ตอนที่ 18 : บทที่.14 [รีไรท์] เมื่อถูกรังแก
บทที่.14
เมื่อถูกรังแก
เช้าวันใหม่ที่ไม่สดใสเอาเสียเลย เฟยเมี่ยวลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง นั่นคงเป็นเพราะเมื่อวานเขาดื่มหนักเกินไป ในตอนที่ยังทำงานที่องค์กรเขาถือเป็นนักดื่มคนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นผีสุราเลยทีเดียว แต่เขาลืมนึกไปร่างกายนี้ของหลิ่งเฟยอวี่นั้น ไม่ถูกโรคกับสุราทุกชนิด ดื่มเพียงนิดเดียวก็สามารถเมามายข้ามวันได้แล้ว แต่เมื่อวานเขาดื่มไปตั้งหลายไห จำได้ลางๆ ว่า ตอนนั้นดื่มไปก็ทั้งด่าทั้งสาปแช่งคนแซ่เหวินอยู่ในใจไปด้วย ช่างเป็นบุรุษที่โง่เง่า ซื่อบื้อจนไม่รู้จะหาคำใดมาเปรียบดี แค่มีหญิงงามมาพูดจาอ่อนหวานนุ่มนวลด้วยก็เชื่อเขาไปเสียหมด
เขาหันข้างก้มมองมือตนเองที่เหมือนถูกกุมเอาไว้ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อสิ่งที่เห็นคือ คนที่เขาเพิ่งนินทาในใจยามนี้กลับนอนหลับอยู่ที่ข้างเตียง ฝ่ามือหนาก็กุมมือเขาเอาไว้ บ้าจริง...อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายเฝ้าเขาเช่นนี้อยู่ตลอดทั้งคืน คิดได้ดังนั้นเขาก็ลุกขึ้นนั่งแล้วใช้มืออีกข้างสะกิดไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
“คนแซ่เหวินๆ ตื่นเร็ว ได้ยินหรือไม่”
เหวินฮุ่ยเฉิงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา เขาเพิ่งได้นอนช่วงรุ่งสาง เพราะเฟยเมี่ยวอาเจียน ทั้งยังมีไข้สูงเพราะดื่มสุรามากเกินไป
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว เฟยเมี่ยวก็ชักมือที่เหวินฮุ่ยเฉิงกุมไว้ออกมาจากนั้นหันไปมองเสาเตียงแทน กล่าวว่า “เมื่อวาน…”
“เมื่อวานเจ้าเมามากทั้งยังมีไข้สูง ข้าจึงพาเจ้ากลับมาที่นี่ เรียกหมอมาตรวจดูอาการ โชคดีที่มิได้แพ้สุรา เพียงดื่มมากไปและร่างกายเจ้าอ่อนแอเท่านั้น”
“อืม”
บรรยากาศของทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่เหวินฮุ่ยเฉิงจะกล่าวต่อไปว่า
“ข้า...คิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เฟยเมี่ยวหันมองอีกฝ่าย “เรื่องอะไร”
“เสี่ยวเซียน”
ชื่อนี้อีกแล้ว….
“ไม่มีอะไรต้องคุย” เขาลุกขึ้นเตรียมเดินไปหยิบเสื้อคลุม แต่ถูกเหวินฮุ่ยเฉิงดึงแขนไว้ก่อน
“เขาเป็นเพื่อนเล่นกับข้ามาตั้งแต่เด็ก” เหวินฮุ่ยเฉิงเริ่มอธิบายโดยที่ไม่ยอมปล่อยข้อมือเล็กของอีกฝ่าย
“...”
“บิดาของข้ากับนางเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน พวกเราจึงค่อนข้างสนิทกัน”
“อ้อ ก็เลยกลายเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมาตั้งแต่เด็ก”
“เรื่องคู่หมั้นหมายหรือแม้แต่งานแต่ง ข้าเองก็เพิ่มรู้ก่อนที่จะออกจากแดนเหมันต์ไม่กี่เดือน ก่อนที่จะได้พบเจ้า” เสียงในตอนท้ายแผ่วเบา
เฟยเมี่ยวสะบัดข้อมือของตนออกจากฝ่ามือของอีกฝ่าย แล้วหันไปเผชิญหน้ากับเหวินฮุ่ยเฉิงโดยตรง เขากล่าวเสียงเรียบว่า “แล้วอย่างไร”
รู้ก่อนที่จะพอเขา ก็เท่ากับว่าตั้งใจจะปิดบังเขามิใช่หรือ
“ข้ามองนางเป็นเพียงน้องสาว หาได้คิดเกินเลย”
เฟยเมี่ยวรู้ว่าตัวเขาเองในยามนี้กำลังจะทนิสัยเสียๆ ที่แก้ไม่หายออกมา ทุกครั้งที่เขาไม่สบายก็จะเป็นเช่นนี้ ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ไม่ค่อยดีนัก บางครั้งเคยถึงขั้นลงไม้ลงมือกับอาจวินเพราะหึงหวงไร้สาระเลยก็มี ยิ่งเห็นหน้าของเหวินฮุ่ยเฉิงที่เหมือนอาจวิน แล้วย้อนนึกไปถึงองค์หญิงเผ่าสวรรค์ที่บอกว่าจะมาคุยเรื่องงานแต่งกับคนตรงหน้า เขาก็ยิ่งมีโทสะ จนไม่อยากจะมองใบหน้านี้อีก
ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อาจวิน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในใจมันกลับเกิดความรู้สึกเดียวกันขึ้นมาได้
“เฟยเอ๋อร์ เรื่องของข้ากับนาง เป็นเพียงผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ ข้าหาได้ยินยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่”
เฟยเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้น “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
“ข้าจะยกเลิกงานแต่ง”
“เมื่อไหร่”
เหวินฮุ่ยเฉิงครุ่นคิด “ข้า...ขอเวลาสักพัก”
“เหอะ” เขาหมุนกายเตรียมจะเดินไปแต่งตัว
เหวินฮุ่ยเฉิงรีบคว้าร่างนั้นมากอดไว้ “เฟยเอ๋อร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย อีกทั้งหนิงเซียนเป็นสตรี จะให้ข้าเป็นฝ่ายปฏิเสธเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันไว้แล้วมันไม่ควร”
“เช่นนั้นหรือ แล้วเจ้าจะทำอะไรได้เล่า แต่งแล้วค่อยหย่า?” เฟยเมี่ยวสะบัดเขาออก แล้วเดินมานั่งลงที่โต๊ะน้ำชา รินน้ำชาขึ้นมาจิบแก้กระหาย หางตาก็ไม่มองคนแซ่เหวินแม้แต่น้อย
เหวินฮุ่ยเฉิงส่ายหน้า เดินเข้ามาหาอีกฝ่าย “ข้าจะลองไปคุยกับหนิงเซียนดูนางคงเข้าใจ”
“หากนางไม่เข้าใจเล่า?”
“ข้าก็จะบอกนางว่าข้าชอบเจ้า เสี่ยวเซียนเป็นเด็กดี นางต้องเข้าใจว่าบุรุษที่มีผู้อื่นในใจ หาใช่บุรุษที่คู่ควรกับนางไม่”
เฟยเมี่ยวยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ กล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “เจ้าชอบข้า เช่นนั้นหรือ”
“ย่อมแน่ ในยามนี้ข้าอาจจะยังบอกไม่ได้ว่ารักเจ้าหรือไม่ แต่ข้ามั่นใจว่าคนที่อยู่ในใจข้าในยามนี้มีเพียงเจ้า เจ้าจะให้โอกาสข้าได้พิสูจน์คำพูดในวันนี้ได้หรือไม่”
จอกน้ำชาที่กำลังเข้าปากชะงักไปหนึ่งจังหวะ จากนั้นก็ถูกวางกลับไปบนโต๊ะ เฟยเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองเหวินฮุ่ยเฉิง
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไร?”
“ต้องทำอย่างไร เจ้าจึงจะยอมเชื่อ”
เฟยเมี่ยวจ้องมองเหวินฮุ่ยเฉิงสักพัก กล่าวออกมาเสียงเนิบช้าว่า “จูบสัญญา”
เหวินฮุ่ยเฉิงยิ้ม “ย่อมได้”
วงแขนแกร่งโอบรัดรอบเอวบางให้เข้ามาแนบชิด ริมฝีปากร้อนประกบลงมาบนกลีบปากบาง เหวินฮุ่ยเฉิงค่อยๆ แตะต้องอย่างอ้อยอิ่ง ละเลียดจูบซับความหวานบนริมฝีปากงามของจิ้งจอกน้อยของเขา ไม่นานเฟอเมี่ยวก็ยอมเปิดปากรับเรียวลิ้นร้อนให้สอดเข้ามาสำรวจภายในโพลงปากของตน จากจุมพิตเนิบช้า กลายเป็นจูบที่เร่นร้อนขึ้นตามแรงอารมณ์
ปลายรองเท้าที่หน้าประตูหายไปแล้ว เฟยเมี่ยวเก็บสายตากลับมา ถอนริมฝีปากออกจากอีกฝ่าย
ทำให้เหวินฮุ่ยเฉิงรักเขามันก็เป็นเรื่องหนึ่ง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีคู่หมายเขาก็พร้อมจะถอนตัวไม่คิดดื้อรั้นแย่งชิง ไปเจรจาเหตุผลกับพระเจ้าแว่นสักหน่อยอีกฝ่ายคงเข้าใจ
แต่ในทางกลับกัน ในเมื่อองค์หญิงน้อยนั่นกล้ายั่วโทสะเขา เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่า ท่านเฟยเมี่ยวไม่ใช่คนที่แม่นางน้อยที่ถูกเลี่ยงดูมาอย่างประคบประหงมจะมารังแกได้ และคนที่เขาต้องการเขาก็มีวิธีที่จะทำให้ได้มา เขาเป็นคนที่มาจากยุคไอที มีแบบอย่างให้ดูเยอะแยะ ถ้าคิดว่าสตรีในห้องหอสมัยนี้จะเทียบได้ก็ลองดู เควสครั้งนี้เขาจะไม่ยอมถูกหักอะไรแม้แต่แต้มเดียว…
นิ้วมือสากเช็ดมุมปากให้เขาอย่างถนอม เฟยยเมี่ยวสบตากับดวงตาสีนิลที่ยามนี้น้ำหวานยิ่งกว่าน้ำผึ่งเสียอีก ในใจก็ลอบเกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมาลึกๆ เมื่อครู่คิดแต่จะกลั่นแกล้งคนสอดรู้สอดเห็น มายืนแอบฟังชาวบ้านเขาคุยกันตั้งแต่เช้าตรู่ไหนเลยจะทันได้คิด ว่าวิธีของตนจะทำให้คนผู้นี้มองตนอย่างกับอยากจะกลืนกินลงท้องไปเช่นนี้
เฟยเมี่ยวเผยรอยยิ้มจืดจางหัวเราะแฮะๆ กล่าวว่า “ข้าว่า ข้าไปหาเสี่ยวไป๋ดีกว่า”
แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปถึงไหน กลับถูกเหวินฮุ่ยเฉิงรวบกอดเข้าที่เอว แล้วลากให้กลับมายืนอยู่ที่เดิม พร้อมทั้งยืนช้อนหลังแล้วกอดเขาเอาไว้แน่น คางก็ยังเอามาเกยไว้บนไหล่อย่างถืวิสาสะ
มารดามันเถอ้เจ้าคนนี้นี่!
“อะ อาเฉิง เจ้าก็อย่าเล่นอีกเลย สายแล้ว” เฟยเมี่ยวพยายามเกลี้ยกล่อม
เหวินฮุ่ยเฉิงกล่าวเสียงพร่า “ขอกอดเจ้าเช่นนี้อีกสักพัก”
ไม่ได้! ก็ได้แต่ตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง ส่วนความจริงนั้นก็ยังต้องทำเป็นขัดขืนพอเป็นพิธี ทั้งที่ใจเขายามนี้แทบจะถีบไอ้คนหน้าหนานี่ให้ออกไปนอกโลกได้อยู่แล้ว
ลมหายใจร้อนที่เป่ารดบนต้นคอทำให้เฟยเมี่ยวถึงกับชะงักงันไป ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากชื้นแตะแผ่วเบาในบริเวณเดิม จนขนทั่วร่างลุกชัน สมองน้อยๆ ของเฟยเมี่ยวหมุนติ้วเพื่อหาทางเอาตัวรอด แต่ในสถานะการณ์เช่นนี้เขายังจะเหลือทางรอดอะไรอีก
หลังจากถูกเจ้าตำหนักเหวินผู้ยิ่งใหญ่วอแวจนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่นาน พวกเขาทั้งคู่ก็มาถึงโต๊ะอาหารกันได้เสียที แขกร่วมโต๊ะอาหารมื้อนี้ในตำหนักซือโฮ่ว แน่นอนว่ามีองค์หญิงน้อยแห่งเผ่าสวรรค์นั่งหน้าตึงอยู่อีกหนึ่งชีวิต
ด้วยความที่เมื่อวานข้าวปลาก็ไม่ได้กิน ยังอุตส่าห์ไปดื่มแบบจัดเต็มกับเจ้าแมวอ้วนเสี่ยวไป๋จนไร้สติ ยามนี้เฟยเมี่ยวจึงรู้สึกปวดศีรษะเป็นอย่างมาก ทั้งยังจะอาเจียนเอาเหล้าที่ดื่มเข้าไปเมื่อวานออกมาอยู่รอมร่อ หากเป็นภาษาสมัยใหม่ก็แฮงค์นั่นแหละ ตอนดื่มมันก็ดีอยู่หรอก หลังจากนั้นนี่สิอย่าให้บรรยายตอนนี้เขาอยากได้ชาเข้มๆ สักกามาแก้กระหายมาก
“เฟยเอ๋อร์ เมื่อวานเจ้าดื่มหนักเกินไปแล้ว คงปวดหัวอยู่ใช่หรือไม่ ข้าให้พ่อบ้านเตรียมชาร้อนๆ ไว้ให้เจ้า ดื่มเสียอาการจะได้ดีขึ้น” เหวินฮุ่ยเฉิงรินชาให้เฟยเมี่ยวอย่างเอาใจ
“ขอบคุณ” เฟยเมี่ยวเอ่ยเสียงแผ่ว แล้วรับชาจอกนั้นมาจิบเงียบๆ ลอบมองปฏิกิริยาของไป๋หนิงเซียนไปด้วย และเป็นไปตามคาดไป๋หนิงเซียนขบเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาที่ใช้มองเขาไม่มีความเป็นมิตรเลย
“ท่านพี่เจ้าคะ คุณชายท่านนี้คือ…?” ไป๋หนิงเซียนพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความหึงหวงของตนเอง แล้วกล่าวดึงความสนใจจากคู่หมั้นคู่หมายของนาง
“อ้อ ข้าจะแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เสี่ยวเซียน นี่คือ หลิ่งเฟยอวี่ เป็น…” เหวินฮุ่ยเฉิงเหลือบมองเฟยเมี่ยวอย่างขออนุญาต เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นว่าที่ภรรยาของข้า”
พรวด
“แค่กๆ” ภรรยาบ้าบออะไร!
เฟยเมี่ยวแทบอยากจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากให้รู้แล้วรู้รอด คนแซ่เหวินไอ้ตัวซื่อบื้อ ที่พยักหน้าไปนั่นคือให้บอกยัยหนูนั่น ว่าเขาเป็นคนที่อีกฝ่ายกำลังดูใจอยู่ต่างหาก…
“เฟยเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ผ้าเช็ดหน้าในอกเสื้อถูกนำออกมาเช็ดมุมปากให้เฟยเมี่ยวอย่างไม่รังเกียจ
ไป๋หนิงเซียนที่นั่งมองภาพนั้นทั้งยังคำตอบเมื่อครู่ของคู่หมาย นางก็อยากกรีดร้องออกมาแล้วถามท่านพี่ของนางว่า ‘แล้วข้าเล่า ท่านเอาข้าไปไว้ที่ใด’ แต่สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงบีบผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างเคียดแค้น
เฟยเมี่ยวยกมือขึ้นห้ามปรามเหวินฮุ่ยเฉิงที่ห่วงเขาจนออกนอกหน้า ปรายตามองไป๋หนิงเซียนที่ความอิจฉาพุ่งขึ้นหน้าจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ แล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาในใจ เขายังไม่ต้องลงแรงความซื่อบื้อของคนแซ่เหวินก็แทบจะทำให้คนคลั่งตายแล้ว ดูสิว่าถ้าลองฝ่ายชายพูดออกมาขนาดนี้แล้วยังจะทำอย่างไรต่อ
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว เฟยเอ๋อร์ส่วนนี่ไป๋หนิงเซียน องค์หญิงห้าแห่งเผ่าสวรรค์”
เขาแค่พยักหน้ารับและยิ้มบางให้อีกฝ่าย เท่าที่ดูองค์หญิงน้อยก็คงไม่อยากพูดคุยกับเขานักหรอก
“เอาละ กินข้าวกันเถอะ” เมื่อเจ้าบ้านว่ามาแบบนั้น แขกทั้งสองก็เริ่มรับประทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ
จนกระทั่งเวลาอาหารผ่านพ้นไป ในห้องโถงเล็กของตำหนักซือโฮ่วยามนี้กลับมีเพียงความตรึงเครียดเกิดขึ้น ยกเว้นคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างเฟยเมี่ยวที่ไม่รับรู้ถึงเรื่องจริงจังที่ผู้อื่นจะกล่าว ไม่สนกระทั่งว่ามันจะเกี่ยวกับตน ยังคงนั่งลูบขนเจ้าเสี่ยวไป๋เล่นอย่างเพลิดเพลิน แน่นอนสิ เรื่องที่กำลังจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในครั้งนี้ เขาเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์แล้วจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปเพื่ออันใด
“เสี่ยวเซียน อย่างที่เจ้าได้ยินที่โต๊ะอาหารเมื่อครู่ เฟยอวี่เป็นว่าที่ภรร…” ยังกล่าวไม่ทันจบเหวินฮุ่ยเฉิงก็ต้องกลืนคำว่า 'ว่าที่ภรรยา’ ลงคอไปแล้วเปลี่ยนไปใช้คำอื่นเมื่อถูกเฟยเมี่ยวตวัดสายตาดุดันมามอง
“อะแฮ่ม ว่าที่คนรักของข้า ดังนั้นงานแต่งที่ท่านลุงกับท่านป้าได้ตกลงกันกับบิดาและมารดาของข้าไว้ จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้”
ไป๋หนิงเซียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก็จะกล่าวออกมาว่า “เหตุใดจึงจะเป็นไปมิได้เล่าเจ้าคะ”
“นั่นก็เพราะว่า...”
นางยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนหวาน จากนั้นกล่าวอย่างไม่ทุกไม่ร้อนต่อไปว่า “เรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้ว อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น”
“แต่ข้ามีคนที่ชอบพออยู่แล้ว ทำเช่นนี้จะไม่เป็นการ…”
“ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ เสี่ยวเซียนเคารพการตัดสินใจของท่าน หากท่านชอบพอกับคุณชายหลิ่ง หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว ท่านก็สามารถรับคุณชายหลิ่งไว้เป็นอนุภรรยาข้างกายได้”
“เจ้า/เจ้า!!” สองเสียงของเหวินฮุ่ยเฉิงและมี่ถงดังประสานกัน
เฟยเมี่ยวเองก็ถึงกับเผลอจิกเล็บที่ไม่ค่อยมีของตน ลงไปบนหลังคอของเสี่ยวไป๋ ยัยหนูองค์หญิงที่น่าตายคนนี้ เมื่อครู่พูดว่าอนุภรรยาใช่หรือไม่ ชีวิตเขาจะหนีคำๆ นี้ไม่พ้นจริงหรือ
มี่ถงมองไป๋หนิงเซียนอย่างโกรธเคือง เขากล่าวอย่างไม่เกรงกลัวว่า “คิดให้นายน้อยของข้าไปเป็นอนุภรรยาของเจ้าตำหนักเหวิน ต้องดูก่อนว่าเจ้าคู่ควรเป็นฮูหยินของเจ้าตำหนักเหวินหรือไม่”
ซือซือที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ออกโรงปกป้องผู้เป็นนาย “เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าองค์หญิงแห่งเผ่าสวรรค์”
“เขาเป็นคนของข้า” น้ำเสียงราบเรียบของเฟยเมี่ยวทำให้ทุกคนในห้องหันกลับไปมอง
“เช่นนั้นคุณชายหลิ่ง ท่านควรสั่งสอนคนของท่านว่าไม่ควรกล่าววาจาเช่นนี้ กับผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าตน”
เฟยเมี่ยวเลิกคิ้วมองซือซือที่กล้าพูดจาตำหนิเขา หาว่าเขาไม่สั่งสอน มี่ถงจึงกล่าวเช่นนั้น จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า “เช่นนั้น องค์หญิงไป๋หนิงเซียนจะบอกผู้แซ่หลิ่งได้หรือไม่ ว่าที่คนของข้าพูดมา มีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง?”
ไป๋หนิงเซียนกล่าวว่า “ที่ไม่ถูกต้องคือคนของคุณชายหลิ่ง หาว่าข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินของท่านพี่ฮุ่ยเฉิง ทั้งที่ข้าคู่ควรกว่าท่านที่เป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า”
“เสี่ยวเซียนระวังคำพูดของเจ้าด้วย” เหวินฮุ่ยเฉิงขมวดคิ้วมุ่นกล่าวตำหนิเสียงเข้ม จากนั้นหันไปเอ่ยกับเฟยเมี่ยวว่า “เฟยเอ๋อร์เรื่องนี้”
“เจ้าเงียบไป ข้าจัดการเอง” เขากล่าวกับไป๋หนิงเซียนว่า “เช่นนั้นก็แปลกมาก ท่านเอาอะไรมาตัดสิน ว่าผู้แซ่หลิ่งนั้นไร้หัวนอนปลายเท้าเล่า คนเผ่าสวรรค์ที่แท้เป็นคนที่ตัดสินผู้อื่นจากภายนอกหรือนี่”
ซือซือ “เจ้า!!”
“อ้อ แล้วก็นะ เจ้าเองก็เป็นเพียงสาวใช้กลับเรียกข้าที่เป็นว่าที่คนรักของเจ้าตำหนักเหวินด้วยคำว่า ‘เจ้า’ เช่นนี้ใช่ว่าผู้เป็นายสั่งสอนไม่ดีด้วยหรือไม่” ณ จุดนี้ตำแหน่งอะไรที่ได้เปรียบขอยึดไว้ก่อนก็แล้วกัน เขาตวัดสายตามองซือซือนิ่งๆ จนนางก้าวถอยหลังกลับไปยืนอยู่ข้างหลังของผู้เป็นนาย
บอกไว้ก่อนเลยว่า หลักสูตรเถียงอย่างไรให้ชนะ เนี่ยเขาเรียนรู้มาจากท่านแม่เม่ยอิงหมดแล้ว
เสี่ยวไป๋ร้องเหมียวออกมาอย่างอารมณ์ดี เฟยอวี่สู้ๆ จัดการองค์หญิงหน้าเหม็นนั่นเลย
ไป๋หนิงเซียนเม้มริมฝีปากแน่น นางโกรธจนแทบบ้าแล้ว “เช่นนั้น คุณชายหลิ่งช่วยบอกกล่าวเสี่ยวเซียนได้หรือไม่ ท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จึงคิดว่าตนเองนั้นคู่ควรกับท่านพี่ฮุ่ยเฉิงมากกว่าเสี่ยวเซียน”
“ย่อมได้” เป็นมี่ถงที่กล่าวขึ้น “ข้าขอพูดแทนนะขอรับนายน้อย”
เฟยเมี่ยวพยักหน้าหนึ่งครั้ง มี่ถงมองเหวินฮุ่ยเฉิงอย่างอย่างขุ่นเคือง ‘ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง จัดการกับสตรีคนเดียวก็ทำมิได้ ทั้งยังทำให้นายน้อยของข้าถูกสตรีไร้ยางอายพวกนี้ว่าร้าย’ เขาเริ่มกล่าว
“ว่ากันตามศักดิ์สูงต่ำแล้ว แน่นอนว่านายน้อยของข้ามีศักดิ์สูงกว่าองค์หญิงห้าเผ่าสวรรค์ ที่เกิดจากนางสนมเล็กๆ คนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ขององค์เง็กเซียนเป็นแน่”
อ้าว ความรู้ใหม่ นี่ไป๋หนิงเซียนเป็นลูกของสนมหรือนี่…
ซือซือ “สามหาวนัก!!”
เหวินฮุ่ยเฉิงกล่าวว่า “หุบปากเจ้าไป ว่ามาต่อสิ”
มี่ถงแค่ปรายตามองแล้วกล่าวต่อว่า “คนที่พวกท่านกล่าวหาว่าไร้หัวนอนปลายเท้านั้น ความจริงเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของราชินีจิ้งจอก ซูเม่ยอิงแห่งหุบเขาซูเม่ย”
“...”
“ราชินีของเราเป็นคนชนชั้นไหน องค์เง็กเซียนยังต้องไว้หน้าถึงห้าส่วน เทียบกับท่านแล้วนายน้อยของข้าต้องมีศักดิ์สูงกว่าไม่น้อยกว่าสามขั้นแน่นอน เช่นนี้แล้วจะกล้าพูดว่า ให้นายน้อยไปเป็นอนุภรรยาต่ำต้อยได้อย่างไร”
“เจ้าพูดมาก็ถูก” เหวินฮุ่ยเฉิงกล่าวเสียงแผ่ว เฟยเอ๋อร์เป็นบุตรชายของซูเม่ยอิงเขาเองก็เพิ่งทราบ หากเป็นเช่นนี้การหมั่นหมายในครั้งนี้ คิดยกเลิกคงมิใช่เรื่องยากเย็นแล้ว
“ที่แท้เป็นคนเผ่ามาร ท่านพี่เจ้าคะคนเผ่ามารไว้ใจได้ที่ไหน ท่านคิดสานสัมพันธ์กับคุณชายหลิ่งมิเท่ากับผิดต่อฟ้าหรือ”
เฟยเมี่ยวที่กำลังดูชมมี่ถงพูดจายืดยาวก็ถึงกับคิ้วกระตุก เขากล่าวเสียงเรียบว่า “เผ่ามารมีอะไรไม่ดี”
“เผ่ามารเข่นฆ่าผู้คน ทั้งยังก่อกรรมทำเข็นมากมายจะนับเป็นตัวดีอะไรได้”
เฟยเมี่ยวยิ้มเยาะ “เผ่าสวรรค์ที่ก่อกรรมทำเข็นจนตกสวรรค์ตั้งแต่บรรพกาลมาก็มีไม่น้อย จะเหมารวมว่ามีเพียงเผ่ามารที่ชั่วช้าได้อย่างไร”
ขอบคุณอีบุ๊คราคาแพงของระบบ ที่ทำให้ผมหาเรื่องมาเถียงกับยัยหนูนี่ได้พอดิบพอดี
ไป๋หนิงเซียนเม้มริมฝีปากแน่น หากมิใช่ว่าอยู่ต่อหน้าท่านพี่ฮุ่ยเฉิง นางคงได้ลงมือกับอีกฝ่ายแล้ว
เฟยเมี่ยวตัดปัญหาด้วยการหันไปถามคนต้นเรื่องด้วยน้ำเสียงกดดัน “คนแซ่ อะแฮ่ม อาเฉิงเจ้าว่าเรื่องนี้ ข้าพูดได้ถูกต้องหรือไม่”
ลองบอกว่าไม่ถูกดูสิ จะตีให้ตายเลย
“ถูก เผ่ามารก็มีทั้งดีและชั่ว จะเหมารวมไม่ได้ เฟยเอ๋อร์เจ้าพูดได้ถูกต้อง” เจ้าตำหนักเหวินกล่าวอย่างคล่องแคล่ว
ถามด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เขากล้าตอบช้าได้หรือ แต่ไหนแต่ไรมาเหวินฮุ่ยเฉิงเป็นคนที่เชื่อฟังคำสอนของบิดามากกว่ามารดา บิดามักจะพร่ำสอนเขาเสมอว่า หากวันใดคิดมีภรรยาจงเชื่อฟังภรรยาแล้วชีวิตจะมีแต่เรื่องดีๆ เขาเองรับฟังคำสอนนั้นมาตั้งแต่เด็กทั้งยังเห็นบิดาปฏิบัติต่อมารดาอย่างทะนุถนอมเชื่อฟังมาตลอด จึงซึมซับเอาคำพูดบิดามาปฏิบัติตาม เฟยเอ๋อร์ยังมิใช่ภรรยา แต่ในอนาคตย่อมไม่แน่ เช่นนั้นคำพูดของอีกฝ่ายเขาล้วนเชื่อฟัง
เฟยเมี่ยวพยักหน้าพึงพอใจ
“ท่านพี่!”
“พอแล้ว เรื่องครั้งนี้ก็พอแค่นี้ เสี่ยวเซียน ข้าเป็นบุรุษที่มีคนผู้หนึ่งในใจแล้ว เจ้าแต่งกับข้าวันหน้าก็หาความสุขมิได้ เอาเรื่องนี้กลับไปคิดให้ดี ข้าจะรอหนังสือยกเลิกงานแต่ง” เหวินฮุ่ยเฉิงถอนหายใจกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย เขาลุกขึ้นเดินเข้ามากล่าวกับเฟยเมี่ยวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เฟยเอ๋อร์วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักกันเถอะ”
“ว่าแต่นะถงถง วันนี้เจ้าเป็นอะไรเหตุใดไม่พูดไม่จา” เฟยเมี่ยวเอ่ยถามอย่างสงสัย
หลังจากเหวินฮุ่ยเฉิงพาเขากลับมาที่เรือนของตน ก็มีเด็กรับใช้เข้ามาตามอีกฝ่ายออกไปไหนก็ไม่อาจทราบได้ ปล่อยให้เขาอยู่กับมี่ถงและเจ้าเสี่ยวไป๋ที่กำลังนอนให้เขาเกาพุงให้
วันนี้มี่ถงแปลกไป เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ที่ไปทานข้าวเมื่อเช้าแล้ว ทั้งที่ยืนอยู่ข้างกายเขาแทบจะตลอดทั้งวัน กลับไม่ยอมพูดยอมจาเอาแต่นิ่งเงียบ ทั้งยังดูไม่ค่อยอยากจะสบตากับเขาสักเท่าไหร่ นอกจากตอนที่อีกฝ่ายช่วยเถียง แค่กๆ ช่วยพูดแทนเขาต่อหน้าไป๋หนิงเซียน หลังจากนั้นก็แทบนับคำได้
มี่ถงเหลือบตามองผู้เป็นนายอย่างเหนื่อยใจ จะให้เขาอธิบายอย่างไรเล่า เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นนายน้อยยังจำไม่ได้ แล้วจะให้เขาที่เป็นผู้ติดตามไปโวยวายใส่อีกฝ่ายที่เป็นเจ้าชีวิต แน่นอนว่าไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อวานท่าน...จำอะไรไม่ได้เลยเชียวหรือ” จำไม่ได้เลยหรือว่าเหวินฮุ่ยเฉิง…
เฟยเมี่ยวส่ายหน้า ‘ทำไม เกิดอะไรขึ้น หรือเขาจะพลาดเรื่องสนุก'
“เฮ้อ” มี่ถงเอาก้มหน้าลงซบแขนตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ท่าน ไม่สิ ทั้งท่านทั้งไอ้แมวบัดซบนั่น ชาตินี้ทั้งชาติอย่าได้คิดแตะต้องสุราอีกเด็ดขาด!!”
หนีก็ไม่สำเร็จ ถูกเหวินฮุ่ยเฉิงแย่งตัวนายน้อยไปต่อหน้าต่อตา ซ้ำร้ายยังไม่มีปัญญาไปแย่งชิงคืนมา ที่แย่ที่สุดคือ ก่อนไปอีกฝ่ายยังช่วยคลายจุดให้เขา แล้วกล่าวออกมาง่ายๆว่า 'พาเสี่ยวไป๋ไปนอนด้วย' เขาละอยากจะหักคอไอ้แมวอ้วนนี่ให้หายแค้นนัก แต่จะกล่าวโทษผู้ใดได้ หากไม่ใช่เพราะเขาฝีมือต่ำต่อย นายน้อยก็คงไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
คิดได้เช่นนั้น มี่ถงก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องเก่งกาจขึ้นเพื่อปกป้องนายน้อยจากคนแซ่เหวินให้ได้
แต่เช้าวันถัดมา ความตั้งใจเมื่อคืนกลับกลายเป็นเพียงความเพ้อฝันตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่า 'ว่าที่คนรัก' ออกจากปากของผู้เป็นนาย นี่มิใช่ว่านายน้อยยอมรับว่ากำลังมีใจให้เจ้าตำหนักเหวินหรอกเหรอ ความรู้สึกของนายน้อยที่มีต่อเหวินฮุ่ยเฉิงเป็นไปถึงขั้นไหนแล้ว แล้วเขาจะอยู่ตรงไหน ยังมีที่ว่างสักเล็กน้อยพอให้คนอย่างเขาแทรกเข้าไปภายในใจได้หรือไม่
นี่สินะถึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘มีวาสนาห่างพันลี้ยังได้พบ ไร้วาสนาแม้อยู่ต่อหน้าก็ไร้ใจ'[1]
เฟยเมี่ยวก้มมองเสี่ยวไป๋ที่อ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน ไม่ทุกไม่ร้อนอะไร ก็ได้แต่สงสัยเงียบๆ ในใจ นี่เขาทำอะไรผิดไปหรือไม่…
“เอาเถอะ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไป๋หนิงเซียนเป็น ลูกของนางสนม”
มี่ถงกล่าวอย่างไร้ชีวิตชีวา “ข้าเดาเอา”
“หะ…”
“นางเป็นองค์หญิงห้าแห่งเผ่าสวรรค์ แซ่ไป๋นั้นคล้ายคลึงกับแซ่ของสนมเล็กๆ นางหนึ่ง ในวังหลังขององค์เง็กเซียน ข้าก็เลยเดาเอาว่านางน่าจะเป็นลูกของสนมผู้นั้น”
ที่แท้แม้แต่โลกนี้ก็มีเรื่องซุบซิบหรือ…
“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง”
เรือนรับรององค์หญิงไป๋หนิงเซียน
เพล้ง
“จิ้งจอกชั่วช้านั่นมันเป็นตัวบัดซบอะไรเหตุใดจึงกล้ามาแย่งท่านพี่อาเฉิงของข้า”
“องค์หญิง ทรงใจเย็นก่อนเพคะ หากยังทรงทำลายข้าวของเช่นนี้เดี๋ยวยอมเฝ้าประตูด้านนอกก็แห่กันมาพอดี” ซือซือพยายามเตือนสติผู้เป็นนาย
“ก็ช่างมันปะไร ข้าเป็นถึงองค์หญิงเผ่าสวรรค์ ใครหน้าไหนมันจะกล้ามาว่ากล่าว”
“แต่หากเรื่องนี้ รู้ถึงหูเจ้าตำหนักเหวินแล้วละก็ จะไม่เป็นการดีต่อตัวองค์หญิงเองนะเพค่ะ”
ไป๋หนิงเซียนชะงักไป เมื่อนึกถึงคู่หมายของตน เมื่อเช้านางคิดไปตามอีกฝ่ายมาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน แต่นึกไม่ถึงว่า กลับต้องไปได้ยินว่าท่านพี่ฮุ่ยเฉิงนั้นชมชอบผู้อื่น ทั้งยังคิดยกเลิกงานแต่งของนาง จิ้งจอกขาวตนนั้นมันเป็นเดรัจฉาน! เป็นตัวบัดซบ มันต้องใช้มนต์ตราจิ้งจอกล่อลวงท่านพี่ฮุ่ยเฉิงของนางเป็นแน่ นางหันไปเขย่าแขนของซือซือกล่าวอย่างร้อนรนว่า
“ซือซือ คนเผ่ามารไว้ใจมิได้ ไม่แน่จิ้งจอกตนนั้นอาจจะใช้มนต์เสน่ห์ของจิ้งจอกล่อลวงท่านที่อาเฉิงก็ได้”
ซือซือพยักหน้าเห็นด้วยกับผู้เป็นนาย
“เช่นนั้นจะทำเช่นไรต่อไปดีเพคะองค์หญิง”
ไป๋หนิงเซียนครุ่นคิด นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง จะให้ไปสู้รบปรบมือกับคนเผ่ามารที่มากด้วยเล่ห์กลโดยตรงนางคงทำมิได้ แล้วจะทำเช่นไรดี จิ้งจอกตนนั้นถึงจะจากไป
“เราไล่มันไปดีหรือไม่เจ้าคะ” ซือซือ
“ไล่อย่างไรเล่า ข้าจะเอาสิทธิ์อะไรไปไล่จิังจอกตนนั้น ที่นี่แดนเหมันต์หาใช่เผ่าสวรรค์ไม่”
“หม่อมฉันมีวิธีเพคะ”
ซือซือก้มลงกระซิบผู้เป็นนาย ไม่นานหลังจากนั้นสองนายบ่าวก็เดินตรงไปยังเรือนพักของเจ้าตำหนักเหวิน
เฟยเมี่ยวกำลังนั่งมองมี่ถงกับเจ้าอ้วนเสี่ยวไป๋เถียงกัน ไม่สิ ต้องบอกว่ามี่ถงกำลังพูดอยู่ฝ่ายเดียวต่างหากเล่า ส่วนเจ้าอ้วนเสี่ยวไป๋นั้นกำลังกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นแกล้งทำหูทวนลมอยู่
เรื่องของเรื่องคือ เมื่อครู่มีเด็กรับใช้นำขนมมาและชากาใหม่มาเปลี่ยนให้เขา บอกว่าเป็นคำสั่งของเจ้าตำหนักเหวิน ชาน่ะไม่เท่าไหร่แต่ขนมนี่สิ เขายังไม่ทันได้หยิบขึ้นมาจากจานสักชิ้นเลย เจ้าแมวตะกละนั่นก็กระโดดมาตะคุบจานขนมไว้ใต้พุงแมวๆ ของมันไม่คิดแบ่งใคร จากนั้นก็กินขนมทั้งจานจนเกลี้ยง มี่ถงก็เลยมานั่งบ่นอีกฝ่ายเป็นหมีกินผึ้งเพราะเขายังไม่ได้กิน
“คุณชายขอรับ องค์หญิงไป๋หนิงเซียนมาขอพบขอรับ”
เฟยเมี่ยวเลิกคิ้วมองเด็กรับใช้ ที่เข้ามาแจ้งตน แต่เหวินฮุ่ยเฉิงไม่อยู่แล้วยัยหนูนั่นมาหาใคร…
“เจ้าตำหนักเหวินไม่อยู่” เขากล่าวช้าๆ
“องค์หญิงมาเพื่อขอพบคุณชายขอรับ”
พบเขา? จะมาไม้ไหนอีกละ
“เหมียวว องค์หญิงหน้าเหม็นนั่นมาถึงที่นี่เจ้าต้องระวังตัวด้วยละ” เสี่ยวไป๋ว่าเสร็จ ก็ลุกขึ้นเดินส่ายหางจะจากไป แต่มี่ถงดึงหางของมันไว้เสียก่อน
“แล้วเจ้าจะไปไหน”
เสี่ยวไปเหลือบตามอง ตอบกลับมาสั้นๆ แค่ “ไปนอน” แล้ววิ่งหนีไป
“ให้นางไปรอที่ห้องรับรอง” เฟยเมี่ยวกล่าวกับเด็กรับใช้
เมื่อเด็กรับใช้ผู้นั้นจากไปแล้ว มี่ถงจึงเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า
“องค์หญิงเผ่าสวรรค์ผู้นั้น คงไม่ได้มาหาท่านเช่นมิตรเป็นแน่ นายน้อยระวังตัวด้วย”
เฟยเมี่ยวเอามือเท้าคางเอ่ยทีเล่นทีจริงว่า “ถงถงคนดีของข้า ในที่สุดเจ้าก็นึกถึงข้าขึ้นมาแล้ว ข้ารึหลงคิดไปว่าเจ้าจะพูดคุยได้แต่กับเจ้าอ้วนเสี่ยวไป๋เสียอีก”
มี่ถงขมวดคิ้วมุ่น กล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึงน้ำเสียงขุ่นเคือง “เป็นใครที่ลืมข้าก่อน ไปได้แล้วขอรับ ท่านอย่าได้พูดจาเลอะเลือนเช่นนี้อีก”
เฟยเมี่ยวหัวเราะออกมาเบาๆ พลางกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “แมว...ก็น่ารักดี”
“เชิญนั่งก่อน” เฟยเมี่ยวกล่าวเสียงเรียบ เมื่อเห็นว่าไป๋หนิงเซียนเดินเข้ามาภายในเรือนรับรอง
ไป๋หนิงเซียนนั่งลงตรงข้ามกับเฟยเมี่ยว สีหน้านั้นดูนุ่มนวลอ่อนโยนผิดกับเมื่อตอนเช้าราวฟ้ากับเหว
“เสี่ยวเซียนหาได้ตั้งใจมารบกวน เพียงต้องการพูดคุยกับคุณชายหลิ่งให้เข้าใจ”
เฟยเมี่ยวเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ยังมีอะไรต้องเข้าใจอีก”
“อ่ะ คุณชายหลิ่งคงยังโกรธเคืองเรื่องที่คนของเสี่ยวเซียนนั้นเสียมารยาทไป เช่นนั้นอีกสักครู่เสี่ยวเซียนจะให้ซือซือมาคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าท่าน เช่นนี้คุณชายหลิ่งเห็นควรหรือไม่”
ยัยหนูนี่ต้องการอะไรกันแน่ เมื่อเช้ายังปล่อยให้คนของตนด่าเขาอยู่ฉอดๆ ตอนนี้จะให้มาคุกเข่าสำนึกผิดให้เขาดู
“ไม่ต้องหรอก เรื่องมันแล้วไปแล้ว” เขาบอกตัดรำคาญ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง “ว่าธุระของเจ้ามาเถอะ”
“เรื่องงานแต่งของท่านพี่ฮุ่ยเฉิงกับเสี่ยวเซียนนั้น ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้ว อย่างไรก็คงยกเลิกมิได้”
เฟบเมี่ยวเลิกคิ้วมอง “แปลว่าองค์หญิงจะทรงดื้อรั้น?”
“เสี่ยวเซียนเพียงอยากให้คุณชายหลิ่งเข้าใจ เสี่ยวเซียนนั้นตั้งแต่จำความได้ก็ผูกใจรักใคร่เพียงท่านพี่ฮุ่ยเฉิง จนถึงวันนี้ก็อยากแต่งกับเขาเป็นคู่ผัวตัวเมียอยู่ร่วมกันจนผมขาวโพน”
“แต่อาเฉิงมีคนที่รักอยู่แล้ว” เฟยเมี่ยวกล่าวเนิบช้า
ใครจะรู้ว่าเขาพูดออกไปเช่นนี้ แต่ในใจกลับกระดากอายเป็นอย่างมาก ก็ไอ้คนที่รัก ที่ว่านั่นมันหมายถึงตัวเขาแน่นอนอยู่แล้ว คนอะไรอวยตัวเองได้ไม่อายปาก…
“เสี่ยวเซียนอยากจะขอความเมตตาคุณชายหลิ่งสักครั้ง ส่งเสริมวาสนานี้ให้ถึงฝั่งฝัน” นางจ้องมองเฟยเมี่ยวอย่างอ้อนวอน “เสี่ยวเซียนเพียงขอยืนข้างเขาในฐานะฮูหยินใหญ่ พอให้ไม่อับอายไปถึงท่านพ่อ จะไม่ขอก้าวก่ายความรักของพวกท่าน”
เฟยเมี่ยววางถ้วยชาที่จิบลง เลิกคิ้วขึ้นมององค์หญิงน้อยอย่างฉงน 'ง่ายดายถึงเพียงนี้’ เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ
ไป๋หนิงเซียนตีหน้าเศร้า น้ำตาคลอ นางทำตามที่ซือซือบอกทุกอย่างแล้ว ที่เหลือก็แค่...
“องค์หญิงเพค่ะ ชาได้แล้วเพค่ะ” ซือซือเดินเข้ามาพร้อมกับถาดที่มีกาน้ำชาและขนมวางอยู่
ไป๋หนิงเซียนลุกขึ้นไปรับถาดมาจากซือซือ แล้วเดินมาหาเฟยเมี่ยวที่นั่งอยู่ นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ใบชาที่ใช้ชง เป็นชาที่ท่านพี่อาเฉิงชื่นชอบมาก มีเพียงเผ่าสวรรค์เท่านั้นที่สามารถปลูกได้ เสี่ยวเซียนให้ซือซือชงมาให้คุณชายหลิ่งลองชิบดู ว่าถูกใจหรือไม่”
แต่ก่อนที่กาน้ำชาจะถูกวางลงบนโต๊ะทางขวามือ มันกลับถูกโยนใส่เฟยเมี่ยวทั้งกา
เฟยเมี่ยวที่เดิมทีก็ระมัดระวังตัวจากไป๋หนิงเซียนอยู่แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโยนกาน้ำชา ที่มีน้ำร้อนเดือดๆใส่ตน เขาก็รีบพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าระยะใกล้แค่นี้ต่อให้หลบได้ก็ไม่พ้นตัว แค่เปลี่ยนจากสาดใส่หน้างามๆของเขา ไปราดใส่ขาทั้งสองข้างของเขาแทน
เพล้ง
“นายน้อย!” มี่ถงรีบวิ่งเข้ามาประคองผู้เป็นนายที่ล้มลงไปกับพื้น
“อึก...เจ้า!” เฟยเมี่ยวขบกรามแน่น จ้องมององค์หญิงเผ่าสวรรค์ที่กล้าทำร้ายตน
ยามนี้ขาทั้งสองข้างของเขาปวดแสบปวดร้อนไปหมด เขาสามารถรับรู้ได้เลยว่าน้ำในกาที่ถูกสาดใส่นั้นเป็นน้ำเดือดที่เพิ่งยกลงจากเตาแน่นอน
“คุณชายหลิ่ง เสี่ยวเซียนขออภัย มือมันลื่น” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน มีรอยยิ้มงามแต่งแต้มบนใบหน้า
ลื่นกับมารดานางสิ!! เด็กสามขวบยังรู้เลยว่าตั้งใจ
“กล้าดีอย่างไร!!” มี่ถงที่ประคองเฟยเมี่ยวมานั่งบนเก้าอี้ได้แล้ว ก็ตวาดออกมาอย่างดุดัน
เขาเตรียมตัวจะพุ่งเข้าไปจัดการกับไป๋หนิงเซียน แต่ถูกเฟยเมี่ยวคว้าข้อมือไว้ เฟยเมี่ยวมองไป๋หนิงเซียนเหมือนมองคนตายเขากล่าวอย่างอดกลั่นว่า “เลือกมา จะตัดมือตนเองเสีย หรือจะให้ข้าเป็นคนลงมือ”
ไป๋หนิงเซียนหุบยิ้มฉับ นางชี้หน้าเฟยเมี่ยวด้วยโทสะ “ช่างอาจหาญเสียจริง ถึงขั้นคิดตัดมือข้า เดรัจฉานเช่นเจ้า คนที่กล้ามาแย่งท่านพี่ฮุ่ยเฉิงของข้าเช่นเจ้า สมควรตายนัก!!”
“แย่ง? ข้าหรือ” เขาถามกลับตาใส เขาแย่งที่ไหน เหวินฮุ่ยเฉิงมาเองเถอะ
“เจ้าคนไร้ยางอาย มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น ท่านพี่ฮุ่ยเฉิงเป็นของข้าเขาเป็นของข้า หากเจ้ายังดื้อรั้นข้าจะให้เจ้าพบจุดจบที่ทรมานยิ่งกว่าตาย”
เอาละ เขาหมดความอดทนกับองค์หญิงเด็กเหลือขอนี่แล้วจริงๆ
บรรยากาศโดยรอบพลันแปลเปลี่ยน ปราณมารมากมายพวยพุ่งออกจากตัวของเฟยเมี่ยวที่นั่งอยู่ เขาจ้องมองไป๋หนิงเซียนอย่างเย็นชา บอกกล่าวเจตนาอย่างชัดเจนว่าถ้าอีกฝ่ายกล้ากล่าววาจาใดอีกแม้แต่ครึ่งคำ ถูกฆ่าแน่…
ไป๋หนิงเซียนเม้มริมฝีปากแน่น นางก้าวถอยหลังไปหลายก้าวสีหน้าแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“หึ ทรมานยิ่งกว่าตายเป็นเช่นไร องค์หญิงน้อยเช่นเจ้ารู้จักหรือ?” เฟยเมี่ยวยังคงจ้องมองอีกฝ่ายจากนั้นยกยิ้มเย็นกล่าวว่า “ข้าช่วยสอนให้เจ้า ดีหรือไม่”
ซือซือรีบเอาตัวเขามาบังผู้เป็นนายไว้
“เจ้าอยากเริ่มก่อนรึ” เฟยเมี่ยวถามออกไปเสียงเรียบ
“เจ้ากล้าหรือ ทำร้ายองค์หญิง เท่ากับว่าทำร้ายคู่หมั้นของเจ้าตำหนักเหวิน ถึงตอนนั้นทั้งเผ่าสวรรค์ ทั้งตำหนักซือโฮ่วไม่มีใครปล่อยเจ้าไว้แน่!” ซือซือใช้วาจาข่มขู่ แต่เฟยเมี่ยวกลับหัวเราะออกมา
จะชาติก่อนหรือชาตินี้ สิ่งที่เขารังเกียจที่สุดคือการถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นแค่สตรีน้อยผู้หนึ่งแล้วอย่างไร กล้ารังแกเขาก็เท่ากับเป็นศัตรู เพียงแต่หากจะลงมือเขาก็กลัวว่า...เฟยเมี่ยวหันไปถามมี่ถงว่า
“หากข้าตัดมือนางจริง ท่านแม่จะโกรธหรือไม่?” เขาไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ท่านแม่ทั้งสอง ทั้งยังไม่อยากให้พวกนางโกรธ บนโลกนี้สตรีที่เขาจะไว้หน้าก็มีเพียง ซูเม่ยอิง และหลิ่งฮวาเท่านั้น
“หากปล่อยคนต่ำช้าเช่นนี้ไป ถึงจะผิดต่อเจ้าหุบเขาขอรับนายน้อย” แน่นอนว่ามี่ถงไม่คิดห้ามปราม
จิ้งจอกเทพแห่งหุบเขาซูเม่ยถูกปลูกฝังให้เข้มแข็ง และไม่รังแกผู้ที่อ่อนด้อยกว่าตน แต่หากถูกผู้อื่นรังแกแล้วละก็ หากไม่สั่งสอนก็ถือว่าผิดต่อคำสอนของเจ้าหุบเขาแล้วแล้ว
เฟยเมี่ยวพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันไปถามซือซือที่ยืนตัวสั่นงันงกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าจะไม่หลีก จริงๆ ใช่ไหม”
เขาไม่คิดรอคำตอบปราณมารสายหนึ่งถูกซัดออกไปจนซือซือ กระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะจนโต๊ะพังเสียหาย นางกระอักเลือดออกมาหนึ่งครั้ง แต่ยังพยายามจะเข้ามาปกป้องผู้เป็นนาย
“เจ้า เจ้า! ใครก็ได้ช่วยด้วย ปีศาจตนนี้คลุ้มคลั่งแล้ว ช่วยข้าด้วย!” ไป๋หนิงเซียนร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
นางคิดวิ่งหนีออกไปทางประตู แต่มี่ถงกลับปามีดสั้นดักทางนางไว้จนนางต้องถอยกลับมา ประตูทางเข้าถูกปิดตายด้วยฝีมือของมี่ถง ไป๋หนิงเซียนหันกลับมาหาเฟยเมี่ยวกล่าวด่าทอเขาสารพัด แต่แน่นอนว่าเขาไม่สนใจ ยามนี้ความเจ็บปวดที่ขาทำให้เฟยเมี่ยวแทบจะสิ้นสติอยู่รอมร่อ
ปัง ปัง ปัง!!
“เปิดประตู ผู้ใดอยู่ข้างในเปิดประตู!!” เสียงเคาะประตูและเสียงผู้คนดังระงมมาจากภายนอก
คงเป็นเพราะเสียงของไป๋หนิงเซียนที่ร้องขอความช่วยเหลือดังออกไปจนยามเฝ้าประตูได้ยิน จึงไปตามคนมาช่วย แต่เฟยเมี่ยวไม่ได้ใส่ใจ เขาเชื่อว่าแค่กันคนพวกนี้มี่ถงสามารถทำได้
“ว่าอย่างไร จะตัดเองหรือให้ข้าตัดให้”
“มารชั่ว เจ้ากล้าทำร้ายข้า หากท่านพี่ฮุ่ยเฉิงรู้เรื่องนี้ เขาไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
เฟยเมี่ยวส่งเสียง เหอะ ออกมาหนึ่งครั้ง เหวินฮุ่ยเฉิงรู้แล้วอย่างไร ยังไงเขาก็ไม่ใช่คนเริ่มก่อน หรือหากอีกฝ่ายคิดเอาผิดเขาจริง คิดว่าคนอย่างท่านเฟยเมี่ยวจะนั่งงอมืองอเท้าให้ผู้อื่นทุบตีหรือ
“เช่นนั้นข้าจะถือว่าคำตอบของเจ้า คือให้ข้าเป็นผู้ลงมือ”
ลูกแก้วอสนีบาตถูกดีดออกไป มันแปรเปลี่ยนเป็นใบมีดเล็กๆแต่คมกริบ สกิลใหม่ที่เพิ่งทำได้เลยนะไม่อยากจะอวด ใบมีดตัดฉับเข้าที่ข้อมือของไป๋หนิงเซียนจนขาดสะบั้น
“กรี๊ดดดด”
ปัง!
“...อึก”
ไป๋หนิงเซียนทรุดลงกับพื้นหมดสติไป พร้อมกับที่ประตูถูกทำลายด้วยฝีมือของเหวินฮุ่ยเฉิง
มี่ถงถูกฝ่ามือของเหวินฮุ่ยเฉิงซัดจนกระเด็นกลับมาหาผู้เป็นนาย กระอักเลือดออกมา ผู้อาวุโสของตำหนักซือโฮ่ว ทั้งยังลูกศิษย์ในตำหนักอีกหลายสิบชีวิตกรูกันเข้ามาในห้อง ภาพที่เห็นทำเอาทุกคนตัวคนตัวแข็งค้างไป
ฝั่งหนึ่งคือจิ้งจอกคนงามที่เจ้าตำหนักพากลับมาด้วย นั่งอยู่และกำลังพยายามก้มตัวลงช่วยพยุงผู้ติดตามของตนขึ้นจากพื้น
อีกฝั่งคือองค์หญิงไป๋หนิงเซียนที่นอนสลบจมกองเลือดอยู่ อีกทั้ง… มือข้างหนึ่งถูกตัดขาดไป ข้างกายยังมีข้ารับใช้หญิงคนสนิทที่ประคองเจ้านายของตนขึ้นมาทั้งยังร้องห่มร้องไห้ราวจะขาดใจ
“เจ้าตำหนักเหวิน ฮึก ให้ความเป็นธรรมด้วย จิ้งจอกตนนั้นทำร้ายองค์หญิงของหม่อมฉัน อึก”
เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ขึ้นอีกครั้ง ทุกคนจ้อมมองเฟยเมี่ยวอย่างเดือดดาลทันทีเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายทำร้ายไป๋หนิงเซียน ไป๋หนิงเซียนนั้นเมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับตำหนักซือโฮ่วก็พูดได้เลยว่าเปรียบเสมือนลูกหลานของผู้อาวุโสในตำหนัก เพราะเห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ด้วยนิสัยที่สดใสสมวัย ทั้งยังถือว่าเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม และรั้งตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของท่านประมุขมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ไม่ว่าผู้ใดก็ต่างรักใคร่เอ็นดูนาง
เมื่อถูกเฟยเมี่ยวที่เป็นคนเผ่ามารทำร้ายความเกลียดชังที่มีให้เผ่ามารแต่แรกก็ยิ่งผลักดันให้ความผิดครั้งนี้เกินจะให้อภัย แม้ว่าหลายวันมานี่จะเห็นความรัก ความเอาใจใส่ที่เจ้าตำหนักเหวินมีให้อีกฝ่ายไม่น้อยเลย แต่เมื่อถูกโทสะบดบังสายตา ไหนเลยยังจะสามารถคิดทำทวนเรื่องราวได้
“เงียบ” น้ำเสียงราบเรียบติดเย็นชาของเหวินฮุ่ยเฉิงทำให้ทุกชีวิตในห้องเงียบเสียงลง
เขาเดินเข้าไปหาเฟยเมี่ยวที่เอาแต่นั่งนิ่งจ้องมองมาทางเขา และคุกเข่าลงต่อหน้าอีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เฟยเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฟยเมี่ยวจ้องมองเหวินฮุ่ยเฉิงด้วยแววตาเรียบเฉย เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร ในเมื่อเห็นเต็มสองตาว่าเขาเป็นคนตัดแขนองค์หญิงน้อยนั่น จะวางเฉยปกป้องเขา หรือ ลงโทษเขาอย่างที่คนอื่นกล่าวหา
เหมียววว
เสี่ยวไป๋ที่มองดูเหตุการณ์มาตลอด กระโดดลงมาจากคาน นอนลงบนตักของเฟยเมี่ยวอย่างเกียจคร้าน “นายท่านเฟยอวี่ถูกน้ำร้อนลวกที่ขา พาเฟยอวี่ไปทำแผลก่อนเถอะขอรับ”
เหวินฮุ่ยเฉิงพยักหน้า เขาอุ้มเฟยเมี่ยวขึ้นมาไว้แนบอกเดินกลับเรือนนอน สั่งไว้เพียงสั้นๆว่า “เรื่องนี้ รอเสี่ยวเซียนฟื้นค่อยว่ากันเถอะ ไปตามท่านหมอมาและพาองค์หญิงกลับตำหนักด้วย”
เฟยเมี่ยวซบหน้าลงกับอกแกร่งอย่างเบาใจ อย่างน้อยคนแซ่เหวินก็ไม่ตัดสินเขาจากแค่สิ่งที่เห็น
เหวินฮุ่ยเฉินใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีเงินสวย ที่ตกลงมาบดบังใบหน้างามของเฟยเมี่ยวที่กำลังหลับใหลอย่างเบามือ เขามองมี่ถงที่จับจ้องตนด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่แววตาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเกลียดชังและดูแคลน แต่จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็มิได้กล่าวอะไรออกมา เหวินฮุ่ยเฉิงจึงเพียงเรียกเสี่ยวไป๋ให้ตามออกไปเท่านั้น
เสี่ยวไป๋ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดที่ตนพบเห็นให้ผู้เป็นนายได้ฟัง เหวินฮุ่ยเฉิงหลับตาลงสะกดกลั่นโทสะ หากเขาไม่ควบคุมตนเองบันดาลโทสะใส่คนต้นเรื่องในครั้งนี้ เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่งบานปลาย
เรื่องที่เฟยเมี่ยวทำร้ายไป๋หนิงเซียนจะว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ก็คงมิใช่ แม้นางจะเป็นเพียงลูกสาวของสนมหลังตำหนักผู้หนึ่ง แต่ก็เป็นถึงแก้วตาดวงใจขององค์เง็กเซียน กล่าวได้ว่าต่อให้นางเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจริง ก็ไม่มีทางที่เผ่าสวรรค์จะสนใจถูกผิดไม่เอาความเป็นแน่ หากจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีพอ เกรงว่าเฟยเมี่ยวคงได้พบกับคราวเคราะห์แล้ว
“นายท่านคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรขอรับ” เสี่ยวไป๋ถามขึ้น
ตัวมันเองอยู่ในเหตุการณ์ ที่ไม่ยื่นมือเข้าช่วยนั้นเป็นเพราะสิ่งที่ต้องทำมันค้ำคออยู่ แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้พยัคฆ์ทมิฬไม่พอใจเป็นอย่างมาก จะดีร้ายอย่างไรเสี่ยวไป๋ก็ชอบจิ้งจอกน้อยทั้งสองมากกว่าคนเผ่าสวรรค์สองนายบ่าว
“ใช้วิธีที่ง่ายที่สุด” เหวินฮุ่ยเฉิงลุกขึ้นยืน
“อย่างไรขอรับ”
“เจรจากับไป๋หนิงเซียน”
เสี่ยวไป๋มองตามผู้เป็นนายอย่างประหวั่นพรั่นพรึง นายท่านถึงขนาดเรียกองค์หญิงปีศาจด้วยชื่อเต็มๆ เชียวหรือนี่
เหวินฮุ่ยเฉิงนั้นตลอดมาต่อให้รับรู้ถึงความเอาแต่ใจแสนร้ายกาจของไป๋หนิงเซียนมาตลอด เขาก็ลืมตาข้างหลับตาข้าง เพราะบิดาและมารดารักและเอ็นดูนาง ทั้งยังมองนางเป็นน้องสาววางนางไว้ในตำแหน่งที่สูงกว่าคนอื่นเล็กน้อย มองความร้ายกาจของอีกฝ่ายเป็นเพียงความเอาแต่ใจของน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น มาวันนี้กลับถึงขั้นเอ่ยนามอีกฝ่ายเต็มๆ มิใช่เรียกขานด้วยความเอ็นดู เสี่ยวไป๋ก็สามารถบอกกล่าวกับตนเองในใจได้แล้วว่า 'นายท่านของข้าโกรธแล้ว'
ครั้งนี้หากการเจรจาไม่เป็นผล ตำหนักซือโฮ่วและเผ่าสวรรค์ คงถึงคราวที่ต้องตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้วเป็นแน่
ด้านไป๋หนิงเซียน
ผ่านมาหลายชั่วยามในที่สุดก็ฟื้นคืนสติ นางมองไปรอบกายด้วยความสับสนมึนงง เมื่อนึกย้อนไปถึงก่อนที่ตนจะหมดสติไปนั้น นางก็รีบลุกขึ้นมองมือของตนทั้งสองข้าง แน่นอนว่าเหลือเพียงข้างเดียว นางกรีดร้องราวกับจะขาดใจ
ซือซือเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายเริ่มอาละวาด นางก็รีบเข้าไปปลอบขวัญให้ใจเย็นลง
“องค์หญิงเพคะ ทรงอย่าเพิ่งขยับตัวนะเพคะ เดี๋ยวบาดแผลจะสะเทือน”
ไป๋หนิงเซียนน้ำตานองหน้า กล่าวอย่างคลุ้มคลั่งว่า “มือของข้า มือของข้า!!”
“มือขององค์หญิง…”
ไป๋หนิงเซียนมองตามสายตาของอีกฝ่าย มืออีกข้างที่ถูกตัดไปถูกวางไว้ในกล่องผลึกน้ำแข็งเพื่อเก็บรักษาไว้ นางกรีดร้องออกมาอีกครั้งทั้งยังร้องห่มร้องไห้กล่าวแต่ว่า จิ้งจอกชั่วช้า จะเอาชีวิตมัน ข้าจะเอาชีวิตมัน
เดิมทีแผนการของซือซือมีเพียงเรียกผู้อาวุโสทั้งหมดในตำหนักซือโฮ่วมารวมตัวกันที่เรือนใหญ่ของเหวินฮุ่ยเฉิง โดยใช้เหตุผลว่าแขกมาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว ในฐานะคู่หมั่นนางจึงอยากต้อนรับจิ้งจอกน้อยที่ท่านพี่ฮุ่ยเฉิงพามาให้ดี เลี้ยงน้ำชาพูดคุยสังสรรค์ทำความรู้จักกับผู้อาวุโสทั้งหลาย ความจริงคือคิดจัดฉากให้อีกฝ่ายกลายเป็นมารร้ายในสายตาผู้อื่น ส่วนนางก็เป็นสาวงามผู้ถูกรังแก
แต่ใครจะคาดคิดว่าแผนการในครั้งนี้จะทำให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์อย่างนางถึงกับต้องสูญเสียมือไปข้างหนึ่ง
“รายงานองค์หญิงเจ้าตำหนักเหวินขอเข้าพบขพ่ะย่ะค่ะ”
https://writer.dek-d.com/Hanfeng/writer/view.php?id=1931072
เนื่องด้วยเวลาที่กระชั่นชิด เถียนซินจึงตัดสินใจจะลงสลับกันกับเมี่ยวเอ๋อร์เลยนะคะ เรื่องราวของ ลำนำรักทัณฑ์สวรรค์นั้นจะเป็นเรื่องราวหลังจากที่ หนทางสู่การเป็นท่านจอมมารจบไปแล้ว ไม่มีฉากหรือเนื้อหาที่ทับซ้อนกัน อ่านพร้อมกันได้เลยค่ะ ไม่งงแน่นอน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอาน้ำร้อนไปสาดเค้า
แล้วจะพูดให้เค้าดูแย่ยังไง
ตัวเองเริ่มก้อนแท้ๆ
เอาใจช่วยความรักของเมี่ยวๆ
ไม่อยากให้ดราม่ามากเลย
ปล.สนุกมากๆค่ะ รออ่านอยู่นะคะ
กลับมาแล้วจ้า
คุณพิต้องทำใจนะ น้องจะอัพสกิลแล้วไม่ใช่ปาลูกแก้วง้อยๆแล้วข่ะ
ชาติที่แล้วก็เสียคนรัก ลำบากลำบนเหลือเกิน แถมคนอ่านยังด่าเป็นขี้หมูขี้หมาไปแล้ว55555 วอนอย่าทำนาง