็นไหนๆ
เรื่องเช่นนี้ยังอุตส่าห์อ่านใจนางได้ เรื่องที่คิดจะทาบทามคุณชายจินมาเป็นเขยก็คงต้องเลิกหวังแล้ว แต่อย่างไรเสียวันนี้ก็นัดคนมาแล้ว จะให้กลับไปทั้งที่ยังมิได้พูดคุยเลยก็กระไรอยู่ อีกทั้งหากลองได้พูดคุยกันสักคราเป็นการส่วนตัว ไม่แน่ว่าบางทีเฟยเอ๋อร์อาจจะชอบพออีกฝ่ายขึ้นมาก็เป็นได้
“ไม่รู้ละ อีกหนึ่งชั่วยามแม่จะให้คนมาตาม มี่ถงช่วยนายน้อยเจ้าเลือกชุดที่งดงามที่สุดด้วยเข้าใจหรือไม่” สรุปเองเสร็จสรรพ แม่เล้าหลิ่งก็เดินเชิดหน้าออกไปไม่เหลียวหลัง ว่าอีกสองชีวิตที่เหลือในห้องกำลังทำสีหน้าเช่นไร
มี่ถงที่มิได้ตอบรับคำใดๆ จากแม่เล้าหลิ่งหันไปหาเฟยเมี่ยวที่นั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพลางเอ่ยถาม “ทำอย่างไรดีเล่า”
ข้าสิต้องถามเจ้า!!!
เฟยเมี่ยวอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ มาโลกนี้ได้สองวันมารดาหมาดๆ ก็คิดจะหาสามึให้เขาเสียแล้ว ถามกันสักคำมิได้เชียวหรือ! จะหวังพึ่งพามี่ถงใหัช่วยแก้ปัญญาอีกฝ่ายก็ดันมาถามเขาว่าจะทำอย่างไรต่อดี ถ้ารู้ข้าจะมานั่งอยู่อย่างนี้ไหมละ …
คิดอะไรไม่ออกมันก็ต้อง ก็ต้อง …..ใช่แล้ว ต้องหนีไปตั้งหลักก่อน!
“มี่ถงคนดีของข้า เจ้าคงไม่อยากให้ข้าแต่งงานไปใช่หรือไม่” มี่ถงพยักหน้าขึ้นลงแรงๆ นี่เพราะร่างกายที่เป็นของนายน้อยเฟยอวี่หรอกนะ มิได้มีใจห่วงมารน้อยเช่นเจ้าหรอก
“ถ้าเช่นนั้น เราไปกันเถอะ” เฟยเมี่ยวคว้าข้อมืออีกฝ่ายลากไปทางหน้าต่าง มี่ถงมองนายน้อยของตนอย่างฉงนคิดจะทำอันใดอีกเล่า
“มี่ถงเจ้าใช้วิชาตัวเบาโดดลงไปข้างล้างได้หรือไม่” เฟยเมี่ยวส่องลงไปข้างล้างสูงประมาณตึกสองชั้น ไม่สูงมากถ้าวิชาตัวเบาของมี่ถงเกิดผิดพลาดก็ไม่น่าจะถึงตาย
“ได้ เจ้าคิดจะทำอะไร”
“หนีอย่างไรเล่า เรื่องนี้ต้องหนีไปตั้งหลักก่อน ข้าไม่อยากขัดใจท่านแม่แต่ก็ไม่อยากไปเจอคุณชายจินอะไรนั่น” มี่ถงมองคนที่บ่นเสียยืดยาวแล้วก็อดหัวเราะออกมามิได้ หากเป็นนายน้อยเฟยอวี่ละก็คงบอกให้เขารีบจัดหาชุดมาให้อย่าให้นายหญิงขุ่นเคืองใจ
ถึงแม้การพูดปฏิเสธตรงๆ นายหญิงจะต้องยอมฟังแน่ แต่นายน้อยเฟยอวี่นั้นมิมีทางที่จะทำใหัผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเลี้ยงดูตนมาเหมือนดั่งบุตรชายแท้ๆ ต้องรู้สึกผิดหวัง แต่คนผู้นี้กลับบอกให้เขารีบพาหนีการจับคู่ทางอ้อมของนายหญิงหน้าตาเฉย ช่างดูแตกต่างจนหน้าขันยิ่งนัก
“เร็ว อุ่มข้าลงไปด้วย” เขารีบเร่งมี่ถงที่เอาแต่หัวเราะ ด้วยการกระโดดกอดคออีกฝ่ายแล้วออกคำสั่ง
มี่ถงชะงักไปกับการกระทำของอีกฝ่าย เสียงหัวเราะค่อยๆ เงียบลงพร้อมกับใบหน้าที่กลับมาเรียบเฉย ทั้งที่หัวใจนั้นเต้นเสียงดังโครมคราม เขาก้มมองคนที่ออกคำสั่งทั้งยังถือวิสาสะกอดคอตนไว้ ทำตัวราวกับเด็กไม่รู้จักโตแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก แม้ยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีนัก แต่มี่ถงคิดว่าจะให้คนผู้นี้รักษากิริยาอย่างนายน้อยเฟยอวี่ อีกสามชาติก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
แต่ทำเช่นนี้บ่อยครั้งเข้า คนที่ลำบากคือข้ามิใช่หรือ เขาใช้วงแขนทั้งสองข้างโอบประคองเอวบางไว้ไม่ให้อีกฝ่ายตกลงไป แล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดลงจากหน้าต่างอย่างนุ่มนวล พยายามควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจไม่รักดีที่เอาแต่เต้นแรงเสียจนเจ็บไปหมด บ้าจริง ข้าหาได้หวั่นไหวเพราะเจ้าไม่ ทุกอย่างเป็นเพียงความคะนึงหานายน้อยเฟยอวี่ก็เท่านั้น
พอเท้าถึงพื้นคนที่ทำคนอื่นหวั่นไหวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็รีบปล่อยมือออกจากลำคอแกร่งมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยถามมี่ถงเสียงแผ่ว
“เราจะไปที่ใดกันดี” มี่ถงครุ่นคิดสักพักแล้วจึงตอบ
“ตรอกเจ็ดดีหรือไม่?”
“ที่นั่นมีอะไร?”
“ยามนี้คงยังมีตลาดยามโฉ่ว และร้านรวงต่างๆ เปิดอยู่” พอได้ยินคำว่าตลาดเฟยเมี่ยวก็เกิดมโนภาพไปถึงตลาดในซีรี่ย์จีนที่เขาเคยดู เขาชอบบรรยากาศของมันมากแต่ยังไม่เคยได้เห็นของจริงเลยสักครั้ง แล้วตลาดของที่นี่จะมีของกินหน้าตาแปลกๆ เหมือนในหนังไหมนะ
“เอ่อ...แล้วตลาดยามโฉ่วมันคืออะไร?” มี่ถงมองคนที่ทำหน้าตาใสซื่อถามคำถามกับเขาอย่างไร้เดียงสา หรืออาจเป็นเพราะหน้าตาของนายน้อยเฟยอวี่อีกนั่นแหละที่ทำให้อีกฝ่ายช่างดูไร้เดียงสาไร้พิษภัย
“เป็นตลาดที่เปิดจนถึงยามโฉ่ว จึงเรียกว่าตลาดยามโฉ่วอย่างไรเล่า”
“งั้นข้าไป”
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงตรอกเจ็ดใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น ที่นี่แทบจะเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากในหนังไม่มีผิดเพี้ยนเลย บรรยากาศยามค่ำคืนยังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเลือกซื้อสินค้า มีร้านรวงขายของแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นอยู่เต็มไปหมด
เฟยเมี่ยวมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ เหมือนฝันเลยโคมแดงที่ถูกจุดให้แสงสว่างตลอดสองข้างทาง ทำให้เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมาแต่มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลย ถ้าเพียงในเวลานี้คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาคืออาจวิน จะดีสักแค่ไหนกัน…
มี่ถงจับมือเรียวของเฟยเมี่ยวไว้แน่น กันอีกฝ่ายพลัดหลงไป พอมาถึงตรอกเจ็ดเฟยเมี่ยวก็ทำราวกับว่าได้พบเจอเรื่องมหัศจรรย์ที่มิเคยได้พบเห็นมาก่อน เอาแต่มองนั่นมองนี่ไม่หยุดจนแทบจะเดินไปชนคนอื่นตั้งหลายครั้ง จนมี่ถงต้องจูงมือพาเดินเหมือนเด็กๆ เขาเลิกคิ้วมองคนที่อยู่ดีๆ ก็มาแบมือตรงหน้าเขาทั้งที่เมื่อครู่ยังเอาแต่เหม่อมองอย่างอื่นไม่สนใจกันอยู่เลย
“อะไรหรือ?”
“ตังค์”
“ตังค์? คืออันใด?” เฟยเมี่ยวจิ๊ปากขัดใจเมื่อเกิดการสื่อสารที่ไม่รู้เรื่อง
“เงินน่ะ เงินน่ะมีหรือไม่” มี่ถงพยักหน้าช้าๆ แล้วยื่นถุงเงินให้อีกฝ่าย เฟยเมี่ยวเปิดถุงส่องดูเงินข้างในแล้วก็เกิดเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เคยใช้เงินของจีนยุคนี้ ไม่รู้ว่าค่าเงินอันไหนเท่าไหร่อันไหนเรียกถูกอันไหนเรียกแพง แล้วจะเอาถุงเงินมาทำอันใดเล่า เขายื่นถุงเงินคืนให้กับมี่ถงพลางกล่าวเสียงเบาว่า
“ข้า...ใช่ไม่เป็น” เสียงตอนท้ายเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน แต่มี่ถงที่มีกำลังภายในทั้งยังหูดีกว่าคนทั่วไปหลายเท่ามีหรือจะไม่ได้ยิน
“ใช่ไม่เป็น..? “ เขาครุ่นคิด หรือว่าที่ที่อาเฟยจากมาจะมิได้ใช้เงินตราแบบเดียวกัน?
“อะ...เจ้า ไม่สิ นายน้อยต้องการสิ่งใดขอรับข้าจะไปซื้อมาให้” ตอนนี้อยู่ข้างนอก อย่างไรก็ต้องเรียกกันตามฐานะไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
“ข้าอยากกิน นั่น” เขามองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปทางร้านขายเซาปิ่ง แล้วจึงพยักหน้ารับจูงมืออีกฝ่ายไปต่อแถวรอที่หน้าร้าน
“เซาปิ่งร้อนๆ จ้า รับเซาปิ่งร้อนๆ สักกี่ชิ้นดีขอรับคุณชายทั้งสอง” พ่อค้าเซาปิ่งร้องเรียกลูกค้า ทั้งที่มือก็หยิบเซาปิ่งใส่ห่อกระดาษส่งให้ลูกค้าที่ยืนต่อแถวรอ จนมาถึงคิวของมี่ถงและเฟยเมี่ยว
“นายน้อยจะกินไส้อะไรดีขอรับ” มี่ถงหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างกาย
“เอาไส้ถั่วแดงสามชิ้น “ พ่อค้าเฒ่ายิ้มหน้าบาน วันนี้เป็นวันดีจริงๆ นอกจากขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้วลูกค้าแต่ละคนก็ซื้อไม่ต่ำกว่าสองชิ้นขึ้นไป เขารีบหยิบเซาปิ่งถั่วแดงห่อกระดาษแล้วส่งให้เฟยเมี่ยวแต่มี่ถงกลับยื่นมือมารับเอาไว้พลางกล่าวเสียงเบาว่า ‘ร้อน’
เฟยเมี่ยวเลยต้องชักมือกลับอย่างเสียมิได้ ไม่เห็นต้องดูแลดีขนาดนี้เลยเขาไม่ได้บอกบางอย่างนั้นเสียหน่อย แต่พอก้มมองดูสภาพตนเองตอนนี้ก็ได้แต่ส่งเสียงเหอะออกมาหนึ่งคำ เขาลืมไปว่ามืองามๆ ของหลิ่งเฟยอวี่บอบบางยิ่งกว่ากิ่งหลิว หากโดนความร้อนเพียงเล็กน้อยมืองามคู่นี้อาจจะด้านไปเลยก็ได้ ค่อนแคะตนเองเสร็จ เขาก็เริ่มชวนมี่ถงพูดคุยคั่นเวลาระหว่างเดินไปหาศาลาพัก
“มี่ถงถ้าข้าอยากฝึกวิชาตัวเบาบ้าง ข้าจะทำได้หรือไม่?” มี่ถงมองคนที่เริ่มตั้งคำถามกับเขาเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็หาได้นับไม่ รู้จักอีกฝ่ายมาสองวันเขากลับรู้สึกว่าความอยากรู้อยากเห็นของนายน้อยผู้นี้นั้นเกินกว่าสมองของเขาจะแบกรับได้ไหว
“ได้ มิใช่เรื่องยากเย็นนัก เพียงฝึกเดินลมปราณจนสามารถควบคุมปราณมารในร่างได้อย่างใจคิด ด้วยปราณมารสายพิเศษของนายน้อย เจ้าก็สามารถฝึกวิชาทุกอย่างได้ง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ” เฟยเมี่ยวพอได้ฟังก็ยิ้มดีใจ ก็นะการจะมีชีวิตรอดไปทำภารกิจต่างๆ ของระบบมันก็ต้องมีสกิลเทพๆ ไว้ป้องกันตัวกันบ้าง ว่าแต่
“เจ้ารู้ดียิ่งนัก ข้าถามจริงๆ มี่ถงเจ้า...เป็นมารหรือ” มี่ถงหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองเฟยเมี่ยวอย่างสับสน ในใจกลับเกิดคำถามขึ้น หากรู้ว่าเขาเป็นมารจะยังอยากอยู่ใกล้เขาหรือไม่ ในที่ที่อีกฝ่ายจากมาจะเกลียดชังเผ่ามารเช่นโลกใบนี้หรือไม่ เขากล่าวถามเฟยเมี่ยวอย่างคาดหวังในคำตอบอย่างไม่รู้ตัว “เจ้า...มิชอบคนเผ่ามารหรือ"
เฟยเมี่ยวหันขวับมองอีกฝ่ายทันที นี่คิดไปถึงไหนกันละนั่น “หากข้าเกลียดชังเผ่ามาร ข้าไม่ต้องเกลียดชีวิตใหม่ของตนเองด้วยหรือ?”
เขาเอียงคอถามมี่ถงอย่างใสซื่อ ฉันต้องเป็นจอมมารในอนาคตนะถงถง ถ้าเกลียดตัวเองตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ มี่ถงพอได้ฟังคำพูดนี้ก็ยิ้มออกมาได้แล้วเอ่ยตอบอีกฝ่าย
“ใช่ ข้าเป็นมาร” เขาก็ไม่รู้ว่าจะไว้ใจคนตรงหน้าได้มากเท่าใด แต่คนที่ได้ใช้ร่างของนายน้อยคิดแก้แค้นเพื่อนายน้อย ถึงจะดูชั่วร้ายในบางครั้งชอบกลั่นแกล้งเขาในบางที แต่ก็ยังมีมุมที่เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา เขาคิดว่าคนผู้นี้คงจะสามารถเชื่อใจได้ ถึงเขาจะไม่สามารถบอกทุกอย่างให้อีกฝ่ายรู้ได้แต่การบอกความจริงว่าตนเองเป็นมารนั้น คงจะมิเป็นอันใดหรอกกระมัง
“เช่นนั้นหรือ … แล้วเจ้าช่วยสอนข้าเดินลมปราณได้หรือไม่” มี่ถงครุ่นคิดสักพักจึงตอบว่า “ได้” การที่นายน้อยในตอนนี้จะสามารถฝึกฝนเพื่อปกป้องตนเองได้ในอนาคต คงเป็นเรื่องที่ดีกว่าปล่อยไว้แบบนี้ แล้วเดี๋ยวเขาค่อยส่งจดหมายไปรายงานเจ้าหุบเขาทีหลังก็ยังไม่สาย
เฟยเมี่ยวชวนมี่ถงคุยต่อไปอีกสักพัก ก็รู้สึกว่ามือที่จับตนอยู่นั้นหายไป พอลองหันไปมองหา ก็เจอคนที่มากับตนกำลังยืนเหม่อมองปิ่นปักผมที่ร้านขายเครื่องประดับเล็กๆ ริมทางที่เพิ่งเดินผ่านมา เขาเดินเข้าไปยืนข้างๆ อีกฝ่าย
จ้องปิ่นอันนั้นอยู่สักพักจนแน่ใจว่ามันก็คือปิ่นหยกสีขาวธรรมดา ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร ก็หันกลับไปขมวดคิ้วมุ่นใส่คนที่เอาแต่จ้องมันจนเจ้าของร้านขายเครื่องประดับทำสีหน้าหวาดระแวง เหมือนว่ามี่ถงจะขโมยปิ่นเขาแล้ววิ่งหนีไป เขาใช้ฝ่ามือโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายก็แล้ว เรียกก็แล้วมี่ถงก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา เขาเลยต้องใช้วิธีที่ออกจะรุนแรงสักหน่อยด้วยการ
“โอ้ย!!” หยิกแขนอีกฝ่ายอย่างแรงเพื่อเรียกสติ
“เจ้า...ท่านหยิกข้าทำไม” มี่ถงที่ตื่นจากภวังค์ลูบแขนตัวเองปอยๆ
“ข้าเรียกแล้วเจ้าไม่ตอบเองนะ แล้วมายืนเหมออะไรอยู่ตรงนี้ ปิ่นหยกนี่มันน่าสนใจมากเลยหรือ”
“เปล่า..ข้าเพียงแค่”
“แค่…”
“แค่คิดว่ามันเหมาะกับ…” เขาทอดสายตามองผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนายของตนอยู่อย่างนั้น จนเฟยเมี่ยวชี้นิ้วเข้าหาตนเอง
“ข้าหรือ” มี่ถงพยักหน้ารับ…
อะ….เจ้าเด็กนี่คิดว่ามันเหมาะกับหลิ่งเฟยอวี่งั้นสินะ คงกำลังคิดถึงอยู่สินะนายน้อยของเจ้าน่ะ ถ้าเช่นนั้น เขาหยิบปิ่นหยกอันนั้นขึ้นมาแล้วกล่าวกับพ่อค้าพร้อมรอยยิ้มหวาน
“เก็บเงินที่เขา” มี่ถงที่อยู่ดีๆ ก็เสียเงินถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ คิดจะทำอันใดอีกเล่า เขายื่นเงินให้กับพ่อค้าแล้วรีบเดินตามคนที่ถือปิ่นวิ่งหนีไปทางศาลาริมน้ำที่อยู่ไม่ไกล พอมาถึงก็พบว่าอีกฝ่ายนั่งกระดิกขารอเขาอยู่แล้ว พอเห็นเขามาก็ยื่นปิ่นอันนั้นมาให้
“เจ้าอยากได้หรือ?” มี่ถงเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ พลางรับปิ่นมาถือไว้
“ก็เจ้าบอกว่ามันเหมาะกับข้า เร็วเข้าปักให้ข้าที” มี่ถงรับปิ่นนั่นมาอย่างเสียมิได้ พลางแก้ปมผ้าผูกผมของเฟยเมี่ยวออก แล้วรวบเป็นมวยขึันเพื่อให้ปักปิ่นได้
“นี่มี่ถง” อยู่ดีๆ เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามคำถามนี้กับมี่ถงเลย
“หืม”
“เจ้าโกรธหรือเกลียดข้าหรือไม่” มี่ถงชะงักไปเล็กน้อย แล้วจัดการรวบผมให้เฟยเมี่ยวต่อพลางกล่าว
“เหตุใดจึงถามเช่นนั้นเล่า” เฟยเมี่ยวเม้นปากแน่นอย่างลังเลใจ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ก็ข้า...เป็นใครก็ไม่รู้ที่อยู่ดีๆ ก็เข้ามาอยู่ในร่างของนายน้อยคนสำคัญของเจ้า….”
มี่ถงปักปิ่นหยกบนมวยผมให้อีกฝ่ายเรียบร้อย ก็นั่งลงข้างๆ กันแล้วทอดมองออกไปไกลแสนไกล สักพักใหญ่จึงกล่าวตอบคำถามด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่”
"เพราะเหตุใด" เฟยเมี่ยวหันมองคนที่ตอบแบบนั้น ทั้งที่ในแววตาที่ทอดมองออกไปช่างว่างเปล่าและเจ็บปวด
“เพราะเจ้ามิได้มีความผิดอย่างไรเล่า เจ้าเองก็จำอะไรมิได้เลย และสูญเสียมาแล้วหนึ่งชีวิตการที่เจ้าเข้ามาอยู่ในร่างของนายน้อยเฟยอวี่นั้น อาจจะเป็นพรมลิขิตก็ได้กระมัง ทั้งข้ายังสามารถได้เห็นนายน้อยเฟยอวี่ในมุมที่แสนซุกซนดื้อรั้นเอาแต่ใจ ชอบใช้กำลังข่มขู่ผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นคนที่อ่อนโยน ใจดีเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่นายน้อยเฟยอวี่ของข้าไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นเจ้าหรอกนะฮ่าๆ”
“เจ้า!” นี้กล้าหรอกด่าบิดาเชียวหรือ…
“ชีวิตของเจ้าในตอนนี้ ช่างเป็นชีวิตที่ดูมีสีสันมากกว่าครั้งเก่าก่อน แล้วข้าจะไปโกรธแค้นหรือเกลียดชังคนที่ทำให้นายน้อยเฟยอวี่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี อย่างที่ใจปรารถนาได้อย่างไร”
“ทั้งที่คนที่ใช้ชีวิตพวกนั้นเป็นข้า หาใช่นายน้อยของเจ้าอย่างนั้นหรือ” มี่ถงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่นานๆ ครั้งจะปรากฏให้เห็นบนใบหน้า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจับปิ่นที่เขาเพิ่งปักให้ในแววตาเรียวมีแววของความกังวลพาดผ่าน ถึงจะทำตัวซุกซนวางแผนนั่นนี่ไม่หยุดแต่จริงๆ แล้วคงจะทั้งหวาดกลัวและกังวลมากทีเดียวกระมัง
ทั้งต้องมาอยู่ในที่ที่ตนเองไม่รู้จัก ทั้งยังสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป เจ้าจะต้องเข้มแข็งขนาดไหนกันนะอาเฟย จึงยังทำตัวซุกซนเช่นนี้ได้แล้วยังเรื่องปิ่นนี่อีก คงคิดปลอบใจเขาจึงได้หยิบมาเป็นแน่ ช่างเป็นคนที่ใจดีจนน่าเอ็นดูเสียจริง
“ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อร่างนี้นายน้อยมอบให้เจ้า ต่อไปเจ้าก็คือนายน้อยเฟยอวี่ของข้า” มี่ถงลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าของเฟยเมี่ยวแล้วคุกเข่าลง เฟยเมี่ยวกระพริบตามองการกระทำของมี่ถงอย่างไม่เข้าใจ
“จะทำอะไรหรือ…” มี่ถงไม่ตอบแต่กลับยื่นมือออกมา จับมือของเขาขึ้นไปจุมพิตลงบนหลังมืออย่างแผ่วเบา
เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน!
นี่เกิดอะไรขึ้น ใครก็ได้บอกทีมันมาถึงจุดที่ดูเหมือนเขากำลังจะถูกขอแต่งงานได้ยังไง….
“มี่ถงนามนี้เป็นนายน้อยเฟยอวี่ตั้งให้ ข้ายึดถือเป็นนามของข้ามาตลอดบัดนี้นายน้อยเฟยอวี่จากไปแล้ว ข้าจะขอละทิ้งนามแห่งการกำเนิดใช้นามมี่ถงเพื่อเป็นการละลึกถึงบุญคุณ ความรัก และเรื่องราวทั้งหมดที่เคยผ่านมากับนายน้อยเฟยอวี่ตลอดกาล" มี่ถงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหงส์ "นับจากนี้ เฟยเมี่ยว ท่านคือเจ้านายคนใหม่ของข้า ได้โปรดเป็นนายน้อยเฟยอวี่ในแบบของท่าน ใช้ชีวิตให้มีความสุขและได้โปรดเชื่อใจข้า ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะปกป้องท่านด้วยชีวิตและทุกอย่างที่ข้ามี”
“...” เอ่อ….
“...”
“อะแฮ่ม...เอ่อ เซาปิ่งของข้าเล่า” เฟยเมี่ยวตัดสินใจทำลายบรรยากาศแปลกๆ ด้วยการถามหาของกินเสีย มี่ถงลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วยื่นห่อเซาปิ่งให้เขาแล้วกล่าวเสียงเบา
“ข้าจะไปซื้อชามาให้ท่าน” แล้วก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เฟยเมี่ยวถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกไอ้บรรยากาศสีชมพูเมื่อครู่นี้ขอเถอะ ขออย่าให้เกิดบ่อยๆ เลยเขาใจไม่ดี เขาก้มมองเซาปิ่งพลางนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เคยผ่านมา
“อาจวิน ๆ ฉันอยากกินนั่น” เฟยเมี่ยววัย18ชี้ไปทางทีวีที่กำลังฉายรายการอาหาร ที่เชฟกำลังทำเซาปิ่งไส้ถั่วแดงอยู่ ฮุ่ยจวินมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจเริ่มงอแงอีกแล้ว
“จะให้ฉันทำยังไงละ?” เขาเข้าไปนั่งข้างๆ พลางโอบไหล่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เฟยเมี่ยวรีบเอาหัวซบไหล่อาจวินของเขาอย่างออดอ้อนทันที เขาไม่ค่อยทำแบบนี้บ่อยนัก ปกติจะเป็นอาจวินที่ชอบทำแบบนี้ใส่เขาเสียมากกว่า
“นายทำให้ฉันกินหน่อย นะ” แค่คำว่านะคำเดียว ฮุ่ยจวินรู้สึกว่ามันมีดาเมจรุนแรงกับใจเขามากจนวันนั้นตอนเย็น อาเมี่ยวก็ได้กินเซาปิ่งไส้ถั่วแดงจนพุงกาง
เฟยเมี่ยวส่ายหน้าให้กับการย้อนความทรงจำที่ไม่มีวันกลับมาได้ของตนเอง เขาตายไปแล้ว ตายไปจากโลกของอาจวินตลอดกาล ป่านนี้เจ้าทึ่มนั่นจะรู้หรือยังนะว่าเขาตายไปแล้ว จะร้องไห้งอแงหรือเปล่าจะอาละวาดไหม จะต่อยหน้าบอสไปกี่ที แล้วจะได้อ่านจดหมายนั่นหรือยัง เรื่องพวกนี้เขาไม่มีทางรับรู้ได้อีกแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าทิ่มของเขาจะหายเศร้าเร็วๆ แล้วกลับมามีรอยยิ้มสดใสเหมือนเดิม
รอยยิ้มเศร้าผุดขึ้นบนใบหน้างาม "ฉันอยากให้นายรอฉัน รอจนกว่าฉันจะสามารถกลับไปหานายได้ แต่ถ้าคำขอนี้มากเกินไป ฉันก็เพียงหวังว่านายจะไม่จมอยู่กับความเสียใจ และหาความสุขของตัวเองเจอโดยเร็ว แล้วมีความสุขในทุกๆ วันนะอาจวิน"
น้ำตาหนึ่งหยดตกลงบนเซาปิ่งเขาถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองร้องไห้ บ้าจริงต่อมน้ำตาของคนงามจะตื้นเกินไปแล้ว เขาปาดน้ำตาออกลวกๆ เป็นเวลาเดียวกันกับเสียงสุดหลอนของระบบ ในความคิดของเขาดังขึ้น
ระบบ [ การเชื่อมต่อสัญญาณเสร็จสิ้น ]
[ ประกาศ เควสเสริม เหมียว เหมียว เหมียว ช่วยเจ้าแมวลงจากต้นไม้กันเถอะ!! ]
[ หากผู้เล่นทำเควสเสริมนี้สำเร็จจะได้รับ การ์ดเสี่ยงโชค ใช้ในการสุ่มหยิบอาวุธจากร้านค้าของระบบได้1ชิ้นฟรีทันที ]
[ กติกาและข้อปฏิบัติ ผู้เล่นต้องปีนต้นไม้เพื่อขึ้นไปช่วยเจ้าแมวน้อยลงมาให้ได้อย่างปลอดภัย โดยห้ามใช้ตัวช่วยใดๆ ทั้งสิ้น ]
[ ผู้เล่นจะรับทำเควสเสริมนี้หรือไม่ ]
เฟยเมี่ยวถึงกลับยกมือทาบอกอย่างตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินคำนี้จากระบบ แต่ไอ้ชื่อเควส เหมียว เหมียว เหมียว เนี่ยมันอะไร คุณควรอัพเดตสกิลการตั้งชื่อภารกิจหน่อยนะระบบ ด่วนๆเลย “รับ”
ระบบ [ เริ่มต้นภาระกิจได้…ผู้เล่นกรุณาออกไปยืนนอกศาลา ยืนให้ห่างจากต้นไม้ทางขวามือ 5ก้าว… ]
เขาเดินไปตามที่ระบบบอกห่าง5ก้าวไม่ขาดไม่เกิน แล้วไหนละแมว?
ระบบ [ เริ่มนับถอยหลัง 5 4 3 2 1…. ]
เหมียวววววววววว
ขวับ
เขาหันไปตามเสียงร้องเหมียวยาวๆ โดยอัตโนมัติทแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อมีแมวตัวอ้วนสีดำวิ่งด้วยความเร็วไม่ธรรมดาเลย ตรงมาทางเขาจากนั้นมันก็ มันก็ กระโดดข้ามหัวเขาขึ้นไปบนต้นไม้เฉยเลย!!
ท่ากระโดดนายแจ่มมากพี่ 10 10 10 ไปเลย ถุย!!
ไอ้แมวผี!! อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนี้ ระบบจ้างมาเท่าไหร่พูด! แล้วกระโดดขึ้นไปได้ยังไงสูงปานนั้น นายเห็นใจร่างกายที่แสนบอบบางของฉัน กับชั้นไขมันที่พุงตัวเองสักหน่อยจะได้ไหม?
เฟยเมี่ยวถอนหายใจพลางมองซ้ายขวาหาเครื่องทุ่นแรง แต่ก็ไม่มีอะไรช่วยเขาได้เลย เอาเถอะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เขาค่อยๆ เหยียบและจับไปตามกิ่งไม้ที่คิดว่ามันแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักไหว ปีนไปสักพักก็ถึงตัวเจ้าแมวอ้วนจอมพลังนั่น ลอบปาดเหงื่อแล้วจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้พลางพูดคุยอย่างเป็นมิตร
“แมวน้อย เจ้ามาหาข้านะเด็กดี มาหาเฟยเมี่ยวเร็ว” เจ้าแมวอ้วนเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด มันมองหน้าเขาสักพักแล้วก็กระดิกหางตอบกลับมา นั่นแหละดีรีบๆ ลุกขึ้นแล้วเดินมาหาข้าเร็ว
เฟยเมี่ยวยิ้มดีใจ แต่ไม่นานนักกลับต้องฮุบยิ้มฉับ เพราะแมวอ้วนมันหันหลังหนีไปแล้ว นี่กล้าเมินท่านเฟยเมี่ยวเหรอไอ้แมวไขมันหนา!
“หันมาเดี๋ยวนี้!!”
แมวสีดำสะดุ้งโหยงกับเสียงตวาดที่สั่งมัน ทั่วทั้งร่างขนลุกเกรียวเกิดอาการหวาดกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ มนุษย์ผู้นี้มันอะไรกัน เพียงแค่เสียงก็ทำให้มันสั่นสะท้านได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่ไม่มีจิตสังหารหรือจิตมารแผ่ออกมาเลยสักนิดเดียว
ผู้ที่มีความน่าเกรงขามระดับนี้ นอกจากนายท่านผู้เป็นนายของมันแล้ว มันยังมิเคยรู้สึกเช่นนี้กับมนุษย์หน้าไหนเลยไม่สิคนผู้นี้มีสิ่งที่เหนือกว่านายท่านของมัน แต่เป็นอะไรนั้นมันก็อธิบายมิได้ เจ้ามนุษย์นี่ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!!
เหมียว
ตุบ
!?
อยู่ดีๆ แมวก็มา…อะไรของเจ้าแมวอ้วนใจง่ายนี่กัน เมื่อครู่ยังเมินกันอยู่เลยตอนนี้กลับกระโดดเข้ามาหาเสียอย่างนั้น เฮ้อ แต่ช่างเถอะ ภารกิจสำเร็จแล้วที่เหลือก็แค่ลงไป …
แก๊ก
เสียงกิ่งไม้ดังไหว เฟยเมี่ยวทำได้เพียงกอดเจ้าแมวตัวอ้วนแน่นขึ้น แล้วร้องตะโกนในใจว่า ฉิบหายแล้ว!
ชายเสื้อคุมสีดำปักลอดลายพยัคฆ์สีทองพริ้วไหวไปตามแรงลม และการขยับตัวยามสะท้อนแสงจันทร์สีนวลราวกับพยัคฆ์บนอาภรณ์นั้นมีชีวิต วิชาตัวเบาชั้นยอดถูกใช้เพื่อช่วยหนึ่งคนกับอีกหนึ่งแมว อ้อมแขนแกร่งโอบกอดคนงามเข้าสู่อ้อมอกอย่างนุ่มนวล และพาลงสู่พื้นดินได้อย่างปลอดภัย
เฟยเมี่ยวเหม่อมองคนที่ช่วยตนไว้ในตอนที่พลัดตกลงมาจากต้นไม้ พร้อมเจ้าแมวหมูนี่ คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีดำทั้งชุด ทั้งยังสวมหน้ากากลายพยัคฆ์ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งอีกด้วย ที่สามารถมองเห็นได้มีเพียงริมฝีปากบางกับดวงตาคมที่จ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า
“อะ...เอ่อ ….” คือก็ซาบซึ้งอยู่หรอกที่ช่วยไว้ แต่ช่วยวางเขาก่อนมิได้หรือ
“อะ…” อีกฝ่ายเหมือนเพิ่งนึกได้ ก็เลยรีบวางเขาลงและประคองให้เขาทรงตัวเองได้ก่อนจะปล่อยมือ ยกมือประสานกันแล้วกล่าว
“ล่วงเกินแม่นางแล้ว”
แม่นางมารดาเจ้าสิ!!!
เขารู้สึกเหมือนต้องพูดหรือด่าอะไรอีกฝ่ายสักอย่าง เพียงแต่มันกลับพูดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ได้แต่เม้มปากแล้วกอดเจ้าเหมียวในอ้อมกอดแน่น
งาววว !!
อะ มันคงเจ็บเลยร้องเสียเสียงดัง
“คือแม่นาง”
“ข้าเป็นผู้ชาย” เขาถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างที่คิดว่าดุร้ายที่สุด เท่าที่หน้าของคนงามจะทำได้
“ขออภัยคุณชาย ผู้แซ่เหวินมิได้มีเจตนาจะล่วงเกินแต่อย่างใด ข้าเพียงจะบอกว่าที่ท่านอุ่มอยู่นั่นแมวของข้า..”
เขาก้มมองแมวอ้วนเจ้าปัญญา ที่ทำตาแป๋วอยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะยัดมันคืนใส่มือให้อีกฝ่ายแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดใจ “แมวเจ้าก็แมวเจ้าสิ ข้าเพียงเห็นมันอยู่บนต้นไม้ คิดว่ามันลงมามิได้เลยขึ้นไปช่วยก็เท่านั้น”
“เช่นนั้นหรือ….เช่นนั้นก็ขอบคุณ” นี่คิดจะกวนกันใช่ไหม อะไรคือการก้มลงไปถามแมว แล้วค่อยกล่าวขอบคุณเขากัน
มี่ถงที่ไปซื้อชากลับมาเห็นนายน้อยของตนกำลังยืนคุยอยู่กับใครสักคนที่… ชุดสีดำ หน้ากากลอดลายพยัคฆ์ มีแมวสีดำอยู่ด้วย ที่เอวมีพู่ห้อยเอวหยกสลักคำว่าเหวิน แย่แล้ว!!
มี่ถงเข้ามากั้นกลางระหว่างเฟยเมี่ยวและชายแปลกหน้าพลางซักมีดสั้นออกมาขวางหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว…. ไอสังหารปะปนกับจิตมารรุนแรงที่ถูกแผ่ออกมาจากมี่ถง ทำให้ ชายแปลกหน้าก้าวถอยหลังไปสาม ก้าวพลางเลิกคิ้วขึ้นมองมี่ถงอย่างแปลกใจ
“ใช่เขาหรือไม่เสี่ยวไป๋” เขาก้มลงไปคุยกับเจ้าแมวอ้วนนั่น ก่อนที่มันจะร้องเหมียวออกมาสองครั้ง
'มิใช่ขอรับนายท่าน'
เฟยเมี่ยวรู้สึกหัวเราะไม่ได้ ร้องให้ไม่ออก คนผู้นี้พูดคุยกับแมวคล้ายว่าจะรู้เรื่องเสียด้วย แต่ท่านแมวตัวนั้นเป็นแมวสีดำทั้งตัว มันควรชื่อเสี่ยวเฮยมิใช่หรือ เหตุใดจึงกลายเป็นเสี่ยวไป๋ สีขาวไปได้เล่า เฟยเมี่ยวอดที่จะนึกคิดอย่างขบขันมิได้ คนประหลาดผู้นี้เจ้าตาบอดสีแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เขากล่าวกับเฟยเมี่ยว ก่อนจะหันมาหามี่ถงแล้วพูดด้วยเสียงเนิบช้า
“เผ่ามารและตำหนักซือโฮ่วอยู่กันคนละเส้นทาง มิมีความจำเป็นข้าก็หาได้อยากยุ่งเกี่ยวกับเจ้าไม่…” กล่าวจบ อีกฝ่ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย…
พูดคุยกับเถียนซิน
ทวิตเตอร์ : @Hanfeng62416408
แฟนเพจ : เถียนซิน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มโนไปก่อน
เรือพี่จวินโดนล่มแล้วใช่หรือไม่ งั้นต้องเรือพี่ถงแล้ว!
คำผิด
ลูกหัว --> ลูบหัว
ถานะ --> ฐานะ
ใช่ไม่ไป --> ใช้ไม่เป็น
บอกบาง --> บอบบาง
^^