ตอนที่ 23 : บทที่.19 [รีไรท์] คนละเส้นทางมิอาจร่วมเคียง
บทที่.19
คนละเส้นทางมิอาจร่วมเคียง
ความวุ่นวายต่างๆ ผ่านพ้นไป เหลือเพียงเฟยเมี่ยวและเหวินฮุ่ยเฉิง ที่ยังคงยืนอยู่ภายในห้องโถงใหญ่
“มิตามไปดูนางเสียหน่อยเล่า” เฟยเมี่ยวเอ่ยออกมาช้าๆ
เหวินฮุ่ยเฉิงทำเพียงส่ายหน้า เอื้อมมือมาจับชายเสื้อเขา “ข้ากับนางล้วนไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ยังต้องตามไปดูอะไรอีก”
เฟยเมี่ยวส่งเสียง 'เหอะ’ ออกมาครั้งหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อที่ถูกอีกฝ่ายเกาะกุมไว้ให้หลุดออกแล้วเดินจากไป
เป็นเพราะได้พบหน้าไป๋หนิงเซียนอีกครั้ง ในที่สุดก็ทำให้เฟยเมี่ยวคิดแผนการบีบให้คนสารภาพรักออกมาได้แล้ว เขาสามารถใช้เรื่องของไป๋หนิงเซียนไล่ต้อนคนแซ่เหวินให้จนมุมได้ เพียงแต่วิธีการนี้กลับมิได้ให้คำตอบในเรื่องที่สับสน แต่ก็ช่างเถอะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว ไม่รีบทำภารกิจให้ลุล่วงยิ่งจะทำให้แย่เข้าไปใหญ่
หน้ากากของหลิ่งเฟยอวี่ผู้แสนอ่อนแอ ถูกหยิบยกขึ้นมาใส่อีกครั้ง การทำตนให้เป็นเพียงคนอ่อนแอ แน่นอนว่าจะสามารถเรียกคะแนนความสงสารน่าเห็นใจได้มากกว่าเป็นตนเองในเวลาปกติ ยิ่งกับคนที่ตกอยู่ในห้วงรักการเห็นคนที่ตนมีใจให้เศร้าสร้อยอกตรมผู้ใดจะทานทนไหว สุดท้ายไม่ว่าอะไรก็จะยอมบอกกล่าว
เฟยเมี่ยวหยุดฝีเท้าที่ก้าวเดินอีกครั้ง ทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ทุ่งดอกสือซว่านสีแดงฉานราวกับโลหิตที่เปรอะเปื้อนธรณี ในสายตาของเขามันช่างเป็นภาพที่งดงามและแฝงไว้ด้วยความระทมทุกข์ ฝีเท้าอีกคู่หยุดชะงักอยู่ด้านหลัง วงแขนแข็งแกร่งโอบรัดรอบเอวบาง คางมนวางไว้บนบ่าเล็กอย่างที่อีกฝ่ายชอบทำ เฟยเมี่ยวหลับตาลงหลบซ่อนความไหววูบ กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“เจ้ามีอะไรปิดบังข้า”
“...”
“เรื่องราวในวันนั้น ก่อนที่ข้าจะจากแดนเหมันต์มา เจ้าไม่คิดจะอธิบายจริงหรือ”
“เฟยเอ๋อร์คือข้า…”
“เป็นมารดาข้าบีบบังคับเจ้าใช่หรือไม่” เฟยเมี่ยวเข้าประเด็นในทันที จนคนด้านหลังเงียบไป
“พูด” น้ำเสียงเรียบนิ่งของเฟยเมี่ยว ทำให้เหวินฮุ่ยเฉิงจำใจเปิดปากเล่าเรื่องราว แต่ยังมิวายเอ่ยปากกล่าวให้มารดาเขาดูดีขึ้นมาอีกหน่อย
“ ท่านน้าเพียงอยากทดทอบข้า”
“ด้วยการทำร้ายจิตใจข้ารึ”
“เฟยเอ๋อร์ข้า …” ในน้ำเสียงของเหวินฮุ่ยเฉิงมีความร้อนรนอย่างปิดไม่มิด
เฟยเมี่ยวเอ่ยตัดบท “ช่างเถอะ หากว่าเป็นความต้องการของมารดา ข้าก็จะไม่กล่าวถึงอีก” เขาหยุดไปสักพักก็กล่าวต่อ “แต่เรื่องต่อไปที่จะถามเจ้า สำคัญมาก สำคัญต่อเราทั้งคู่”
อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ากับบ่าไหล่ของเขา มิได้กล่าวอะไรออกมา
เฟยเมี่ยวนิ่งไป จนแน่ใจแล้วว่าน้ำเสียงที่ใช้จะสื่อถึงความกังวล จึงเอ่ยถาม “เจ้าคิดเช่นไรกับนาง”
คล้ายว่ารู้ถึงความหมายของคำว่า 'นาง’ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึง เหวินฮุ่ยเฉิงกล่าวเนิบช้า อย่างมิใส่ใจนัก “สำหรับนางในใจข้า เป็นเพียงน้องสาวในวัยเด็ก แต่เมื่อนางกล้ายื่นมือมาแตะต้องเจ้า ทุกอย่างที่เป็นนางก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีก”
ฝ่ามือชื้นเหงือกำเข้าหากันแน่น ความกลัวและความกังวลถูกถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียงหวาน “เหตุใดต้องเป็นข้า”
สิบ สิบ สิบ ไปเลย เฟยเมี่ยวคิดในใจ มารดามันเถอะ ขนาดพูดเองยังขนลุกเอง ถ้ามีรางวัลการเสแสร้งยอดเยี่ยม ปีนี้ก็ไม่ต้องยกให้คนอื่นแล้ว…
“หากต้องการคำตอบที่แน่ชัด คิดว่าคงมิสามารถเอ่ยออกมาได้” เหวินฮุ่ยเฉิงเลื่อนมือขึ้นมาจับที่บ่าเล็ก หมุนให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากัน “ข้ามิแน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใจนั้นอยู่ที่เจ้า รู้ตัวเองที ก็พบว่าตนเองนั้นมอบใจให้เจ้าแล้ว”
สองสายตาผสานกัน สุดท้ายเป็นเฟยเมี่ยวที่ถอนสายตากลับไปก่อน กล่าวต่อไปว่า “ใจของเจ้ายามนี้ มีเพียงข้าแล้วจริงหรือ”
ความรู้สึกผิดตีขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ยิ่งเห็นสายตาแน่วแน่ของคนแซ่เหวินเขายิ่งอยากหยุด หยุดความโหดร้ายที่จะกระทำต่ออีกฝ่าย เฟยเมี่ยวรู้ เขารับรู้ถึงความรู้สึกของเหวินฮุ่ยเฉิง คล้ายวันที่อาจวินขอเขาแต่งงาน ทั้งที่รู้ดีแต่กลับต้องทำลายมัน เพียงเพื่อสิ่งที่ตนเองยึดมั่น…
ระบบ [คำเตือน : หากผู้เล่นล้มเลิกเควสกลางคัน จะถูกดึงวิญญาณออกจากร่างของหลิ่งเฟยอวี่ทันที และเข้าสู่บทลงโทษต่อไป]
บิดา มารดา บรรพบุรุษมันเถอะ!! ไหนบอกระบบไวรัสแดกไปแล้ว ยังซ่อมแซมไม่เสร็จไง…
‘นี่ยังอยู่อีกเหรอ’
ระบบ [ระบบที่ท่านได้ยิน คือการตอบรับความคิดของผู้เล่นโดยอัตโนมัติ]
ถึงขนาดป้อนข้อมูลเตือนถ้าเขาคิดแข็งข้อ มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว!
“แน่นอนว่าย่อมมีเพียงเจ้า” น้ำเสียงหนักแน่นเรียกสติของเฟยเมี่ยวให้กลับมาอีกครั้ง
“แต่ข้าเป็นปีศาจ เป็นคนเผ่ามาร จะรักกันได้อย่างไร” เฟยเมี่ยวยังคงเอ่ยถาม
“เหตุใดจึงรักมิได้ มารก็มีดีมีชั่วขอเพียงมิใช่มารร้ายที่ก่อกรรมทำเข็น เป็นเจ้าอย่างที่เป็นอยู่ในยามนี้ อะไรก็ล้วนง่ายดาย”
“แล้วหากวันหนึ่งข้าทำอย่างที่ฉู่ชิงซาเคยกระทำ ผิดต่อคนทั่วหล้า ฟ้าดินมิอาจให้อภัยเจ้าจะยังรักหรือไม่”
เหวินฉุ่ยเฉิงมีรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แตะนิ้วมือลงบนแก้มเนียน เอ่ยเสียงนุ่มนวล “อย่างไรก็ยังจะรัก”
“เจ้าไม่กลัวว่าจะผิดต่อฟ้าดินหรือ”
“ผิดต่อฟ้าดินมิเคยเกรงกลัว เพียงกลัวจะผิดต่อเจ้า”
คำตอบนี้คล้ายว่าจะสั่นสะเทือนความมั่นคงในใจไปได้หลายส่วน เฟยเมี่ยวเม้มริมฝีปากแน่น เหลือแค่คีย์เวิร์ดสุดท้าย ที่อีกฝ่ายต้องพูดออกมา ทุกอย่างตรงนี้ก็จบแล้ว…
เฟยเมี่ยวกลั้นใจเอ่ยออกไป อย่างยากลำบาก “เช่นนั้น...ช่วยพูดให้ข้ามั่นใจ ในความรู้สึกนี้ของเจ้าอีกครั้งได้หรือไม่”
“ย่อมได้” เหวินฮุ่ยเฉิงกล่าวเสียงหวาน สะกดใจผู้ฟัง “เฟยเอ๋อร์พี่รักเจ้า”
ระบบ [ประกาศ ผู้เล่นทำเควส มาตามหาเนื้อคู่ในฝันกันเถอะ สำเร็จแล้ว]
[นับถอยหลังเข้าสู่การอัปเดตข้อมูล เพื่อเปิดใช้งาน เควส สร้างจอมมารผู้ยิ่งใหญ่]
เสียงประกาศของระบบไม่ได้ทำให้เฟยเมี่ยวสนใจนัก ในตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำมีเพียงอย่างเดียว แขนบางยกขึ้นคล้องคอของเหวินฮุ่ยเฉิง ปลายเท้าเขย่งขึ้นเพื่อให้ริมฝีปากของตนสามารถสัมผัสกับอีกฝ่ายได้อย่างใจนึก
ภาพสุดท้ายที่เฟยเมี่ยวเห็นคือคนแซ่เหวินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ จากนั้นบทจูบที่แสนยาวนานจึงเริ่มต้นขึ้น สำหรับเฟยเมี่ยวนี่เป็นจูบที่แสนเอาแต่ใจ เป็นจูบที่ทดแทนเรื่องราวในใจมากมายที่เขาไม่สามารถบอกกล่าวต่ออีกฝ่ายได้
ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ อาเฉิง ผม...รักคุณไม่ได้
ณ ห้องทำงานของเฉินเยว่
ชายหนุ่มผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้สูงส่ง กำลังใช้สมาธิไปกับการนั่งจดจ้องตัวอักษรที่แสดงรายละเอียด และเรื่องราวต่างๆ ของผู้เล่นในระบบที่เขาสร้างขึ้น เขาใช้เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกับการครุ่นคิด เกี่ยวกับผู้เล่นหนึ่งในหลายล้านคนที่ถูกเขาส่งไปยังต่างโลก 'เฟยเมี่ยว’ ผู้เล่นที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่เฉินเยว่เคยพบ คนคนนี้มีอะไรมากกว่าภายนอกที่อีกฝ่ายพยายามแสดงให้คนอื่นเห็น
ช่างเป็นคนที่เหมาะสมกับโลกที่เขาส่งอีกฝ่ายไปเสียจริง เฉินเยว่ยิ้มออกมา ยิ่งเห็นเฟยเมี่ยวใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสงบสุขเท่าไหร่เขาก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น เท่ากับว่าหลังจากนี้หากเหตุการณ์สามารถดำเนินไปถึงจุดที่หลิ่งเฟยอวี่จะต้องพบเจอได้ เขาก็จะได้เห็นอีกด้านของเฟยเมี่ยวอย่างเต็มอิ่ม ยิ่งคิดมันก็ยิ่งรื่นเริงใจ
“พระเจ้าของผม คุณนั่งยิ้มชั่วร้ายอะไรอยู่คนเดียว” เสียงของ ‘ฝูหลิว’ ผู้ช่วยคนสนิทดังขึ้นจากทางด้านหลัง เฉินเยว่กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ตัวขัดความสำราญใจมาแล้ว
“เวลาพูดกับเจ้านาย นายช่วยหาคำพูดที่มันฟังดูดีกว่า ‘นั่งยิ้มชั่วร้าย’ มาทักทายฉันหน่อยไม่ได้หรือไง” เขาว่าเสียงเอือม
ฝูหลิวหัวเราะในลำคอ “ก็เข้ามาหาคุณทีไร ก็เจอแต่เวลาคุณยิ้มชั่วร้ายจริงๆ นี่น่า” เขาเว้นจังหวะแล้วมองไปที่จอที่คล้ายกระจกใส “นั่นเหรอ ของเล่นใหม่ที่บอกว่าถูกใจนักหนา”
เฉินเยว่ย่นคิ้ว “ของลงของเล่นอะไร พูดจาน่าเกลียด นั่นลูกค้าฉันนะ”
“ลูกค้าแบบที่โดนคุณยัดเยียดขายของ ไม่นับเป็นลูกค้า”
“ยุ่ง” เฉินเยว่เอ็ดอีกฝ่ายเบาๆ
ฝูหลิวเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ หยิบสิ่งที่คล้ายว่าจะเป็นสมุดบันทึกโบราณที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู บนหน้าปกสลักชื่อด้วยตัวอักษรสีทองเด่นชัด 'สวี่หลิว’
“ครั้งนี้จะเปลี่ยนอะไร” เอ่ยถามเฉินเยว่ลอยๆ
“ไม่ ครั้งนี้ฉันจะให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น” เฉินเยว่ยื้มพราย “เพียงแต่...ที่จะทำให้เป็นไป คือหุ่นเชิดในมือของฉัน”
“ตอนแรกที่คุณยอมรับปากตาเฒ่าพวกนั้น ผมก็คิดว่าคุณนึกถึงบุญคุณจริงๆ ต่อมาเข้าใจว่าคุณแค่อยากได้คนมาทดลอง 'จี’” ฝูหลิวแค่นยิ้ม “ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ ที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมด ท่านเทพเจ้าแห่งการละเล่นของผม คุณเพียงพบเรื่องสนุกที่ถูกใจ”
เฉินเยว่หัวเราะร่วน “ฝูหลิวนายว่าคนสองคน จะรักกันมากถึงขนาดตายแทนกันได้ไหม”
“ได้”
“ทำไมตอบไม่คิด” เฉินเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
ฝูหลิวถอนหายใจ “คุณกับผมปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว พบเจอเรื่องราวมามากแค่ไหนกัน ไหนจะสิ่งที่คุณแอบทำไม่ผ่านสภากลางนี่อีก เท่านี้ก็เชื่อได้แล้วว่ามันมีคนที่รักกันถึงขนาดยอมตายแทนกันได้จริงๆ “
“อา ฉันอยากลองรู้สึกแบบนั้นบ้างจัง”
ฝูหลิวขนลุกซู่ ถ้ามีสักวันคุณพระเจ้าของเขา สนใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง ก็คงไม่ใช่อยากไปตายแทนใครหรอก แต่เป็นห้ามไม่ให้คนอื่นตายต่างหาก ซึ่งใครที่ได้รับเกียรตินั่นในอนาคตฝูหลิวก็ขอไว้อาลัยให้ล่วงหน้าเลย
เฉินเยว่ปลายตามองลูกน้องคนสนิท “ทำหน้าน่าเกลียด”
“ใครให้คุณพูดจาชวนสยอง”
เฉินเยว่ยักไหล่ไม่โต้เถียงกับอีกฝ่าย ตอนนี้ที่สำคัญคือจะทำยังไงให้เฟยเมี่ยวทำตามนั้น และหยุดความสัมพันธ์ของฮุ่ยจวินกับเฟยเมี่ยวไว้ชั่วครู่ได้
เฉินเยว่บ่นงึมงัม “ฉันส่งพวกนายไปหากันก็เพราะเห็นใจ แต่จะมารักกันง่ายๆ ทั้งที่งานของฉันยังไม่เสร็จไม่ได้หรอกนะ”
ฝูหลิวมองผู้เป็นนายโดยตรง หมุนเก้าอี้ไปมาใช้ความคิด เฉินเยว่เป็นแบบนี้เสมอ รักความสนุกไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ ขอเพียงเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายพอใจ แลกด้วยอะไรก็จะทำเพื่อให้ได้มา…
“คิดออกแล้ว!” อยู่ดีๆ คนที่จมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเอง ก็ตะโกนเสียงดัง จนฝูหลิวยังสะดุ้งตกใจ
“คุณเป็นบ้าจริงๆ ใช่ไหมคุณพระเจ้า”
เฉินเยว่ไม่สนใจเขา กระโดดลงจากเก้าอี้ตัวใหญ่ ยืนหลับตาอยู่กลางห้อง เอ่ยเรียกชื่อระบบตัวล่าสุดที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา “จี”
ระบบ [ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ จี ยินดีให้บริการ]
“เปิดใช้งานเควสจอมมารหรือยัง”
ระบบ [กำลังอยู่ระหว่างการอัปเดตข้อมูล]
“ป้อนคำสั่งเพิ่มเติม”
ระบบ [กรุณาใส่รายละเอียด และยืนยันคำสั่งเพิ่มเติม]
เฉินเยว่ยกยิ้มมุมปาก “ลบความทรงจำของเฟยเมี่ยวในส่วนของเควสที่ผิดพลาด”
ระบบ [ผู้สร้างต้องการให้ลบในส่วนไหนออกไป กรุณาใส่คีย์เวิร์ด]
“เหวินฮุ่ยเฉิง”
ระบบ [รับทราบ กำลังทำการลบข้อมูล]
เฉินเยว่ครุ่นคิด “เดี๋ยวๆ จี”
ระบบ [...]
“ลบความทรงจำของเหวินฮุ่ยเฉิงด้วย แล้วรีเซ็ตการตั้งค่าใหม่…ทั้งหมด”
ระบบ [...ไม่สามารถทำได้]
“ทำไม” ในน้ำเสียงมีความขัดใจอยู่หลายส่วน
ระบบ [‘เหวินฮุ่ยเฉิง’ ชื่อนี้ไม่มีปรากฏในทะเบียนวิญญาณของโลกนี้]
เฉินเยว่กลอกตา “ฮุ่ยจวินน่ะฮุ่ยจวิน”
ระบบ [ฮุ่ยจวิน พ้นสภาพการเป็นวิญญาณของโลกฝั่งนี้แล้ว ไม่สามารถแทรกแซงข้อมูลโลกอื่นได้]
เสียงกระทืบเท้าดังขึ้นหนึ่งครั้ง “ก็ทำให้ได้สิ ฉันสร้างเธอให้เป็นระบบอัจฉริยะทำได้ทุกอย่างนะ ทำไมเรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมได้?”
ระบบ [...]
“ไม่รู้ละจี ถ้าเธอทำไม่ได้ฉันจะ จะ จะพังเธอทิ้งลบออกจากสารระบบ เปลี่ยนโปรแกมใหม่ สร้างรุ่นที่ดีกว่าเธอร้อยเท่า!!”
ระบบ [...]
เฉินเยว่กดเสียงต่ำ “จะ ทำ หรือ ไม่ ทำ”
ระบบ [...รับทราบ กำลังทำการเจาะฐานข้อมูลประชากรวิญญาณของ 'สวี่หลิว’ เพื่อลบความทรงจำของเหวินฮุ่ยเฉิง]
ฝูหลิวขมวดคิ้วมุ่น กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วยนัก “คนเขาก็กำลังจะได้รักกันแล้ว ยังจะไปขัดขวางเขาอีก”
“ทำเพราะหวังดีต่างหาก นายคิดดูหลังจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับใครสักคน อีกคนก็จะไม่ต้องเสียใจ” เฉินเยว่ยังคงหาข้อแก้ตัว ตอบกลับหน้าตาย
“คุณไม่มีหัวใจบ้างหรือไงนะ”
เฉินเยว่เบะหน้า “มีแล้วยุ่งยาก ไม่เอาหรอก”
ฝูหลิวส่ายศีรษะ ถึงเห็นใจก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี “เฮ้อ ผมไม่สนใจคุณแล้ว คนไม่มีหัวใจ”
เฉินเยว่แลบลิ้นใส่อีกฝ่ายคล้ายเด็กถูกเพื่อนทิ้ง “ไม่สนก็ไม่สนสิ ฉันไปเล่นกับเพื่อนมนุษย์ก็ได้”
ฝูหลิวสบถคำหยาบออกมาหลายคำ ในขณะที่เดินออกนอกประตูไป เวรกรรมอะไรหนอ ทำให้เขาต้องมามีเจ้านายที่ฉลาดแต่นิสัยเหมือนเด็กสามขวบแบบนี้ ก่อนตายก็ไม่เคยทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับเด็กเสียหน่อย เท้าที่กำลังจะเดินพ้นห้องทำงานของเจ้านายชะงักงัน ก่อนจะหันกลับไปมองผู้เป็นเจ้านายให้เต็มตาอีกครั้ง
ฝูหลิวถามอย่างไม่มั่นใจนัก “คุณ...เจอเขาหรือยัง”
เฉินเยว่ชะักไปก่อนจะส่ายหน้า “บางที เขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่สวี่หลิวก็ได้”
“ยังพอมีเวลา ผมจะช่วยคุณหาอีกแรง”
เฉินเยว่ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ขอบใจ”
ฝูหลิวยังไม่ยอมจากไป เขาลังเลใจอยู่สักพักก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ที่ว่าคุณไปเมื่อกี้ผม..ขอโทษ”
คนที่ถูกว่ากลับหัวเราะออกมา แล้วโบกมืออย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไร”
“เฉินเยว่ คุณไม่ได้ไร้หัวใจหรอก”
“....”
“ผมรู้คุณไม่อยากให้พวกเขาเดินไปพบเจอกับจุดจบที่เลวร้าย ถึงทำแบบนี้ เป็นผมเองที่พูดไม่คิด ขอโทษครับ”
จูบที่แสนยาวนานผ่านพ้นไป เหวินฮุ่ยเฉิงเกลี่ยนิ้วมือลงบนแก้มเนียน ทอดสายตามองเฟยเมี่ยวอย่างอ่อนโยน
เฟยเมี่ยวสีหน้าสงบนิ่งไร้ความรู้สึก แต่ใบหูกลับแดงระเรื่อ ‘คือเป็นคนจูบเขาเองจะเขินทำเหมียวอะไรละเนี่ย!' ได้แต่โอดครวญในใจ แล้วหลบสายตาหวานหยดที่คนแซ่เหวินส่งมา นี่ก็อีกคน แค่ถูกจูบทำไมมองเหมือนได้เสียเป็นเมียผัวกันแล้วแบบนั้น…
เหวินฮุ่ยเฉิงยิ้มขำเมื่อเห็นจิ้งจอกน้อยอวดดีที่กล้าจูบเขาก่อน ตอนนี้กลับใบหูแดงเถือกหลบสายตาเขาเป็นว่าเล่น “เฟยเอ๋อร์”
เสียงที่ใช้เรียกหวานปานน้ำผึ่ง เฟยเมี่ยวสะดุ้งน้อยๆ กล่าวตะกุกตะกัก “ระ เรียกทำไม”
“รัก”
!!!
“พี่รักเจ้า ตอนนี้ก็อยาก 'รัก' เจ้าด้วย”
ขวับ
เฟยเมี่ยวถลึงตาใส่คนหน้าไม่อายที่อยู่ดีๆ ก็พูดคำสองแง่สองง่ามขึ้นมา รักบ้ารักบออะไร ไร้สาระจริงๆ เขาทำเมินคำหวานของอีกฝ่าย รีบเข้าประเด็นใหม่ในทันที “รักไม่ได้”
เหวินฮุ่ยเฉิงขมวดคิัวมุ่น “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”
เฟยเมี่ยวเม้มริมฝีปากแน่นอย่างครุ่นคิด เขาต้องเรียบเรียงคำพูดให้ดี เพื่อไม่ให้กระทบกับจิตใจอีกฝ่ายมากเกินไปนัก เมื่อพยายามปะติดปะต่อคำพูดออกมาได้หลายประโยคกลับกลายเป็นว่า ตัวเขาเองเกินคันยุบยิบในหัวใจขึ้นมารู้สึกความเกลียดตัวเองจะเพิ่มสูงขึ้น เหมือนเวลาดูละครแล้วพระเอกกำลังจะพูดจาทำร้ายจิตใจนางเอกยังไงอย่างงั้น
“คือ…” พูดยังไงดีละทีนี้
“เฟยเอ๋อร์หรือเจ้ารังเกียจข้า?” ในน้ำเสียงที่ใช้ถามคล้ายเจือปนด้วยความตัดพ้อถึงแปดในสิบส่วน
อย่าเพิ่งดึงดราม่าได้ไหม คนเขาใช้ความคิดอยู่นะ!
“มิใช่ว่ารังเกียจ แต่…” เฟยเมี่ยวพยายามตีหน้านิ่ง “อย่างไรเราก็รักกันมิได้”
“เพราะเจ้าเป็นมารน่ะเหรอ เฟยเอ๋อร์ข้าบอกแล้วว่า มิเคยเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เจ้าจะเป็นอะไรขอเพียงเป็นเจ้าอย่างไรก็จะรัก” เหวินฮุ่ยเฉิงอธิบาย
ใส่ใจหน่อยเถอะ เพราะฉันคิดจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว มาพูดดักทางกันอย่างนี้จะให้ใช้เหตุผลไหนได้อีกละ
เฟยเมี่ยวจ้องหน้าอีกฝ่าย สักพักก็ถอนหายใจออกมา อย่าหาว่าเขาใจร้ายเลยนะคนแซ่เหวิน แต่ถ้านายไม่ใช่อาจวินฉันก็คงจะรักนายไม่ได้ ทำไม่ได้จริงๆ “เพราะข้ามีคนอื่นในใจอยู่ก่อนแล้ว”
เหวินฮุ่ยเฉิงชะงักไป
“เขาก็คือฮุ่ยจวิน อาจวินที่เคยเอ่ยถึง” เฟยเมี่ยวไม่คิดปิดบัง เขาเบี่ยงสายตาหลบอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสายตาหวานเมื่อครู่เริ่มมีความเศร้าสร้อยแทรกผ่าน
“…คนผู้นั้น มิใช่ว่าตายไปแล้วหรอกหรือ”
ขวับ
นั่นปากเรอะ! สีหน้าของเฟยเมี่ยวเย็นชาลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมายิ่งเย็นชากว่าสีหน้าที่แสดงออก “ใครบอกเจ้าว่าเขาตายแล้ว”
“เอ่อคือ…” คนที่รู้ตัวว่าหลุดปากทำให้อีกฝ่ายมีโทสะเอ่ยอย่างละล้าละลัง ในความรู้สึกนึกคิดมีความกลัวพาดผ่าน ที่แท้คนรักที่เฟยเอ๋อร์เคยเอ่ยถึงยังมิตาย แล้วตัวเขาจะทำเช่นไรดี
“ข้าไม่เคยพูดสักคำว่าเขาตายแล้ว” ใจแข็งไว้เฟยเมี่ยว “เราก็แค่อยู่ห่างไกลกันก็เท่านั้น”
“…”
“เอาละ เรื่องที่ควรกล่าวก็ได้กล่าวออกไปจนหมดสิันแล้ว เจ้ากลับแดนเหมันต์ไปเสียเถอะ อย่ามาเสียเวลากับข้าอีกเลย” เฟยเมี่ยวหมุนกายกลับเตรียมจะเดินจากไป
แต่เหวินฮุ่ยเฉิงคว้าข้อมือของเขาไปกุมไว้แน่น ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ยื้อเขาไว้กำลังสั่นไหว ใช่ เหวินฮุ่ยเฉิงกำลังสั่น เฟยเมี่ยวไม่มีความกล้าพอที่จะหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย อย่างน้อยถ้าจะเล่นบทเห็นแก่ตัว เขาก็ขอเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ถึงความทุกข์ใจของใครเลย
“เฟยเอ๋อร์” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกทั้งเรียกร้อง และอ้อนวอน
ฮึบไว้เมี่ยว ฮึบไว้ ห้ามหันไป ห้ามใจอ่อน ท่องไว้สิ อาจวินรอนายอยู่ เจ้าทึ่มนั่นถ้ารู้ว่านายตายแล้วหนีมารักคนอื่นต้องร้องไห้ตรอมใจตายแน่…
“เฟยเอ๋อร์…”
เฟยเมี่ยวกัดฟันกรอด ตัดสินใจจะด่าคนช่างตื้อให้เด็ดขาด แต่ก่อนที่จะได้ปฏิเสธหรือด่าออกไป เสียงตายด้านของระบบเจ้ากรรมก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
ระบบ [อัปเดตข้อมูลเสร็จสิ้น]
[เปิดใช้งานระบบ สร้างจอมมารคนที่100ของโลกเสร็จสิ้น]
[เริ่มทำการลบความทรงจำของผู้เล่นบางส่วน]
เดี๋ยวๆ อย่างสุดท้ายนั่นมันอะไร
ภาพเบื้องหน้าถูกตัดขาด กลายเป็นสีดำ ในหัวคล้ายได้ยินเสียงสัญญาณขาดๆ หายๆ ร่างของเฟยเมี่ยวล้มลงกระทันหัน
“เฟยเอ๋อร์!” เหวินฮุ่ยเฉิงดึงรั้งข้อมือเล็กดึงให้ร่างที่อยู่ดีๆ ก็สลบไปเข้ามาสู่อ้อมแขนของตน เขาเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล เมื่อคิดจะพากลับเข้าข้างในขาทั้งสองข้างกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สุดท้ายฝืนสังขารอุ้มร่างไร้สติของเฟยเมี่ยวไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ใช้ตนเองต่างหมอนให้จิ้งจอกน้อยหนุน
เสียง ตี๊ดดดด ดังก้องขึ้นมาในหัว จนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ เหวินฮุ่ยเฉิงขมวดคิ้วมุ่นกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกระทันหัน เขาก้มมองคนที่ยังนอนหลับอยู่บนตัวเขา สักพักการมองเห็นและสติสัมปชัญญะทั้งหมดก็ถูกช่วงชิงไป
เฉินเยว่กำลังเปิดอ่านหนังสือเกี่ยวกับวังหลวงและพิธีการต่างๆ ในสมัยโบราณฆ่าเวลา เพื่อรอฟังผลการทำงานอันสมบูรณ์แบบของจี ระบบรุ่นล่าสุดที่เขาแสนภูมิใจนักหนา
ระบบ [รายงานมาสเตอร์]
เสียงตายด้านไร้อารมณ์ของจีดังขึ้น เฉินเยว่วางหนังสือลง ยกมือขึ้นเท้าคางกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ว่ามาเลย”
ระบบ [ทำการลบความทรงจำบางส่วนของผู้เล่นรหัส 999,999 เรียบร้อยแล้ว]
“ดีมาก” เขาปรบมือหนึ่งครั้งด้วยความถูกใจ “ไม่เสียแรงที่ฉันทุ่มเทเวลาสร้างเธอมาหลายปี เธอไม่ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ จี แล้วเหวินฮุ่ยเฉิงละ?”
ระบบ “…”
เฉินเยว่ขมวดคิ้วมุ่น “ฮัลโหลจี ยังอยู่ไหม”
ระบบ [รายงานมาสเตอร์]
“อะ สงสัยคงดีเลย์ ว่ามาเลย” นิ้วมือเรียวเคาะโต๊ะไปมาอย่างสบายใจ
ระบบ [การลบความทรงจำของเหวินฮุ่ยเฉิงล้มเหลว และ…]
“อะไรล้มเหลวนะ?”
ระบบ [การลบความทรงจำของเหวินฮุ่ยเฉิง]
เฉินเยว่พยักหน้ารับ ก็ทำใจไว้บ้างว่ามันจะไม่สำเร็จ การแทรกแซงดวงวิญญาณของโลกอื่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้ว และตอนท้ายคืออะไร”
ระบบ […ความทรงจำของฮุ่ยจวินถูกถ่ายทอดกลับไปให้เจ้าของเดิม โดยอัตโนมัติ ไม่สามารถลบล้างหรือกู้คืนได้]
“อ้อ เรื่องแค่นี้เอ…หะ!” เฉินเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก ครั้งก่อนก็ใส่ข้อมูลเควสสลับ ครั้งนี้ถึงขั้นคืนความทรงจำที่เขาริบไว้ ไอัระบบเซินเจิ้น!
คนตายแล้ว ต้องไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่งลบล้างอดีตเพื่อไปเกิด แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ฮุ่ยจวินต่างออกไป เขาเป็นคนส่งอีกฝ่ายไปเกิดที่สวี่หลิวเองกับมือหลังจากที่ตาย และได้ดึงเอาความทรงจำเดิมของฮุ่ยจวินมาเก็บไว้ เพื่อไม่ให้ขัดต่อหลักของโลกมากนัก แต่ดูที่ระบบจีนแดงนี่ทำกับเขาสิ! แล้วหลังจากนี้จะทำยังไง…
ฝูหลิวนั่งฟังเจ้านายด่าจี เป็นวักเป็นเวร ด่าไปก็ได้แค่ด่า สุดท้ายก็ไม่กล้าพังผลงานที่ตัวเองสร้างมากับมืออยู่ดี ทางนั้นก็ได้ความทรงจำคืนแล้ว คุณจะเดินเกมต่อไปยังไงละคุณเทพเจ้าแห่งการละเล่น นี่เรียกว่ากรรมตามสนองแล้ว หึ ได้เวลาสนุกแล้วสิ….
แสงแดดยามเย็นสาดส่องลงมากระทบสองร่างที่นอนแนบชิดภายใต้ต้นไม้ใหญ่ เฟยเมี่ยวยกชายเสื้อขึ้นปิดหน้าเมื่อรู้สีกว่า แสงแดดอ่อนๆ ที่ตกกระทบเปลือบตาค่อนข้างรบกวนการนอนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดจะขยับพลิกตัวกลับเหมือนว่าตนคล้ายถูกใครหรืออะไรบางอย่าง โอบกอดไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างใจนึก
ไม่ถูกต้อง…
เฟยเมี่ยวคิดในใจ ในเมื่อเขากำลังนอนอยู่ แล้วใครละที่มากอดเขาไว้ เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ ภาพตรงหน้าหาใช่เตียงนอนหรือผ้าม่านสีขาวข้างเตียง กลับกันที่เขามองเห็นยามนี้คือตนเองนั้นกำลังนอนทับอยู่บนแผงอกของใครบางคน เหตุการณ์มันคุ้นๆ นะว่าไหม…
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อมองเจ้าของร่างกายที่ตนนอนทับอยู่ และใช่… คนเดียวกันกับเมื่อตอนนั้นมิมีผิดเพี้ยน
เหวิน ฮุ่ย เฉิง!
เฟยเมี่ยวมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครั้งแรกถือว่าอีกฝ่ายนั้นช่วยตนไว้ จึงมิได้กล่าวถึงอีก แต่ครั้งนี้...เฟยเมี่ยวกวาดสายตามองไปรอบตัว คล้ายว่าจะไม่มีอันตรายหรือเหตุสมควรให้เขาต้องมานอนทับอยู่บนร่างใครสักคนหรอกกระมัง แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?
เขาใช้มือที่ยังขยับได้อยู่ของตน ตีไปที่หน้าอกอีกฝ่ายเบาๆ “คนแซ่เหวินๆ “
ทุบไปอีกสองทีแล้วเรียกต่อ “ได้ยินไหมคนแซ่เหวิน เจ้าตื่นก่อน”
ตีก็แล้วทุบก็แล้ว แต่คนก็ยังไร้วี่แววที่จะตื่นขึ้นมาคุยกับเขา เฟยเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่นแอบบ่นอีกฝ่ายในใจ ‘ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ปลุกยากปลุกเย็นนักนะ แล้วท่าทางล่อแหลมนี่จะทำยังไง เกิดใครผ่านมาเห็นเข้า ได้เข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหน’บ่นเสร็จก็ยังยกกำปั้นทุบไปที่เหวินฮุ่ยเฉิงอีกรอบ ครั้งนี้คงออกแรงมากไปตามแรงอารมณ์ จึงได้ยินเสียงอีกฝ่ายครางประท้วงเบาๆ
“อึก…”
เฟยเมี่ยวกลอกตาครุ่นคิด เขาเดาะลิ้นครั้งหนึ่งหรี่ตามองเหวินฮุ่ยเฉิงอย่างคุกคาม ‘ได้ ได้ ตื่นยากตื่นเย็นนักใช่ไหม’ มือบางเอื้อมจับใบหูของอีกฝ่าย รอยยิ้มซุกซนปรากฏบนใบหน้างาม ในเวลาต่อมาก็ได้ยินเสียงเหวินฮุ่ยเฉิงร้องเสียงหลงเพราะถูกเขาปลุกด้วยการดึงหู
“โอ้ย!”
พรึบ
“เหวอ!!”
!!!
แต่คงเป็นเขาที่กลั่นแกล้ง แค่กๆ ปลุกอีกฝ่ายด้วยวิธีที่แรงเกินไปหน่อย กลายเป็นว่าคนแซ่เหวินทั้งเจ็บทั้งตกใจที่อยู่ดีๆ ก็โดนดึงหู ลุกพรวดขึ้นมาโดยไม่สนว่าจะมีเขาที่น้ำหนักไม่เบานักนอนทับตัวอยู่ ผลที่ตามมาคือร่างกายของเขาเสียหลักกำลังจะหงายหลัง ด้วยสัญชาตญาณจึงรีบคว้ากอดคอของอีกฝ่ายไว้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนแซ่เหวินมีน้ำใจกอดเอวดึงรั้งเขาเอาไว้เช่นกัน
ทำให้ยามนี้กลายเป็นว่าเขานั่งคล่อมตักอีกฝ่าย เราทั้งคู่กอดคอโอบเอวแนบชิดกัน หน้าผากและจมูกติดกันจนต่างตัวแข็งทื่อไปทั้งคู่ ขยับอีกนิดคือจูบ แต่ยามนี้เฟยเมี่ยวกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นโง่งมเกินกว่าจะคิดได้ว่าจะผ่านสถานการณ์อันหน้ากระอักกระอ่วนนี้ไปได้อย่างไร ที่ทำได้ก็มีเพียงสบตากับดวงตาคมระยะประชิดโดยไม่มีใครหลบสายตา
ลมหายใจร้อนผ่าวของเหวินฮุ่ยเฉิงทำให้เขาประหม่า คล้ายว่าอีกฝ่ายต้องการเอ่ยอะไรบางอย่างกับเขา
“เม..”
“นั่นพวกเจ้ากำลังจะทำอะไร!” น้ำเสียงตื่นตกใจของฉู่ชิงซาทำให้เฟยเมี่ยวได้สติ
เขาผลักเหวินฮุ่ยเฉิงออกอย่างแรง กลายเป็นว่าตนเองหงายหลังแล้วจริงๆ “โอ้ย” หลังกระแทกกับพื้นจนรู้สึกเจ็บ…
“เฟยเอ๋อร์” ฉู่ชิงซารีบเข้ามาประคองศิษย์ของตน
“ท่านจะมาก็มาดีๆ มิได้หรือ เหตุใดต้องเสียงดังให้ผู้อื่นตื่นตกใจด้วย” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิ หลังบางๆ ของหลิ่งเฟยอวี่บอบบางอย่างกับอะไรดี ป่านนี้คงช้ำแล้ว
ฉู่ชิงซายักไหล่ พะยุงเขาขึ้นจากพื้น “ก็ข้าเห็นพวกเจ้ากำลังทำเรื่องมิถูกมิควร ก็ต้องเอ่ยปากห้ามปราม”
“ข้าหรือทำเรื่องมิถูกมิควร?” เฟยเมี่ยวเลิกคิ้วถาม
“ใช่สิ เมื่อครู่พวกเจ้าคิดจะทำอะไร” พอได้พูดก็เริ่มสวมบทบาทเป็นอาจารย์สั่งสอนศิษย์ “กลางวันแสกๆ ยังมาทำเรื่องบัดสีเช่นนี้ได้หรือ”
หยวนชงเมิ่งเอ่ยปากเตือน “...อาฉู่”
“เอ่อ ไม่ๆ เมื่อครู่มิต้องไปฟัง” ฉู่ชิงซาแก้ไขสิ่งที่พูดใหม่ ความหมายคนละอย่าง “พวกเจ้ายังเด็กนัก อะไรควรหักห้ามใจก็ต้องห้ามๆ เอาไว้บ้าง หากว่าชอบพอมีใจให้กันจริงๆ ก็ทำให้ถูกต้องตามจารีตตบแต่งกันก่อน ร่วมหอค่อยว่ากัน”
หยวนชงเมิ่งสีหน้าบิดเบี้ยว ที่เอ่ยเตือนไปคือเจ้าพูดจามิถามความ ไฉนกลายเป็นสั่งสอนไปแนะนำไปเสร็จสับเลยเล่า
เฟยเมี่ยวแทบจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก ฉู่ชิงซาเป็นบ้าไปแล้ว เอาอะไรคิดว่าเขาจะมีใจชอบพอคนแซ่เหวินกัน “ท่านอย่าได้พูดจาเลอะเลือนให้มันมากนัก ผู้อื่นมาได้ยินเข้าจะครหาเอาได้”
ฉู่ชิงซาเลิกคิัวมองศิษย์ตน “ก็มิใช่ว่าที่ผ่านมา พวกเจ้าสองคนมีใจชอบพอกันหรอกหรือ?”
เฟยเมี่ยวกรอกตาใส่ ถอนหายใจอย่างเอือมระอา “คนเคยพบกันแค่สองสามครั้ง จะชอบพอกันได้อย่างไร…”
คราวนี้ทุกสายตาของคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็เป็นอันต้องหันมามองเฟยเมี่ยวกันหมด ในใจมีคำพูดเดียวกันว่า 'ไม่ถูกต้อง’ ฉู่ชิงซายกมือขึ้นใช้หลังมือแตะหน้าผากของเฟยเมี่ยวเบาๆ
“ศิษย์ข้า เจ้าไม่สบายหรืออยู่ดีๆ จึงได้เลอะเลือน”
เฟยเมี่ยวขมวดคิ้วมุ่น “เลอะเลือนอะไร”
“เจ้ากับเหวินฮุ่ยเฉิงในช่วงเวลาที่ผ่านมา เรียกได้ว่าแทบจะหลอบรวมเป็นคนๆ เดียวกันมีเจ้าที่ไหนเจ้าตำหนักเหวินก็ห่างกายไม่เกินสองเท้าก้าวเดิน”
“หะ” เฟยเมี่ยวชี้นิ้วเข้าหาตนเอง “ข้าเนี่ยนะ”
ฉู่ชิงซาพยักหน้า
เฟยเมี่ยวส่ายศีรษะ เป็นตายก็ไม่เชื่อเด็ดขาด ถ้าอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้นก็ต้องจำได้บ้างสิ นี่เขาจำอะไรไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่ได้เจออีกฝ่ายก็คือช่วงที่หนีท่านแม่ออกมาเที่ยวเล่นนอกหุบเขาก็เท่านั้น
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เห็นจำได้ว่าเคยมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น อาจารย์ท่านติดนิสัยชอบหลอกลวงผู้อื่นแล้ว ไม่ดีเลย” เฟยเมี่ยวเอ่ยค้าน
ฉู่ชิงซามุมปากกระตุก เจ้าศิษย์ไม่รักดีนี่ช่างอกตัญญูนัก “ไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า จำกันไม่ได้ก็เรื่องของเจ้าเถอะ!” หันหลังเตรียมจะเดินหนี ก็พบเหวินฮุ่ยเฉิงที่ยืนฟังเงียบๆ ไม่พูดไม่จา “เสี่ยวเฟยบอกว่าจำเจ้าไม่ได้ ได้ยินหรือไม่”
เหวินฮุ่ยเฉิงพยักหน้า
“แล้วเหตุใดไม่พูดอะไรบ้าง นี่พวกเจ้าเล่นอะไรกันอยู่”
เหวินฮุ่ยเฉิงตอบกลับเสียงเรียบ “จำเป็นหรือ จำไม่ได้ก็ไม่ได้สิ”
ฉู่ชิงชาหมดคำจะกล่าว หวังดีก็โดนหลอกด่า เด็กพวกนี้เล่นอะไรกันไม่รู้เรื่องเขาไม่สนใจแล้ว ก่อนจะเดินจากไปยังอุตส่าห์หันไปเอ็ดใส่หยวนชงเมิ่งเสียงเข้ม “ยืนเซ่อทำอะไร ยังไม่รีบไปอีก”
คนที่อยู่ดีๆ ก็ถูกด่าได้แต่เดินตามภรรยาของตนไปอย่างไร้ปากไร้เสียง อาฉู่หงุดหงิดแล้ว เขาเงียบไว้เป็นดีที่สุด…
เฟยเมี่ยวหันกลับไปถามเหวินฮุ่ยเฉิงว่า “ข้ากับเจ้า เคยพบกันมากกว่าสามครั้งหรือ?”
เหวินฮุ่ยเฉิงชะงักไปจ้องมองเขา แล้วยิ้มบางจากนั้นส่ายหน้า กล่าวเสียงนุ่ม “ย่อมมิเคย”
เฟยเมี่ยวพยักหน้ารับ บ่นงึมงำว่าหิวแล้วเดินกลับเข้าเรือนไปไม่สนใจคนแซ่เหวินอีก
เหวินฮุ่ยเฉิงมองตามแผ่นหลังบาง รอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มใบหน้า คล้ายว่าความทรงจำของใครบางคนถูกเติมลงบนจิตวิญญาณ ใครบางคนที่เป็นตัวเขาในอดีต 'ฮุ่ยจวิน’ หรืออาจวินที่ใครคนนั้นเรียกหา เจ้าจะใช่คนเดียวกันไหม เป็นคนเดียวกันกับที่เขาในชาติก่อนเฝ้าตามหาหรือไม่ เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เฟยเมี่ยว…”
สามวันแล้วที่เหวินฮุ่ยเฉิงหายไป เฟยเมี่ยวครุ่นคิด เขาบอกตนเองว่าเขาไม่เคยพบเจอคนแซ่เหวินเกินสามครั้งจริงๆ แต่ภายในใจส่วนลึกกลับบอกว่ามีบางอย่างผิดพลาด คล้ายว่าเขาจะทำอะไรสักอย่างหายไป แล้วมันคืออะไรละ…
“นายน้อยไม่กินอีกหน่อยหรือขอรับ” มี่ถงมองผู้เป็นนายด้วยสายตาห่วงใย หลายวันมานี้นายน้อยกลางวันไม่ค่อยกิน กลางคืนก็ไม่ค่อยนอน คล้ายคนเหม่อลอยคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เจ้าตำหนักเหวินกับแมวบัดซบนั่นก็หายไป ในช่วงที่เขาไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อยของเขากันแน่
“ถงถง ข้าอิ่มแล้ว” เฟยเมี่ยวตอบเสียงเอื่อย
“กินอีกคำก็ยังดีนะขอรับ ข้าไม่อยู่ไม่นานท่านกลับซูบผอมลงถึงเพียงนี้ ข้าละลายใจยิ่งนัก”
เฟยเมี่ยวมองสหายน้อยที่ใช้สายตาลูกหมาจ้องมองเขา มี่ถงกลับมาเมื่อสองวันก่อน ฉู่ชิงซาต้องให้เขาไปฝึกอะไรแปลกๆ มาแน่นอน เพราะกลับมาสภาพเปียกโซกทั้งตัวเป็นจิังจอกตกน้ำ “เจ้าก็แค่ไปทำในสิ่งที่เจ้าควรทำ…”
มี่ถงยิ้มมุมปาก กล่าวเสียงหนักแน่น “ปราณมารในร่าง รวมทั้งวิชายุทธของข้าพัฒนาไปมาก วิธีฝึกของท่านจอมมารใช้ได้ดีทีเดียว ต่อไปหากนายน้อยเกิดอันตรายอีก ข้าก็สามารถปกป้องท่านได้แล้ว”
เฟยเมี่ยวอดไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบหัวของมี่ถงแล้วยิ้มขำ จิ้งจอกตนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ยอมลำบากเพื่อเขา ทำทุกอย่างเพื่อเขา เป็นสหายน้อยที่วิเศษมาก เขาเองในฐานะของคนที่กำลังจะถูกปกป้องก็ควรกล่าวอะไรให้อีกฝ่ายมีกำลังใจ “อืม ต่อไปรบกวนถงถงแล้ว”
“ขอรับ!” มี่ถงขานรับด้วยความดีใจ ข้าจะปกป้องท่าน อยู่ข้างกายท่านตลอดไป ต่อไปใครกล้ารังแกท่านอีกล้วนฆ่าไม่เว้น…
เฟยเมี่ยวเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง เอ่ยเรียกระบบในใจ...
'ระบบ คุณอยู่ไหม’
ระบบ [ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ…]
'รู้แล้วไม่ต้องพูดมาก ผมมีเรื่องจะถาม’
ระบบ [เชิญป้อนคำถาม]
เฟยเมี่ยวมองออกไปนอกหน้าต่าง “ผมว่าผมลืมอะไรบางอย่าง คุณรู้ไหมว่าผมลืมอะไร?”
ระบบ [...แจ้งให้ทราบ ผู้เล่นมีหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระ เนื่องจากผู้เล่นไม่กระทำการอันชั่วช้าเป็นเวลานานเกินไป โดนกลั่นแกล้งโดยไม่ใช่เหตุสมควร ยอดหนี้ที่ต้องชำระ เป็นจำนวน 500 แต้ม ระบบจะทำการหักจากค่าต่างๆ ทุกครั้งหลังจากผู้เล่นทำเควสหลัก และเควสรองสำเสร็จ]
เฟยเมี่ยวรู้สึกราวกับว่าโลกเอียงกระทันหัน ทำไมอยู่ดีๆ เป็นหนี้อีกแล้วละ…? แล้ววิธีเปลี่ยนเรื่องที่นุ่มนวลกว่านี้ไม่มีเรอะ
“ผมเป็นหนี้ได้ยังไง?” ชีวิตวันๆ ไม่กินก็นอน ไม่เคยเดินไปให้ใครรังแกเลยนะ…
ระบบ [ข้อมูลก่อนหน้านี้ถูกลบออกจากฐานข้อมูลไปแล้ว ไม่สามารถชี้แจงสาเหตุได้]
'หะ' เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ 'มีเรื่องแบบนี้ได้ยังไง คุณจะโกงผมเหรอระบบ คุณเป็นโปรแกมเถื่อนใช่ไหม!’
ระบบ [ผู้เล่นที่รัก ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ โค้ดเนม จี ได้รับการยอมรับจากสากล เราไม่มีนโยบายในการฉ้อโกงเนื่องจากจะทำให้ผู้สร้างและองค์กรสนับสนุนเสื่อมเสียชื่อเสียง]
'งั้นก็บอกมา ว่าผมเป็นหนี้เยอะขนาดนั้นได้ยังไง’ เฟยเมี่ยงแทบอยากจะตะโกนด่าอีกฝ่ายออกเสียง ไม่ใช่ด่าแค่ในใจ ถ้าไม่กลัวจะโดนปรับเรื่องการใช้คำไม่สุภาพอีกกระทงเขาทำไปแล้ว ‘ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ มาให้ ผมก็ไม่จ่าย’
ระบบ [ข้อมูลก่อนหน้านี้ถูกลบออกจากฐานข้อมูลไปแล้ว ไม่สามารถชี้แจงสาเหตุได้] ก๊อปปี๊วางชัดๆ
'ไม่จ่ายเว้ย!!’
ระบบ [ดำเนินการหักแต้มจากแต้มสะสมที่มีทั้งหมด]
เฟยเมี่ยวตาเหลือก รีบกล่าวอย่างร้อนรน ‘เดี๋ยวๆ เราคุยกันได้นะระบบนะ’
ระบบ [...]
ครุ่นคิดถึงผลรับที่จะตามมาสักพัก เฟยเมี่ยวก็กัดฟันยอมตกลง '...ก็ได้ ขอแค่ไม่หักแต้มที่มีอยู่ก่อน ยังไงก็ได้ทั้งนั้น ว่าแต่จะหักยัง’ ยอมให้หักในอนาคตก็ดีกว่าหักตอนนี้ที่แต้มเขามีไม่ถึง500 ถ้าหักไปหมดเขาก็ตายพอดี
ระบบ [10% จากแต้มที่ได้รับทั้งหมดในทุกๆ เควส]
หน้าเลือด!! ‘ถ้าจะทำขนาดนี้ส่งใบแจ้งหนี้มาด้วยเลยก็ได้ จะได้ดูเป็นทางการหน่อย’ เขาอดไม่ได้เอ่ยประชดไปที
ระบบ [ได้ ทุกครั้งก่อนที่จะมีการหักแต้มอัตโนมัติ ระบบจะออกใบแจ้งหนี้ให้ผู้เล่นก่อนเสมอ และหลังหักแต้มแล้วระบบจะส่งใบเสร็จการรับแต้มคืนให้ผู้เล่นอีกครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นจะมีการ +ภาษีกระดาษเพิ่มอีก 5%]
เฟยเมี่ยวเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้น จับชายเสื้อของมี่ถงแน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ถงถงข้าขอ ขอยาดม ยาลม ยาหอม อะไรที่แก้วิงเวียนได้เอามาให้หมด!”
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ระบบนี่เป็นแขกแน่ๆเลย
กรี้ดด อาจวินของหนูไม่เสียแรงที่อยู่เรือนี้ แต่งี้แสดงว่าอาจวินตายแล้วสินะ จะตายเพราะทำภารกิจนั้นหรือตายตามอายุขัยหว่าาา
ที่นี้อาจวินจะเดินหน้าต่อยังไง
ได้ความทรงจำคืนมาแล้ว
โอ้ยยย นุ้งถงเจ็บมั้ยยย #ก็เหมือนกันจริงๆ555#กลับมาเหมือนกันค้าา หนีไปกทม.มา ร้อนมากกกก
น้องงงงงงง!!จำให้ได้สักเททททท!!ตูจะลงเเดงเเล้ววว55
ของขวัญไรท์อยู่ในเฟสน้าา♡^♡