ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    麒麟與月亮 กิเลนเคียงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่.6 ผิดทำนองคลองธรรมไปสักหน่อย แต่ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ 100%

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 64


    บทที่.6

    ผิดทำนองคลองธรรมไปสักหน่อย แต่ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ

    หลังจากวันนั้น ชิงเถาก็กลายเป็นแขกขาประจำของตำหนักแห่งนี้ ด้วยการเชิญตนเองอย่างมีชั้นเชิง กระทั่งหลี่เค่อเฟิงก็ยังจนด้วยความพูด สุดท้ายทั้งกินดื่มหลับนอน คนก็แทบจะมาทำในเรือนเขา 

    คนเชิญตัวเองมายังไม่เท่าไหร่ กระทั่งเสือเนรคุณตัวนั้นก็เห็นดีกับผู้อื่นไปด้วย เขาไม่รับแขกมันก็รับแทน เขาอยากส่งแขก มันก็รั้งให้แขกอยู่ ลั่วลั่วไม่ชอบคนแปลกหน้า เจ้าตัวดีมักจะหงุดหงิดเสมอ ยามผู้อื่นย่างกลายเข้ามาภายในอาณาเขตของมัน น่าแปลกพอเป็นชิงเถา นอกจากเจ้าตัวดีจะไม่โมโหแล้ว ยังกระดิกหางทำตัวเป็นแมวยักษ์ วิ่งเข้าไปออดอ้อนออเซาะราวกับตนเองเป็นแม่แมว

    ทั้งที่เป็นเสือตัวผู้แท้ ๆ!

    หลี่เค่อเฟิงเคยนำปัญหานี้มาขบคิดอยู่เป็นวัน อะไรทำให้มันกลายเป็นเช่นนี้ หรือโรครังเกียจมนุษย์ของมันจะหายแล้ว…

    วันต่อมาเขาถึงกับจงใจปล่อยมันออกจากกรง ในตอนที่หรงซินเยว่เข้ามาทำความสะอาด ผลปรากฏว่าแม่นางหรงผู้พี่ ยังไม่ทันจะได้ออกเรือน ตบแต่งให้คุณชายบ้านไหน ก็เกือบจะสิ้นชีพเพราะถูกเสือตะปบตาย 

    นางร่ำไห้ค่ำครวญอยู่เป็นวัน พบหน้าเขายามใด๋ก็เป็นต้องร้องให้เขาระคายหู เรียกร้องให้เขารับผิดชอบ ทวงถามว่ารู้ทั้งรู้ว่านางต้องเข้าไปทำความสะอาดเรือน รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีคนอื่นเข้าไป เหตุใดประมุขไม่พาลั่วลั่วไปนอนในกรงก่อน 

    หลี่เค่อเฟิงรักถนอมเจ้าแมวยักษ์ตัวนี้มาก ปกติไม่มีใคร เขาก็จะให้มันอยู่ด้านนอก มีอิสระเลือกที่หลับนอน อยากเดินก็เดิน กินก็กิน เหงาก็เล่นเป็นเพื่อน บางครั้งเขาฝึกยุทธ์ ยังถึงกับให้มันเป็นคู่ฝึก พอถูกจี้ถามมากเข้า จึงตอบกลับให้พ้นตัวเพียงว่า เคยชินไปหน่อย จึงหลงลืมไป

    แน่นอนว่าฟังไม่ขึ้นสักนิด หลังจากนั้นหูเขาก็ชา แทบไม่ได้ยินเสียงอีก เพราะหรงซินเยว่แผดเสียงใส่ 

    กระทั่งหน้าที่ทำความสะอาด และดูแลตำหนักของเขา ยังถูกโยนไปให้ชิงเถาอย่างคาดไม่ถึง พอเขาถกเถียงจะไม่ยอมความ กลับถูกนางมารน้อยแซ่หรงชี้หน้าด่า 

    'นี่เป็นเพราะท่านประมุขประมาทเลินเล่อ ขาดความระมัดระวัง พวกเราล้วนแต่ยังมิทันได้แต่งงานมีครอบครัว อย่างไรก็จะไม่ขอเสี่ยงชีวิต ไปเป็นอาหารให้เจ้าลั่วลั่วเด็ดขาด'

    เหตุผลบ้าอะไร!

    ลั่วลั่วของเขาเคยกัดคนที่ไหน กินใครได้หรือ มันก็แค่เสือตัวหนึ่ง เชื่องแสนเชื่อง ที่ไล่ตะปบนางวันนั้นก็แค่หยอกเล่น! 

    แต่พูดไปแล้วก็เท่านั้น ไม่มีผู้ใดฟังเขาสักคน เลี้ยงคนเหล่านี้เอาไว้เป็นเจ้ากรรมนายเวรโดยแท้ ผ่านไปไม่กี่วัน องครักษ์ของหวางเมิ่งหยวนผู้นั้น จากคนคอยผ่าฟืนหาบน้ำ ก็กลายมาเป็นคนดูแลเรือนพักของเขาแล้ว ช่างเป็นการเลื่อนตำแหน่งที่รวดเร็ว ฉับไว กระทั่งเขายังตั้งตัวไม่ทันเสียจริง

    ชิงเถาเข้ากันดีกับเจ้าแมวยักษ์ไม่น้อย เพียงเขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เจ้าเสือร้ายตัวนั้นก็จะเข้ามาออดอ้อนออเซาะ ยามนอนก็จะนอนอยู่ในที่ที่ใกล้ชายหนุ่มที่สุด ยามกินก็จะต้องมีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ กระทั่งยามที่ชิงเถาต้องเช็ดถู ทำความสะอาดเรือนพักแห่งนี้ มันก็จะคอยเดินไปเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆ 

    เรียกว่าขอเพียงชายหนุ่มปรากฏตัวในเรือนพักของเขา เจ้าลั่วลั่วจะต้องตามติดอีกฝ่ายเป็นเงาตามตัว ไม่สนใจหลี่เค่อเฟิงอีก แม้แต่ชายตาแลก็ไม่ทำ ยามเขากล่าววาจากระแทกแดกดันอีกฝ่าย คนเพียงยิ้มไม่ตอบโต้ เจ้าตัวดีนี่กลับชำระแค้นแทนเสร็จสับ กัดชายเสื้อคลุมเขาขาดไปหลายตัว 

    ประเสริฐแท้…

    อีกทั้งเมื่อมีคน? ให้ท้ายเข้า องครักษ์ของหวางเมิ่งหยวนผู้นั้น ก็กำเริบเสิบสาน นานวันเข้ายังถึงกับเอาใบหน้าหล่อเหลาแค่ก ใบหน้าสามัญพื้น ๆ ที่มิน่ามองดวงนั้น มาวนเวียนในครรลองสายตาเขาไม่หยุด สิบสองชั่วยามในแต่ละวัน เขาต้องพบหน้าชิงเถาไปแล้วห้าถึงหกชั่วยาม ต้องทนให้อีกฝ่ายพูดจาหวานหูใส่ แทะโลมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่หยุดหย่อน ยังเอาใจใส่เขาอย่างดี ไม่เคยต้องให้เขาว้าวุ่นใจกับสิ่งใด 

    แต่เขากลับยิ่งว้าวุ่นใจที่เป็นเช่นนี้น่ะสิ ให้ตายเถอะ ประมุขเช่นข้าปวดหัวจะตายแล้ว!

    หงิงงงง

    เสียงลากยาวของสัตว์สี่ขาวตัวใหญ่ ทำให้หลี่เค่อเฟิงเหลือบตามอง เจ้าลั่วลั่วนอนเกลือกกลิ้งอยู่ในลานกว้าง ข้างกายมีชิงเถากำลังใช้มือสางขนให้ หนึ่งคนหนึ่งเสือ เล่นกันไปยิ้มแย้มหัวเราะ ราวกับว่ามีความสุขนักหนา 

    หลี่เค่อเฟิงกลอกตาเป็นรอบที่ร้อยของวัน เขาปรายตามองชายชุดคลุมสีดำยาวของอีกฝ่าย ที่ถูกเจ้าแมวยักษ์งับจนขาดวิ่น ก็ยิ่งรู้สึกขัดตา "เผื่อว่าเจ้าจะลืมไป หรือสมองน้อย ๆ ที่พอมีจะมีปัญหา เจ้าลั่วลั่วเป็นเสือมิใช่ลูกแมว"

    ชิงเถาเงยหน้าขึ้น สบมองกับดวงหน้าคม ที่วันทั้งวันเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ เขาเพียงระบายยิ้มออกมา "เป็นเสือที่เชื่องมากจริง ๆ ท่านเลี้ยงมันได้ดี"

    มันเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน!

    ใจก็อยากจะกล่าวเช่นนั้น แต่เขายังต้องไว้หน้าตนเอง แล้วก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกกำเริบเสิบสานมากไปกว่านี้ จึงเชิดคางขึ้น ท่าทียังหยิ่งทะนงขึ้นหลายส่วน "เปิ้นจั้วเลี้ยงมาเองกับมือ มันย่อมเป็นเด็กดี"

    ชิงเถาพยักหน้ารับ หากหลี่เค่อเฟิงกล่าวเช่นนั้น ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ท่าทางว่าง่ายนี้กลับไม่เข้าตาอีกฝ่ายเอาเสียเลย พอเขาเห็นดีเห็นงามด้วย ประมุขหลี่ก็ทำท่าขัดอกขัดใจ แล้วสะบัดชายเสื้อเดินจากไป 

    ชิงเถามองตามเงาร่างของคนผู้นั้นนิ่ง ๆ ก่อนก้มลงมองเจ้าเสือขาวตัวใหญ่ ที่ยามนี้ถูไถใบหน้าอยู่กับต้นขาของเขา ชายหนุ่มยื่นมือออกไปลูบศีรษะของมันอย่างนึกเอ็นดู "เจ้านายของเจ้านี่นะ เอาใจยากจริงเลย"

    ศีรษะใหญ่โตของเจ้าลั่วลั่ว ถูไถกับมือของชายหนุ่ม ออดอ้อนอยู่เป็นนาน สุดท้ายยังรู้สึกว่า ชายหนุ่มกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก 

     

    วันนี้ฝนตกหนักกว่าทุกวัน ผ่านมาถึงยามเว่ยแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ชิงเถายืนอยู่ภายในห้องนอนของหลี่เค่อเฟิง ชายหนุ่มดึงแถบผ้าที่ผูกเอาไว้ที่ข้อมือออกมา รวบมัดเส้นผมไว้ด้านหลัง จากนั้นเริ่มต้นเก็บกวาดทำความสะอาด 

    หลี่เค่อเฟิงชะงักฝีเท้าอยู่หน้าประตู เหลือบมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่บนเตียงเขา มุมปากก็พลันกระตุกขึ้นมา ผ่านมาร่วมเดือนแล้ว ที่ชิงเถาเข้าออกตำหนักแห่งนี้ เขากลับไม่คุ้นชินสักที 

    ประมุขหลี่วางมาดเป็นท่านประมุขผู้เคร่งขรึม เดินคอตั้งเข้ามาภายใน ก่อนนั่งลงบนโต๊ะภายให้ห้อง ห่างจากเตียงนอนไม่ไกลนัก ข้างเท้ายังมีเจ้าแมวยักษ์นอนเฝ้าอยู่ไม่ไกล มองก็รู้ว่าไม่ได้เฝ้าเขาหรอก มันมาเฝ้าชิงเถาอยู่แล้ว

    หึ เนรคุณจริง ๆ 

    พอชายหนุ่มหันกลับมา ก็พบว่ามีคนเข้ามาเพิ่มในห้อง ชิงเถากอดผ้าห่มของอีกฝ่ายเอาไว้ พลางเดินเข้ามาหา "กลับมาแล้วหรือ"

    "เหอะ"

    "..."

    อยู่ ๆ ก็ถูกแค่นเสียงใส่ ชิงเถานิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนหัวเราะออกมาอย่างจนปัญญา คนผู้นี้มักเป็นเช่นนี้ เขาเอ่ยถามก็ไม่ค่อยอยากจะตอบ พอเขาไม่พูดด้วย ก็เอาแต่หาเรื่องมาค่อนแคะ พูดจากระแทกแดกดันกัน ไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นบ้าอะไร

    ชิงเถาเลิกสนใจเขา ก่อนเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย เขาเดินเอาของออกไปเก็บที่ห้องเก็บของด้านนอก รอให้คนมานำไปซักทำความสะอาด จากนั้นกลับมาพร้อมถาดเนื้อกวางสด ที่หั่นเป็นชิ้นใหญ่ ๆ หนึ่งถาด 

    เขาหยุดอยู่ที่หน้าประตุห้อง เรียกลั่วลั่วด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ลั่วลั่ว ไปกินข้าวกันเถอะ"

    หลี่เค่อเฟิง "..."

    ประมุขเช่นข้าเป็นผีหรือไง!

    พอเจ้าเสือขาวเดินเข้ามาแล้ว ชิงเถาจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ถามหลี่เค่อเฟิงขึ้นมาคำหนึ่ง "ท่าน...จะรับมื้อกลางวันเลยไหม"

    "เหอะ!

    "..."

    "ไม่ถามวันพรุ่งไปเลยล่ะ"

    เฮ้อ เอาใจยากกว่าเจ้าลั่วลั่ว เฟิงอวิ๋นนี่แหละ ชิงเถายิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยตอบอย่างใจเย็น "เช่นนั้นข้ากินข้าวเป็นเพื่อนท่านดีไหม หรืออยากกินอะไร เดี๋ยวข้าทำให้"

    "ข้ากินมาแล้ว"

    ได้!

    ในที่สุดความอดทนก็หมดลง ในระยะนี้เขาพยายามรักษาระยะห่างจากอีกฝ่าย พยายามทำตัวให้ดี ไม่รบกวนให้หลี่เค่อเฟิงอึดอัดใจ แม้ได้เข้ามาอยู่ข้างกายใกล้ชิด ก็ไม่เคยล้ำเส้นความอดทนของหลี่เค่อเฟิงแม้แต่น้อย 

    แรกเริ่มคนเอาแต่ผลักใสไล่ส่งเขา ต่อมาพอเขาทำเช่นนี้ กลับเอาแต่ประชดประชันกัน เขาอยากรู้สึก ว่าตกลงหลี่เค่อเฟิงเป็นบ้าอะไร เอาอกเอาใจก็ไม่ชอบ เข้าหาก็ไม่พอใจ ออกห่างไปก็ไม่ดี วันนี้คงต้องคุยกันให้รู้เรื่องแล้ว 

    ถาดอาหารของเจ้าลั่วลั่วถูกวางลงบนพื้น ก่อนที่ชิงเถาจะก้าวเข้าไปในห้องของหลี่เค่อเฟิง จากนั้นปิดประตูลงดาลแน่นสนิท ก่อนหนุ่มกายหันกลับไปหาอีกฝ่าย ที่ตะลึงงันอยู่บนโต๊ะ

    หลี่เค่อเฟิงเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก "เจ้าจะทำ... อ๊ะอือ!"

    พริบตานั้น ร่างกายของคนทั้งคู่พลันแนบชิดกัน ชิงเถาพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ใช้ร่างกายตนเองกดทับหลี่เค่อเฟิงที่ผุดลุกขึ้นลงกับโต๊ะ ฝ่ามือปิดริมฝีปากที่กำลังเอื้อนเอ่ย พลางจ้องมองดวงตาคู่นั้นด้วยความหงุดหงิด "เฟิงอวิ๋น"

    น้ำเสียงนี้ ถึงกับทำให้สันหลังของหลี่เค่อเฟิงเจ็บร้าว เขาถลึงตามองคนที่เหิมเกริบตรงหน้า 

    "ข้าไม่เข้าใจท่านจริง ๆ นะ" ชิงเถาระบายลมหายใจออกมายืดยาว ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลงบนใบหน้าคม "ข้าตามตอแยท่าน ท่านก็ไม่พอใจ ข้าพยายามให้พวกเราค่อยเป็นค่อยไป ท่านก็หงุดหงิดใส่ข้า ราวกับข้าทำผิดนักหนา เฟิงอวิ๋น ตกลงท่านเป็นบ้าอะไร"

    ดวงตาของหลี่เค่อเฟิงหรี่ลง เขามิได้ตอบกลับ เพียงแค่กัดฝ่ามือที่ปิดริมฝีปากของตนเองเต็มแรง จนชิงเถาสะบัดมือออก "กำเริบเสิบสานนัก!"

    ชิงเถามองมือตนเองที่ขึ้นรอยฟันลึก เขากวาดตามองใบหน้าของหลี่เค่อเฟิงรอบหนึ่ง พลันแค่นเสียง "หึ"

    จากนั้นริมฝีปากก็ประกบลงไป ปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้แน่นหนา ไม่เหลือพื้นที่ให้เปล่งวาจาอีก เดิมทีหลี่เค่อเฟิงอยากจะดุด่าอีกฝ่ายอย่างเคย กลับถูกเขาจูบโดยไม่ทันตั้งตัว ประมุขพรรคเสี้ยวจันทรานิ่งงันราวกับวิญญาณสูญ ก่อนเบิกตากว้าง จ้องมองแพรขนตาที่อยู่เพียงเอื้อม 

    จูบเขา…

    คนผู้นี้จูบเขาอีกแล้ว!

    การจูบครั้งนี้มิได้ล่วงล้ำเข้าไปภายใน เพียงแตะริมฝีปากแผ่วเบาแล้วค้างเอาไว้ ชิงเถาถอนจูบออกมาเชื่องช้า ลิ้นเล็กเลียริมฝีปากที่มีรสชาติของอีกฝ่ายติดอยู่ สบตากับดวงตาสีนิลคู่นั้น "หรือความจริงเฟิงอวิ๋นมีใจให้ข้าแล้ว พอข้าไม่สนใจ ท่านเลยร้อนใจขึ้นมา"

    "มีใจกับผีน่ะสิ!" หลี่เค่อเฟิงผลักอีกฝ่ายออกเต็มแรง ใช้แขนเสื้อถูริมฝีปากตนเองแรง ๆ จะเจือแววรังเกียจอยู่หลายส่วน 

    ดวงตาคู่งามหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเฉยชาอย่างเก่า ชิงเถาพาตนเองไปนั่งลงข้างกายอีกฝ่าย คนทั้งสองต่างนั่งนิ่งไม่กล่าวคำ กระทั่งเป็นชิงเถาที่ยอมลงให้ก่อน เขายื่นมือออกไป รินชาให้อีกฝ่ายถ้วยหนึ่ง "ดื่มชาก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันเถอะ"

    หลี่เค่อเฟิงโมโหแทบตายแล้ว คนผู้นี้อยู่ ๆ ก็ปิดประตูห้องเขา ปีนขึ้นมาบนร่างเขา บังคับจุมพิตเขา พอตนเองรู้สึกดีขึ้นมา ก็พูดว่าค่อยพูดค่อยจา จะให้เอาอะไรมาค่อยพูดค่อยจา!

    พอเห็นหลี่เค่อเฟิงบ่ายหน้าหนี ชิงเถาก็ชะโงหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย "โกรธแล้วหรือ"

    "..."

    "เช่นนั้นจูบอีกรอบ"

    "หยุด!" ประมุขหลี่ถลึงตาใส่ชิงเถา "เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น"

    กล่าวจบคนก็โยนเศษผ้าสีขาวที่เปรอะเปื้อนให้เขาผืนหนึ่ง แล้วไม่กล่าวคำอีก ชิงเถายื่นมือออกไปรับมันมากางออก กวาดตาอ่านเนื้อความด้านในโดยละเอียดรอบหนึ่ง จึงเงยหน้ามองหลี่เค่อเฟิง

    "ท่านกำลังหึงหวงข้า?"

    ด้านในเป็นลายมือการเขียนพู่กันของท่านอ๋อง นี่ย่อมเป็นจดหมายที่หวางเมิ่งหยวนส่งมาให้เขา แต่ว่าส่งมาตั้งแต่เมื่อใด แล้วไม่อยู่ในมือหลี่เค่อเฟิงยามใดเล่า 

    หลี่เค่อเฟิงปรายตามองชิงเถา คราหนึ่งจากนั้นไม่กล่าวคำอีก 

    ชิงเถาย่อมไม่เข้าใจท่าทีเช่นนี้ของอีกฝ่าย ทำได้ก็เพียงเดาไปส่งเดชเท่านั้น "เพียงจดหมายตำหนิข้าฉบับหนึ่ง มิได้จะพรากข้าไปจากท่านเสียหน่อย เหตุใดจึงต้องเก็บมาใส่ใจด้วย"

    "ข้าแค้นใจ ที่หวางเมิ่งหยวนไม่เรียกเจ้ากลับไปต่างหาก"

    น้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้ ชิงเถาฟังจนชินแล้ว เขาเพียงยิ้มรับไม่กล่าวคำ ทั้งไม่อยากใส่ใจกับท่าทางแปลกประหลาดของหลี่เค่อเฟิงอีก "แล้วท่านลงเขารอบนี้ เป็นเช่นไรบ้าง"

    "เกี่ยวอะไรกับเจ้า"

    "ย่อมเกี่ยวแน่นอน เพราะว่าในใจข้ามีท่านประมุข เรื่องของท่านประมุข ข้าย่อมเอาใจใส่"

    "ยุ่งไม่เข้าเรื่อง"

    "ไม่ต้องเกรงใจ" ชิงเถาเหลือบมองนอกหน้าต่าง คิดว่าต้องตอบจดหมายของผู้เป็นนายสักฉบับ จึงกล่าวกับหลี่เค่อเฟิง "ข้าขอยืมพู่กัน กับน้ำหมึกสักหน่อยได้หรือไม่"

    ชาในถ้วยหมดแล้ว หลี่เค่อเฟิงก็ไม่ยื้อให้เขาอยู่ "ในห้องหนังสือเจ้าไปใช้เถอะ"

    พอเงาร่างของชิงเถาจากไปแล้ว ประมุขหลี่ก็ก้มมองเจ้าลั่วลั่ว ที่เข้ามานอนอยู่ปลายเท้า ด้วยคำพูดนี้ของชิงเถาเมื่อครู่ ทำให้เขาตระหนักรู้ถึงบางอย่าง ระยะนี้เขาแปลกไปจริง ๆ 



    ต่อจ้า


    กลางดึกสงัด ตำหนักพักอันไร้ผู้คนเงียบงัน ดวงจันทร์สาดแสงอ่อนจาง พอที่จะสามารถนำทางได้เป็นระยะ ชิงเถาเดินตามทางเดินทอดยาว ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย 

    กรรรรร

    ชายหนุ่มย่อกายลง ใช้ฝ่ามือลูบบนศีรษะของเจ้าแมวยักษ์ ที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาข่มขู่กัน พอเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ทั้งกลิ่นอายคุ้นเคยจากอีกฝ่าย เจ้าลั่วลั่วถึงสงบลง ยอมนอนหมอบกลับลงไป ปล่อยให้ชายหนุ่มก้าวผ่านร่างของมัน ตรงไปยังห้องนอนของหลี่เค่อเฟิง 

    ประตูห้องนอนปิดสนิท ไม่ได้ลงดาล บานประตูถูกเปิดออกแผ่วเบา จากนั้นปิดลงอีกครั้ง พร้อมกับร่างของชิงเถา ที่เข้ามาอยู่ภายในห้องนอนของอีกฝ่าย 

    เสียงร้องคราญ ทั้งโหยหวนเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา ราวกับสัตว์ตัวน้อย ทั้งดูทรมานและเจ็บปวด ดังเข้าสู่โสตประสาท จนหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ขาทั้งสองข้าวพลันก้าวไปข้างหน้าด้วยความร้อนใจขึ้นไปอีก ไม่นานชิงเถาก็พาร่างของตนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงไม้โบราณหลังนั้น 

    ภายในนั้นคือร่างของหลี่เค่อเฟิง ที่กำลังหลับไหลอยู่ในห้วงแห่งนิทรา ม่านมุ่งสีขาวถูกมือของชิงเถาปัดผ่าน พอร่างของตนไปนั่งอยู่ริมเตียง เมื่อภาพของหลี่เค่อเฟิงปรากฏชัดเจนในครรลองสายตา องครักษ์หนุ่มก็พลันมีใบหน้าตึงเครียด 

    เขาประคองร่างของประมุขหลี่ขึ้นมา ใช้ร่างของตนต่างหมอน ให้อีกฝ่ายพักพิง ข้อมือหนาถูกเขาคว้าขึ้นมาจับชีพจร คนเราควรมีชีพจรที่เต้นอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งเป็นชาวยุทธ์ผู้บำเพ็ญตน แม้มิอาจฝึกฝนจนอายุยืนร้อยปีพันปี อย่างเมื่อนานมาแล้ว ก็ยังนับว่าต้องมีร่างกาย และเส้นชีพจรแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป 

    แต่หลี่เค่อเฟิงยาวนี้ กลับมีชีพจรที่เบาบางปั่นป่วน ราวกับจะคลุ้มคลั่ง และหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ เส้นประสาทตัวร่างของชิงเถาเครียดเกร็งขึ้นมาโดยพลัน "จิตมาร!"

    พริบตานั้นฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยปราณแห่งชีวิต ก็ตบลงบนหน้าอกของหลี่เค่อเฟิงเต็มแรง ส่งผ่านลมปราณบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างของเขา ช่วยบรรเทาการกัดกร่อนของจิตมาร หยดยั้งไม่ให้อีกฝ่ายธาตุไฟเข้าแทรกได้ 

    กว่าสองชั่วยามที่เป็นเช่นนั้น กระทั่งหน้าผากของหลี่เค่อเฟิงหลั่งเหงื่อออกมา แทนไอร้อนลวก เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้ จากนั้นผ่อนมือลงค่อย ๆ ถอนฝ่ามือออกมา 

    ดวงตาคมหลุบลงน้อย ๆ ก้มมองใบหน้าขาวซีดของคนในอ้อมแขน ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ถูกดึงออกมาซับเหงื่อให้อีกคนอย่างเบามา ก่อนชิงเถาจะวางร่างที่เดี๋ยวร้อนลวก เดี๋ยวเย็นเฉียบของหลี่เค่อเฟิงลงบนเตียงอีกครั้ง 

    นอกหน้าต่าง ดวงจันทร์งามบอกเวลาคร่าว ๆ ให้ได้รู้ อีกไม่นานก็จะลับขอบฟ้า เข้าสู่ยามรุ่งสางแล้ว ชิงเถาพินิจคนบนเตียงให้ดีอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่วันนี้เขาอยากมาชวนอีกฝ่ายดื่มสุรา จึงบังเอิญพบความผิดปกตินี้เข้า มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งไม่คาดคิดใดขึ้นบ้าง

    "ผิดทำนองคลองธรรมไปสักหน่อย" เสื้อตัวนอกถูกถอดออกไปแล้ว ชิงเถาสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม ขอแบ่งไออุ่นจากอีกฝ่าย 'แต่ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ"

    เฟิงอวิ๋นท่านโทษข้าที่ทำเช่นนี้ไม่ได้นะ ท่านต้องโทษตนเองที่ดูแลตัวเองไม่ดี ทำให้ข้าเป็นห่วงเกินไป จนกระทั่งจะผละจากไป ก็ยังทำไม่ลง เพราะฉะนั้น วันนี้ข้าจะเสียสละตนเอง นอนเป็นเพื่อนท่านเอง

    เช้าวันต่อมา หลี่เค่อเฟิงลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกมึนเบลอ แม้ยังคงมีอาการปวดศีรษะอยู่บ้าง ก็ยังนับว่าเบาบางกว่าทุกวัน ดวงตาคมเหม่อมองเพดานห้องนอนกว้างของตน หรี่ตาลงน้อย ๆ ด้วยความเกียจคร้าน กระทั่งเขาคิดจะลุกขึ้น จึงพบว่าแขนซีกขวาทั้งแถบชาไปหมด มิอาจขยับเขยื้อนได้ บริเวณหน้าอกยังรู้สึกหนัก ๆ อีกด้วย

    ดวงตาคมเหลือบมองแขนข้างนั้นของตน กลับพบสิ่งที่หน้าตกตะลึงยิ่งกว่า เขารู้สึกว่า ให้ตนเองแขนขาขยับไม่ได้ ก็ยังทำใจง่ายกว่าต้องพบภาพตรงหน้า เส้นผมสีดำขลับสยายเต็มแผ่นอกเขา สองร่างของเราทั้งคู่แนบชิด ศีรษะของคนผู้นั้นวางอยู่บนหน้าอกเขา ทั้งยังหลับตาพริ้ม ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน ทั้งว่านอนสอนง่าย ไม่มีเค้าลางของความดื้อรั้นยามตื่นนอนเลย 

    แต่ว่า ชิงเถาขึ้นมานอนบนเตียงของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่...

    กำเริบเสิบสานนัก เตียงของเปิ้นจั้วก็กล้าปีนแล้ว!

    พอคิดว่าจะผลักอีกฝ่ายออก มืออีกข้างกลับไม่รักดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยังไม่ทันจะแตะต้องอีกฝ่ายสักกระผีกริ้น ก็ต้องชักกลับมาไว้ที่เดิม อย่างไรก็หักใจปลุกเขาไม่ลง ทำได้เพียงก้มมองดวงหน้ายามหลับไหลของอีกฝ่าย ทั้งยังมีเค้าลางของความไม่สบายใจเจือจาง 

    "หึ" น้ำเสียงแผ่วเบานั้น เรียกให้หลี่เค่อเฟิงก้มมองอีกครั้ง เขาพบว่าคนในอ้อมแขนตื่นแล้ว ทั้งกำลังระบายยิ้มให้เขาอยู่ ชิงเถาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยังดูงัวเงีย ปลายคางมนวางเกยเอาไว้บนอกแกร่ง "เฟิงอวิ๋นตัดใจไม่ได้ใช่หรือไม่ พอเห็นข้าอยู่ในอ้อมแขน ก็เกิดไม่อยากปล่อยไปกระนั้นหรือ"

    ความลังเลเมื่อครู่พลันหายไปในชั่วพริบตา หลี่เค่อเฟิงดันหน้าผากของอีกฝ่ายออก ยันกายลุกขึ้นนั่ง ปรายตามองชิงเถาอย่างเอือมระอา "ประเสริฐแท้ เตียงของเปิ่นจั้วเจ้าก็กล้าปีนแล้ว"

    "อาการของท่าน"

    "หุบปาก!"

    "..." ความเงียบปกคลุมห้องนอนแห่งนี้ไปชั่วขณะ ชิงเถายันกายลุกขึ้น ไม่หลงเหลือท่าทีเอ้อระเหยอย่างเมื่อครู่อีก "ท่านไม่อยากบอก?"

    หลี่เค่อเฟิงหลุบตาลง "ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"

    รอยยิ้มอ่อนนุ่ม ระบายเต็มใบหน้าขององครักษ์หนุ่ม เขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ให้ระยะห่างของทั้งคู่ใกล้ขึ้นมาอีกหน่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า "อย่าให้ตนเองตกมาอยู่ในมือข้าแล้วกัน"

    "เจ้ากล้าขู่ข้า?"

    "ข้ากำลังบอกท่าน" ดวงหน้าคมเอียงคอน้อย ๆ อย่างซุกซน "อย่าได้พลั้งเผลอ เกิดมีใจให้ข้าขึ้นมา มิเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของท่าน จะกลายเป็นของข้า"

    "..."

    "อีกอย่าง หากเกิดเรื่องอย่างเมื่อคืนอีก ต้องเรียกข้า"

    "...เจ้า"

    "มิเช่นนั้น ข้าจะปีนขึ้นเตียงของท่าน ที่แปลว่าปีนขึ้นเตียงจริง ๆ ให้ดู"

    กล่าวจบคนก็ลุกขึ้นยืน คว้าเสื้อตัวนอกที่กองอยู่บนพื้น แล้วก็เดินจากไป หลี่เค่อเฟิงเหม่อมองแผ่นหลังนั้นจนลับสายตา แล้วก้มมองเจ้าลั่วลั่วที่เดินนวยนาดเข้ามา ด้วยความตกตะลึง เขาย่อมเคยถูกข่มขู่ คำพูดร้ายกาจสารภาพ ประมุขหลี่ล้วนเคยรับมือมาหมดแล้ว 

    แต่ว่า เขาไม่เคยถูกผู้ใดข่มขู่ว่าจะปีนขึ้นเตียงนะ! 

    อาหารเช้ามื้อนี้ ประมุขหลี่รับสำรับที่ตำหนักกลาง หรงซินเยว่และเหล่าข้ารับใช้ จึงสามารถมาปรนนิบัติประมุขได้ น้ำแกงเนื้อตุ๋นถูกประมุขหลี่กินไปคำเดียว ก็เหม่อมองอยู่เช่นนั้น นี่เป็นวันแรกในรอบเดือน ที่ท่านประมุขก้าวออกจากตำหนัก อีกทั้งยังไม่เห็นชิงเถาเข้ามาวอแวกับอีกฝ่าย นี่นับว่าประหลาดนัก เสี่ยวซีเห็นภาพนี้เข้า ก็ขยับเข้าไปหาหรงซินเยว่อีกฝ่าย ป้องปากกระซิบกระซาบ

    "นางมาร เจ้าว่าท่านประมุขแปลกไปที่ตรงไหนไหม"

    "ไม่นะ" หรงซินเยว่กวาดตามองบุรุษผู้เป็นเจ้าชีวิต ตั้งแต่หัวจรดเท้า ยังคงหล่อเหลาคมคาย หมดจดงดงาม ไร้ที่ติ "ไม่แปลก"

    "แต่วันนี้ ท่านประมุขไม่กินข้าวที่เรือนนอนนะ"

    "คงอยากเปลี่ยนบรรยากาศกระมัง"

    "ไม่มีคุณชายผู้นั้นอยู่ใกล้ ๆ ด้วยนะ"

    "คุณชายชิงคงมีธุระ"

    "ไม่…"

    "พวกเจ้าเห็นประมุขเช่นข้าเป็นอะไร ผีหรือ" หลี่เค่อเฟิงปรายตามอง "มีอะไรไม่เข้าใจ มิสู้ถามข้าเองเลยล่ะ"

    คนทั้งสองคุกเข่าลงทันที พลันก้มหน้าต่ำอย่างนอบน้อม "บ่าวมิกล้า"

    "กล้ากว่านี้ พวกเจ้าก็มาเหยียบบนศีรษะข้าแล้ว"

    ทั้งคู่พลันหุบปากฉับ ไม่กล่าวคำอีก นานทีเดียวกว่าหลี่เค่อเฟิงจะเอ่ยต่อ "หรงซินเยว่"

    "บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ"

    "เจ้า…"

    "เจ้าคะ?" นางเงยหน้ามองท่านประมุขให้ดี อีกฝ่ายอึกอักไม่ยอมกล่าวคำ 

    "ช่างเถอะ" หลี่เค่อเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นสะบัดชายเสื้อเดินจากไป

    ผู้คนที่ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง…?

    ชิงเถาอยู่ในห้องของตน ห้องของเขาถูกย้ายมาอยู่ในเรือนพักของเหล่าศิษย์ แม้เขาได้เข้าออกตำหนักของหลี่เค่อเฟิงตามใจแล้ว สถานะก็ยังคลุมเครือระหว่าง คนของท่านประมุข กับบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง 

    ทำให้ทุกคนในพรรคเสี้ยวจันทรา ไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายกับเขานัก ชายหนุ่มจรดพู่กันบนกระดาษ ลายมืออ่อนช้อย แต่มีพลังอำนาจมาก อักษรงดงามปรากฏสู่สายตาตัวแล้วตัวเล่า เขาใช้กระดาษไปถึงสองแผ่น กว่าจะเขียนเรื่องราวออกมาได้ทั้งหมด 

    จากนั้นพับทั้งหมดใส่ในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ แล้วหยิบซวินออกมาจากในอกเสื้อ เดินไปยังหลังหุบเขาที่ไร้ซึ่งผู้คน เมื่อแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีผู้ใดมารบกวน เขาจึงนำซวินจรดริมฝีปาก ภายทอดกำลังภายใน เป่าออกมาเป็นหนึ่งบทเพลง 

    พอบนเพลงนั้นจบลง เสียงร้องแหลมสูงของเหยี่ยวตัวหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างขนาดใหญ่ที่สยายปีกบังพืนฟ้า ก่อนร่อนลงมาเกาะอยู่บนต้นแขนของชิงเถา "ต้าอู่ เจ้าสบายดีนะ?"

    เหยี่ยวตัวนั้นมีสีขาวทั่วทั้งร่าง ขนของมันขาวผ่องสง่างาม ปีกว้างสยายออกอย่างอารมณ์ดี ร้องขานรับคำพูดของชายหนุ่ม ชิงเถาผูกกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ไว้ที่ขาข้างหนึ่งของมัน ใช้นิ้วลูบไปตามลำคอแกร่งอย่างเชยชม "เด็กดี ส่งนี่ไปให้ถึงมืออาจารย์"

    กล่าวจบ เขาก็สะบัดแขนข้างนั้นออกไป ปล่อยให้เหยี่ยวขาวตัวนั้น โบยบินสู่ทิศประจิม

     

     

    *ซวิน () เป็นเครื่องเป่าเก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของจีน ส่วนใหญ่ทำด้วยหินหรือกระดูกสัตว์ ต่อมาจึงค่อยๆ พัฒนาและทำด้วยเครื่องปั้นดินเผา




     




    เข้าสู่เส้นเรื่องหลักกกก 

    พูดคุยกับเถียนซินได้ที่

    เพจ เถียนซิน

    ทวิตเตอร์ @Hanfeng62416408

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×