ตอนที่ 16 : บทที่.13 [รีไรท์] ข่าวลือ
บทที่.13
ข่าวลือ
การใช้ชีวิตภายในตำหนักซือโฮ่วของเฟยเมี่ยวนับว่าไม่แย่นัก ผ่านมาหลายวันแล้ว เหวินฮุ่ยเฉิงก็ยังดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี ผู้คนที่นี่ก็ไม่เคยมีใครทำให้เขาลำบากใจหรืออึดอัดใจเลยแม้แต่น้อย มีขนมให้กิน นั่งบ้างนอนบ้างเล่นกับเจ้าเสี่ยวไป๋ตัวอ้วนเป็นครั้งคราว ไม่มีเสียงระบบมาคอยกวนใจ นับว่าชีวิตหลายวันนี้สงบเงียบไม่น้อยเลย
ยามนี้แดดค่อนข้างอ่อน เฟยเมี่ยวกำลังนั่งจิบชา พลางดูชมเหวินฮุ่ยเฉิงฝึกกระบี่อยู่ในลานกว้างของเรือน ท่วงท่าในการร่ายรำเพลงกระบี่อ่อนช่อยงดงาม เขาพอจะมีความรู้ในเรื่องของดาบกับกระบี่โบราณอยู่บ้าง แต่พูดตามตรงว่าชาติที่แล้ว ที่ใช้มากที่สุดก็คือปืน ดาบหรือกระบี่ย่อมไม่เคยฝึกปรือ ความรู้ที่มีก็เป็นเพียงทางทฤษฎีเท่านั้น พอมาเห็นคนแซ่เหวินออกท่าทาง ร่ายรำวิชากระบี่ต่อหน้า จึงเกิดความสนใจไม่น้อยเลย
ข้างกายของเฟยเมี่ยวยามนี้ ยังมีหนึ่งแมวหนึ่งจิ้งจอกดำ ที่กำลังใช้กงเล็บสู้รบกันอยู่อีกด้วย ถงถงของเขาฟื้นแล้ว วันนั้นหลังจากที่กินข้าวเสร็จ เขาก็ได้พักในห้องที่ห่างจากเจ้าตำหนักเหวินมาเพียงสิบก้าวเดินเท่านั้น กลางดึกเงียบสงัดตอนที่เห็นก้อนขนปุบปุยนั่นวิ่งเข้ามาทางหน้าต่างห้อง เขายังคิดว่าเป็นผี เกือบจะโยนลูกแก้วใส่ศีรษะน้อย ๆ ของมี่ถงแล้ว
พอมี่ถงกลายร่างกลับมาเป็นคนอีกครั้ง เขาก็ถูกอีกฝ่ายซักถามเรื่องราวอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม พอเล่าจบยังเกือบถูกลากกลับแดนมายา กลับบ้านน่ะง่ายมาก ที่ยากก็คือถ้าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จระบบหน้าเลือดนั่นจะต้องมาตามพูดจาเสียงสยองข้างหูเขาไม่หยุด ทั้งยังจะเจอบทลงโทษอะไรอีกก็ไม่รู้
ชั่งน้ำหนักในใจแล้ว เฟยเมี่ยวก็ยังรู้สึกว่า เขายังต้องถนอมชีวิตเดียวที่เหลืออยู่ยามนี้เพื่อกลับไปหาอาจวินของเขา กับมี่ถงจึงทำได้เพียงขอโทษอย่างจริงใจเท่านั้น เขาถึงขนาดเอ่ยปากอย่างใจกว้างให้มี่ถงกลับแดนมายาไปก่อน แต่เจ้าจิ้งจอกที่ดื้อรั้นตนนี้ก็ไม่ยอมฟัง บอกว่าเขาอยู่ที่ไหนตนก็จะขอตามไปสุดล่าฟ้าเขียว เฟยเมี่ยวหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก เขาอยากจะบอกมี่ถงเหลือเกินว่า ไม่ต้องติดตามเขาไปสุดล่าฟ้าเขียว ขอเพียงอยู่ที่นี่ถงถงคนดีจะไม่ทะเลาะกับเจ้าอ้วนเสี่ยวไป๋ เขาก็ซาบซึ่งใจมากแล้ว
"ข้าน้อยสมควรตาย ขอเจ้าตำหนักโปรดลงโทษด้วยขอรับ!"
ดวงตาหงส์หันมองไปทางลานฝึกยุทธอีกครั้ง ก็เห็นชายผู้หนึ่งที่เป็นคู่ซ้อมให้คนแซ่เหวินคุกเข่าอยู่ที่พื้น ประสานมือก้มหน้าตัวสั่นระริก ใกล้ๆ กันนั้นยังมีกระบี่ที่ใช้ฝึกซ้อมตกอยู่ บนคมกระบี่มีรายเลือดเล็กน้อย เฟยเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้น มองไปทางเหวินฮุ้ยเฉิงก็พบว่ามือของอีกฝ่ายถูกบาดแล้ว ความจริงแวบแรกที่เห็นเขาก็รู้สึกว่าคนแซ่เหวินนี่ไม่เอาไหนเอาเสียเลย ฝึกกระบี่แค่นี้ก็ปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บเสียได้ คิดว่าจะหัวเราะเยาะอีกฝ่ายขึ้นมาคราหนึ่ง แต่ก็กักเก็บความรู้สึกเอาไว้ในส่วนลึกได้ทันท่วงที แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตระหนกแทน เฟยเมี่ยวผุดลุกขึ้นด้วยท่าทีร้อนใจ ถลาเข้าไปหาคนที่ยังยืนมองลูกศิษย์ที่คุกเข่าอยู่
"เจ้าบาดเจ็บแล้ว" ไม่ว่าเปล่ายังคว้ามือข้างนั้นขึ้นมาดู แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเอง ซับเลือดที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างเบามือ
เหวินฮุ่ยเฉิงยิ้มน้อย ๆ กล่าวว่า "ที่แท้ เป็นข้าได้รับความห่วงใยจากคนงาม ผู้ใดจะมีความสุขเท่าข้าในยามนี้อีก โอ้ย!"
เฟยเมี่ยวกดผ้าลงกับปากแผลอย่างแรงครึ่งหนึ่ง เพราะคำพูดของอีกฝ่าย เขาทำเป็นมองไม่เห็นสายตาตัดพ้อนั่นเสีย "แดดแรงแล้ว เลิกพูดจาเหลวไหลแล้วไปพัก"
"เหลวไหลที่ไหน ที่กล่าวมาล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น"
เฟยเมี่ยวลอบกลอกตา "เอาล่ะ ๆ แล้วเหตุใดจึงบาดเจ็บได้ มิตั้งใจฝึกเล่า"
เหวินฮุ่ยเฉิงมองสำรวจใบหน้างามของคนที่ก้มหน้ามองมือของเขา ทั้งยังท่าทีห่วงใยที่ไม่ปิดบัง คิ้วขมวดหน่อย แต่มองแล้วท่าทางเช่นนี้ของจิ้งจอกน้อยกลับทำให้จิตใจเบิกบานมากทีเดียว ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดจึงได้บาดเจ็บนั้น…
เหวินฮุ่ยเฉิงหัวเราะแห้งๆ ออกมาครั้งหนึ่งพลางหลบตากล่าวอ้อมแอ้ม "ข้า พอดีว่า เผลอเหลือบมองเจ้านานเกินไปหน่อย"
"ฮุ่ยเฉิง!" เฟยเมี่ยวร้องออกมาอย่างตกใจ เหลือบมองนานเกินไปหรือ พูดไปพูดมาก็คือมองเขาจนไม่มีสมาธิฝึก จึงถูกกระบี่บาดเอาโดยไม่ได้ตั้งใจ เฟยเมี่ยวว่ากล่าวด้วยความหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน "ฝึกยุทธอยู่ เอาแต่คิดเพ้อฝันไม่ตั้งใจ ใช้ได้ที่ไหน"
"เฟยเอ๋อร์เมื่อครู่นี้เจ้า…"
"อะไร"
"เจ้าเอ่ยนามของข้า"
มือบางถูกรวบไปกุมไว้ เหวินฮุ่ยเฉิงมองเขาด้วยสายตาวาววับ ทั้งยังมีประกายของความหวานชื่นปะปนอยู่ จนคนถูกมองเกิดความประหม่าเล็ก ๆ "ปล่อย ผีเข้าหรือ ข้าเรียกชื่อเจ้ามิได้หรือไร"
"ย่อมได้" เหวินฮุ่ยเฉิงยิ้มมุมปาก "แต่หากจะให้ดีกว่านี้ ต้องเรียกว่าท่านพี่"
"ท่านพี่กับมารด… กับหัวหมูเจ้าน่ะสิ!" เฟยเมี่ยวสะบัดมือทิ้งอย่างไม่ใยดี เมื่อหมุนกายเดินจากมาได้สามสี่ก้าว ยังได้ยินน้ำเสียงกลั้วหัวเราะของเหวินฮุ่ยเฉิงดังตามหลัง
"เวลาคนงามเขินอายก็น่าดูชมมิน้อยเลย"
คนแซ่เหวิน เจ้า…
ลูกศิษย์ลูกหา บ่าวไพร่ในเรือนต่างพร้อมใจกันหูหนวกตาบอดกันทั้งเรือน ไหนเลยพวกตนจะเคยพบเคยเห็นเจ้าตำหนักเหวินที่หยอกล้อผู้อื่นด้วยวาจาท่าทาง และสีหน้าที่เบิกบานใจถึงเพียงนี้ ในเมื่อไม่เคยเห็นแล้ว ก็ทำเป็นไม่เคยเห็นต่อไปเป็นดีที่สุด
เฟยเมี่ยวได้แต่ด่าทอสาปแช่งอีกฝ่ายในใจ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นเขาที่ต้องเกี้ยวพาอีกฝ่ายมิใช่หรือ ไฉนจึงกลายเป็นว่าตัวเขาเองที่ถูกคนแซ่เหวินกลั่นแกล้งจนใบหน้าร้อนผ่าวได้ มันผิดพลาดที่ตรงไหนกัน!
ยามอู่ที่ควรจะเตรียมสำหรับตั้งโต๊ะได้แล้ว เวลานี้กลับมีเพียงเฟยเมี่ยวที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารคนเดียว ไร้ซึ่งเงาของผู้เป็นเจ้าบ้าน เขากวาดตามองอาหารมากมายบนโต๊ะ จากนั้นมองหญิงรับใช้ที่ยืนก้มหน้ารอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกลคราหนึ่ง
เขาครุ่นคิดสักพักจึงถามว่า "แม่นาง ไม่ทราบว่าเจ้าตำหนักของพวกเจ้าอยู่ไหนหรือ?"
หญิงรับใช้ที่อยู่ใกล้เขาที่สุดกล่าวว่า "คุณชายเป็นแขกคนสำคัญของเจ้าตำหนัก อย่าได้มากมารยาทกับบ่าวเลยเจ้าค่ะ ส่วนเจ้าตำหนักนั่นอยู่ที่…"
"ข้าอยู่นี่"
เฟยเมี่ยวหันมองไปตามเสียง ก็พบว่าเหวินฮุ่ยเฉิงเดินเข้ามาภายในเรือนแล้ว ด้านหลังยังมีข้ารับใช้อีกสองสามคนถือถาดอาหารเข้ามาด้วย เมื่อเดินมาถึงเหวินฮุ่ยเฉินก็สั่งให้คนนำอาหารบนโต๊ะออกไป จากนั้นนำเอาอาหารสองสามสี่จานในถาดพวกนั้นมาวางไว้แทน เฟยเมี่ยวมองการกระทำเช่นนี้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย คาดเดาในใจว่าอาหารที่กินทุกวันอาจจะไม่ถูกอีกฝ่าย จึงอยากเปลี่ยนรสชาติกระมัง
เมื่อจัดแจงทุกอย่างเสร็จแล้ว เจ้าตำหนักเหวินก็ไปล้างมือในอ่าง จากนั้นกลับมานั่งลงข้างกายของเฟยเมี่ยว ใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้มมุมปากคล้ายไม่ยิ้ม
เฟยเมี่ยวเหลือบตามองเขาคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า "ไปขนอะไรมา อาหารไม่ถูกปากเหตุใดไม่บอกท่านป้าหลิวเล่า"
"มิใช่ไม่ถูกปาก" เหวินฮุ่ยเฉิงยิ้มน้อย ๆ แล้วเลื่อนจานหมูผัดเกลือมาใกล้เขาอีกนิด "เพียงแต่ อยากทำอาหารให้เจ้าลองชิมดูบ้างก็เท่านั้น"
เฟยเมี่ยวมองอาหารตรงหน้า แล้วมองเหวินฮุ่ยเฉิงด้วยความแปลกใจ "ทั้งหมดนี้ เจ้าทำ?"
"ใช่"
เขาเคยดูในหนังมาบ้าง ถ้าเป็นในยุคประมาณนี้ก็น่าจะมีทำเนียมบุรุษห่างไกลงานครัวมิใช่หรือ แล้วนี่คนแซ่เหวิน เข้าครัวไปทำกับข้าวมาให้เขาด้วยตนเองเช่นนี้ จะไม่เป็นไรหรือ ยิ่งมองของกินพวกนี้ เฟยเมี่ยวก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว แม้แต่มือขวาที่ถือตะเกียบอยู่ก็ยังสั่นระริกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
เมื่อมองไม่เห็นความดีใจในดวงตางามอย่างที่คาดไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเหวินฮุ่ยเฉิงก็ค่อยๆ เลือนหายไป หลายวันมานี้แม้ว่าเฟยเอ๋อร์ของเขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกินข้าวได้น้อยลงมาก ยิ่งมื้อไหนมีแค่ปลาก็แทบจะไม่กินเลย เพียงกินข้าวเปล่าสองสามคำ แล้วดื่มชาเท่านั้น
อาหารส่วนใหญ่ในตำหนักซือโฮ่วล้วนเป็นเนื้อปลา เพราะเจ้าเสี่ยวไป๋ชอบกิน เขาเองกินตามมันจนเคยชินไปแล้ว จะมีแค่ปลาหรือเนื้อเพิ่มขึ้นมาอีกจานจึงมิได้มีความแตกต่างกันมากนัก แต่เฟยเอ๋อร์ไม่ชอบกินปลาอีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกเขา หากมิใช่ว่าเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่เห็น ที่จิ้งจอกน้อยของเขากล่ำกลืนฝืนทนกินของที่ไม่ชอบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำไมจะไม่เข้าใจว่าที่เฟยเอ๋อร์ทำเช่นนี้ก็เพื่อตน ไม่อยากให้ใครมองว่าแขกที่เขาพามานั้นเรื่องมากเลือกกิน
แต่จะเลือกกินของที่ชอบหน่อยจะเป็นไรไป เขาเป็นถึงเจ้าตำหนักซือโฮ่วผู้ยิ่งใหญ่ แต่แค่ดูแลจิ้งจอกน้อยของตนให้กินอิ่มนอนหลับยังทำไม่ได้ ตำแหน่งใหญ่โตจะมีไปทำไม แล้วมีสิทธิ์อะไรอยากจะรั้งเฟยเอ๋อร์ไว้ข้างกายกัน
เหวินฮุ่ยเฉิงถามอย่างไม่มั่นใจว่า "เจ้า มิชอบอาหารพวกนี้หรือ"
เฟยเมี่ยวไม่ตอบเขา เพียงยื่นฝ่ามือออกมาข้างหน้า แล้วกล่าวว่า "เอามือมา"
คนก็ส่งมือไปให้จิ้งจอกน้อยของตนอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ถูกจิ้งจอกน้อยของตนตีมืออย่างแรงครั้งหนึ่ง
"โอ้ย!"
"เจ็บหรือไม่" เฟยเมี่ยวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"เจ็บ" เหวินฮุ่ยเฉิงชักมือกลับ แล้วลูบหลังมือที่ถูกฟาดไปมา "เจ้าตีข้าทำไม"
"ข้าก็เจ็บ" เฟยเมี่ยวแบมือที่ขึ้นริ้วแดงให้อีกฝ่ายดู "ก็ถือว่าเท่าเทียมกันแล้ว ใครให้เจ้าทำอะไรไม่คิด ส่งมือมา"
"อีกหรือ" เหวินฮุ่ยเฉิงกุมมือของตนไว้ แล้วมองเฟยเมี่ยวอย่างหวาดๆ
เฟยเมี่ยวกระดิกนิ้ว แล้วเอ่ยเร่งว่า "เร็ว"
เป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า ก็ได้แต่ยื่นมือส่งให้คนงามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเพราะเฟยเมี่ยวไม่ได้ตีมองของเหวินฮุ่ยเฉิงเหมือนอย่างครั้งแรก แต่กลับกุมมือของเขา พลางมือสำรวจรอยแผลจากการฝึกกระบี่เมื่อเช้า ทั้งยังมีรอยถูกมีดทำครัวบาดเป็นแผลเล็กแผลน้อยอีกหลายแห่ง
อยู่ ๆ เฟยเมี่ยวก็รู้สึกว่าภายในใจของตนไม่อาจสงบลงได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บ บาดพวกนี้แม้ว่าจะไกลหัวใจมากนัก แต่มองแล้วก็ยังขัดหูขัดตาจนต้องถลึงตามองคนที่ส่งยิ้มโง่งมมาให้ตน
เขาก้มหน้าลงเป่าลมบนแผลที่ฝ่ามือหนาเบา ๆ พลางกล่าวว่า "วันหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก เป็นถึงเจ้าตำหนัก เจ้าเดินเข้าไปในห้องครัวให้ผู้คนขบขันหรือ"
เหวินฮุ่ยเฉิงดวงตาเป็นประกาย ที่แท้เป็นเฟยเอ๋อร์ห่วงใยเขา "ไม่เป็นไร"
"ไม่เป็นไรได้หรือ" เฟยเมี่ยวตวัดสายตาขึ้นมอง "บุรุษห่างไกลงานครัว เจ้าทำเช่นนี้ผู้อื่นมิเอาข้าไปนินทาว่ายังไม่แต่งเข้าบ้าน ก็ใช้งานเจ้าอย่างกับบ่าวไพร่หมดแล้วหรือ"
ข่าวลืมที่ว่าตนเป็นว่าที่ฮูหยินของคนแซ่เหวิน เฟยเมี่ยวได้ยินมาบ้างไม่น้อยเลย ตำหนักซือโฮ่วมีอยู่แค่นี้ หูจิ้งจอกก็ฟังเสียงได้ดีเยี่ยมไหนเลยจะไม่ได้ยิน วันนี้อีกฝ่ายเข้าครัวเพื่อเขา อย่างไรก็คงไม่พ้นถูกเอาไปนินทาเป็นแน่ ยิ่งคิดใบหน้างามก็ยิ่งบึ้งตึงขึ้นเรื่อย ๆ
ผิดกับอีกคนที่มีรอยยิ้มเบิกบานขึ้นทุกที เอ่ยปากถามอย่างหยอกล้อแต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงจังอยู่หลายส่วน "เจ้ากล่าวเช่นนี้ หมายความว่า เจ้าจะแต่งให้ข้า?"
เฟยเมี่ยวชะงักไป เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว ก็รีบตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเพื่อกลบเกลื่อน "ข้าแค่เปรียบเปรย!"
เหวินฮุ่ยเฉิงหัวเราะแผ่วเบา ใจก็นึกเอ็นดูคนงามขี้โมโหมากขึ้นทุกที "ได้ ๆ เจ้าแค่เปรียบเปรยก็ได้ แต่หากสักวันเจ้าเปลี่ยนใจ ก็อย่าลืมบอกข้า อย่างไรก็ยังรอเจ้าเสมอ"
"น้ำแกงนี่เย็นหมดแล้ว รีบกินเสียที พูดอะไรตั้งมากมาย" เฟยเมี่ยวหน้างอง้ำ รีบกินข้าวไม่พูดไม่จากับคนข้างกายอีก
บ่าวไพร่ในเรือนต่างลอบแปลกใจอยู่ในที เดิมทีคิดว่าเจ้าตำหนักเข้าครัวก็เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงที่สุดในรอบหลายปีแล้ว ยามนี้คนงามแขกคนสำคัญของเจ้าตำหนักยังกินข้าวได้มากขึ้นจากครึ่งชามเป็นสองชาม ข่าวลือใหม่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ที่แท้เจ้าตำหนักเหวินฝีมือทำอาหารล้ำเลิศ ตั้งใจทำอาหารสุดฝีมือเพื่อเอาใจคนงาม จนคนซาบซึ่งใจ ทั้งคู่พูดคุยเรื่องงานแต่งกันแล้ว อีกไม่นานทั่วทั้งแดนเหมันต์คงได้แขวนโคมแดง ดื่มเหล้ามงคลกันทั่วหน้า
หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จ เฟยเมี่ยวก็ได้ยืดเส้นยืดสายดเดินย่อยอาหารไปพลางชมวิวไปด้วย คนนำเที่ยวก็ยังคงเป็นเจ้าตำหนักเหวินอีกเช่นเคย ส่วนเจ้าเสี่ยวไป๋กับมี่ถงก็ไม่เห็นอีกแล้ว ปกติมี่ถงของเขาดูจะไม่ชอบขี้หน้าเจ้าแมวอ้วนนั่นเอาเสียเลย มาตอนนี้กลับหายไปด้วยกันบ่อยจนเขาเองยังนึกแปลกใจ เดินชมนกชมไม้มาเรื่อย ๆ ก็พบกับศาลาพักแห่งหนึ่ง เฟยเมี่ยวเดินเข้าไปนั่งด้านในโดยไม่รอคนที่เดิมตามหลังมาอย่างเงียบเชียบ
สิ่งแรกที่เขาพบก็คือกระดาษแผ่นใหญ่หลายแผ่น พู่กันและแท่นหมึกวางเรียงกันเอาไว้บนโต๊ะ เหมือนว่าจะเตรียมไว้วาดภาพ ยังมีกู่ฉินอีกหลังหนึ่งวางอยู่ไม่ไกลกันนัก
เฟยเมี่ยวหันมาถามเหวินฮุ่ยเฉิง "ของพวกนี้ นี่เป็นของใคร"
"ของเรา" เหวินฮุ่ยเฉิงตอบกลับง่าย ๆ แล้วนั่งลงบนตั่งที่ปูรองไว้ด้วยขนสัตว์หนานุ่ม "เฟยเอ๋อร์ เจ้าชอบวาดภาพหรือว่าดีดฉิน"
เฟยเมี่ยวนั่งลงบ้าง เขามองแผ่นกระดาษสลับกับกู่ฉินคราหนึ่ง แล้วตอบว่า "ข้านั้นวาดภาพไม่ค่อยได้ความ แต่พอมีฝีมือในการบรรเลงเพลงอยู่เล็กน้อย"
นึกถึงชาติก่อนที่จับดินสอวาดภาพทีไร จากวาดคนก็กลายร่างเป็นก้างปลาโง่ ๆ แล้ว เฟยเมี่ยวก็ไม่คิดอยากจะลองจับพู่กันอีก อย่างน้อยยามนี้ยังมีมือของหลิ่งเฟยอวี่ในการดีดฉิน รับรองได้ว่าจะไม่ทำให้คนงามขายหน้าแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาก็ขอเลือกอะไรที่ปลอดภัยเอาไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
เหวินฮุ่ยเฉิงฟังเช่นนั้นก็ถามยิ้ม ๆ ว่า "ไม่รู้ว่าผู้แซ่เหวินจะมีวาสนาได้ฟัง คุณชายหลิ่งบรรเลงบทเพลงสักเพลงให้ฟังหรือไม่"
เฟยเมี่ยวลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่อย คนผู้นี้จะใช้ให้เขาเล่นกู่ฉินให้ฟัง ก็ยังอุตส่าห์หาคำมาพูดจาหว่านล้อมเขา ช่างเก่งกาจเสียจริง แต่เอาเถอะเห็นแก่อาหารที่กินข้าวไปมื้อนี้รสชาติไม่นับว่าเลวร้าย ก็ถือเสียว่าบรรเลงหนึ่งบทเพลงเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน เฟยเมี่ยว เฟยเมี่ยวนั่งลงตรงตำแหน่งที่วางกู่ฉิน นิ้วเรียวจรดลงบนเส้นสายของกู่ฉินแล้วดีดหนึ่งครั้ง เพื่อทดสอบความกังวานของเสียง จากนั้นเริ่มบรรเลงไปตามใจคิด เพลงอะไรที่เคยฟังผ่านหูมา ก็หยิบมาเล่นก่อน
เหวินฮุ่ยเฉิงยกยิ้มพึงใจ จากนั้นหยิบพู่กันแต้มหมึกขึ้นมาวาดลวดลายลงบนแผ่นกระดาษสีขาวนวล มือหนาปัดป่ายปลายพู่กันลงไปเป็นภาพวาดงาม ทิวทัศน์เบื้องหน้าดูสดใสมีชีวิต จวบจนกระทั่บทเพลงหนึ่งจบลง เหวินฮุ่ยเฉิงก็วางพู่กันลงพอดี
เฟยเมี่ยวลุกขึ้นไปดูว่าอีกฝ่ายวาดอะไร ที่เขาเห็นก็คือทิวทัศน์เบื้องหน้า สวยงามในเรือนถูกคนแซ่เหวินวาดออกมาได้งดงามไร้ที่ติ "งดงามจริง ยังมีอะไรที่เจ้าทำมิได้อีกบ้าง"
"ทำให้เจ้าชอบข้า"
เฟยเมี่ยวชะงักไป เขาหันมองหน้าคนที่กล่าวประโยคนี้ออกมา ใบหน้าของเหวินฮุ่ยเฉิงยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มละมุนละไม
เห็นคนงามนิ่งเงียบไป เหวินฮุ่ยเฉิงก็ยังทำเพียงยิ้ม แล้วถามว่า "อยากลองดูหรือไม่"
เฟยเมี่ยวเลิกคิ้วมอง "เจ้าจะสอนข้าหรือ"
"ใช่" เหวินฮุ่ยเฉิงก้มหน้าฝนหมึก พอได้น้ำหมึกสีเข้มแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเฟยเมี่ยวอีกครั้ง "ถ้าเจ้าอยากเรียน"
เฟยเมี่ยวหันมองภาพวิวเบื้อนหน้าอย่างขบคิด นี่มิใช่โอกาสในการเข้าหาอีกฝ่ายหรือ หากเร่งรัดให้คนแซ่เหวินกล่าวคำพูดนั้นได้เร็วอีกหน่อย ทุกอย่างก็จบแล้ว แม้ไม่อยากจะจับพู่กันให้ตนเองอับอายขายหน้าเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังพยักหน้าไปมา แล้วนั่งลงข้างกันกับอีกฝ่าย ความอบอุ่นจากตัวบุรุษข้างกายทำให้รู้สึกสบายขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย
"ภาพแรกที่เจ้าอยากวาดคือภาพอะไรทิวทัศน์ ภูเขา แม่น้ำ หรือแม้แต่สัตว์ต่าง ๆ อะไรข้าล้วนวาดได้หมด"
ครุ่นคิดสักพักเฟยเมี่ยวก็กล่าวว่า "ข้าอยากวาด…ภาพเจ้า"
ใบหน้าของคนทั้งสองอยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ ลมหายใจรินรดที่พวงแก้มของคนงาม เฟยเมี่ยวมองเห็นความสั่นไหวในดวงตาคมกริบของบุรุษข้างกาย เขาเพียงมอบรอยยิ้มแฝงความนัยให้ มิได้กล่าววาจาได้อีก เท่านี้ก็เพียงพอให้หัวใจของผู้คนสั่นครอนแล้ว
เฟยเมี่ยวถามยิ้มๆ ว่า "ได้หรือไม่"
เหวินฮุ่ยเฉิงนิ่งงันคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้วก็ไม่ปาน เขายังคงพินิจมองดวงหน้าเรียวที่อยู่เพียงนิด ขนตาของจิังจอกน้อยของเขาเรียงตัวสวย จมูกรั้นดูเอาแต่ใจอยู่บ้าง ทิ้งสายตาทอดมองริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ในส่วนลึกของความคิดหนึ่งที่วูบเข้ามา เขากลับอยากจะทาบทับริมฝีปากของตัวเองลงไปบนกลีบปากที่ยั่วยวนนั่นเสียเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็…
เหวินฮุ่ยเฉิงส่ายหน้าไล่ความคิดไม่ดีออกไป เขาตอบกลับอย่างยินดีว่า "ย่อมได้"
เหวินฮุ่ยเฉิงเลื่อยเก้าอี้ของตนขยับมาด้านหลังของเฟยเมี่ยว โค้งกายไปด้านหน้าเล็กน้อย แล้วใช้ฝ่ามือแกร่งประคองมือที่บอบบางราวกิ่งหลิวเอาไว้ ในมือของเฟยเมี่ยวยังมีพู่กันจุ่มน้ำหมึกเรียบร้อยแล้วอยู่ด้วย ด้านหลังรับรู้ได้ถึงแผงอกอบอุ่นแข็งแกร่ง ที่ทาบทับลงมาบนแผ่นหลังของตน แม้ไม่ได้กดน้ำหนักตัวลงมา แต่อุณหภูมิของร่างกายที่อุ่นกำลังพอดีของอีกฝ่ายเขาก็สามารถรับรู้ได้ แม้ว่าจะมีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่
หากมีใครผ่านมาพบเห็นความแนบชิดนี้ คงได้เข้าใจผิดไปอีกเป็นแน่ ว่าเจ้าตำหนักเหวินกำลังพลอดรักกับคนงามอยู่
หลังจากขีด ๆ เขียน ๆ อยู่นานในที่สุดเฟยเมี่ยวก็ยอมแพ้ ให้เขาไปฝึกยุทธต่อยตีกับผู้อื่นยังดีกว่ามาทำอะไรแบบนีั นั่งนานเกินไปจนเป็นตะคริวแล้ว เมื่อความรู้สึกเกียจคร้านเข้าครอบงำ เฟยเมี่ยวจึงหยุดมือที่กำลังวาดไปโดยทันที
เขากล่าวกับเหวินฮุ่ยเฉิงที่ชะงักตามเขาไปด้วยอย่างเกียจคร้านว่า "ข้าเมื่อยแล้ว"
"เช่นนั้น พักก่อนดีหรือไม่" น้ำเสียงแผ่วเบาและลมหายใจที่เป่ารดหลังคอทำให้เฟยเมี่ยวตัวแข็งทื่อ นี่ นี่มิใช่ว่าใกล้กันเกินไปแล้วหรือ มิใช่ ๆ เมื่อครู่ก็ใกล้ชิดกันเช่นนี้ แต่ใกล้นานเกินไปแล้ว!
ดวงตาดุจสัตว์ร้ายหรี่ลง พู่กันในมือถูกปล่อยทิ้งอย่างไม่แยแส ไม่นานนักร่างกายของเฟยเมี่ยวก็หดเล็กลง แล้วหล่นตุบลงบนตักของเหวินฮุ่ยเฉิง กลายร่างกลับไปเป็นจิ้งจอกเก้าหาง ม้วนตัวอย่างเกียจคร้านใช้ห่างทั้งเก้าล้อมรอบตัวเองไว้ เป็นก้อนขนนุ่มนิ่มไม่สนใจใยดีคนที่นิ่งงันไปแล้วอีก
เหวินฮุ่ยเฉิงก้มมองก้อนขนนุ่มบนตัก อย่างไม่รู้ว่าตนเองยามนี้นั้นสมควรจะหัวเราะออกมาหรือว่าร่ำไห้ดี ถูกจิ้งจอกน้อยเมินใส่ ทั้งยังคล้ายว่าจะแกล้งหลับหนีตนไปแล้ว? เขาก็ได้แต่ฝืนยกยิ้มอย่างแห้งแล้ง แล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ จากนั้นเก็บมือที่ชะงักค้างกลางอากาศกลับมาราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงเป็นตนเองรีบร้อนเกินไป จิ้งจอกน้อยของเขาจึงตกใจกว่าและต่อต้าน ต่อไปต้องระมัดระวังท่าทีให้มากกว่านี้อีกหน่อย
ไหนเลยเหวินฮุ่ยเฉิงจะรู้ว่า มิได้มีเพียงตนเองที่คิดไม่ตกกับเหตุการณ์เช่นนี้ เฟยเมี่ยวเองก็กำลังขบคิดมิต่างกันนัก เขาคงต้องหาวิธีเข้าหาคนแซ่เหวินใหม่แล้ว ทำแบบนี้อันตรายเกินไป อัตรายกับหัวใจของเขานี่ งานก็คืองานเฟยเมี่ยว คนเป็นมืออาชีพหวั่นไหวกับความใกล้ชิดเพียงแค่นี้ใช้ได้ที่ไหน
ด้านนอกศาลามีบ่าววิ่งเข้ามารายงานว่า “ท่านประมุขขอรับ องค์หญิงไป๋หนิงเซียน แห่งเผ่าสวรรค์ขอเข้าพบขอรับ”
เหวินฮุ่ยเฉิงขมวดคิ้วมุ่น ก้มมองจิ้งจอกน้อยบนตัก แล้วอุ้มขึ้นมาไว้แนบอก “พานางไปรอที่เรือนรับรอง”
เฟยเมี่ยวทึ่ได้ฟังเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่กอดตนอยู่ 'มีผู้หญิงมาหาถึงบ้าน ไม่ธรรมดาจริง ๆ ’ แต่ไปก็ดี เขายังไม่อยากคุยกับคนแซ่เหวินตอนนี้ พักรบก่อน คิดแผ่นใหม่ได้ค่อยว่ากันอีกที
เหวินฮุ่ยเฉิงลุกขึ้นยืน กล่าวไม่เร็วไม่ช้าว่า “ไปกับข้า”
เดี๋ยว!!
ดิ้นก็แล้ว ขู่ก็แล้วจะพยายามอย่างไรก็ไร้ผล เหวินฮุ่ยเฉิงยังคงกกกอดเขาไว้แนบอกดั่งของล้ำค่า ไม่ยอมปล่อยให้เขาห่างกาย แต่มารดามันเถอะ คนอยากกลับไปนอนที่ห้อง อยากใช้ความคิด ตัวติดกันเป็นตังเมเหนียวหหนึบทั้งวันยังไม่พอใจอีกหรือ
เดินมาไม่นานก็มาถึงเรือนรับรองที่ว่าแล้ว เฟยเมี่ยวก็ได้พบกับโฉมสะคราญนางหนึ่งที่กำลังนั่งรอเหวินฮุ่ยเฉิงอยู่ ด้านหลังของนางมีข้ารับใช้อีกคนยืนอยู่ด้วย
“เสี่ยวเซียน”
ขวับ
น้ำเสียงราบเรียบจากคนที่อุ้มตนอยู่ดังขึ้น จนทำให้เฟยเมี่ยวต้องรีบหันกลับไปมอง 'เสี่ยวเซียน’ คำๆ นี้มิใช่ว่าดูสนิทสนมกันมากกว่าแขกที่มาขอพบทั่วไปหรือไม่?
“อะ ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว”
หญิงสาวตรงหน้ารีบวางถ้วยชาลง แล้วลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา เฟยเมี่ยวมองเด็กสาวตรงหน้า ดูจากลักษณะแล้วคงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลิ่งเฟยอวี่
“เสี่ยวเซียน คำนับท่านพี่เจ้าค่ะ”
แม่หนูแค่คำนับเธอจะหน้าแดงทำไม เฟยเมี่ยวกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ดูท่าแล้วเขาควรกลับไปนอน มากกว่ามาอยู่ตรงนีัจริง ๆ นั่นแหละ แค่มองก็เห็นเค้ารางของความน่าเบื่อแล้ว
“ไม่ต้องมากพิธี เจ้านั่งเถอะ” เหวินฮุ่ยเฉิงเดินไปนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้าน
ไป๋หนิงเซียนแอบมองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วเอ่ยถามว่า
“ท่านพี่เจ้าคะ ครั้งนี้ท่านไปที่ใดมารึ เสี่ยวเซียนมารอพบท่านถึงสองครั้งก็ยังไม่กลับ ครั้งนี้ก็ครั้งที่สามแล้ว”
น้ำเสียงในตอนท้าย ยังติดความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ถึงสองในสาม จนเฟยเมี่ยวต้องยกห่างขึ้นมาปิดหูไว้
“ข้าก็มีธุระที่ต้องจัดการ เจ้าไม่เห็นต้องลำบากมาหาข้าบ่อย ๆ เลย” เหวินฮุ่ยเฉิงเอ่ยตอบเสียงเรียบ
อือหือ ถ้าแปลให้ตรงตัวหน่อยก็ ‘ฉันก็มีธุระที่ต้องทำ เธอจะมาหาฉันทำไมบ่อย ๆ รำคาญ’ อันหลังนี่เติมเองตามอารมณ์ เฟยเมี่ยวเมินหญิงสาวตรงหน้า เหลือบซ้ายแลขวาเพื่อหาอะไรทำแก้เบื่อคราหนึ่งแล้ว เฟยเมี่ยวก็ใช้อุ้งเท้าตะกุยอกเสื้อของเหวินฮุ่ยเฉิงจนอีกฝ่ายก้มลงมามองตน จากนั้นใช้อุ้งเท้าชี้ไปทางจานขนมเปี๊ยะทำหน้าตาประมาณว่า 'ป้อนหน่อย’
เหวินฮุ่ยเฉิง หยิบขนมในจานออกมาแบ่งเป็นคำเล็ก ๆ จากนั้นค่อย ๆ ป้อนจิ้งจอกน้อยของตนอย่างเอาใจ
ไป๋หนิงเซียนมีรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้างาม ท่านพี่ฮุ่ยเฉิงเป็นห่วงว่านางจะลำบากต้องเดินทางไกล เช่นนี้ที่นางดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่ ก็ไม่เสียแรงเปล่าแล้ว
“ความจริงที่มาในครั้งนี้ เสี่ยวเซียนได้รับมอบหมายจากท่านพ่อให้มาพูดคุยกับท่านพี่ เรื่อง…” ไป๋หนิงเซียนก้มหน้าเล็กน้อย ใบหน้างามขึ้นสีระเรื่ออีกครั้ง นางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดบังใบหน้าอย่างเอียงอาย แล้วกล่าวเสียงแผ่วว่า “เรื่อง...งานแต่งของเรา”
แค่ก ๆ ขนมติดคอ….
เฟยเมี่ยวดิ้นขลุกขลักไปมาเพราะหายใจไม่ออก กรงเล็บแหลมถูกกางออกมาข่วนเข้าที่แขนของเหวินฮุ่ยเฉิงอย่างไม่ตั้งใจ
“อึก…” เหวินฮุ่ยเฉิงมิได้สนใจแขนของตนที่มีเลือดอาบเพราะฝีมือจิ้งจอก แต่กลับรีบรินน้ำชาให้เฟยเมี่ยวดื่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าเฟยเมี่ยวหยุดดิ้นแล้วก็ลูบศีรษะกลมของเขาแผ่วเบา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
เฟยเมี่ยวไม่ได้ตอบกลับอะไรไป เพียงแค่ผงกศีรษะหนึ่งครั้งเท่านั้น
เป็นไป๋หนิงเซียนที่สังเกตเห็นเลือดที่หยดลงมาที่พื้น นางจึงรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปดึงแขนของเหวินฮุ่ยเฉิงขึ้นมาดู “ท่านพี่ แขนท่าน… จิ้งจอกน้อยนี่ทำร้ายท่าน!!”
รอยกรงเล็บข่วน แม้มิได้ตั้งใจ แต่จิ้งจอกอนันตกาลเป็นตัวอะไร แค่รอยเล็ก ๆ ก็สามารถเรียกเลือดออกจากบาดแผลได้มากทีเดียว
นางมองจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนของคู่หมายอย่างโกรธเคือง ในตอนแรกนั้นนางมิได้สนใจว่าที่ท่านพี่ฮุ่ยเฉิงของนางอุ้มมาด้วยคือตัวอะไร เพราะในยามปกติท่านพี่ฮุ่ยเฉิงก็มักจะอุ้มเสี่ยวไป๋เดินไปเดินมาด้วยอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ทั้งยังกล้ามาทำร้ายท่านพี่ฮุ่ยเฉิงของนาง นางจึงโกรธมาก นางเอื้อมมือไปคิดจะคว้าตัวของเฟยเมี่ยวขึ้นมาแล้วตีให้ตายเสีย แต่ก่อนที่นางจะทันได้แตะถึงตัวจิ้งจอกน้อย กลับถูกเหวินฮุ่ยเฉิงปัดมือออกอย่างแรง เรียกได้ว่าแรงที่ใช้ในการปัดมือของนางออกนั้น ถึงขนาดทำให้มือชาได้เลยทีเดียว
“คิดจะทำอะไร” เหวินฮุ่ยเฉิงมองไป๋หนิงเซียน ที่คิดแตะต้องจิ้งจอกน้อยของเขาด้วยสายตาเรียบเฉย
ไป๋หนิงเซียนเม้มริมฝีปากแน่น ใช้มืออีกข้างกุมมือข้างที่ชาไปแล้วของตน มองจิ้งจอกในอ้อมแขนของคู่หมายอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดนางจึงแตะต้องมิได้ จิ้งจอกนี่สมควรตาย ท่านพี่ฮุ่ยเฉิงก็มิเคยขัดใจนาง ครั้งนี้กลับปัดมือนางอย่างไร้เยื่อใย
‘ซือซือ’ ข้ารับใช้คนสนิทของไป๋หนิงเซียนที่มองดูเหตุการมาตลอด เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ก็เกิดโทสะต่อจิ้งจอกในอ้อมแขนของเจ้าตำหนักซือโฮ่วเป็นอย่างมาก นางรับใช้องค์หญิงไป๋หนิงเซียนมานาน เจ้าตำหนักเหวินดีต่อองค์หญิงของนางมากแค่ไหน นางทราบดี แต่วันนี้กลับทำลายน้ำใจขององค์หญิงน้อยของนาง เพียงเพราะต้องการปกป้องจิ้งจอกไร้หัวนอนปลายเท้าตัวเดียว นางหาได้ยอมไม่
ซือซือรีบร้องตะโกน คล้ายคนตกใจเสียขวัญ “เจ้าตำหนักเหวินถูกทำร้าย! ใครอยู่ข้างนอกบ้างรีบเข้ามาเร็ว!”
ทหารเผ่าสวรรค์และลูกศิษย์ในตำหนัก สาม สี่ คนรีบวิ่งเข้ามาในเรือนรับรองเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของซือซือ เมื่อเข้ามาถึงก็พบเพียงเจ้าตำหนักเหวินยืนอุ้มจิ้งจอกขาวอยู่ มีองค์หญิงไป๋หนิงเซียนยืนอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น นายทหารสวรรค์คนหนึ่งเอ่ยถามซือซืออย่างนอบน้อมว่า “ท่านซือซือ ไหนเล่าขอรับคนร้าย”
“จิ้งจอกที่เจ้าตำหนักเหวินอุ้มอยู่นั่นไง ไปจับมันมาสิ”
ลูกศิษย์น้อยสองคนของตำหนักซือโฮ่วที่เพิ่งเข้ามาในห้องถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ที่เจ้าตำหนักเหวินอุ้มอยู่? ก็มิใช่ว่าเป็นจิ้งจอกน้อยที่พวกเขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรือ นั่นก็คือจิ้งจอกคนงามมิใช่หรือ เช่นนั้นจะแตะต้องได้อย่างไร? พวกเขาถอยหลังไปยืนจนชิดขอบประตูในขณะที่ทหารสวรรค์อีกสองคนเดินเข้าไปหาเหวินฮุ่ยเฉิงอย่างไม่กลัวตาย
ทหารนายหนึ่งประสาทมือกล่าวว่า “เจ้าตำหนักเหวิน โปรดส่งจิ้งจอกนั่นให้พวกข้าด้วยขอรับ เราจะพามันไปรับโทษ”
เหวินฮุ่ยเฉิงขมวดคิ้วมุ่น ทำเช่นนี้ยังเห็นหัวเขาเป็นเจ้าบ้านอยู่หรือไม่
“ถอยไป” เขากล่าวเสียงเรียบ แล้วปรายตามองไป๋หนิงเซียนที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา “เสี่ยวเซียน เจ้าไม่คิดจะห้ามปรามคนของตนหน่อยหรือ”
“จิ้งจอกนี่ทำร้ายท่าน ที่ซือซือทำก็ถูกแล้วนิเจ้าคะ”
“เช่นนั้นหรือ
“...”
แขนเสื้อถูกสะบัดออกไปครั้งเดียว ทหารสวรรค์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาทั้งสองคนก็ลอยกระเด็นออกไปนอกตำหนัก กระอักเลือดออกมา เหวินฮุ่ยเฉิงกล่าวเสียงเรียบว่า
“ตำหนักซือโฮ่วเป็นบ้านของข้า มิใช่แดนสวรรค์ หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ก็กลับไปเสีย” กล่าวจบก็หมุนกายกลับไปนั่งที่เดิม พลางลูบศีรษะของจิ้งจอกน้อยเพื่อเป็นการปลอบประโลมไปด้วย มีเขายืนอยู่ตรงนี้ใครยังจะกล้ามาแตะต้องเฟยเอ๋อร์ของเขาอีก
เฟยเมี่ยวมองคนโน้นที คนนี้ที แล้วก็ได้แต่ส่ายหางไปมาแก้เบื่อ คนพวกนี้จะทะเลาะกันให้มันได้อะไร ยัยหนูองค์หญิงนั่นก็กระไร เขาไม่ได้ตั้งใจให้คนแซ่เหวินเป็นแผลสักหน่อย จะโกรธทำไมขนาดนั้น แต่เมื่อมองดูบาดแผลที่ตนเองเป็นคนทำก็ยังอดรู้สึกผิดไม่ได้ แต่ความรู้สึกผิดก็ไม่เท่าความอยากแกล้งอีกฝ่ายหรอก
เฟยเมี่ยวแลบลิ้นเล็ก ๆ ของตนออกมา เลียเลือดที่ไหลออกมาจากแผลที่เขาเป็นคนทำ 'นี่แหนะ เพิ่มเชื่อโรคให้เสียเลย’ แมวตัวไหนมันพูดว่าอยากอยู่กับเขา อยากให้เขามาเป็นฮูหยินกันหะ!! ฮูหยินในอนาคตก็ยืนเบะปากจะร้องไห้อยู่นั่นไง ยังจะมาหลอกกันอีก เลียให้เป็นบาดทะยักตายไปเลย….
เหวินฮุ่ยเฉิงก้มมองเฟยเมี่ยวที่พยายามใช้ลิ้นเล็ก ๆ เลียทำความสะอาดแผลให้ตน รอยยิ้มที่คล้ายไม่ยิ้มถูกจุดขึ้นบนมุมปาก
ระบบ [ประกาศเปิดใช้งานค่าความน่าเอ็นดูสำเร็จแล้ว!!]
[ค่าความความน่าเอ็นดู +100 แต้ม!!]
เฟยเมี่ยวหนาวสะท้านไปถึงหัวใจ ขนาดระบบมีปัญหาอยู่ ยังจะอุตส่าห์มาเปิดค่าใหม่ให้อีก ขอบใจมากนะ...เหอะ
ตุบ
“องค์หญิง!!” ซือซือรีบคุกเข่าลงกับพื้นเมื่อผู้เป็นนายคุกเข่าลง
“ท่านพี่อย่าโกรธ เป็นเสี่ยวเซียนสั่งสอนคนไม่ดี ทั้งยังใช้อารมณ์มากเกินไป แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะเสี่ยวเซียนเป็นห่วงท่านพี่นะเจ้าคะ”
ไป๋หนิงเซียนน้ำตาคลอ นางหาได้สนใจสถานะของตนไม่ เป็นองค์หญิงแล้วคุกเข่าสำนึกผิดมิได้หรือ นางมั่นใจว่าตนเองไม่มีความผิด จิ้งจอกน่าตายนั่นต่างหากที่ผิด แต่หากทำเช่นนี้แล้วท่านพี่ฮุ่ยเฉิงจะไม่ไล่นาง นางก็จะทำ
เหวินฮุ่ยเฉิงมองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า “เจ้าลุกขึ้น เจ้าเป็นสตรีอย่าเที่ยวคุกเข่าให้ใครเช่นนี้”
“แต่ท่านพี่จะไล่เสี่ยวเซียน…”
“เอาละ ๆ ไม่ไล่แล้ว ลุกขึ้นเถอะ”
เฟยเมี่ยวกลอกตาอีกครั้ง มุขแกล้งสำนึกนี่เขาทำบ่อย เชี่ยวชาญกว่านังหนูนี่เสียอีก ทำไมจะมองไม่ออกว่าเสแสร้งแกล้งทำทั้งนั้น แล้วปากบอกสำนึกผิด แต่แอบถลึงตาใส่เขาเนี่ยคือสำนึกผิดอย่างจริงใจมากงั้นสิ มีแค่คนแซ่เหวินเท่านั้นแหละที่เชื่อละครเช่นนี้ได้ ขนาดเวลาเจียงผิงแกล้งเมาไม่ยอมหารค่าเหล้ายังเนียนกว่านี้เลย
ความวุ่นวายยังไม่ทันผ่านพ้นไป ก็มีเสียงดังโครมขึ้นมาตรงหน้าเรือน ไม่นานนักก็มีก้อนกลม ๆ สีดำกระโดดเข้ามาด้านใน มี่ถงในร่างจิ้งจอกพุ่งตัวเข้ามาในเรือนรับรองตามกลิ่นของนายน้อย โดยมีเสี่ยวไป๋วิ่งไล่ตามมาด้วย เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นกลางอากาศกลายร่างเป็นพยัคฆ์ทมิฬคิดใช้อุ้งเท้าตะปบจิ้งจอกดำที่แสนซุกซนนี่ไว้
เฟยเมี่ยวที่เห็นแล้วว่าต้นเหตุของความวุ่นวายคือคนของตน อีกทั้งกำลังจะถูกเจ้าอ้วนเสี่ยวไป๋ตะปบเอา ร่างกายก็ไปไวกว่าความคิด เขารีบดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของคนแซ่เหวิน กระโดดเข้าไปหามี่ถง ชั่วพริบตาที่กลับกลายร่างเป็นคนได้ เขาก็รีบดึงมี่ถงเข้ามากอดไว้แล้วใช้แผ่นหลังของตนป้องกันอุ้งเท้าของเจ้าอ้วนเสี่ยวไป๋ที่กำลังจะตะปบลงมา
!!!
“เฟยเอ๋อร์!!/นายน้อย!!”
“ง่าวว!!” เสี่ยวไป๋รีบกลายร่างกลับไปเป็นแมวอ้วนตกลงใส่หลังของเฟยเมี่ยวดังตุบ
เฟยเมี่ยวมองมี่ถงที่อยู่ในอ้อมกอดพลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ อย่างน้อยมี่ถงก็ไม่ต้องเจ็บตัวอีก เขาไม่อยากมาเสียเวลารักษาอีกฝ่ายอีกรอบหรอกนะ จากนั้นจึงหันกลับไปหาเสี่ยวไป๋ที่ร้องง่าว ๆ อยู่บนพื้น ที่ตกลงมาเมื่อครู่ก็ท่าจะเจ็บอยู่
ในขณะ ที่คนโล่งใจกลับเป็นแมวที่เสียขวัญ
“เฟยอวี่เจ้าเด็กบัดซบ เหตุใดจึงคิดเอาตนเองมารับกรงเล็บของข้า!!” เสี่ยวไป๋พองขนใส่อย่างหัวเสีย หากเมื่อครู่มันเปลี่ยนร่างกลับไม่ทัน แล้วเผลอทำร้ายอีกฝ่ายเข้า ตัวมันคงได้กลายเป็นหุ่นน้ำแข็งแมวแน่ ๆ ยามนี้แม้แต่ความกล้าที่จะหันไปสบตากลับผู้เป็นนายท่านของมัน เพียงสักนิดมันยังไม่มี
อ่ะ ถูกแมวด่า ฟังภาษาแมวเข้าใจได้หลายวันแล้ว จากถูกแมวร้องขออาหาร ก็กลายเป็นถูกแมวด่าไปเสียแล้ว
“เฟยเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่” เหวินฮุ่ยเฉิงรีบเข้ามาประคองเขาที่นั่งอยู่บนพื้น กล่าวอย่างร้อนรน พลางมองสำรวจเฟยเมี่ยวไปทั่วร่าง
“ไม่” เขาลุกขึ้นยืนพลางมองสำรวจมี่ถงไปพลางว่าได้แผลมาเพิ่มไหม โชคดีที่ไม่มี
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายามนี้เขากลับมาเป็นมนุษย์ได้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา 'กะว่าจะแอบงีบเสียหน่อย คงได้แต่กลับไปนอนต่อที่ห้องแล้ว' แต่เหมือนบรรยากาศมันจะเงียบเชียบผิดปกติไปหรือไม่ เฟยเมี่ยวมองไปรอบกาย ก่อนจะพบว่าผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในเรือนรับรองแห่งนี้ไหนจะผู้อาวุโส และลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่วิ่งตามเสี่ยวไป๋มาเมื่อครู่ ตอนนี้กลับเอาแต่จ้องมองมาที่เขาไม่วางตา บางคนถึงกลับอ้าปากค้างแบบไม่เก็บอาการไปแล้ว มองอะไรกันไม่เคยเห็นคนงามหรือ
เขาอุ้มมี่ถงมือหนึ่ง แล้วใช้อีกมือขยุ่มขนที่คอของเสี่ยวไป๋ขึ้นมาจากนั้นเตรียมจะเดินออกไปจากสถานการณ์ที่มีคนมุงดูอยู่เต็มไปหมด เหมือนเขาเป็นของแปลก แต่กลับถูกรั้งเอาไว้เสียก่อนด้วยฝ่ามือแกร่งของผู้เป็นเจ้าบ้าน เขาเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายประมาณว่า 'มีอะไรอีก’
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้า…”
ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับอะไร แขนอีกข้างของเหวินฮุ่ยเฉิงก็ถูกดึงรั้ง พร้อมกับเสียงหวานใสที่เอ่ยเรียก “ท่านพี่”
เฟยเมี่ยวมองเหวินฮุ่ยเฉิงด้วยสายตาเรียบนิ่งเขาเปลี่ยนคำตอบทันทีหลังจากได้ยินคำว่า 'ท่านพี่’ จากองค์หญิงเผ่าสวรรค์ น่ารำคาญ เป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญที่สุดเลย
เฟยเมี่ยวตอบกลับเหวินฮุ่ยเฉิงที่มองมาทางตนเพื่อรอคำตอบ “ไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ต้องเห็นหน้าเจ้า!!”
บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบราวกับไร้ผู้คน ทั้งที่มีคนยืนอยู่นับสิบ คนที่รู้อยู่แล้วก็พลันเงียบเอาไว้ คนที่ยังไม่รู้ก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ที่แท้จิ้งจอกน้อยที่เจ้าตำหนักโอบอุ้มอยู่ ก็คือโฉมสะคราญงามล่มเมืองในข่าวลือหรอกหรือนี่ ต่อให้เป็นบุรุษก็เป็นบุรุษที่งามเหนืออิสตรี ทั่วทั้งใต้หล้านี้หาใครเทียมเคียง แต่ความงามที่ว่าน่ายกย่องแล้ว ยังไม่เท่าความใจกล้าของอีกฝ่าย จิ้งจอกน้อยตนนี้ถึงขนาดกล้าขึ้นเสียง โกรธเคืองเจ้าตำหนัก
ทั้งยังหิ้วเสี่ยวไป๋ออกไปด้วยราวกับแมวไร้หัวนอนปลายเท้าไม่มีการทะนุถนอมใด ๆ ทั้งสิ้น แต่แทนทีเจ้าตำหนักจะมีโทสะ กลับกันสีหน้าของเจ้าตำหนักเหวินผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับซีดเผือดเพียงเพราะอีกฝ่ายบอกว่าไม่อยากพบหน้าตน ผู้คนในตำหนักซือโฮ่วที่ได้พบเจอเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็ถึงขนาดกล่าวสองคำตามหลังเฟยเมี่ยวไปในใจว่า นับถือ นับถือ….
เหวินฮุ่ยเฉิงก้มมองมือเรียวที่จับแขนของตนไว้แน่น บอกเป็นนัยด้วยสายตาว่า 'ปล่อย’ จนไป๋หนิงเซียนยอมปล่อยแขนของเขาในที่สุด
ไป๋หนิงเซียนเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “จิ้งจอกน้อยเมื่อครู่ เป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ”
“เป็น…”
เหวินฮุ่ยเฉิงคิดทบทวนในใจถึงคำตอบนี้ แต่ก็ยังไม่พบว่าจิ้งจอกน้อยนั้นเป็นอะไรสำหรับตน เขาจึงตอบกลับไปว่า “เป็นแขกของข้า ซือซือ พาองค์หญิงกลับเรือนพัก”
ว่าเสร็จก็รีบร้อนเดินออกไป
เฟยเมี่ยวเดินออกมาด้านนอกได้สักพัก เขาถึงเพิ่งนึกได้ ว่าที่นี่มิใช่หุบเขาซูเม่ยจะให้หันไปทางไหนก็ดูแปลกตาไปเสียหมด หากรั้นจะเดินต่อไปคงหลงทางแน่ เขายกเสี่ยวไป๋ที่หยิบติดมือมาด้วยขึ้นมาในระดับสายตา แล้วเอ่ยถามว่า “ไปที่ไหนดี?”
เสี่ยวไป๋มองคนที่หิ้วตนเองมาอย่างเบื่อหน่อย เป็นจิ้งจอกน้อยที่อวดดีทั้งนายทั้งบ่าว ทั้งยังดื้อรั้นหาใครเปรียบ “กลับห้องของนายท่านเป็นอย่างไร”
“กลับกับผีน่ะสิ ไม่ใช่ข้าเพิ่งพูดหรือ ว่าไม่อยากเห็นหน้าเขา” เฟยเมี่ยวถลึงตาใส่แมวอ้วนโง่เขลา
“เช่นนั้นข้าจะพาไปที่ดี ๆ แต่วางข้าลงก่อนได้หรือไม่?” ห้อยต่องแต่งอยู่แบบนี้มิได้สนุกเลย
เฟยเมี่ยววางเสี่ยวไป๋ลงกับพื้นก่อนจะเดินตามมันไป หลังจากเดินมาได้สักพักเขาถึงรู้ว่าที่ดี ๆ ที่เจ้าอ้วนเสี่ยวไป๋บอก คือสวนต้นเหมยขนาดใหญ่ สวนนี่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของตำหนักซือโฮ่ว นอกจากต้นเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่แล้ว ยังมีสระบัวที่งดงามไม่แพ้กัน น้ำในสระเหมือนสระมรกตที่เขาเคยเห็นในโลกเดิม เมื่อรวมกับบรรยากาศท่ามกลางสวนดอกเหมยแห่งนี้ จึงเป็นที่ที่ดีจริง ๆ
เขาและมี่ถงเข้ามานั่งรอในเก๋งจีนหลังงามข้างสระบัว ส่วนเจ้าเสี่ยวไป๋กลับวิ่งหายไปไหนก็ไม่อาจทราบได้
มี่ถงกลางร่างกลับไปเป็นคน นั่งลงข้างกายผู้เป็นนายกล่าวอย่างหงุดหงิดใจว่า “ข้ามิใช่เคยเตือนท่านแล้วหรือ”
“ข้าก็ถูกเขาลากมาเถอะ จะเอาอะไรไปสู้”
เฟยเมี่ยวยามนี่ก็ใช่ว่าจะอารมณ์ดีพอที่จะโอนอ่อนกับอารมณ์ของผู้อื่น เขาเองก็ยังหงุดหงิดกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ไม่น้อย
มี่ถงที่เห็นผู้เป็นนายเริ่มออกอาการคล้ายว่าอยากจะทำลายอะไรสักอย่างขึ้นมา เขาก็รีบกลืนคำกล่าวที่เหลือลงคอไป แล้วถามว่า "สตรีที่อยู่ข้างกายเจ้าตำหนักเหวิน นางเป็นผู้ใดหรือขอรับ"
"หึ คู่มั่นคู่หมายกระมัง"
"เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร" มี่ถงขมวดคิ้ว คนผู้นั้นลากนายน้อยของตนมาถึงแดนเหมันต์นี่ วันนี้กลับมีคู่มั่นคู่หมายโผล่มา แล้วนายน้อยของเขาเล่า จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร “นายน้อยเช่นนั้นเราหนีกันเถอะขอรับ ตอนนี้เจ้าแมวอ้วนนั่นไม่อยู่ด้วย เป็นโอกาสดีเลยทีเดียว”
“เหมียว โอกาสกับมารดาเจ้าสิ”
พูดถึงแมว แมวก็มา เสี่ยวไป๋กลับมาพร้อมกับสุราหลายไห ปากแมว ๆ นั่นคายเชือกที่ผูกติดกับไหสุราออก จากนั้นใช้อุ้งเท้าตบแปะ ๆ เข้าที่ข้างไห มันนอนลงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เฟยอวี่อย่าไปฟังจิ้งจอกนิสัยเสีย
นายท่านของข้าดีต่อเจ้าที่สุด หากอยู่กับเขาทุกอย่างย่อมมีแต่เรื่องดีไม่มีเรื่องร้าย ”
มี่ถงแค่นส่งเสียงออกมาแผ่วเบา “เหอะ”
“ไอ้แมวขี้อวด” เฟยเมี่ยวส่งมือไปยีขนนุ่มฟูบนศีรษะของเสี่ยวไป๋
จากนั้นเขาก็คว้าเอาไหสุรามาถือไว้หนึ่งไห เมื่อเปิดฝาออกมาเพื่อสูดดมกลิ่น เฟยเมี่ยวก็ต้องร้องวาวออกมาในใจ
“อู่เหลียงเย่!!”
เขาคว้าไหสุราทั้งหมดมากอดไว้ แล้ววิ่งออกไปนั่งใต้ต้นเหมยต้นใหญ่ ใช้แผ่นหลังพิงลำต้นจิบสุราอย่างเพลิดเพลิน ปากก็พร่ำบอกว่า สุราดี สุราดี
อู่เหลียงเย่เป็นสุราที่กลั่นจากธัญพืชห้าชนิดอันได้แก่ ข้าวเหนียว ข้าว ข้าวสาลี ข้าวฟ่างแดง และข้าวโพด สุราชนิดนี้เป็นเมรัยชั้นยอดของเมืองอี๋ปิน ในมณฑลเสฉวน เขาเคยดื่มครั้งแรกก็ต้องที่เพื่อนร่วมงานเอามาให้ลอง ตอนนั้นอีกฝ่ายบอกว่าเป็นของหายากและขึ้นชื่อมากในแถบบ้านเกิด
จุดเด่นของอู่เหลียงเย่อย่างแรกอยู่ที่กลิ่น เมื่อเปิดฝาออกมาแล้วจะต้องได้กลิ่นหอมหวนสะกดใจของผู้ดื่ม ยิ่งกลิ่นหอมแรงมากถึงจะดี ต่อมาก็เป็นเรื่องของดีกรีที่รุนแรงมากทีเดียว หากมิใช่คอทองแดงหรือเป็นผีสุราแล้วละก็ รับรองได้ว่าเพียงดื่มไปจอกเดียว ก็จะนอนหลับฝันหวานไปจนถึงรุ่งสาง สีของสุราเป็นน้ำใสไร้ซึ่งสี รสชาติของอู่เหลียงเย่เป็นรสหวานอมเปรี้ยว อร่อยมาก
และจุดเด่นของสุราชนิดนี้ข้อที่สำคัญที่สุด ที่เฟยเมี่ยวทดสอบมาด้วยตนเองแล้วก็คือ อู่เหลียงเย่มีกลิ่นหอมที่ติดปากนานมาก จำได้ว่าวันนั้นอาจวินอยากจะลองดื่มดู แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายคออ่อนเกินไป เขาจึงเสนอทีเล่นทีจริงให้อีกฝ่ายชิมจากปากของตนแทน ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากนั้นทั้งคนชิมทั้งตัวเขาเอง จะมัวเมาอยู่ในรสสุราจนเข้าสู่วันใหม่
เฟยเมี่ยวมีรอยยิ้มขมขื่นแต่งแต้มใบหน้า ป่านนี้แล้วคนทางโน้นจะยังรอให้เขากลับไปหาหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้เลย คิดถึงเหลือเกิน….
เสี่ยวไป๋เองก็วิ่งขึ้นมานอนบนตักของเฟยเมี่ยว จากนั้นก็ใช้อุ้งเท้ายกไหสุราขึ้นมา ใช้ลิ้นเล็กทๆ เลียน้ำเมาในไหอย่างเอร็ดอร่อย
มี่ถงมองนายน้อยของตนสลับกับเจ้าแมวอ้วนเสี่ยวไป๋ แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา จากนั้นก็ไปนั่งอยู่ข้างกาย เฟยเมี่ยวแล้วหยิบสุราขึ้นมาดื่มบ้าง
สุราไหแล้วไหเล่าถูกยกขึ้นดื่ม พอหมดเสี่ยวไป๋ก็วิ่งไปเอามาอีก
พวกเขาดื่มสุราชมดอกเหมยอยู่นานจนกระทั่งเฟยเมี่ยวกล่าวขึ้นมาอย่างเมามายว่า “แม้มิใช่สุรากู๋จิ่ง* ก็อยากจะร่ายกวีดั่งเช่นโจโฉ”
เขายกไหสุราขึ้นมาก่อนจะกล่าวเสียงอ้อแอ้ว่า "อยู่ต่อหน้าสุรา ก็ต้องร้องเพลง ชีวิตของคนไม่ยืนนาน"
มี่ถงมองนายน้อยของตนที่ปัดเจ้าแมวอ้วนออกจากตักจากนั้นก็นอนลงท่ามกลางไหสุรา ตัวเขาเองดื่มไปเพียงนิดเดียวจึงมิได้เมามายเช่นผู้เป็นนาย และเจ้าแมวขี้เมา ที่เมาจนหลับไปแล้ว แต่ที่เขาสงสัยตอนนี้คือ โจโฉคือผู้ใด?
มี่ถงส่ายหน้าไล่ความคิด จะใครก็ช่างเถอะ ถือสาอะไรกับคำพูดของคนเมา เขาดูจนแน่ใจว่าเสี่ยวไป๋หลับสนิทไปแล้วจากนั้นจึงอุ้มเฟยเมี่ยวขึ้นมาไว้แนบอก อย่างไรก็ต้องไปจากที่นี่ ตำหนักซือโฮ่วเป็นพวกไม่เข้ากับฝ่ายใด ที่พาเขากับนายน้อยมามีจุดประสงค์อะไรก็ไม่แน่ชัด เพื่อความปลอดภัยของนายน้อยอย่างไรก็อยู่ที่นี่มิได้
!!!
เพียงแต่คงไม่ง่ายนัก เพราะทันทีที่หันหลังกลับไป ก็พบกับเหวินฮุ่ยเฉิงที่ยืนมองพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
พวกเขาทั้งคู่จ้องตากันอยู่อย่างนั้นไม่มีผู้ใดคิดหลบหลีก ยิ่งเมื่อเหวินฮุ่ยเฉิงเห็นจิ้งจอกน้อยของตนอยู่ในอ้อมแขนของผู้อื่น ดวงตาสีนิลก็ยิ่งทอประกายมุ่งร้ายเข้มข้น
เขากดเสียงต่ำกล่าวว่า “ส่งเฟยเอ๋อร์มาให้ข้า”
มี่ถงหาได้หวาดกลัวคนผู้นี้ไม่ เขารู้ตัวดีว่ามิอาจเทียบเคียงกับอีกฝ่ายได้ แต่แล้วอย่างไรเล่า หน้าที่ของเขาคือการปกป้องนายน้อย ถึงต่อให้ไม่ใช่หน้าที่ หัวใจของเขามันก็ยังเรียกร้องให้ปกป้องคนผู้นี้ ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องทั้งนั้น
“ข้าบอกให้ส่งเฟยเอ๋อร์มาให้ข้า” เหวินฮุ่ยเฉิงกล่าวเสียงเนิบช้า
“นายน้อยของข้า เหตุใดต้องส่งให้เจ้า”
ชั่วพริบตานั้นเหวินฮุ่ยเฉิงก็เข้าประชิดตัวมี่ถงอย่างรวดเร็ว แล้วดึงตัวเฟยเมี่ยวออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายจากนั้นสกัดจุดไว้ไม่ให้มี่ถงขยับ
มี่ถงที่คิดก้าวถอยหลังยามนี้กลับไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว นายน้อยเฟยเอ๋อร์ตกไปอยู่ในมือของเหวินฮุ่ยเฉิงแล้ว และภาพต่อจากนั้นก็ทำให้มี่ถงต้องขบกรามและกำหมัดแน่นด้วยโทสะที่พวยพุ่ง
เหวินฮุ่ยเฉิงวางคนที่ตัวอ่อนปวกเปียกเพราะเมามาย ให้ยืนบนพื้น ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งประคองกอดเอวบางไว้ มืออีกข้างเฉยคางมนขึ้นมารับจุมพิตร้อนแรงจากตน กลิ่งหอมรุนแรงของเหล้าอู่เหลียงเย่ที่อีกฝ่ายเพิ่งดื่มเข้าไปยังติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก รสหวานของมันเมื่อรวมกับริมฝีปากอ่อนนุ่มของคนในอ้อมกอด มันกลับกลายเป็นสุราชั้นดีที่มอมเมาให้เขาแทบคลั่ง
เฟยเมี่ยวที่ยังไม่ทันได้สติเพราะน้ำเมา ยกมือขึ้นกอดเกี่ยวไปที่คออีกฝ่าย ทำให้ร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น
เหวินฮุ่ยเฉิงจ้องมองมี่ถงอย่างท้าทาย เขาถอนริมฝีปากออก แล้วอุ้มเฟยเมี่ยวขึ้นแนบอก กล่าวกับมี่ถงอย่างเย็นชาว่า “เฟยเอ๋อร์เป็นของข้า ไม่ว่าจะเป็นแต่ก่อน หรือตอนนี้ เขาก็เป็นคนของข้า อย่าได้คิดเกินเลยกว่าหน้าที่ของเจ้า หาไม่ข้าจะ….”
เขากล่าวแค่นั้นแล้วหันเดินออกมา คนผู้นี้เป็นของเขา ตั้งแต่ในถ้ำคืนนั้น บ่อยครั้งที่ความรู้สึกว่าในใจมันคอยแต่คะนึงหา และเอาแต่ร้องเตือนว่า เฟยเอ๋อร์นั้นเป็นคนที่เขารอมานานแสนนาน เป็นคนที่เขาจะเสียไปไม่ได้ อีกฝ่ายเกิดมาเพื่อเป็นของเขา เช่นเดียวกันกับเขาที่เกิดมาเพื่อเป็นคนของอีกฝ่ายเท่านั้น
ในคราแรกเขาหาได้เข้าใจความรู้สึกแรงกล้าเช่นนี้ไม่ ความผูกพันลึกซึ้งเข้ามาจู่โจม ในวันที่ได้สัมผัสแนบชิด ความรู้สึกที่มากล้นเช่นนี้เขาไม่เคยมีให้แก่ผู้ใด ตลอดมาเขาก็หาได้เข้าใจว่ามันคือรักหรือเพียงหลงใหลอีกฝ่าย
แต่เมื่อครู่ที่เห็นจิ้งจอกน้อยอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่น เขาสามารถพูดได้เลยว่าเขาเกิดความหึงหวง หากว่านี่จะเป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ เขาก็อยากจะใช้เวลาที่มีในการเรียนรู้มันไปพร้อมกับคนในอ้อมแขนไม่ว่ามันจะใช้เวลานานสักเพียงใดก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วผลลับมันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
*สุรากู๋จิ่งผลิตจากหมู่บ้านเจี่ยนเจีย อำเภอเหา มณฑลอันฮุย อำเภอเหา สมัยก่อนชื่อว่า "อำเภอเฉียว" เป็นบ้านเกิดของโจโฉ ด้วยความที่โจโฉนชืชอบสุราของบ้านเกิดของตนมาก จึงมักชมว่า สุราของบ้านเกิดหวานปานน้ำผึ้ง จนถึงปัจจุบัน ยังมีนิทานเล่าขานกันเรื่องที่โจโฉเมาสุราและแต่งบทกวี เล่ากันว่า ก่อนที่จะออกสู่สนามรบที่เมืองชื่อปี้ โจโฉจัดงานเลี้ยงให้กับบรรดาแม่ทัพ หลังชนแก้วดื่มเหล้าแล้ว โจโฉแต่งกวีบทหนึ่งออกมาว่า "อยู่ต่อหน้าสุรา ก็ต้องร้องเพลง ชีวิตของคนไม่ยืนนาน"
พูดคุยกับเถียนซินได้ที่
เพจ เถียนซิน
ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบมากๆเลยค่ะ
เอ็งไปเคลียร์แม่คู่หมั้นคู่หมายออกไปก่อนเถอะ
รอน้าา จะสอบเเล้วว555(เเบบจีน=ร้องไห้)
สู้ๆน้าา เค้ารอยุววว
คู่หมั้นคู่หมาย เขียนแบบนี้นะคะ
นอกเรื่องครั้งที่ 2 อยากให้แมวกินจิ้งจอกดำ แค่กๆ
สู้ๆๆรอติดตามอยู่นะ หายไวๆมาไวๆน้าาาาา