ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    麒麟與月亮 กิเลนเคียงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่.8 อู๋เหลียวตง 100%

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 64


    บทที่.8

    อู๋เหลียวตง

    เมืองฉางชุนเป็นเมืองขนาดกลาง ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่เท่าเฉิงตู ในเมืองเน้นขายพืชสมุนไพร และหยูกยา พวกเขาขี่ม้ามาตลอดทาง กว่าจะถึงเมืองฉางชุนก็ดึกแล้ว จึงเลือกพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่า…

    "ขออภัยด้วยจริง ๆ ขอรับ ห้องพักของเรายามนี้ เหลือเพียงห้องเดียวแล้ว อย่างไรพวกท่านทั้งสองคนเอ่อ...พักด้วยกันได้หรือไม่ขอรับ"

    หลี่เค่อเฟิง "ไม่…"

    "ได้" ชิงเถาเอ่ยแทรกขึ้น พลางยื่นเงินให้เสี่ยวเอ้อ "ขออาหารสำหรับสองคน จานผัดหนึ่งอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง อาหารขึ้นชื่อของพวกเจ้าอีกสักอย่าง ยกขึ้นไปให้ด้านบน"

    เสี่ยวเอ้อรับตั๋วเงินมาหน้าตาชื่นมื่น "ได้ขอรับ ๆ เชิญพวกท่านไปพักรอที่ห้องให้สบาย อีกสักครู่ข้าจะนำอาหารเข้าไปให้"

    "..." หลี่เค่อเฟิงมองบานประตูที่เปิดค้างเอาไว้ ชิงเถาก้าวเข้าห้องไปแล้ว เขากลับก้าวขาไม่ออก สุดท้ายเอ่ยทั้งที่ยังอยู่ด้านนอก "เจ้า...จะนอนที่นี่จริง ๆ หรือ"

    ชิงเถาหันมองเขาเนิ่นนาน อยู่ ๆ ก็เอ่ย "ประมุขหลี่ไม่ต้องกังวลถึงเพียงนั้น ข้านั่งหลับได้ ท่านนอนบนเตียงเถอะ"

    "จะได้อย่างไร" ตอนยังไม่กล่าวก็ไม่เท่าไหร่ พอกล่าวไปแล้ว กลับรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ถูกนัก ต้องรีบเปลี่ยนคำ "ข้าหมายถึง เตียงให้เจ้านอน ข้าไม่ง่วงนัก อยู่จนถึงรุ่งสางได้"

    "นั่นก็ไม่ถูกนะ ข้านั่งได้จริง ๆ"

    พอขัดเขาเรื่องห้องเสร็จ ท่าทางของอีกฝ่ายก็ดูว่าง่ายมากขึ้น หลี่เค่อเฟิงชั่งใจครู่หนึ่ง จะกล่าวเสียงแผ่ว "เช่นนั้นพวกเรานอนด้วยกัน?"

    "ตกลง!"

    "..." น้ำเสียงช่างต่างจากเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว เมื่อครู่คงมิใช่ว่า อืมเสแสร้งแกล้งทำหรอกกระมัง…

    ก่อนนอนก็ต้องกินข้าวก่อน เสี่ยวเอ้อยกอาหารเข้ามาให้ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็กินจนหมด พอกินหมดแล้วถึงเพิ่งนึกถึงปัญหาอีกข้อ เรื่องเตียงนอนนั้น ความจริงยังไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ คือถังน้ำใบนั้นที่อยู่หลังฉากกั้นต่างหากเล่า 

    เสี่ยวเอ้อยกน้ำขึ้นมาแล้ว ผู้ใดจะเป็นผู้ไปอาบก่อน

    ชิงเถา "..."

    หลี่เค่อเฟิง "..."

    อย่างไรก็หลอกนอนเตียงเดียวกับเขาได้สำเร็จแล้ว ชิงเถาจึงอารมณ์ดียิ่ง ทั้งไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ "เช่นนั้นท่านอาบก่อนเถอะ ข้าค่อยให้เสี่ยวเอ้อยกน้ำมาอีกรอบก็ได้"

    หลี่เค่อเฟิงเหลือบมองเขา สุดท้ายก็ไม่โต้เถียง เพียงถือชุดใหม่ และผ้าหนึ่งผืนเข้าไปหลังฉากกั้น เสียงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าดังแว่วมาเป็นระยะ จากนั้นก็มีเสียงน้ำที่หกออกมาจากถัง ประมุขหลี่อาบน้ำแล้ว ชิงเถาเดินออกไปบอกเสี่ยวเอ้อ อีกสักครู่ให้นำน้ำร้อนมาเติมอีก 

    จากนั้นนั่งเช็ดมีดสั้นของตนไปพลาง รอหลี่เค่อเฟิงไปพลาง กระทั่งคนออกมาแล้ว ทั้งตัวสวมเพียงชุดสีขาวเบาบางชั้นเดียว พอเห็นภาพนี้ เขาก็ถึงกับอยากจะหยอกเย้าอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ด้วยไม่อยากให้ต้องมีปากเสียงกัน จึงอดกลั้นเอาไว้ เพียงรอให้เสี่ยวเอ้อเปลี่ยนน้ำให้เสร็จ ค่อยเข้าไปอาบ

    กลับเป็นหลี่เค่อเฟิงที่ว้าวุ่นใจ เขายอมให้อีกฝ่ายมานอนบนเตียงด้วย ทั้งยังยอมด้วยตนเอง ทั้งที่ชิงเถาไม่ได้บีบบังคับ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ประมุขหลี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไป ณ สถานที่อันแสนไกลบนท้องนภา มีดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่น แม้ไม่สุกสกาว ฉายแสงอย่างยามเต็มดวง แต่ก็งดงามไปอีกแบบ 

    เสียงน้ำในถังกระเพื่อมตามการขยับตัว ลอดเข้าหูเป็นระยะ หลี่เค่อเฟิงสะบัดศีรษะเรียกสติของตน ทั้งยังเบิกตาจนกว้างเท่าไข่ห่าน จ้องมองดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้า ใจยังถึงกับอยากจะยกมือขึ้นมาปิดหูตนเอง เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป

    ผ่านไปสองเค่อ ชิงเถาก็ออกมา ตอนแรกประมุขหลี่ยังถึงกับยกมือขึ้นลูบอกตน ต่อมาพอมองคนผู้นั้นให้ดีอีกหน่อย ดวงตาคมคู่นั้นก็สั่นระริก 

    บัดซบ! เสื้อผ้าทั้งชุด แค่สวมให้ดีมันจะตายหรือไง!

    ชิงเถาทิ้งเส้นผมยาวของตนเต็มแผ่นหลัง เขากวาดตามองท่าทางของหลี่เค่อเฟิงรอบหนึ่ง จึงค่อยก้มลงมองตามสายตาของอีกฝ่าย สำราจเรือนร่างของตน จากนั้นก็อดไม่ได้ ต้องหัวเราะออกมา 

    ขายาวก้าวขึ้นไปบนเตียงกว้าง ขยับเข้าไปนอนด้านในอย่างไม่อินังขังขอบ ดูจากท่าทีแล้ว ยังคล้ายคุ้นชินกับอะไรแบบนี้ "ท่านก็มานอนเถอะ นั่งตากลมอยู่ตรงนั้นทำไม"

    เขาย่อมรู้ว่า แววตาคมคู่นั้นสื่อถึงอะไร คนคงอยากจะด่าเขาเสียเต็มประดา แต่ด่าไม่ออก แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เขาตั้งใจทำ ทั้งผูกสายรัดเอวหลวม ๆ ทั้งสาบเสื้อที่ถูกแหวกออก จนเห็นมัดกล้ามงดงาม

    เขารู้ว่าตนเองมิได้เอวบางร่างน้อย ออกจะมีร่างกายแบบที่สตรีหมายปองด้วยซ้ำ ทั้งยังมิได้หมดจดงดงาม ออกจะหล่อเหลาคมคายเสียอีก แต่แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้มีหน้าตาเช่นนี้ รูปร่างเช่นนี้ เขาก็ล่อลวงประมุขพรรคเสี้ยวจันทราได้แล้วกัน 

    "ไร้ยางอาย!"

    น้ำเสียงอดกลั้นสุดจะทนของอีกฝ่าย ทำให้ชิงเถาเงยหน้าขึ้น มองเขาตาปริบ ๆ จากนั้นคลียิ้มงดงามอย่างบุรุษ "ข้าก็เพียงจะเข้านอน อยู่ ๆ ประมุขหลี่จะมาด่าทอกันทำไม"

    "เข้านอนก็เข้านอนสิ!" หลี่เค่อเฟิงกล่าว "เหตุใดต้องแต่งตัวเช่นนี้"

    ก้มลงสำรวจตนเองเล็กน้อย ดวงหน้าของชิงเถาก็ฉายความไม่เข้าใจ ทั้งที่ดวงตาพราวระยับ "แต่งตัวเช่นไร ก็ชุดเหมือนท่านมิใช่หรือ"

    "เจ้านี่มัน…"

    "หรือว่า" องครักษ์หนุ่มหรี่ตาลง ยิ้มจนดวงตาหยีโค้ง "ประมุขหลี่เกิดเห็นเรือนร่างของข้า แล้วพึงใจขึ้นมากระทันหัน ท่านกลัวจะเสียหน้า ที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ปฏิเสธข้าใช่หรือไม่ นี่...เฮ้อ"

    หลี่เค่อเฟิงยามนี้ "..."

    "เฟิงอวิ๋นท่านไม่เข้าใจ นี่ไม่นับเป็นอะไรจริง ๆ นะ" ชิงเถากล่าว "หากยามนี้ท่านคิดตกแล้ว อยากเปลี่ยนใจขึ้นมา คืนนี้พวกเราเข้าหอกันก็ได้ วันพรุ่งค่อยเดินทางกลับเมืองเฉิงตู ไปพูดคุยกับบิดามารดาข้า ตบแต่งข้าให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ได้แล้ว"

    หลี่เค่อเฟิงที่เพิ่งฟังจบ "..."

    "อีกทั้งหากท่านไม่ยินยอม รู้สึกไม่อยากแต่งข้าเป็นภรรยา เช่นนั้นพวกเรามาเปลี่ยนกันเถอะ ข้าจะเป็นสามีให้ท่านเอง สินสอดเท่าใดเรียกร้องได้เต็มที่ เป็นชิงฮูหยินดีมากนะ ชั่วชีวิตไม่ลำบากแน่นอน ทั้งข้ายังไม่มีทางมีสามภรรยา สี่อนุ ชั่วชีวิตจะแต่งท่านเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียว บ้านอื่นภรรยาต้องเชื่อฟังสามี แต่ข้ารับรองจะเป็นสามีที่ดี เชื่อฟังท่าน เช่นนี้ดีหรือไม่"

    "..."

    "ถ้าท่านเห็นว่าดี เช่นนั้นพวกเราเข้าหอกันเถอะ!"

    คำด่าที่เตรียมจะพ่นออกมา ถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อใดก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ จึงได้ยอมรับปาก จะนอนบนเตียงเดียวกับคนผู้นี้ มาคิดดูอีกที ช่างเป็นความคิดเหลวไหลสิ้นดี

    เหลวไหลก็ส่วนหนึ่ง แต่พูดแล้วไม่ทำตามก็ส่วนหนึ่ง สุดท้ายหลี่เค่อเฟิงถูกคำพูดของชิงเถาตีแสกหน้า ฟังไปฟังมาจนเวียนหัวตาลาย เขามองชิงเถาด้วยแววตาว่างเปล่าครู่หนึ่ง จากนั้นขยับกายลุกขึ้นเดินไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม นอนลงราวกับต้องมนต์สะกด 

    คำพูดประโยคเดียวที่เอ่ยกับชิงเถา หลังจากที่ศีรษะถึงหมอนแล้ว ก็คือ "นอนเถอะ"

    ชิงเถาที่เฟิงอวิ๋นไม่ยอมทะเลาะด้วย จึงพาตนเองนอนลงข้างกายเขาเงียบ ๆ ไม่กล่าวคำอีก

     

    เช้าวันต่อมา พวกเขาต่างตื่นแต่เช้าตรู่ จัดการธุระของตนเอง ราวกับคำพูดยืดยาวของชิงเถาไม่เคยเกิดขึ้น กระทั่งถึงยามซื่อช่วงปลาย คนทั้งสองจึงมีเวลาให้พูดคุยกัน 

    หลี่เค่อเฟิงมองมือเรียวของชิงเถาค่อย ๆ บรรจงหยิบใบชาออกมาจากหีบใบเล็ก ชงในน้ำอุ่นอย่างเบามือ ท่าทางชำนิชำนาญไม่น้อย มือคู่นั้นของอีกฝ่าย มิได้บอบบางอย่างมือสตรี ทั้งไม่ได้เล็กนิดเดียว ดูนุ่มนิ่มอย่างมือของอาลู่ หากมองให้ดี ยังจะเห็นว่ามีรอยแผลเป็นจาง ๆ รอยด้านจากการฝึกกระบี่ แต่เมื่อทำเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ กลับทำให้มิอาจละสายตาได้

    ชิงเถาเห็นดวงตาคมเฝ้ามองมือเขาไม่ห่าง ยังราวกับแมวกำลังมองเนื้อปลา ก็หัวเราะออกมา "มองจนมือข้าจะทะลุหมดแล้ว"

    หลี่เค่อเฟิงรับถ้วยชามาจากมืออีกฝ่าย ลองชิมดูก็พบว่า เป็นชาผสมกับดอกไม้ชนิดหนึ่ง แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นดอกอะไร มีกลิ่นหอมหวานอย่างดอกไม้ รสชาติขมเล็กน้อยของชา เข้ากันได้ดียิ่ง เขาเหลือบตามองอีกฝ่าย แม้รู้สึกพอใจกับรสชาติชามาก ก็ยังเอ่ยเพียง "พอใช้ได้"

    "ชอบก็ดีแล้ว

    "มือของเจ้า…"

    "หืม" ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามอีกฝ่าย ชิงเถายกสองมือขึ้นมา พลางถาม "มือข้าทำไมหรือ"

    "เจ้าเคยฝึกกระบี่?"

    "อ๋อ" ดวงตาชิงเถาหลุบลงเล็กน้อย มือฝ่ามือของตน "เคยฝึกสิ"

    หลี่เค่อเฟิงวางถ้วยชาลง ก่อนถามต่อ "ข้ากลับไม่เคยเห็นเจ้าใช้มัน"

    "ข้าเคยฝึกจริง เพียงแต่ไม่ถนัดนัก อาจารย์บอกว่าพื้นฐานข้าย่ำแย่ ออกกระบวนท่าแต่ละครั้ง ก็ชวนให้คนหน้ามืดตาลาย จึงเลิกล้มไปฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่าแทน"

    "เช่นนั้นถุงมือเสินมู่…"

    "เป็นตาแก่นั่นมอบให้น่ะ" เขายกชาขึ้นมาดื่มจนหมดจอก ก่อนเล่าต่อ "อาจารย์ข้าเป็นพวกไม่ได้เรื่องได้ราว ในหนึ่งเดือนก็เป็นผีสุราไปแล้วยี่สิบกว่าวัน กว่าจะขุดตัวเองขึ้นมาจากไหเหล้า สอนสั่งอะไรดี ๆ ให้ข้าได้ ข้าก็ทำความเข้าใจเองไปหมดแล้ว"

    นึกถึงบุคคลเช่นนี้ ในยุทธภพกลับไปเจอสักคน หลี่เค่อเฟิงถามอย่างไม่แน่ใจนัก "มีคนเช่นนี้จริงหรือ"

    "มีสิ"

    "เช่นนั้นวรยุทธ์ของเจ้า ก็เป็นคนเช่นนี้สั่งสอนมา"

    "ใช่น่ะสิ คนไม่ได้เรื่องเช่นเขา สั่นสอนศิษย์ที่มีความสามารถเช่นข้าได้คนหนึ่ง ท่านว่ามหัศจรรย์หรือไม่เล่า"

    ด้วยความสามารถของชิงเถา หากกล่าวว่าเขาไม่เคยกราบอาจารย์ นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่หากบอกว่าเรียนมาจากในวังหลวง นี่ก็เป็นไปไม่ได้อีก วรยุทธ์ของเขาเจ็ดแปดส่วนอำมหิต โหดเหี้ยม ผิดแผลกไปจากวิถียุทธ์ของพวกวีรชนพวกนั้น 

    เดิมหลี่เค่อเฟิงเคยคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าอาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์ของอีกฝ่ายเป็นใคร เคยถกกันกับผู้อาวุโสหูสือ และผู้อาวุโสฮวาเหลียนด้วยซ้ำ สุดท้ายก็ยังไม่อาจปักใจได้ ว่าเป็นใครกันแน่ 

    ยามนี้คนกลับบอกว่า อาจารย์ของตนเป็นผีสุราไม่ได้เรื่องคนหนึ่ง จะให้เชื่อได้อย่างไร หรือว่าบนโลกนี้ ยังจะมียอดฝีมือที่เร้นกายจากยุทธภพได้อีก?

    มองดูแล้ว เขาคงไม่อยากพูดถึงอีก หลี่เค่อเฟิงเลยเปลี่ยนเรื่อง ในที่สุดก็มีเวลา ถามถึงสาเหตุที่ถูกรบเร้าให้ออกมาจากหุบเขาแสงจันทร์เสียที "เจ้าให้ข้าออกมากับเจ้า ตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่"

    ชิงเถาตอบกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี "หาหมอมาตรวจอาการป่วยของท่าน"

    "ยุ่งไม่เข้าเรื่อง" หลี่เค่อเฟิงส่ายหน้าเหนื่อยใจ "เดิมก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า วุ่นวายไปทำไม"

    "ข้าเป็นห่วงท่าน"

    คำกล่าวอย่างตรงไปตรงมานี้ หลี่เค่อเฟิงรู้สึกรับไม่ไหวไปชั่วขณะ เขานิ่งงันอยู่เช่นนั้น สุดท้ายทำเพียงทอดถอนใจออกมา "ทำเรื่องเปล่าประโยชน์เรื่องหนึ่ง หากสุดท้ายทำอะไรไม่ได้ อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าแล้วกัน"

    เขาคือชิงเถา ชิงเถาที่เป็นคนที่คอยทำตามคำสั่งหวางเมิ่งหยวน เรียกลมเรียกฝนเขายังทำให้ญาติผู้พี่ได้ เหตุใดจะช่วยหลี่เค่อเฟิงไม่ได้เล่า 

    เสียงร้องแหลมสูงของเหยี่ยวขาวตัวหนึ่ง ดันขึ้นมาจากทางหน้าต่าง พอเห็นมันเข้า ชิงเถาก็ผุดลุงขึ้น ยื่นมือออกไปคิดคว้าร่างของมัน เหยี่ยวตัวนั้นกลับบินหลบเขา จากนั้นโฉบขึ้นไปบนฟ้า 

    ด้วยมันไม่เคยเป็นเช่นนี้ ชิงเถาจึงตกใจมาก เกรงว่ามันจะได้รับบาดเจ็บ ชายหนุ่มรีบกระโดดออกทางหน้าต่าง ปีนขึ้นไปบนหลังคาของโรงเตี๊ยม มองดูเหยี่ยวขาวต้าอู่บินวนไปมา พลางแผดเสียงร้อง "เด็กดีมานี่เร็ว!"

    เหยี่ยวตัวนั้นเชื่อฟังเขามาก ขอเพียงเขายอม มันก็จะเกาะติดกับเขาทั้งวี่ทั้งวัน ยามนี้กลับเอาแต่บินเป็นวงกลม ไม่เข้ามาหา ไม่ออดอ้อนทั้งไม่โจมตี…

    เดี๋ยวนะ!

    ชิงเถากวาดตามองรอบกาย เห็นอยู่ว่าบนหลังคามีเพียงเขา กับเสียงเพลงจากซวินที่ดังแผ่วเบา ชิงเถาเงยหน้าขึ้นมองเหยี่ยวขาวตัวนั้นอีกครั้ง แววตาพลันเข้มขึ้น ชั่วพริบตานั้น ชายหนุ่มพลันกระโดดขึ้นสูง หวังคว้าตัวต้าอู่เอาไว้ มิคาดพอตัวลอยอยู่กลางอากาศแล้ว ศรเงินจากหน้าไม้กลับพุ่งเข้ามาโจมตีเขา!

    นี่เป็นเพราะอยู่กลางอากาศ ชิงเถาหลบไม่พ้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง มองศรหัวเหล็กที่พุ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก 

    ทันใดนั้นลำแสงสีแดงจากกระบี่ซีอี้ก็พุ่งผ่านอากาศ ตัดศรดอกนั้นขาดเป็นสองท่อน พลังในการส่งตัวหายไปทันที ทำให้ลูกศรไม่อาจสำแดงเดช ส่วนชิงเถาก็ร่วงลงมาจากฟ้าเช่นนั้น 

    "ชิงเถา!" หลี่เค่อเฟิงแผดเสียงร้องด้วยความตกใจ เขาเหยียบขอบหน้าต่าง ส่งแรงพุ่งตัวขึ้นกลางอากาศ ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของอีกฝ่าย

    แต่กลับช้าไปหนึ่งก้าว เบื้องหน้าพลันปรากฏร่างของบุรูษในชุดสีขาวโพลนผู้หนึ่ง มือข้างหนึ่งเขาดึงรั้งเอวของชิงเถาเข้าหาตัว ใบหน้าขององครักษ์หนุ่มแนบไปกับอกแกร่ง อีกมือยื่นออกไป เหยี่ยวขาวตัวนั้นก็บินมาเกาะอย่างเชื่อฟัง 

    ชายชุมคลุมขนจิ้งจอกของเขาปลิวไสว ยามเท้าทั้งสองข้างแตะพื้น ขนาดเศษฝุ่นยังไม่ทิ้งรอย วรยุทธ์ของคนผู้นี้ย่อมไม่สามัญแน่ หลี่เค่อเฟิงกระโดดตามลงมา ท่ามกลางตรอกสายหนึ่ง ไร้ซึ่งผู้คน บุรุษสองคนยืนนิ่งสบตากัน ส่วนอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในอ้อมแขนผู้มาใหม่ ก็นิ่งงันไม่เคลื่อนไหวไปแล้ว 

    หลี่เค่อเฟิงเห็นเขานิ่งงันอยู่นานแล้ว ไม่รู้ว่าบาดเจ็บที่ตรงไหน กระบี่ซีอี้พลันลอยกลับมาอยู่ในมือ "ปล่อยคนได้หรือยัง จะกอดอีกนานไหม"

    "กอดหรือไม่ก็เรื่องของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้า" บุรุษผู้นั้นยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง บุปผาทั่วทั้งใต้หล้า ก็พร้อมสยบอยู่แทบเท้าเขา ยามเอ่ยวาจา กลับไม่น่าฟังสิ้นดี 

    ชิงเถาคล้ายเพิ่งได้สติกลับคืนมา เขาสะบัดศีรษะไล่ความคิด ก่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วก็ ตุบ 

    "โอ้ย!"

    ฟาดฝ่ามือใส่ไหล่ของคนผู้นั้นเต็มแรง "เล่นพอหรือยัง"

    ชายหนุ่มลูบไหล่ของตน ท่าทางยามคนงามถูกรังแกยังน่าสงสารยิ่ง "เถาเอ๋อร์ของเราโตแล้ว พอโตแล้วก็ถึงกับกล้าลงไม้ลงมือกับข้า ไร้หัวใจสิ้นดี!"

    "มิใช่ท่านลงมือก่อนหรือ" ชิงเถากลับไม่ยอมแพ้ ถลึงตามองอีกฝ่าย "ควบคุมต้าอู่ ยิงหน้าไม้หวงเยี่ย เมื่อครู่หากไม่ใช่ฝีมือท่าน จะเป็นผีหรือไง"

    คนงามตรงหน้ากล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าเย้าเจ้าเล่น"

    "เย้าเล่นกับผีน่ะสิ!"

    คนงามผู้นั้นมองชิงเถาคราหนึ่ง ก่อนหันมองหลี่เค่อเฟิงที่ยังกุมกระบี่ซีอี้เอาไว้ มองไปมองมาก็กุมอก ชี้หน้าพวกเขาสองคน ท่าทางยังคล้ายคับแค้นใจ ไม่ได้รับความเป็นธรรม "ข้าหรือสู้อุตส่าห์วิ่งลงเขามา เดินทางรอนแรมด้วยความคะนึงหามาตลอดทาง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้"

    "เช่นไร?"

    "จากกันหลายปี เจ้าไม่ส่งข่าวคราว ยามนี้อยากเรียกใช้ก็เรียกมา ทำไปแล้วเจ้าไม่เห็นความดี นี่ก็แล้วไปเถอะ ต่อหน้าชายชู้ ยังถึงกับด่าข้าตีข้า ชิงเถาเจ้านี่มัน!"

    หลี่เค่อเฟิงที่กลายเป็นชายชู้ "..."

    เห็นท่าทางกล้ำกลืนฝืนทนนี้ของอีกฝ่ายแล้ว ชิงเถาก็เบ้หน้า เค้นคำออกมาจากลำคอทีละคำ "อู๋ เหลียว ตง"

    น้ำเสียงนี้ ทั้งหมดความอดทน และเริ่มจะเดือดดาลแล้ว อู๋เหลียวตงย่อมไม่กล้าเล่นอีก รีบปรับใบหน้าของตนให้เคร่งขรึมจริงจัง "ไม่หยอกเจ้าแล้ว เจ้าเรียกข้าก็มาแล้วไง เถาเอ๋อร์เด็กดีอย่างเพิ่งมีโทสะ"

    "เฮ้อ" ชิงเถาจ้องมองอีกฝ่าย เนิ่นนานก็ถอนหายใจออกมา จนปัญญาจนไม่รู้จะทำเช่นไร หางตาเขายังเห็นหลี่เค่อเฟิงกุมกระบี่ จึงหันกลับไปหาอีกฝ่าย "คนรู้จักน่ะ ท่านเก็บกระบี่เถอะ"

    หลี่เค่อเฟิงหรี่ตาลงมองผู้มาใหม่ "เจ้าแน่ใจหรือ"

    "อืม" ชิงเถาพยักหน้ารับ "ก็คือหมอที่ข้าเรียก เอ่อ หามาเพื่อดูอาการท่าน"

    "คือเขา?" ดวงตาของประมุขหลี่กวาดมองทั่วร่างของคนตรงหน้า ตั้งแต่หัวจรดเท้า คนผู้นี้เหมือนหมอที่ไหนกัน 

    อู๋เหลียวตงถลึงตาจ้องมองประมุขหลี่ "เจ้าหนูมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร"

    "นี่ยังต้องถามหรือ"

    "...เจ้า"

    ชิงเถาดึงมือหลี่เค่อเฟิงเอาไว้ พลางส่ายหน้า "เข้าไปคุยกันด้านในเถอะ ทะเลาะกับเขาไป ตัวท่านก็เหนื่อยเปล่า"

    "เจ้าก็อีกคน!" อู๋เหลียวตงเบ้หน้า "เนรคุณนัก"

    ชิงเถากลับเมินสายตาดุดันนั้น ค้อมกายผายมือ "ผู้อาวุโสเชิญด้านในขอรับ"

     

    เขาเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโส นี่ย่อมหมายความว่าอายุมากแล้ว หลี่เค่อเฟิงกวาดตามองคนผู้นั้นขึ้นลงอีกรอบ พอไม่มีใครทันสังเกตก็มองอีกรอบ และอีกรอบ ประมุขหลี่กลับเชื่อมโยงคำว่า'ผู้อาวุโส' สามคำนี้กับคนตรงหน้าไม่ได้เลย 

    แม้เขาค่อนข้างมีอายุเล็กน้อย ก็ไม่ถึงกับเป็นผู้อาวุโสหรอก อย่างมาก ยังจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนด้วยซ้ำ ผิวของคนผู้นี้ซีดขาวราวหิมะยามเหมันต์ ดวงตาเรียวเล็กดูดื้อรั้น ริมฝีปากเป็นกระจับ คิ้วกลับเป็นคิ้วหงส์ มองดูแล้ว จะว่าหล่อเหลาก็เข้าท่า งดงามก็เข้าที ลักษณะเช่นนี้ คงเป็นคนประเภทที่เป็นที่หมายปองของทั้งบุรุษ และสตรีกระมัง 

    อู๋เหลียวตงดื่มชาที่ชิงเถารินให้ อารมณ์ยามนี้ปอดโปร่งยิ่ง เขาย่อมไม่ถือสาที่ดูแอบมองครั้งแล้วครั้งเล่า พอเห็นหัวคิ้วเข้มของหลี่เค่อเฟิงขมวดจนไม่น่ามอง ยังถึงกับเอ่ยสัพยอกเขาทีเล่นทีจริง "ประมุขหลี่กำลังคิดใช่หรือไม่ ว่าดวงหน้านี้ของเปิ่นจั้วงดงามยิ่ง"

    "..."

    "อั๊ยย่ะ เจ้าคิดเช่นนั้นไม่ผิดหรอก เราผู้เฒ่ารู้ดีว่าใบหน้านี้ช่างบาปหนานัก เพียงแต่ว่านะ ประมุขเฟิงต้องสงวนท่าทีสักหน่อย เจ้ามองข้าปานนี้ เถาเอ๋อร์ของข้าจะเกิดความหึงหวงเอาได้ ไม่ดีเลยจริง ๆ บาปกรรมนัก"

    กระบี่ซีอี้ที่อยู่ข้างเท้าสั่นกึก ๆ แทบพุ่งออกจากฝักแล้ว หลี่เค่อเฟิงถูกเขาก่อกวนจนมุมปากกระตุก แทบลุกขึ้นมาตีคน ดีที่ชิงเถาคอยห้ามเอาไว้ 

    ผ่านมาครึ่งค่อนวัน อู๋เหลียวตงก็เพียงเล่นกับนก พูดจามากมาย วกไปวนมา ไม่ตรวจอาการให้คนสักที สุดท้ายชิงเถาก็ทนไม่ไหว เอ่ยกับเขาตามตรง "ท่านตรวจเขาได้หรือยัง?"

    "รีบนักเจ้าไม่มาตรวจเองเล่า" คนงามกลับเลิกสนใจเขาแล้ว ยามนี้ท่าทางยังแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย 

    ชิงเถาชะงักไปครู่หนึ่ง จึงเหลือบมองหลี่เค่อเฟิง เห็นเขายังคงสังเกตคนอยู่ไม่ยอมแพ้ ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา กล่าวอย่างจนปัญญา "อาจารย์ขอร้องท่านละ ช่วยไว้หน้าข้าสักครั้ง"

    "ศิษย์เช่นเจ้าข้าต้องไว้หน้าหรือ ข้าอุตส่าห์..."

    "ขอร้องท่าน เข้าเรื่องเสียที

    สองศิษย์อาจารย์สบตากัน เนิ่นนานกว่าที่จะเป็นอู๋เหลียวตงที่ผละออก เขาปรายตามองหลี่เค่อเฟิง ก็เห็นว่าคนยังคงจ้องมองเขาอยู่ เขาหรี่ตาลงน้อย ๆ ก่อนโบกมืออย่างขอไปที กล่าวกับชิงเถา "เจ้าตัดใจเถอะ อีกหน่อยก็ตายแล้ว แต่งกับเขาไปเดี๋ยวก็เป็นหม่ายพอดี อายุสั้นปานนี้ยังจะมารักมาชอบกับศิษย์ข้า ไม่เอาไหน"

    เริ่มแรกได้ยินชิงเถาเรียกคนผู้นี้ว่าอาจารย์ หลี่เค่อเฟิงยังคงไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองนัก ผู้เยี่ยมยุทธ์เห็นหัวไม่เห็นหาง ที่อีกฝ่ายกล่าวก่อนหน้า 

    ความจริงกลับเป็นคนหนุ่มเช่นนี้ ชิงเถาเรียกเขาคำก็ตาเฒ่าสองคำก็ตาแก่ หลี่เค่อเฟิงยังคิดว่าผู้อาวุโสคงชรามากแล้ว อาจจะคล้ายผู้อาวุโสเหวินของพรรคเสี้ยวจันทราเรา ผู้ใดจะคาด กลับเป็นคนงามผู้หนึ่ง 

    นี่ก็ยังไม่เท่าไหร่ แม้หน้าตาจะงดงามจริง แต่ความงามนี้ไม่อยู่ในสายตาของหลี่เค่อเฟิง คนงามก็งามอยู่ แต่วาจากลับฟังไม่ได้สักประโยค ที่ทำให้เขาถึงกับตัวแข็งทื่อ สันหลังชาวาบ นั่นเป็นเพราะ เพียงปรายตามองเขาคราหนึ่ง คนกลับรู้ถึงอาการป่วยของเขา รู้...ถึงขนาดนั้น

    เห็นหลี่เค่อเฟิงตกตะลึงจนเงียบไป ชิงเถาก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว เขาหันไปดึงแขนเสื้อคลุมของอู๋เหลียวตง "อาจารย์ท่านอย่ากล่าวส่งเดช"

    "ข้าไม่เคยล้อเล่นกับชีวิตคน" กล่าวจบก็สะบัดชายเสื้อออกจากอุ้มมือของศิษย์ เชิดคางบ่ายหน้าหนี

    นี่เป็นความจริงข้อหนึ่ง ชิงเถารู้ดี อาจารย์ของเขาเป็นคนประหลาด แม้วาจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย แม้ชอบกล่าวคำไปเรื่อยเปื่อย แต่หากเขายอมลงมือตรวจอาการ หรือรักษาคนสักครั้ง คำพูดเขาเกี่ยวพันถึงชีวิต จะไม่มีคำโป่ปดเด็ดขาด เพียงแต่ว่านี่สิที่น่ากลัว เพราะหากมิใช่คำลวง นั่นก็แสดงว่า อาการของเฟิงอวิ๋นเกินเยียวยาแล้ว

    ชิงเถาสะบัดชายชุดคลุม คุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นอาจารย์ "ขอเพียงท่านช่วยเขาได้ ชิงเถายิ่งดีแลกด้วยทุกอย่าง"

    "เจ้าทำอะไร!" อู๋เหลียวตงลนลานเข้าไปประคองผู้เป็นศิษย์ "ลุกขึ้น ๆ เด็กคนนี้ อาจารย์เคยสอนให้เจ้าคุกเข่าขอชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่"

    หลี่เค่อเฟิงผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ หัวใจในอกกระตุกวูบ ใต้เข่าของบุรุษมีทองคำหนักหมื่นจิน เพื่อวิธีการรักษาคนอายุไม่ยืนเช่นตน คนผู้นี้กลับคุกเข่าโดยไม่ลังเล 

    ชั่วขณะนั้น เขาพลันเกิดความคิดแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ต่อให้ตรงหน้ามิใช่อาจารย์ของตน ชิงเถาก็คงยังทำเช่นนี้ ขอเพียงมีสักวิธีที่สามารถรักษาเขาได้ คนผู้นี้จะไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความลังเล 

    หลี่เค่อเฟิงพบว่า ส่วนลึกภายในใจที่เย็นชาของตนค่อย ๆ มีบางสิ่งแทรกซึมเข้ามาอย่างช้า ๆ เมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้ง สิ่งนั้นก็พัวพันอยู่ในอก เกาะกุมหัวใจที่ตายด้านของเขาเอาไว้ ค่อย ๆ มอบความอบอุ่นให้ทีละน้อย ปลอบประโลมจนเขาดีขึ้น 



    เปิดตัวอาจารย์เจ้าค่ะ Fcท่านอาจารย์นะเจ้าคะ พาน้องหนีไปปปปปปป


    พูดคุยกับเถียนซินได้ที่

    เพจ เถียนซิน

    ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×